ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1496 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 29901 - 29920 จากข้อมูลทั้งหมด 124231 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
29901 | การลงนามในเอกสารโครงการส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในอาคารธุรกิจ (Full-Size Project Document on Promotion Energy Efficiency in Commercial Building, PEECB) ระหว่างกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กับสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme, UNDP) | พน | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบการลงนามในเอกสารโครงการส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในอาคารธุรกิจ (Full-Size Project Document on Promotion Energy Efficiency in Commercial Building, PEECB) ระหว่างกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานกับสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme, UNDP) โดยเอกสารโครงการฯ จะใช้เป็นกรอบในการดำเนินโครงการร่วมกัน ระยะเวลาดำเนินโครงการ ๔ ปี นับจากวันลงนามรับรองเอกสารโครงการฯ โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานและสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติจะดำเนินกิจกรรมร่วมกันใน ๓ ภารกิจหลัก ได้แก่ ๑.๑ การส่งเสริมด้านการสร้างจิตสำนึกเพื่อสร้างความตื่นตัวและตระหนักรู้ด้านประสิทธิภาพพลังงาน รวมถึงการจัดตั้งของศูนย์รวมข้อมูลด้านประสิทธิภาพการใช้พลังงานสำหรับอาคารธุรกิจ การฝึกอบรมและการพัฒนาแบบจำลองสภาวะอาคารอนุรักษ์พลังงานที่ถูกกำหนดเพื่ออาคารธุรกิจในประเทศไทย ๑.๒ การจัดทำกรอบนโยบาย แผนการดำเนินงานระยะสั้นและระยะยาวเพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพพลังงานในอาคารธุรกิจ การประเมินผล และปรับปรุงมาตรการเชิงนโยบายด้านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในอาคารธุรกิจ ๑.๓ การสาธิตการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีด้านประสิทธิภาพพลังงานในอาคารธุรกิจ ๒. อนุมัติให้อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานเป็นผู้ลงนามในเอกสารโครงการฯ ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำที่ไม่กระทบต่อเนื้อหาสาระสำคัญของเอกสารโครงการฯ นี้ ให้อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานสามารถเปลี่ยนแปลงถ้อยคำดังกล่าวได้ |
||||||||||||||||||
29902 | การจัดทำข้อตกลงร่วมว่าด้วยการยอมรับคุณสมบัติวิชาชีพด้านการท่องเที่ยวอาเซียน (Mutual Recognition Arrangement for ASEAN Tourism Professionals : MRA) | กก | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบข้อตกลงร่วมว่าด้วยการยอมรับคุณสมบัติบุคลากรวิชาชีพด้านการท่องเที่ยวอาเซียน (Mutual Recognition Arrangement for ASEAN Tourism Professionals : MRA) มีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกการเคลื่อนย้ายบุคลากรวิชาชีพท่องเที่ยวในอาเซียนและแลกเปลี่ยนข้อมูลแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดเพื่อประโยชน์ในการฝึกฝนและการศึกษาที่เน้นพัฒนาสมรรถนะสำหรับนักวิชาชีพการท่องเที่ยว และเพื่อเปิดโอกาสให้มีความร่วมมือ และการพัฒนาศักยภาพของวิชาชีพท่องเที่ยวระหว่างรัฐสมาชิกอาเซียน โดยมีสาระสำคัญคือ การยอมรับคุณสมบัติบุคลากรวิชาชีพที่ผ่านคณะกรรมการรับรองคุณวุฒิวิชาการท่องเที่ยวในประเทศสมาชิกอาเซียนตามที่ระบุไว้ในมาตรฐานสมรรถนะร่วมสำหรับบุคลากรวิชาชีพท่องเที่ยวอาเซียน ทั้งนี้ สิทธิในการประกอบอาชีพในประเทศผู้รับจะอยู่ภายใต้เงื่อนไขของกฎหมายและข้อบังคับของประเทศผู้รับ โดยข้อตกลงฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้เมื่อประเทศสมาชิกอาเซียนทุกประเทศได้มีการจัดตั้งหน่วยงานโครงสร้างภายในของแต่ละประเทศที่รับผิดชอบในการรับรองสมรรถนะและมาตรฐานวิชาชีพด้านการท่องเที่ยว ภายใน ๑๘๐ วันหลังจากการลงนามและการให้สัตยาบัน และให้นำเสนอรัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบให้ลงนามและดำเนินการให้ข้อตกลงฯ มีผลใช้บังคับต่อไป ๑.๒ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมในข้อตกลงฯ มอบให้ผู้ลงนามเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีได้ ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หรือผู้ได้รับมอบหมายอื่นลงนามในข้อตกลงดังกล่าว พร้อมทั้งจัดทำสัตยาบันสารสำหรับข้อตกลงฯ และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาโอกาสและผลกระทบอย่างถี่ถ้วนและดำเนินการเรื่องการเตรียมความพร้อมตลอดจนวางมาตรการที่จะรองรับการเคลื่อนย้ายบุคลากรด้านการท่องเที่ยวจากประเทศสมาชิกอาเซียนที่จะเข้ามาในไทย และเร่งรัดการเตรียมความพร้อมในการพัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยวให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับบริบทของประชาคมอาเซียนทั้ง ๓ เสาหลักที่ครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมืองและความมั่นคง สังคมและวัฒนธรรม รวมทั้งมาตรการรองรับผลกระทบจากการเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนในด้านการท่องเที่ยวและบริการ ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเตรียมความพร้อมในการออกกฎหมายภายในเพื่อกำหนดสิทธิของผู้ประกอบการจากประเทศสมาชิกอาเซียนที่จะเข้ามาประกอบอาชีพด้านการโรงแรมและการท่องเที่ยวในประเทศไทย ตามความเห็นของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา |
