ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1711 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 34201 - 34220 จากข้อมูลทั้งหมด 124006 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
34201 | การแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงหรือบุคคลดำรงตำแหน่งกรรมการในรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง | นร | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการป้องกันการทุจริตของรัฐวิสาหกิจ เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงหรือบุคคลดำรงตำแหน่งกรรมการในรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง ตามข้อเสนอของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดังนี้
๑. มาตรการระยะสั้น ๑.๑ ห้ามผู้มีอำนาจแต่งตั้งหรือมอบหมายให้ผู้ใดเป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจและหรือนิติบุคคลที่รัฐวิสาหกิจเป็นผู้ถือหุ้นเกินกว่า ๓ แห่ง ทั้งนี้ ให้นับรวมการเป็นกรรมการโดยตำแหน่งและการได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติราชการแทนในตำแหน่งกรรมการด้วย ในกรณีที่ผู้ใดดำรงตำแหน่งกรรมการในรัฐวิสาหกิจและหรือนิติบุคคลที่รัฐวิสาหกิจเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ในวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเกินกว่า ๓ แห่ง ให้ผู้นั้นลาออกจากตำแหน่งกรรมการดังกล่าว หรือให้ผู้มีอำนาจสั่งให้ออกจากตำแหน่งกรรมการ เพื่อให้เหลือการเป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจและหรือนิติบุคคลที่รัฐวิสาหกิจเป็นผู้ถือหุ้นไม่เกิน ๓ แห่ง ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องภายในเก้าสิบวัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.๒ ให้กำหนดเป็นหลักการในการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปปฏิบัติราชการ โดยให้รัฐวิสาหกิจทุกแห่งต้องถือปฏิบัติว่า ห้ามกำหนดระเบียบหรือข้อบังคับให้สามารถเบิกจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าเช่าที่พัก หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ให้แก่คู่สมรสหรือผู้ติดตามที่มิได้มีหน้าที่เป็นผู้ปฏิบัติงานในรัฐวิสาหกิจที่ร่วมเดินทางไปกับผู้ปฏิบัติงาน หากรัฐวิสาหกิจใดได้กำหนดระเบียบหรือข้อบังคับให้สามารถเบิกจ่ายได้ไว้แล้วก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติก็ให้รัฐวิสาหกิจดำเนินการยกเลิก หรือแก้ไข ปรับปรุงระเบียบ หรือข้อบังคับ ให้เป็นไปตามหลักการดังกล่าวข้างต้นภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ รวมถึงห้ามรัฐวิสาหกิจทุกแห่งกำหนดระเบียบหรือข้อบังคับอื่นในลักษณะเดียวกันซึ่งเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่คู่สมรสหรือบุคคลใด ๆ ที่มิได้เป็นผู้มีหน้าที่ปฏิบัติงานในรัฐวิสาหกิจนั้นด้วย ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังศึกษาทบทวนและปรับปรุงกระบวนการ วิธีการสรรหา คัดเลือกและจัดทำบัญชีรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิ หรือกรรมการรัฐวิสาหกิจให้มีความสมบูรณ์ รัดกุม โปร่งใส และให้เหมาะสม เพื่อให้ได้บัญชีรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิหรือกรรมการรัฐวิสาหกิจตรงตามความเชี่ยวชาญในด้านที่กำหนดไว้อย่างแท้จริงตามสภาวการณ์ในปัจจุบันมากยิ่งขึ้น ๑.๔ ส่วนมาตรการป้องกันการทุจริตของรัฐวิสาหกิจฯ ในข้ออื่น ๆ เห็นชอบ ดังนี้ ๑.๔.๑ กรณีการห้ามผู้มีอำนาจแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงตั้งแต่ระดับผู้อำนวยการสำนักหรือเทียบเท่าขึ้นไปในส่วนราชการ หรือผู้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วย รองหรือผู้บริหารสูงสุดในรัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ควบคุม กำกับ ทั้งด้านนโยบายและด้านการปฏิบัติ (Regulator) เป็นประธานกรรมการหรือกรรมการในรัฐวิสาหกิจ หรือนิติบุคคลที่รัฐวิสาหกิจถือหุ้น ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจหรือบริษัทจำกัด หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่ดำเนินกิจการเกี่ยวกับสาธารณูปโภคและมีวัตถุประสงค์ในการแสวงหากำไรรวมอยู่ด้วย ซึ่งอยู่ในการควบคุม กำกับ หรือดูแล นั้น ผู้แทน ป.ป.ช. จะขอรับไปพิจารณาจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมสำหรับรายชื่อรัฐวิสาหกิจในแต่ละกรณี รวมถึงกรณีรัฐวิสาหกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และรัฐวิสาหกิจที่อาจยังไม่มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่เป็น Regulator อย่างชัดเจนด้วย แล้วจะเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๔.๒ กรณีการห้ามผู้มีอำนาจแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐในองค์กรตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หมวดที่ ๑๑ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบและดำเนินคดีเป็นประธานกรรมการ หรือกรรมการในรัฐวิสาหกิจ และหรือนิติบุคคลที่รัฐวิสาหกิจเป็นผู้ถือหุ้น นั้น ผู้แทน ป.ป.ช. จะขอรับไปประสานงานและพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานอัยการสูงสุด อีกครั้งหนึ่ง แล้วจะเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. มาตรการระยะยาว มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของการพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่เกี่ยวข้องนั้น นอกเหนือจากพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๑๘ แล้ว สมควรพิจารณาให้ครอบคลุมถึงการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องของประโยชน์ทับซ้อน เช่น พระราชบัญญัติการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||
34202 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการชดเชยความเสียหายแก่ผู้เสียหายซึ่งมิใช่เป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการบำบัดภยันตรายจากสาธารณภัย พ.ศ. .... | มท | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการชดเชยความเสียหายแก่ผู้เสียหายซึ่งมิใช่เป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการบำบัดภยันตรายจากสาธารณภัย พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ ให้ผู้อำนวยการท้องถิ่นหรือผู้ช่วยผู้อำนวยการกรุงเทพมหานครแห่งพื้นที่ที่ทรัพย์สินนั้นตั้งอยู่รายงานต่อผู้อำนวยการจังหวัดหรือผู้อำนวยการกรุงเทพมหานคร เมื่อเกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของผู้เสียหายจากการปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ๑.๒ กรณีที่ผู้เสียหายมิได้อยู่ในบัญชีรายชื่อผู้เสียหายและทรัพย์สินที่เสียหาย ผู้เสียหายนั้นอาจร้องขอชดเชยความเสียหายต่อผู้อำนวยการท้องถิ่นหรือผู้ช่วยผู้อำนวยการกรุงเทพมหานครแห่งพื้นที่ที่ทรัพย์สินของผู้เสียหายตั้งอยู่ ๑.๓ ให้คณะกรรมการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับการแต่งตั้ง หากไม่อาจดำเนินการได้ทันภายในกำหนดจะต้องรายงานปัญหาและอุปสรรคให้ผู้มีอำนาจแต่งตั้งทราบเพื่อพิจารณาอนุมัติขยายระยะเวลาออกไปได้อีกไม่เกินสามสิบวัน ๑.๔ ให้คณะกรรมการพิจารณากำหนดค่าชดเชยความเสียหายโดยคำนึงถึงสภาพของทรัพย์สิน ราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาด หรือเทียบราคาที่อ้างอิงจากราคากลางที่ทางราชการกำหนดตามที่เป็นอยู่ในวันที่เกิดความเสียหาย การเสื่อมราคาจากการใช้ การที่ทางราชการได้บรรเทาหรือแก้ไขความเสียหายไปแล้ว และปัจจัยอื่นที่จะทำให้เกิดความเป็นธรรม โดยนำหลักเกณฑ์การคำนวณค่าเสื่อมราคาทรัพย์สินที่ต้องเรียกชดใช้ตามความรับผิดทางละเมิดตามที่กระทรวงการคลังกำหนดมาใช้โดยอนุโลม ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการกำหนดกรณีเมื่อผู้มีอำนาจแต่งตั้งวินิจฉัยความเสียหายที่เกิดแก่ทรัพย์สินของผู้เสียหายเป็นจำนวนเท่าใดแล้ว ให้จังหวัดหรือกรุงเทพมหานครซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจ่ายค่าชดเชยให้แก่ผู้เสียหายนั้น โดยให้ใช้เงินจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น นั้น เป็นการจ่ายเงินจากงบกลาง ซึ่งรายการเงินสำรองจ่ายฯ เป็นค่าใช้จ่ายที่จัดสรรสำรองให้สำหรับกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน ไม่สามารถกำหนดเป้าหมายและวงเงินค่าใช้จ่ายเป็นการล่วงหน้าได้ เมื่อส่วนราชการฯ มีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายฯ จะต้องขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ งบประมาณที่จะนำไปชดเชยความเสียหายดังกล่าวไม่ควรกำหนดให้ใช้เฉพาะจากงบประมาณแผ่นดินที่เป็นงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายฯ แต่ควรกำหนดให้สามารถใช้จากงบประมาณของส่วนราชการและเงินจากแหล่งอื่นด้วย ไปประกอบการพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
34203 | โครงการเคเบิลใต้น้ำใยแก้วอ่าวไทย | ทก | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (บมจ. กสท โทรคมนาคม) ดำเนินโครงการเคเบิลใต้น้ำใยแก้วอ่าวไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดสร้างโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำใยแก้วที่เป็นเส้นทางหลักในอ่าวไทย โดยมีสถานีจุดขึ้นบกที่สถานีเคเบิลใต้น้ำ ชลี ๒ จังหวัดสงขลา และสถานีเคเบิลใต้น้ำ ชลี ๓ จังหวัดชลบุรี และมีเส้นทางเชื่อมโยงระหว่างเคเบิลใต้น้ำใยแก้วทางหลักกับแท่นสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของผู้ใช้บริการในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานในอ่าวไทย รวมทั้งการติดตั้งอุปกรณ์โทรคมนาคมเพื่อรองรับความจุไม่น้อยกว่า 160 Gbps โดยใช้เทคโนโลยี DWDM (การส่งข้อมูลบนเส้นไฟเบอร์ออฟติก) วงเงินลงทุนทั้งสิ้น ๒,๗๓๐ ล้านบาท จากเงินรายได้ แบ่งเป็น เงินลงทุนค่าก่อสร้างระบบและอุปกรณ์ระบบ จำนวน ๒,๖๐๐ ล้านบาท และเงินสำรองโครงการ จำนวน ๑๓๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ๒. ให้ บมจ. กสท โทรคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับมติของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๓ รวมทั้งความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และประธานกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ที่เห็นควรระมัดระวังในขั้นตอนการติดตั้งโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำใยแก้ว เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อนิเวศน์พื้นทะเลซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อทรัพยากรสัตว์น้ำ รวมทั้งอาจสร้างความเสียหายต่อเครื่องมือประมงของชาวประมง โดยมีมาตรการชดเชยตามความเหมาะสมหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น และให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกำกับดูแลการดำเนินโครงการฯ ให้สามารถบริการได้ภายใน ๒ ปีหลังจากลงนามในสัญญา เพื่อลดผลกระทบจากความเสียหายในกรณีการจ่ายค่าปรับที่เกิดจากความล่าช้าของการดำเนินงานตามสัญญา นอกจากนี้ การดำเนินโครงการฯ ต้องดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๐ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