||||||||||||||||||
29903 | ร่างกฎกระทรวงการขอให้พนักงานของผู้ได้รับใบอนุญาตผลิตอากาศยานเป็นผู้ออกใบสำคัญสมควรเดินอากาศ พ.ศ. .... | คค | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการขอให้พนักงานของผู้ได้รับใบอนุญาตผลิตอากาศยานเป็นผู้ออกใบสำคัญสมควรเดินอากาศ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้ผู้ได้รับอนุญาตผลิตอากาศยานผู้ใดประสงค์จะให้พนักงานของตนออกใบสำคัญสมควรเดินอากาศสำหรับอากาศยานแบบที่ตนทำการผลิตขึ้นให้ยื่นคำขอต่ออธิบดีตามแบบที่อธิบดีประกาศกำหนด พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐาน ๒. กำหนดให้พนักงานของผู้ได้รับใบอนุญาตผลิตอากาศยานที่จะออกใบสำคัญสมควรเดินอากาศ ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ตามที่กำหนด ๓. กำหนดหลักเกณฑ์การตรวจสอบคำขอและเอกสารหลักฐานของอธิบดีในการออกใบอนุญาตให้พนักงานของผู้ได้รับอนุญาตผลิตอากาศยานเป็นผู้ออกใบสำคัญสมควรเดินอากาศสำหรับอากาศยานแบบที่ได้รับใบอนุญาตผลิตอากาศยานทำการผลิตได้ ๔. กำหนดให้กรณีที่ใบอนุญาตให้เป็นผู้ออกใบสำคัญสมควรเดินอากาศสูญหาย ถูกทำลาย หรือชำรุดในสาระสำคัญ ให้พนักงานที่ได้รับใบอนุญาตดังกล่าวยื่นคำขอรับใบแทนใบอนุญาตต่ออธิบดี พร้อมด้วยใบรับแจ้งความของสถานีตำรวจ หรือใบอนุญาตที่ถูกทำลาย หรือชำรุดในสาระสำคัญมาด้วย ๕. กำหนดให้อธิบดีมีอำนาจสั่งพักใช้ใบอนุญาต เพิกถอนใบอนุญาต ตามที่กำหนด และกำหนดเหตุแห่งการที่ใบอนุญาตให้เป็นผู้ออกใบสำคัญสมควรเดินอากาศเป็นอันสิ้นผล
|
||||||||||||||||||
29904 | แนวทางการดำเนินการตามโครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 4 และโครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme สำหรับผู้ประกอบการใหม่ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2555 | กค | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางในการดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๔ (โครงการ PGS ระยะที่ ๔) และโครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme สำหรับผู้ประกอบการใหม่ (โครงการ PGS New/Start-up SMEs) ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ภายใต้กรอบงบประมาณที่ได้รับจัดสรรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ (เรื่อง มาตรการเพิ่มขีดความสามารถ SMEs) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จากกรอบงบประมาณที่ได้รับจัดสรรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ ในการดำเนินโครงการ PGS ระยะที่ ๔ และโครงการ PGS New/Start-up SMEs ซึ่งไม่ครบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ หาก บสย. ต้องดำเนินการโครงการทั้งสองก็จะส่งผลกระทบทางการเงินของ บสย. ดังนี้ ๑.๑ โครงการ PGS ระยะที่ ๔ บสย. จะจ่ายค่าประกันชดเชยให้กับสถาบันการเงินสูงสุดไม่เกินร้อยละ ๑๘ ของภาระค้ำประกันเฉลี่ยตลอดระยะเวลาโครงการ โดยแหล่งที่มาของเงินค่าประกันชดเชย ประกอบด้วย ร้อยละ ๑๕ มาจากรายได้จากการดำเนินโครงการ แบ่งเป็น ร้อยละ ๘.๗๕ เป็นส่วนที่มาจากรายได้ค่าธรรมเนียมค้ำประกันตามระยะเวลาโครงการ ๕ ปี (ร้อยละ ๑.๗๕*๕ ปี) และร้อยละ ๖.๒๕ (๑๕ - ๘.๗๕) เป็นส่วนที่รัฐบาลจะสนับสนุนส่วนต่างค่าประกันชดเชยให้ ส่วนอีกร้อยละ ๓ ที่เหลือ (๑๘ - ๑๕) เป็นส่วนที่ บสย. ต้องรับผิดชอบเอง ซึ่งในกรณีที่ บสย. ต้องชดเชยความเสียหายสูงสุด บสย. จะขาดทุนจากการดำเนินโครงการ จำนวน ๗๒๐ ล้านบาท ๑.๒ โครงการ PGS New/Start-up SMEs บสย. จะจ่ายค่าประกันชดเชยให้กับสถาบันการเงินสูงสุดไม่เกินร้อยละ ๔๘ ของภาระค้ำประกันเฉลี่ยตลอดระยะเวลาโครงการ โดยแหล่งที่มาของเงินค่าประกันชดเชย ประกอบด้วย ร้อยละ ๓๐ มาจากรายได้จากการดำเนินโครงการ แบ่งเป็น ร้อยละ ๑๒.๒๕ เป็นส่วนที่มาจากรายได้ค่าธรรมเนียมค้ำประกันตามระยะเวลาโครงการ ๗ ปี (ร้อยละ ๑.๗๕*๗ ปี) และร้อยละ ๑๗.๗๕ (๓๐ - ๑๒.๒๕) เป็นส่วนที่รัฐบาลจะสนับสนุนส่วนต่างค่าประกันชดเชยให้ ส่วนอีกร้อยละ ๑๘ ที่เหลือ (๔๘ - ๓๐) เป็นส่วนที่ บสย. ต้องรับผิดชอบเอง ซึ่งในกรณีที่ บสย. ต้องชดเชยความเสียหายสูงสุด บสย. จะขาดทุนจากการดำเนินโครงการ จำนวน ๑,๘๐๐ ล้านบาท ๒. บสย. ได้ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขโครงการ PGS ระยะที่ ๔ และโครงการ PGS New/Start-up SMEs โดยปรับลดอัตราการจ่ายค่าประกันชดเชยของโครงการทั้งสอง ดังนี้ โครงการ PGS ระยะที่ ๔ จากเดิมไม่เกินร้อยละ ๑๘ เป็นไม่เกินร้อยละ ๑๕ และโครงการ PGS New/Start-up SMEs จากไม่เกินร้อยละ ๔๘ เป็นไม่เกินร้อยละ ๓๐ ซึ่งการดำเนินการตามแนวทางนี้ยังคงถือว่าเป็นการปฏิบัติภายใต้กรอบมติคณะรัฐมนตรี เนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบอัตราการจ่ายค่าประกันชดเชยไว้สูงสุดไม่เกินร้อยละ ๑๘ และร้อยละ ๔๘