34204 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการพัฒนากำลังคนด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (ทุนเรียนดีมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย) ครั้งที่ 7 | ศธ | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการพัฒนากำลังคนด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (ทุนเรียนดีมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย) ครั้งที่ ๗ (พฤษภาคม - พฤศจิกายน ๒๕๕๓) สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ สกอ. ได้ดำเนินการโอนเงินค่าใช้จ่ายของนักเรียนทุน แยกเป็น ทุนในประเทศ โดยประสานสถาบันอุดมศึกษาที่เป็นสถาบันฝ่ายผลิตให้จัดส่งรายละเอียดพร้อมหลักฐานของนักเรียนทุนทุกระดับ และทุนในต่างประเทศ โดยประสานสำนักงาน ก.พ. และโอนเงินค่าใช้จ่ายของนักเรียนทุนเพื่อให้ดำเนินการเกี่ยวกับนักเรียนทุนโครงการฯ ที่พร้อมจะเดินทางไปศึกษาได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน - กันยยาน ๒๕๕๓ จำนวน ๓๗ คน ประกอบด้วย ระดับปริญญาตรี ๔ คน และระดับปริญญาโท - เอก ๓๓ คน จากนักเรียนทุน ๖๑ คน ๑.๒ สกอ. ได้พิจารณาจัดสรรทุนที่เหลือจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยนำทุนที่เหลือจากการสอบแข่งขันฯ และงบประมาณของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ มารวมกับงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อพิจารณาจัดสรรทุนและประกาศสอบแข่งขันเพื่อรับทุนโครงการฯ ปีการศึกษา ๒๕๕๓ - -๒๕๕๔ ในระดับปริญญาตรี และปริญญาโท - เอก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และทุนระดับปริญญาตรี - โทในต่างประเทศ โดยการพิจารณาจัดสรรทุนในปีการศึกษา ๒๕๕๓ - ๒๕๕๔ เพื่อให้ได้สาขาวิชาที่มีความจำเป็น หรือขาดแคลน หรือเป็นสาขาวิชาที่ตอบสนองการพัฒนาศักยภาพของสถาบันอุดมศึกษา รวม ๑๙๖ ทุน ซึ่งผลการสอบแข่งขัน มีผู้สนใจสมัครสอบ จำนวน ๗๐๕ คน มีผู้สอบผ่านเพื่อรับทุนโครงการฯ จำนวน ๘๕ คน ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินโครงการฯ ต่อคณะรัฐมนตรีทุกสิ้นปีงบประมาณจนกว่าจะสิ้นสุดระยะเวลาของโครงการฯ
|
|||||||||||||||||||||||||||
34205 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางสร้างความเข้มแข็งของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เพื่อความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจไทย" | สสป | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางสร้างความเข้มแข็งของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เพื่อความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจไทย ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ของกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ปรับโครงสร้างองค์กรสนับสนุนธุรกิจ โดยกำหนดให้มีโครงสร้างอำนาจการบริหารแบบการบริหารจัดการเดียว เช่น คณะกรรมาธิการบริหาร (บอร์ด) เดียวกัน เพื่อเชื่อมโยงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีการดำเนินงานอย่างเป็นระบบและมีเอกภาพ มีการบริหารตลาดอย่างมืออาชีพ ภายใต้การนำและบุกตลาดระดับผู้นำต่อผู้นำประเทศ ๒. ให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เป็นยุทธศาสตร์ร่วมพัฒนาชาติในลักษณะต้นน้ำโดยจัดทำยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนสะท้อนความต้องการที่แท้จริง เพื่อให้การดำเนินธุรกิจยุคต่อไปในอนาคตมีลักษณะที่กะทัดรัด ทันสมัย มีการดำเนินงานที่รวดเร็ว เน้นกลยุทธ์เชิงรุกที่สร้างสรรค์ สร้างความภูมิใจในวิชาชีพ พัฒนาสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ สู่ตลาดตลอดเวลา โดยมีปัจจัยหลักของการพัฒนา ได้แก่ มาตรการสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการ มาตรการด้านความรู้และเทคโนโลยี มาตรการด้านการบริหารจัดการธุรกิจ มาตรการด้านการตลาด และมาตรการส่งเสริมด้านการเงิน ๓. การดำเนินนโยบายการให้เงินกู้ ควรมีการศึกษาเพื่อแบ่งกลุ่มประเภทและความต้องการของผู้ได้รับความเดือดร้อน และประเมินจำนวนในแต่ละกลุ่มให้ชัดเจน แล้วจึงกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการอนุมัติเงินกู้ให้เหมาะสมกับลักษณะพิเศษในการขอกู้ของแต่ละกลุ่ม และควรมีการกำหนดหลักเกณฑ์ที่ทำให้ผู้ประกอบการเหล่านี้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้โดยง่าย ทั้งนี้ อาจกำหนดเงื่อนไขให้มีการกำกับดูแลการดำเนินธุรกิจโดยมีระบบพี่เลี้ยงและมีการติดตามประเมินผลการดำเนินนโยบายอย่างต่อเนื่องโดยวิเคราะห์ข้อมูล ข้อเท็จจริง และผลลัพธ์ที่ได้ของแต่ละกลุ่ม พร้อมทั้งนำไปปรับแผนงานให้สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพความเป็นจริงอย่างต่อเนื่องเป็นระยะ ๔. ควรมีการดำเนินการเพื่อรองรับการเปิดการค้าเสรี ดังนี้ ๔.๑ สร้างความรู้ความเข้าใจให้กับผู้ประกอบการแต่ละประเภทธุรกิจให้ได้รับทราบถึงสถานการณ์ ผลกระทบ และแนวทางดำเนินการทั้งเชิงรุกและเชิงรับที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ SMEs ในการดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบการค้าเสรี ๔.๒ เร่งสร้างจิตสำนึกของคนไทยในการเลือกบริโภคสินค้าและใช้บริการที่เป็นของคนไทย ๔.๓ ศึกษาและติดตามประเมินผลกระทบจากการเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและการเปิดการค้าเสรีที่มีต่อผู้ประกอบการ SMEs ของไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ที่มีความได้เปรียบด้านการแข่งขัน และให้การช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่มีแนวโน้มเสียเปรียบด้านการแข่งขันเพื่อให้สามารถแข่งขันในเวทีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและเวทีเศรษฐกิจโลกได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
34206 | ร่างพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ซึ่งได้ตรวจพิจารณาแล้ว และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้วเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๓ ดังต่อไปนี้
๑. เพิ่มบทนิยามคำว่า “ประธานสภา” “ข้าราชการสำนักงาน” “เลขาธิการ” และ “สำนักงาน” และยกเลิกบทนิยามคำว่า “คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” ๒. กำหนดให้ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๓ ๓. กำหนดให้การแก้ไขเพิ่มเติมบัญชีท้ายพระราชบัญญัติ ให้ทำได้โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ๔. ปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการสรรหาสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและกระบวนการสรรหาสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๕. แก้ไขเพิ่มเติมคุณสมบัติ วาระการดำรงตำแหน่ง และการพ้นจากตำแหน่งของสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๖. แก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่และการประชุมของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๗. กำหนดให้ประธานและรองประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับการทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ๘. ปรับปรุงสถานะและอำนาจหน้าที่ของสำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
|
|||||||||||||||||||||||||||
34207 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แผนพัฒนาสุกรทั้งระบบและแผนปฏิบัติงาน พ.ศ. 2553 - 2557 | กษ | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์ รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แผนพัฒนาสุกรทั้งระบบและแผนปฏิบัติงาน พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๗ ดังนี้
๑. พัฒนาฟาร์มสุกรให้ผ่านเกณฑ์มาตรฐานฟาร์ม ๓,๙๕๘ ฟาร์ม ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ๒. ส่งเสริมความรู้การจัดการของเสียในฟาร์มสุกรในพื้นที่ลุ่มน้ำวิกฤต จำนวน ๑,๘๙๓ ฟาร์ม ๓. ฟาร์มสุกรในพื้นที่สำนักสุขศาสตร์และสุขอนามัยที่ ๒ ได้รับการรับรองปลอดโรคปากและเท้าเปื่อย จำนวน ๑๓๙ ฟาร์ม จากฟาร์มสุกรที่เข้าร่วมโครงการ ๖๘๘ ฟาร์ม ๔. พัฒนาสถานที่จำหน่ายเนื้อสุกรต้นแบบที่สะอาดในตลาดสด จำนวน ๑๙๑ แห่ง ๕. ผู้ประกอบการโรงฆ่าสุกรในประเทศมีใบอนุญาต (ฆจส.๒) ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ จำนวน ๕๓๗ แห่ง ๖. กรมปศุสัตว์รับรองโรงอาหารสัตว์สำหรับสุกรผ่าน GMP จำนวน ๓๒ แห่ง และผ่าน HACCP จำนวน ๒๙ แห่ง ๗. คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติควบคุมการฆ่าสัตว์ เพื่อการจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ. .... แทนฉบับเดิมที่ประกาศใช้ในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ๘. ปัญหาอุปสรรคและแนวทางแก้ไข เนื่องจากขั้นตอนการขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ได้เสร็จสิ้นแล้ว และในช่วงเดือนมิถุนายน ๒๕๕๓ อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของสภาผู้แทนราษฎร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในการดำเนินงานตามแผนพัฒนาสุกรทั้งระบบและแผนปฏิบัติงาน
|
|||||||||||||||||||||||||||
34208 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การจัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่าง FAO กับรัฐบาลไทย ในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม FAO COFI Sub-Committee on Aquaculture สมัยที่ 5 | กษ | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การจัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization : FAO) กับรัฐบาลไทย ในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะอนุกรรมการด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (FAO COFI Sub-Committee on Aquaculture) สมัยที่ ๕ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับมอบอำนาจเต็ม (Full Power) จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ยอมรับการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฯ และดำเนินการตามบันทึกความรับผิดชอบของรัฐบาลไทย และ FAO สำหรับการประชุมฯ ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมงได้จัดประชุม ระหว่างวันที่ ๒๗ กันยายน - ๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ ณ จังหวัดภูเก็ต และได้ดำเนินงานตามหนังสือแลกเปลี่ยนและบันทึกความรับผิดชอบฯ เป็นที่เรียบร้อยและบรรลุวัตถุประสงค์ด้วยดี สำหรับค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมรวมทั้งสิ้น ๙,๗๓๔,๐๐๐ บาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
34209 | รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 28 กันยายน 2553 [เรื่อง การยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดซื้ออาหารเสริม (นม) โรงเรียนจากองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย] | กษ | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ เรื่อง การยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดซื้ออาหารเสริม (นม) โรงเรียน จากองค์กรส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) สรุปได้ ดังนี้