|
||||||||||||||||||
29905 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดจันทบุรี พ.ศ. .... | นร09 | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดจันทบุรี พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่จังหวัดจันทบุรี เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
29906 | ร่างพระราชบัญญัติความรับผิดทางแพ่งเพื่อความเสียหายจากมลพิษน้ำมัน พ.ศ. .... | คค | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติความรับผิดทางแพ่งเพื่อความเสียหายจากมลพิษน้ำมัน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางแพ่งเพื่อความเสียหายจากมลพิษน้ำมัน เพื่อให้มีการชดใช้ความเสียหายจากมลพิษน้ำมัน โดยกำหนดให้เจ้าของเรือต้องรับผิดอย่างเคร่งครัดและต้องเอาประกันภัยหรือจัดหาหลักประกันทางการเงินอื่นใดเพื่อชดใช้ความเสียหายดังกล่าว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||
29907 | แนวทางการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืนโดยการมีส่วนร่วมของภาคธุรกิจ | ทส | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานความก้าวหน้าผลการดำเนินงานตามแนวทางการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืนโดยการมีส่วนร่วมของภาคธุรกิจในส่วนที่เกี่ยวข้องของประเทศไทยต่อสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ ๑๑ ที่จะมีขึ้นในเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ ณ สาธารณรัฐอินเดีย ทั้งนี้ การรายงานความก้าวหน้าฯ ดังกล่าวต้องเป็นเพียงการแสดงความตั้งใจของประเทศไทยที่จะดำเนินการให้สนองต่อเป้าหมายของแผนกลยุทธ์อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ระยะ ๒๐๑๑ - ๒๐๒๐ และทศวรรษแห่งความหลากหลายทางชีวภาพขององค์การสหประชาชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๖๓ โดยไม่ก่อให้เกิดพันธกรณีหรือมีผลผูกพันต่องบประมาณหรือการต้องออกกฎหมายใหม่ และอยู่ภายใต้กฎหมายภายในของประเทศไทย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) รวมทั้งหน่วยงาน คณะกรรมการ และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาทบทวนและบูรณาการการจัดทำแผนยุทธศาสตร์เกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพให้ชัดเจน ครบถ้วน ครอบคลุมถึงการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์ การอนุรักษ์ การพัฒนาอย่างยั่งยืน ประโยชน์ที่จะได้รับ สิทธิชุมชน และการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และไม่เกิดความซ้ำซ้อน ๓. ให้รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรทำการสำรวจและวิเคราะห์ถึงศักยภาพของภาคธุรกิจในประเทศไทยที่สามารถจะเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการ และกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน เพื่อปรับปรุง (ร่าง) แนวทางการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพดังกล่าวให้ถูกต้องครบถ้วนและสามารถประเมินความเป็นไปได้จากการดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ที่กำหนดไว้ รวมทั้งควรเปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจที่ได้กำหนดเป็นกลุ่มเป้าหมายเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดแนวคิดและแนวทางดำเนินการตั้งแต่เริ่มต้นเพื่อให้มีความสอดคล้องกับศักยภาพของภาคธุรกิจ และมีความเป็นไปได้ในการปฏิบัติ ไปประกอบการพิจารณาด้วย และให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป |
||||||||||||||||||
29908 | แนวทางการดำเนินงานด้านการสื่อสาร การให้การศึกษา และการเสริมสร้างความตระหนักแก่สาธารณชนเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ (CEPA) เพื่อตอบสนองต่อทศวรรษแห่งความหลากหลายทางชีวภาพขององค์การสหประชาชาติ พ.ศ. 2554-2563 | ทส | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานความก้าวหน้าผลการดำเนินงานด้านการสื่อสาร การให้การศึกษา และการเสริมสร้างความตระหนักแก่สาธารณชนเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ (CEPA) เพื่อตอบสนองต่อทศวรรษแห่งความหลากหลายทางชีวภาพขององค์การสหประชาชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๖๓ ในส่วนที่เกี่ยวข้องของประเทศไทยต่อสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ ๑๑ ที่จะมีขึ้นในเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ ณ สาธารณรัฐอินเดีย ทั้งนี้ การรายงานความก้าวหน้าฯ ดังกล่าวต้องเป็นเพียงการแสดงความตั้งใจของประเทศไทยที่จะดำเนินการให้สนองต่อเป้าหมายของแผนกลยุทธ์อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพระยะ ๒๐๑๑ - ๒๐๒๐ และทศวรรษแห่งความหลากหลายทางชีวภาพขององค์การสหประชาชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๖๓ โดยไม่ก่อให้เกิดพันธกรณีหรือมีผลผูกพันต่องบประมาณหรือการต้องออกกฎหมายใหม่และอยู่ภายใต้กฎหมายภายในของประเทศไทย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) รวมทั้งหน่วยงาน