๑. อ.ส.ค. ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะอนุกรรมการบริหารจัดการโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ได้มีหนังสือถึงอธิบดีกรมบัญชีกลาง เพื่อพิจารณาสิทธิพิเศษของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจเพื่อพิจารณาเห็นชอบยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๒ และวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ให้กับกรุงเทพมหานครและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกรณีการจัดซื้ออาหารเสริม (นม) โรงเรียนสำหรับภาคเรียนที่ ๒/๒๕๕๓ และก่อนปิดภาคเรียนที่ ๒/๒๕๕๓ ซึ่งปฏิบัติไปตามแนวทางการปฏิบัติเดิม เนื่องจากได้ดำเนินการจัดซื้อไปก่อนแล้ว ทั้งนี้ กรมบัญชีกลางได้ชี้แจงว่า กรุงเทพมหานครและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะต้องถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีโดยจัดซื้ออาหารเสริม (นม) โรงเรียนจาก อ.ส.ค. ตั้งแต่วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ส่วนการจัดซื้อก่อนวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ เป็นดุลยพินิจของหน่วยงานจัดซื้อที่จะปฏิบัติตามแนวทางเดิมได้ โดยให้ อ.ส.ค. แจ้งความจำนงพร้อมข้อมูลประกอบการพิจารณาให้ชัดเจนว่าประสงค์จะขอผ่อนผันสำหรับการจัดซื้อจำนวนกี่ครั้ง และแต่ละครั้งมีวงเงินเท่าใด ๒. คณะอนุกรรมการบริหารจัดการโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียนได้พิจารณาตามข้อ ๑ และมีมติให้กรุงเทพมหานครและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความประสงค์จะขอผ่อนผันการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีจัดส่งข้อมูลเพื่อประกอบการพิจารณาของกรมบัญชีกลางให้ อ.ส.ค. ดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
34210 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่ 32 และการประชุมที่เกี่ยวเนื่อง | กษ | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ (ASEAN Ministers on Agriculture and Forestry - AMAF) ครั้งที่ ๓๒ และการประชุมที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้กับรัฐมนตรีของจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๑๐ และการประชุม ASEAN - China Ministerial Meeting on SPS Cooperation ครั้งที่ ๒ ระหว่างวันที่ ๒๒ - ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๓ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ (AMAF) ครั้งที่ ๓๒ ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าของความร่วมมือทางวิชาการด้านอาหาร การเกษตร และป่าไม้ และเห็นชอบมาตรฐานของอาเซียนและเอกสารต่าง ๆ ได้แก่ แนวทางด้านสุขอนามัยพืชของอาเซียนในการนำเข้าดอกกล้วยไม้เด็นโดรเบียมชนิดตัดดอก (ASEAN Phytosanitary Guidelines for the Importation of Dendrobium Cut Flowers), ค่าสารพิษตกค้างสูงของอาเซียน (ค่า MRLs) สำหรับสารกำจัดศัตรูพืชเพิ่มเติมอีก ๙ ชนิด (Pesticides) รวม ๑๓ ค่า (MRLs), มาตรฐานขนุน แตงกวา เมล่อน และสละ ของอาเซียน, มาตรฐานเกี่ยวกับการตรวจสอบย้อนกลับของไม้ที่ถูกกฎหมายและการทำไม้อย่างยั่งยืน (ASEAN Chain of Custody Guidelines for Legal Timber and Sustainable Timber) และ Roadmap ไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียนที่ปลอดโรคไข้หวัดนกในปี ๒๕๖๓ (Roadmap Towards an HPAI-Free ASEAN Community by 2020) นอกจากนี้ ที่ประชุมได้แถลง ASEAN Ministerial Statement on ASEAN Cooperation on Animal Health and Zoonoses เพื่อแสดงเจตนารมณ์ที่จะร่วมมือกันป้องกัน ควบคุม และกำจัดปัญหาโรคระบาดสัตว์ข้ามแดน เช่น โรคไข้หวัดนก ปากและเท้าเปื่อย และอหิวาต์สุกร พร้อมทั้งสนับสนุนการจัดตั้ง ASEAN - SEAFDEC Conference on Sustainable Fisheries for Food Security Towards 2020 “Fish for the People : Adaptation to a Changing Environment” ณ ประเทศไทย ระหว่างวันที่ ๑๓ - ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๔ ๒. การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้กับรัฐมนตรีของจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี (AMAF + 3) ครั้งที่ ๑๐ ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการจัดตั้งองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียน+3 (ASEAN Plus Three Emergency Rice Reserve : APTERR) ให้เป็นองค์กรถาวร โดยกำหนดที่จะมีการลงนามความตกลง APTERR (APTERR Agreement) ในการประชุมครั้งนี้ และรับทราบความก้าวหน้าโครงการระบบสารสนเทศเพื่อความมั่นคงทางอาหารแห่งภาคพื้นอาเซียน (ASEAN Food Security Information System Project : AFSIS) ระยะที่ ๒ รวมทั้งเห็นชอบข้อเสนอโครงการใหม่ ๓ โครงการที่เสนอโดยประเทศ + 3 เพื่อเสริมสร้างศักยภาพด้านความมั่นคงทางอาหาร เทคโนโลยี และการจัดการก๊าซชีวภาพในชนบท และความร่วมมือด้านการอนุรักษ์ป่าชายเลนระดับภูมิภาค ๓. การประชุม ASEAN - China Ministerial Meeting on SPS Cooperation ครั้งที่ ๒ ที่ประชุมได้สนับสนุนความร่วมมือภายใต้ Memorandum of Understanding (MOU) between ASEAN and People’s Republic of China on Strengthening SPS Cooperation (SPS MOU) ซึ่งจะสนับสนุนการดำเนินการภายใต้ ASEAN China Free Trade Area (ACFTA) และรับทราบความก้าวหน้าในการดำเนินการตาม SPS Plan of Action 2008 - 2010 รวมทั้งเห็นชอบให้จัดตั้ง Technical Working Group จำนวน ๓ คณะ คือ ด้านความปลอดภัยทางอาหาร ด้านการตรวจสอบและการกักกันสัตว์ และด้านการตรวจสอบและการกักกันพืช ตลอดจนเห็นชอบและยืนยันที่จะดำเนินการตาม Phnom Penh Joint Statement on “Strengthening Animal and Plant Inspection and Quarantine Cooperation, Preventing the Cross - Border Spread of Exotic Species”
|
|||||||||||||||||||||||||||
34211 | รายงานผลการประชุมคณะประศาสน์การขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ สมัยที่ 309 | รง | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงแรงงานรายงานผลการประชุมคณะประศาสน์การขององค์การแรงงานระหว่างประเทศสมัยที่ ๓๐๙ ณ นครเจวีนา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ ๘ - ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ โดยที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องต่าง ๆ และมีมติ ดังนี้
๑. รับรองแผนงาน การเงิน และการบริหารขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization : ILO) ตามแนวทางบูรณาการเพื่อขยายความคุ้มครองเรื่องการประกันสังคม และเห็นชอบให้จัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนประเทศแทนซาเนียและคีร์กีซสถานในการดำเนินการตามแผนงานระดับชาติ ๒. รับทราบการดำเนินการของ ILO ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๑ เพื่อรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจ โดยผลักดันให้ประเทศสมาชิกนำข้อตกลงร่วมกันในการดำเนินนโยบายและมาตรการเพื่อบรรเทาปัญหาและผลกระทบต่อผู้ใช้แรงงานอันเนื่องมาจากวิกฤตเศรษฐกิจ (Global Jobs Pact) ไปปรับใช้ตามความเหมาะสมของแต่ละประเทศ ๓. รับทราบรายงานของ ILO เกี่ยวกับความคืบหน้าในการบังคับใช้บันทึกความเข้าใจเพิ่มเติม (Supplementary Understanding : SU) พบว่ามีความก้าวหน้าที่เป็นรูปธรรมจากการร่วมมือกันของเจ้าหน้าที่ของ ILO และรัฐบาลพม่าเพื่อขจัดปัญหาการใช้แรงงานบังคับในพม่า ๔. รับทราบการดำเนินงานเรื่องการประเมินผลการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนให้ประเทศสมาชิกจัดทำแผนงานระดับชาติว่าด้วย “งานที่มีคุณค่า” ซึ่ง ณ เดือนสิงหาคม ๒๕๕๓ มีประเทศที่ดำเนินการแผนงานระดับชาติแล้ว ๕๐ ประเทศ และอีก ๗๐ ประเทศอยู่ระหว่างการจัดทำแผน โดยประเทศไทยอยู่ระหว่างการจัดเตรียมจัดทำแผนดังกล่าว ๕. เห็นชอบให้จัดการประชุมระดับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ครั้งที่ ๑๕ ในระหว่างวันที่ ๑๐ - ๑๓ เมษายน ๒๕๕๔ ณ เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น โดยการประชุมจะเน้นเรื่องการประเมินผลการดำเนินงานของ ILO ในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินการตามทศวรรษว่าด้วยงานที่มีคุณค่าในภูมิภาคเอเชีย (พ.ศ. ๒๕๔๙ - ๒๕๕๘) โดยกระทรวงแรงงานแต่งตั้งคณะผู้แทนไตรภาคีเดินทางเข้าร่วมการประชุมด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
34212 | รัฐบาลสาธารณรัฐเบลารุสเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นายวาเลรี ซาโดโค (Mr. Valery Sadokho)] | กต | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายวาเลรี ซาโดโค (Mr. Valery Sadokho) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐเบลารุสประจำประเทศไทยคนใหม่ สืบแทนนายโอเลก เชคุนคอฟ (Mr. Oleg Chekunkov) โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงฮานอย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
34213 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ 1961(ค.ศ. 2010) เกี่ยวกับการคว่ำบาตรไลบีเรีย | กต | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ ๑๙๖๑ (ค.ศ. ๒๐๑๐) เกี่ยวกับการคว่ำบาตรไลบีเรียเพิ่มเติม เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และธนาคารแห่งประเทศไทย ถือปฏิบัติต่อไป โดยสอดคล้องกับกฎหมายภายในของประเทศไทย รวมทั้งแจ้งผลการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
34214 | ร่างพระราชบัญญัติสถาบันการพลศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กก | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสถาบันการพลศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติสถาบันการพลศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๘ ดังต่อไปนี้ ๑.๑ กำหนดบทนิยามคำว่า “กระทรวง” “สภาวิชาการ” “วิทยาเขต” “คณะ” “บัณฑิตวิทยาลัย” “สำนัก” เพิ่มขึ้น เพื่อให้เกิดความชัดเจน ๑.๒ กำหนดให้สภาสถาบันการพลศึกษามีอำนาจหน้าที่ในการบริหารงานบุคคลของสถาบันตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ๑.๓ กำหนดให้สถาบันการพลศึกษาเป็นนิติบุคคลมีฐานะเป็นกรมในสังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและเป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ ๑.๔ กำหนดเพิ่มบัณฑิตวิทยาลัยเป็นส่วนราชการในสถาบันการพลศึกษา เพื่อยกฐานะให้สถาบันการพลศึกษาสามารถจัดการศึกษาได้อย่างหลากหลายสาขา และสามารถจัดการศึกษาในระดับที่สูงขึ้นได้ ๑.๕ แก้ไของค์ประกอบของสภาสถาบันการพลศึกษา โดยกำหนดให้อธิบดีกรมพลศึกษาเป็นกรรมการสภาสถาบันโดยตำแหน่ง และให้สภาสถาบันแต่งตั้งรองอธิการบดีคนหนึ่งซึ่งมิใช่กรรมการสภาสถาบัน เป็นกรรมการและเลขานุการสภาสถาบันโดยคำแนะนำของอธิการบดี ๑.๖ แก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของสภาสถาบันการพลศึกษา โดยกำหนดให้มีอำนาจหน้าที่พิจารณาอนุมัติหลักสูตรการศึกษาของสถาบัน การแต่งตั้งและถอดถอนรองอธิการบดี รองอธิการบดีประจำวิทยาเขต ผู้อำนวยการสำนักงานอธิการบดี คณบดี หัวหน้าส่วนราชการ ที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ ฯลฯ รวมทั้งวางระเบียบและออกข้อบังคับเกี่ยวกับการบริหารงาน การเงิน การจัดหารายได้และผลประโยชน์จากทรัพย์สินของสถาบัน และอนุมัติงบประมาณรายจ่ายจากเงินรายได้ของสถาบัน ๑.๗ แก้ไขวิธีการได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารสถาบัน และการพ้นจากตำแหน่ง รวมทั้งแก้ไขคุณสมบัติของอธิการบดี รองอธิการบดี และรองอธิการบดีประจำวิทยาเขต ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นควรกำหนดให้สภาสถาบันการพลศึกษาวางระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับการเงินโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง เพื่อให้การใช้จ่ายเงินของส่วนราชการเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ส่วนการกำหนดให้สถาบันพลศึกษาเป็นนิติบุคคลมีฐานะเป็นกรมในสังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและเป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ เห็นควรนำมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๓ ที่ให้ระงับการจัดตั้งหรือขยายหน่วยงาน มาประกอบการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ ด้วย นอกจากนี้ บทบัญญัติมาตรา ๗ วรรคสอง ที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติฯ ที่บัญญัติว่า “ให้สถาบันการพลศึกษามีฐานะเป็นกรมในสังกัดกระทรวงและเป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ” นั้น โดยผลของร่างกฎหมายฉบับนี้ สถาบันการพลศึกษามีสถานะเป็นส่วนราชการ ตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม จึงไม่จำเป็นต้องมีข้อความตอนท้ายที่บัญญัติให้สถาบันเป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณอีก ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งร่างพระราชบัญญัติฯ ให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