คณะกรรมการ และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาทบทวนและบูรณาการการจัดทำแผนยุทธศาสตร์เกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพให้ชัดเจน ครบถ้วน ครอบคลุมถึงการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์การอนุรักษ์ การพัฒนาอย่างยั่งยืน ประโยชน์ที่จะได้รับสิทธิชุมชน และการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและไม่เกิดความซ้ำซ้อน ๓. ให้รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรดำเนินการบูรณาการรวบรวมและจัดทำกรอบประเด็นที่จะต้องรายงานต่อสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ ๑๑ ณ สาธารณรัฐอินเดีย ให้ครบถ้วน เพื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาในคราวเดียวกันและเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด และใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานของทุกภาคส่วนในการปฏิบัติและการจัดสรรงบประมาณสนับสนุน รวมทั้งทำการประเมินสถานภาพของความตระหนักถึงความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพที่มีอยู่ในสังคมไทยอย่างแท้จริง พร้อมปรับวัตถุประสงค์กับตัวชี้วัดให้สอดคล้องกัน และมีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ เพื่อให้แนวทางการดำเนินการสามารถวัดผลได้ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ และขอความร่วมมือภาคเอกชนและองค์กรพัฒนาเอกชนเพื่อให้การสนับสนุนแนวทางการดำเนินงานด้านการติดต่อสื่อสารฯ โดยกำหนดแผนงาน แนวทาง กฎระเบียบ และมาตรการสร้างแรงจูงใจให้กับภาคเอกชนในการเข้าร่วมที่ชัดเจน ไปประกอบการพิจารณาด้วย และให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป |
||||||||||||||||||
29909 | แนวทางการวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพที่จำเป็นและสนองต่อเป้าหมายของแผนกลยุทธ์อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ระยะ 2011 - 2020 (พ.ศ. 2554 - 2563) | ทส | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานความก้าวหน้าผลการดำเนินงานตามแนวทางการวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพที่จำเป็นและสนองต่อเป้าหมายของแผนกลยุทธ์อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ระยะ ๒๐๑๑ - ๒๐๒๐ (พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๖๓) ในส่วนที่เกี่ยวข้องของประเทศไทยต่อสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ ๑๑ ที่จะมีขึ้นในเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ ณ สาธารณรัฐอินเดีย ทั้งนี้ การรายงานความก้าวหน้าฯ ดังกล่าวต้องเป็นเพียงการแสดงความตั้งใจของประเทศไทยที่จะดำเนินการให้สนองต่อเป้าหมายของแผนกลยุทธ์อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ระยะ ๒๐๑๑ - ๒๐๒๐ และทศวรรษแห่งความหลากหลายทางชีวภาพขององค์การสหประชาชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๖๓ โดยไม่ก่อให้เกิดพันธกรณีหรือมีผลผูกพันต่องบประมาณหรือการต้องออกกฎหมายใหม่ และอยู่ภายใต้กฎหมายภายในของประเทศไทย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) รวมทั้งหน่วยงาน คณะกรรมการ และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาทบทวนและบูรณาการการจัดทำแผนยุทธศาสตร์เกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพให้ชัดเจน ครบถ้วน ครอบคลุมถึงการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์ การอนุรักษ์ การพัฒนาอย่างยั่งยืน ประโยชน์ที่จะได้รับ สิทธิชุมชน และการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและไม่เกิดความซ้ำซ้อน ๓. ให้รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรทำการศึกษาประเมินสถานการณ์งานวิจัยด้านความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศอย่างละเอียด เพื่อให้ทราบถึงสถานภาพของข้อมูลและงานวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพฯ รวมทั้งจัดทำยุทธศาสตร์การวิจัยด้านความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อกำหนดประเด็นการวิจัยสำคัญที่ต้องเร่งรัดดำเนินการ เพื่อการรักษาผลประโยชน์ของประเทศและใช้เป็นกรอบในการจัดสรรทรัพยากร กำลังคน และงบประมาณอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ ควรมีแผนงานที่มีรายละเอียดแสดงถึงเป้าหมายและประโยชน์ต่อหน่วยธุรกิจและระดับชาติที่จะได้รับอย่างชัดเจน พร้อมทั้งมีมาตรการเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมสนับสนุนการวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพฯ อาทิ มาตรการทางด้านภาษี มาตรการส่งเสริมการตลาดและการดำเนินธุรกิจ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย และให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วน |
||||||||||||||||||