34215 | ขออนุมัติเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการและก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ (จำนวน 1 คัน) | รง | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางานดำเนินการเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่งรองอธิบดี จำนวน ๑ คัน ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๖ (ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ - กันยายน ๒๕๕๖) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๙๒๘,๐๐๐ บาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ได้รับจัดสรรแล้ว จำนวน ๒๓๒,๐๐๐ บาท และผูกพันงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๖ อีกจำนวน ๖๙๖,๐๐๐ บาท โดยให้กรมการจัดหางานเสนอขอตั้งงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
34216 | งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | นร | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยในส่วนของงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติ จำนวน ๙,๙๐๐ ล้านบาท นั้น ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) รับไปเร่งพิจารณาทบทวนในรายละเอียดอีกครั้งหนึ่งร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง และจัดสรรให้ส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องข้างต้น ให้สอดคล้องกับความเหมาะสมจำเป็น และความเร่งด่วนของการแก้ไขปัญหา โดยให้จัดสรรเป็นรายจ่ายงบลงทุนให้มากที่สุด แล้วให้สำนักงบประมาณปรับปรุงปฏิทินงบประมาณและร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ... ให้สอดคล้องกัน เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วในสัปดาห์หน้า ทั้งนี้ ให้ถือว่าเอกสารเกี่ยวกับเรื่อง ข้อเสนอในการแก้ไขฟื้นฟูภายหลังอุทกภัย [หนังสือคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๑๐๕ (คชอ.)/๑๙๖ ลงวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๔] เป็นส่วนหนึ่งของคำของบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔
|
|||||||||||||||||||||||||||
34217 | วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. นโยบายงบประมาณ วงเงินและโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยกำหนดนโยบายงบประมาณขาดดุลสำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท และมีวงเงินงบประมาณรายจ่าย จำนวน ๒,๒๕๐,๐๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑๘๐,๐๐๐ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๘.๗ ๒. แนวทางการจัดทำและเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้กำหนดแนวทางโดยสรุป ดังนี้ ๒.๑ สนับสนุนการเข้าสู่งบประมาณดุล โดยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้และวางแผนการลดค่าใช้จ่าย ส่งเสริมความร่วมมือในการลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPPs) รวมทั้งบริหารจัดการเงินนอกงบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด ๒.๒ ให้ความสำคัญต่อการดำเนินภารกิจของกระทรวง/หน่วยงานที่เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ๒.๓ จัดลำดับความสำคัญของภารกิจที่จะเสนอของบประมาณ โดยคำนึงถึงความสามารถในการใช้จ่ายงบประมาณ ๒.๔ วิเคราะห์ความจำเป็นเร่งด่วน ความสำคัญ ความคุ้มค่า และจำนวนผู้ได้รับประโยชน์ ๒.๕ สนับสนุนงบประมาณเพื่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด รวมทั้งให้ความสำคัญกับภารกิจของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นที่มีความพร้อม และสอดคล้องกับแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดที่ตอบสนองต่อทิศทางการพัฒนาในด้านต่าง ๆ ของประเทศ ๓. การจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน ๒๐๐,๔๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ได้รับการจัดสรร ๑๗๓,๙๕๐ ล้านบาท เป็นจำนวน ๒๖,๔๕๐ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๕.๒
|
|||||||||||||||||||||||||||
34218 | ความคืบหน้ากรอบยุทธศาสตร์การจัดการด้านอาหารของประเทศไทย | นร | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการประสานงานและขับเคลื่อนการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเสนอความคืบหน้ากรอบยุทธศาสตร์การจัดการด้านอาหารของประเทศไทย โดยได้มีการประสานงานกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อขอทราบขั้นตอนการดำเนินงานและแนวทางในการผนวกกรอบยุทธศาสตร์ฯ เข้ากับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ ตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายแล้ว สำหรับการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามกรอบยุทธศาสตร์ฯ ได้จัดประชุมคณะกรรมการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การจัดการด้านอาหารของประเทศเพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการตามกรอบยุทธศาสตร์ฯ เมื่อวันศุกร์ที่ ๗ มกราคม ๒๕๕๔ ซึ่งที่ประชุมได้ให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ ดังนี้
๑. เร่งรัดการดำเนินการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์กรอบยุทธศาสตร์ฯ เพื่อสร้างความเข้าใจ ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและระดมความเห็นต่อการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ๒. คัดเลือกดำเนินการประเด็นที่มีความสำคัญก่อน ๓. ตั้งคณะกรรมการหรืออนุกรรมการภายใต้บริบทของพระราชบัญญัติคณะกรรมการอาหารแห่งชาติเพื่อบริหารจัดการการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ที่เลือกดำเนินการ ๔. กำหนดตัวชี้วัด (KPI) เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติหรือพิจารณาเชื่อมโยงกับกิจกรรมที่ดำเนินการอยู่แล้วได้อย่างชัดเจน และสามารถติดตามผลการดำเนินงานได้ ๕. พัฒนาระบบฐานข้อมูลสำหรับการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานที่เชื่อมโยงกับกรอบยุทธศาสตร์ฯ |
|||||||||||||||||||||||||||
34219 | ความคืบหน้าในการดำเนินการตามมาตรการบริหารกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. 2552 - 2556)(รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่องมาตรการบริหารกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. 2552-2556) | นร | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการประสานงานและขับเคลื่อนการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี (ปคค.) รายงานผลการติดตามการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ความคืบหน้าในการดำเนินการตามมาตรการบริหารกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๖) สรุปได้ ดังนี้
๑. มาตรการบริหารอัตรากำลังปกติ คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ได้ดำเนินการจัดสรรอัตราข้าราชการพลเรือนจากการเกษียณอายุเมื่อสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ โดยกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการจัดสรรอัตราข้าราชการพลเรือน ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และข้าราชการตำรวจ และได้มีมติจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ โดยคำนึงถึงความจำเป็นของส่วนราชการแต่ละประเภท ประเภทของภารกิจ และประเภทตำแหน่ง ดังนี้ จัดสรรอัตราข้าราชการพลเรือนคืนให้ส่วนราชการทั้งหมด รวม ๒,๓๖๘ อัตรา โดยพิจารณาเกลี่ยกำลังคนตามความจำเป็นของส่วนราชการ จัดสรรอัตราข้าราชการตำรวจคืนให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติทั้งหมด รวม ๒,๐๓๓ อัตรา เพื่อเกลี่ยเป็นอัตรากำลังตามเงื่อนไขที่คณะกรรมการ คปร. กำหนด และจัดสรรอัตราข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาคืนให้กระทรวงศึกษาธิการทั้งหมด รวม ๔,๖๓๙ อัตรา สำหรับการยุบเลิกอัตราลูกจ้างประจำ คปร. ได้ยุบเลิกอัตราลูกจ้างประจำที่ว่างจากการเกษียณอายุและว่างระหว่างปี ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ รวม ๙,๐๐๐ อัตรา จำแนกเป็นยุบเลิกจากอัตราว่างจากการเกษียณอายุ จำนวน ๖,๘๗๗ อัตรา และอัตราว่างระหว่างปี จำนวน ๒,๑๒๓ อัตรา ๒. มาตรการบริหารจัดการเชิงยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย ๒.๑ ยุทธศาสตร์การบริหารกำลังคนให้สอดคล้องกับความจำเป็นตามภารกิจ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ สำนักงาน ก.พ. ได้ดำเนินโครงการศึกษาทบทวนการใช้กำลังคนเพื่อปรับรูปแบบการจ้างงานและวางแผนปรับเปลี่ยนการใช้กำลังคนในส่วนราชการ เพื่อสำรวจข้อมูลการใช้กำลังคนภาครัฐประเภทต่าง ๆ (ข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงานราชการ) ในส่วนราชการ เพื่อเสนอแนะรูปแบบการใช้กำลังคนให้เหมาะสมกับภารกิจ ๒.๒ ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบการวางแผนและติดตามประเมินผลการใช้กำลังคน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ สำนักงาน ก.พ. ได้ดำเนินโครงการเพื่อพัฒนาแนวทาง วิธีการ และเครื่องมือสำหรับการวางแผนกำลังคนในส่วนราชการ ๒.๓ ยุทธศาสตร์การพัฒนาผลิตภาพและความคุ้มค่าของกำลังคนภาครัฐ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ สำนักงาน ก.พ. ได้ดำเนินโครงการเพื่อพัฒนาองค์ความรู้สำหรับนำไปประกอบการกำหนดแนวทาง วิธีการ และเครื่องมือสำหรับการประเมินและพัฒนาผลิตภาพกำลังคน เพื่อให้ส่วนราชการใช้กำลังคนอย่างคุ้มค่า ๒.๔ ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการบริหารกำลังคน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ สำนักงาน ก.พ. มีแผนที่จะปรับปรุงระบบสารสนเทศทรัพยากรบุคคลระดับกรม/จังหวัด โดยมุ่งเน้นความสมบูรณ์ ความครบถ้วน ความถูกต้อง และทันเวลาของข้อมูลข้าราชการพลเรือนสามัญ รวมทั้งพัฒนาและปรับปรุงฐานข้อมูลของพนักงานราชการและลูกจ้างประจำเพื่อให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการวางแผนกำลังคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และได้ส่งเสริมให้นำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารและประเมินผลการปฏิบัติราชการ
|
|||||||||||||||||||||||||||
34220 | ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสโลวีเนีย (ระหว่างวันที่ 27 - 30 มกราคม 2554) | กต | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสโลวีเนีย (Agreement on Economic Cooperation between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Republic of Slovenia) โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญเพื่อเพิ่มความร่วมมือทวิภาคีระหว่างกันในด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม การค้าและการลงทุน และความร่วมมือในสาขาอื่น ๆ ที่ทั้งสองฝ่ายมีความสนใจและมีผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถเปลี่ยนแปลงถ้อยคำในส่วนที่ไม่กระทบต่อสาระสำคัญของความตกลงฯ ได้ โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในความตกลงดังกล่าว
|
.....