29910 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนที่วัด วัดท่าขี้เหล็ก (ร้าง) ตำบลวัดขวาง อำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร ให้แก่กรมชลประทาน พ.ศ. .... | พศ | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาโอนที่วัด วัดท่าขี้เหล็ก (ร้าง) ตำบลวัดขวาง อำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร ให้แก่กรมชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ โอนที่วัด วัดท่าขี้เหล็ก (ร้าง) ตำบลวัดขวาง อำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๙๙๘ (บางส่วน) เนื้อที่ ๗๖ ตารางวา ให้แก่กรมชลประทาน เพื่อก่อสร้างคลองส่งน้ำพีอาร์. ๗๙.๙ อาร์. ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
29911 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่วัด วัดตาลเสี้ยน ตำบลหนองแก อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ให้แก่กรมทางหลวง พ.ศ. .... | พศ | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่วัด วัดตาลเสี้ยน ตำบลหนองแก อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ให้แก่กรมทางหลวง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ โอนกรรมสิทธิ์ที่วัด วัดตาลเสี้ยน ตำบลหนองแก อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๔๒๕๖๐ (บางส่วน) เนื้อที่ ๒ งาน ๐๖ ตารางวา ให้แก่กรมทางหลวง เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๐๒๐ สายแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๐๒๒ (พระพุทธบาท) - หนองโดน ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
29912 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนที่วัด วัดคลองข่อย ตำบลไทรโรงโขน อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร ให้แก่กรมชลประทาน พ.ศ. .... | พศ | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาโอนที่วัด วัดคลองข่อย ตำบลไทรโรงโขน อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร ให้แก่กรมชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ โอนที่วัด วัดคลองข่อย ตำบลไทรโรงโขน อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๓๖ (บางส่วน) เนื้อที่ ๒ ไร่ ๗๒ ตารางวา ให้แก่กรมชลประทาน เพื่อก่อสร้างคลองส่งน้ำพีอาร์ ๙๕.๕ แอล ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
29913 | กรอบแนวทางการดำเนินงานของคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ | มท | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่คณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบเสนอ สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้ ๑.๑ กรอบการดำเนินงานของคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ ๑.๑.๑ คณะกรรมการบูรณาการฯ ทำหน้าที่ในการบูรณาการการทำงานของทุกส่วนราชการในการจัดการและกระจายการถือครองที่ดินทั่วประเทศให้เหมาะสมและสอดคล้องต่อยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ โดยมีสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดินเป็นกลไก ซึ่งมีแผนปฏิบัติการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ โดยการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการที่ดินระดับจังหวัด มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน ๑.๑.๒ ให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (บจธ.) เสนอขอแปรญัตติเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานของศูนย์ปฏิบัติการ เป็นเงินรวมทั้งสิ้น ๒,๕๗๐,๕๓๕,๒๐๐ บาท ๑.๑.๓ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ รวม ๓ คณะ โดยมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) เป็นประธาน ประกอบด้วยคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาด้านกฎหมาย คณะอนุกรรมการจัดรูปที่ดิน และคณะอนุกรรมการบริหารจัดการที่ดิน ๑.๑.๔ จัดให้มีการประชุมคณะกรรมการบูรณาการฯ อย่างน้อยทุก ๆ ๒ เดือน หากมีความจำเป็นเร่งด่วน อาจจัดให้มีการประชุมเดือนละ ๑ ครั้ง แล้วแต่กรณี ๑.๑.๕ คณะกรรมการบูรณาการฯ จะเป็นผู้แต่งตั้งศูนย์ปฏิบัติการที่ดินระดับจังหวัดในภาพรวม โดยให้คณะอนุกรรมการบริหารจัดการที่ดินเป็นผู้พิจารณาเสนอ ๑.๒ การดำเนินงานของ บจธ. คณะกรรมการบูรณาการฯ ได้พิจารณาถึงกรอบอำนาจหน้าที่ของ บจธ. ประกอบกับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการบูรณาการฯ แล้ว เห็นว่า บจธ. มีความเหมาะสมและเป็นกลไกสำคัญสำหรับการดำเนินงานของคณะกรรมการบูรณาการฯ ควรให้มีการดำเนินงานตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๕๔ ต่อไป ๒. เห็นชอบการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการที่ดินระดับจังหวัด ตามที่คณะกรรมการบูรณาการฯ เสนอ โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นกรรมการ เพิ่มเติม และการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านต่าง ๆ ให้คณะกรรมการบูรณาการฯ ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการบูรณาการฯ รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. และคณะกรรมการประสานงานเพื่อให้มีโฉนดชุมชน เกี่ยวกับการพิจารณาให้มีกระบวนการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ การผลักดันร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. .... ซึ่งเป็นกฎหมายที่จัดตั้งคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ เป็นองค์กรกลางทำหน้าที่กำหนดนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินของประเทศให้มีผลบังคับใช้ การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการด้านต่าง ๆ ควรมีเป้าหมายสำคัญร่วมกันในการบูรณาการการแก้ไขปัญหาที่ดินอย่างเป็นระบบ การให้ความสำคัญในเรื่องการรับรองสิทธิของชุมชนในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยการปฏิรูปการจัดการที่ดินโดยให้มีการกระจายสิทธิที่ดินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน รวมทั้งการรับรองสิทธิของชุมชนในการจัดการทรัพยากร ที่ดิน น้ำ ป่าไม้ ทะเล การจัดทำระบบฐานข้อมูลที่ดินของประเทศ และมีแนวเขตการถือครองที่ดินของรัฐที่ชัดเจน การเร่งดำเนินการปรับปรุงแนวเขตที่ดินของรัฐทั่วประเทศให้เป็นแนวเดียวกัน การกำหนดโครงสร้างและบทบาทหน้าที่ของ บจธ. ที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานของคณะกรรมการบูรณาการฯ การกำหนดรูปแบบและความสัมพันธ์เชื่อมโยงการทำงานระหว่าง บจธ. กับศูนย์ปฏิบัติการที่ดินระดับจังหวัด เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการดำเนินงานร่วมกัน การวางระบบกลไกการกำกับดูแลและสั่งการของศูนย์ปฏิบัติการที่ดินระดับจังหวัด เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถตอบสนองนโยบายการแก้ไขปัญหาที่ดินเชิงระบบได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งการพิจารณานโยบายการดำเนินงานโฉนดชุมชน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ส่วนการให้ บจธ. เป็นกลไกในการขับเคลื่อนการดำเนินงานของคณะกรรมการบูรณาการฯ นั้น ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปพิจารณาทบทวนพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๕๔ หากเห็นว่า โครงสร้าง อำนาจหน้าที่ และการดำเนินการของ บจธ. ไม่สอดคล้องกับการดำเนินนโยบายของรัฐบาลในเรื่องนี้ สมควรปรับปรุงแก้ไขพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||
29914 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นายประสงค์ วิทยถาวรวงศ์) | สธ | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายประสงค์ วิทยถาวรวงศ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขากุมารเวชกรรม) กลุ่มงานกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบูรณ์ สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคำสั่งให้รักษาการในตำแหน่งดังกล่าว (ไม่ก่อนวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์) ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||
29915 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่ ตำบลหนองตำลึง อำเภอพานทอง และตำบลดอนหัวฬ่อ อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... | คค | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่ ตำบลหนองตำลึง อำเภอพานทอง และตำบลดอนหัวฬ่อ อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลหนองตำลึง อำเภอพานทอง และตำบลดอนหัวฬ่อ อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี เพื่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟ บริเวณทางหลวงชนบท ชบ. ๓๐๒๒ เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
29916 | รายงานประจำปี 2554 คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร01 | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๕๔ ของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยรายงานดังกล่าวมีสาระสำคัญ ๓ ส่วน ดังนี้
๑. ส่วนที่ ๑ กล่าวถึงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของ กกถ. รวมทั้งคณะอนุกรรมการคณะต่าง ๆ ที่ กกถ. แต่งตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือ กำกับ ดูแล ในภารกิจสำคัญในด้านนั้น ๆ ก่อนที่จะเสนอ กกถ. พิจารณา ๒. ส่วนที่ ๒ กล่าวถึงผลการปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของ กกถ. และคณะอนุกรรมการคณะต่าง ๆ ดังนี้ ๒.๑ การรวบรวมผลการดำเนินงานในเรื่องแผนการกระจายอำนาจ ได้แก่ การถ่ายโอนภารกิจตามแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) การจัดทำแผนการกระจายอำนาจ การกระจายอำนาจด้านสาธารณสุข และหลักสูตรการเรียนรู้ด้วยตนเอง (E-learning) ๒.๒ การรวบรวมผลการดำเนินงานในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ การกำหนดสัดส่วนรายได้ของ อปท. การกำหนดหลักเกณฑ์การจัดสรรภาษีและเงินอุดหนุนให้แก่ อปท. หลักเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ การจัดสรรเงินอุดหนุนเพื่อเป็นรางวัลสำหรับ อปท. ที่มีการบริหารจัดการที่ดี และที่มีการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ เป็นต้น ๒.๓ สรุปผลการดำเนินงานเกี่ยวกับผลการดำเนินงานการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการฯ ร่างพระราชบัญญัติการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... และการวินิจฉัยและให้ความเห็นทางกฎหมาย ๒.๔ การรวบรวมผลการดำเนินงานด้านการติดตามประเมินผลในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านงานส่งเสริมคุณภาพชีวิต ด้านการจัดระเบียบชุมชน สังคม และการรักษาความสงบเรียบร้อย และด้านการบริหารจัดการและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ๓. ส่วนที่ ๓ กล่าวถึงผลการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปี ๒๕๕๔ ได้แก่ การพัฒนาและฝึกอบรมด้านต่าง ๆ การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์และรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันฑ์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
|
||||||||||||||||||
29917 | ร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวงที่ออกตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 | พณ | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวง รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาแก้ไขประเภทธุรกิจตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๔๒ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขประเภทธุรกิจใน (๑๓) ของบัญชีสาม ท้ายพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยยกเว้นการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย โดยไม่มีการส่งมอบหรือรับมอบสินค้าเกษตรภายในประเทศ ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดธุรกิจบริการที่ไม่ต้องขอใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดธุรกิจบริการที่ยกเว้นไม่อยู่ใน (๒๑) ของบัญชีสาม ท้ายพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๔๒ จำนวน ๑๘ รายการ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประสานสำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพื่อให้สามารถจัดทำฐานข้อมูลการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวในประเทศไทยได้อย่างครบถ้วนและเป็นระบบ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
29918 | รายงานผลการลงนามในสัญญาเงินกู้โครงการปรับปรุงถนนในนครหลวง เวียงจันทน์ เพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพประชุมสุดยอดผู้นำเอเชีย - ยุโรป (ASEM Summit) ครั้งที่ 9 | กค | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการลงนามในสัญญาเงินกู้ระหว่างสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) กับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) สำหรับโครงการปรับปรุงถนนในนครหลวงเวียงจันทน์ เพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพประชุมสุดยอดผู้นำเอเชีย - ยุโรป (ASEM Summit) ครั้งที่ ๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สพพ. ได้ดำเนินการลงนามในสัญญากู้เงินกับธนาคารออมสิน เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เพื่อนำไปให้กู้ต่อแก่ สปป.ลาว โดยมีเงื่อนไขทางการเงิน ๑.๑ วงเงินกู้ จำนวน ๑๙๐.๗๐ ล้านบาท ๑.๒ อัตราดอกเบี้ยลอยตัวเท่ากับอัตราต่ำสุดของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน บวกส่วนต่างร้อยละ ๑.๖๕ ต่อปี (เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยทุก ๖ เดือน ปัจจุบันคิดเป็นดอกเบี้ยร้อยละ ๔.๐๒๕) ๑.๓ อายุเงินกู้ ๑๐ ปี (นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา) ๑.๔ ระยะเวลาการเบิกเงิน ๒ ปี (นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา) ๒. สพพ. ได้ลงนามในสัญญาเงินกู้กับรัฐบาล สปป.ลาว สำหรับโครงการฯ เมื่อวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๕ โดยมีเงื่อนไขทางการเงิน ๒.๑ วงเงินกู้ จำนวน ๑๙๐.๗๐ ล้านบาท ๒.๒ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๑.๕ ต่อปี ๒.๓ อายุสัญญา ๒๐ ปี (รวมระยะเวลาปลอดหนี้ ๕ ปี) ๒.๔ กำหนดชำระดอกเบี้ย วันที่ ๒๐ พฤษภาคม และ ๒๐ พฤศจิกายน ของทุกปี ๒.๕ การชำระคืนเงินกู้ เริ่มชำระคืนวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐ และสิ้นสุดวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๗๔ ๒.๖ ระยะเวลาสิ้นสุดการเบิกจ่าย วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||
29919 | ขออนุมัติให้เอกชนร่วมงานในโครงการพัฒนาที่ดินบริเวณพื้นที่สยามสแควร์บางส่วน (อาคารกลุ่ม L) ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 | กค | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการให้เอกชนเข้าร่วมงานในโครงการพัฒนาที่ดินบริเวณพื้นที่สยามสแควร์บางส่วน (อาคารกลุ่ม L) ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้จัดสรรพื้นที่สยามสแควร์บางส่วน (อาคารกลุ่ม L) ไว้เป็นพื้นที่สำหรับประกอบกิจกรรมเชิงพาณิชย์ในรูปแบบอาคารสูงขนาด ๓๔ ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ ๘๐,๐๐๐ ตารางเมตร ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้รับข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลังไปพิจารณาดำเนินการด้วย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพิจารณาปรับปรุงหลักการคิดประเมินผลประโยชน์ตอบแทนนอกเหนือจากค่าเช่าที่ดินของโครงการ โดยกำหนดให้มีผลตอบแทนในลักษณะส่วนแบ่งรายได้จากกิจกรรมเชิงพาณิชย์ประเภทต่าง ๆ ของโครงการในกรณีที่โครงการมีรายได้สูงกว่าที่ประมาณการไว้เช่นเดียวกับโครงการพัฒนาบริเวณแยกปทุมวัน (MBK) และโครงการโรงแรมโนโวเทลสยามสแควร์ รวมทั้งกำหนดให้มีการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนการได้สิทธิ (Upfront) เพื่อสร้างความมั่นใจและเป็นหลักประกันการดำเนินโครงการของเอกชน ๑.๒ ที่ตั้งของโครงการอยู่ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจ หากมีการใช้ประโยชน์และเปิดบริการเชิงพาณิชย์เต็มพื้นที่จะมีผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมาก ส่งผลต่อปัญหาการจราจรในโครงข่ายถนนโดยรอบ จึงควรพิจารณาลดผลกระทบดังกล่าว โดยอาจประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการวางแผนการจัดการจราจรที่เหมาะสม และในขั้นตอนการออกแบบโครงการ ควรกำหนดเงื่อนไขให้เอกชนจัดทำแผนการลดผลกระทบการจราจรบริเวณโดยรอบโครงการดังกล่าว รวมทั้งจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) ตามขั้นตอนของกฎหมาย และให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลการดำเนินการตามมาตรการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของโครงการอย่างเคร่งครัดด้วย ๒. ให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่เสนอไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด การเปิดโอกาสให้เอกชนเสนอรูปแบบการพัฒนาที่เหมาะสม การคัดเลือกเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ของโครงการ การให้ความสำคัญกับการจัดทำแผนการบริหารจัดการพื้นที่จอดรถและการสัญจรภายในโครงการ โดยมีการออกแบบทางเข้า - ออกโครงการ และจุดรับส่งรถบัสขนาดใหญ่อย่างเหมาะสม รวมทั้งจัดหาพื้นที่จอดรถอย่างพอเพียง การสรรหาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการบริหารจัดการโครงการเชิงพาณิชย์และสร้างความร่วมมือกับเอกชนในการถ่ายทอดองค์ความรู้ในการบริหารจัดการกิจการเชิงพาณิชย์รูปแบบต่าง ๆ การจัดพื้นที่สีเขียวและพื้นที่จัดกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ เช่น สวนสาธารณะ และศูนย์การเรียนรู้สำหรับประชาชน นอกจากนี้ ให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ พิจารณาหลักเกณฑ์ และแนวทางการจัดทำ Market Sounding ที่เหมาะสม เพื่อใช้เป็นคู่มือในการปฏิบัติงานของหน่วยงานต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
29920 | ผลการเยือนไทยเพื่อเจรจาทำงาน (Working Visit) ของประธานาธิบดีศรีลังกา | นร04 | 04/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนไทยเพื่อเจรจาทำงาน (Working Visit) ของประธานาธิบดีศรีลังกา ในโอกาสเยือนไทย ระหว่างวันที่ ๒๙ - ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการเยือนในประเด็นต่าง ๆ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. นายกรัฐมนตรีเสนอให้ทั้งสองฝ่ายเพิ่มมูลค่าการค้า จาก ๕๘๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน โดยเน้นการแลกเปลี่ยนระหว่างภาคเอกชนของทั้งสองฝ่าย และเสนอให้ภาคเอกชนไทยเข้าไปมีส่วนร่วมในการก่อสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานของศรีลังกา รวมทั้งช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรม ซึ่งประธานาธิบดีศรีลังกาเห็นพ้องกับข้อเสนอดังกล่าว พร้อมทั้งเสนอให้ภาคเอกชนไทยไปลงทุนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการโรงแรมเพื่อขยายความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวและการเชื่อมโยง (connectivity) ซึ่งรวมการท่องเที่ยวเชิงพุทธศาสนาในลักษณะ Combined Destination และการขยายการลงทุนในธุรกิจอัญมณีในศรีลังกา โดยจะได้หารือกันภายใต้กรอบคณะกรรมาธิการร่วม ไทย - ศรีลังกา ต่อไป ๒. นายกรัฐมนตรีเสนอให้มีความร่วมมือจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองครบรอบ ๒๖๐ ปี ของการสถาปนาสยามนิกายในศรีลังกาในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยขอให้ศรีลังกาสนับสนุนการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับพระอุบาลีมหาเถระที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์อันใกล้ชิดระหว่างกัน และขอให้กระทรวงวัฒนธรรมของทั้งสองฝ่ายหารือในรายละเอียดต่อไป ในการนี้ ประธานาธิบดีศรีลังกาได้เชิญนายกรัฐมนตรีเยือนศรีลังกาในโอกาสเฉลิมฉลองดังกล่าว ซึ่งนายกรัฐมนตรีตอบรับในหลักการ โดยขอให้ประสานช่วงเวลาสำหรับการเยือนผ่านช่องทางการทูต ๓. ประธานาธิบดีศรีลังกาขอให้ไทยพิจารณาให้ความร่วมมือเพิ่มเติมในสาขาการประมง การอบรมและพัฒนาทรัพยากรบุคคล ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรียินดีให้การสนับสนุน โดยขอหารือในรายละเอียดกับสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศต่อไป ๔. ประธานาธิบดีศรีลังกาเสนอให้ทั้งสองฝ่ายขยายความร่วมมือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในด้านความมั่นคง โดยเฉพาะการต่อต้านการก่อการร้าย รวมทั้งบทบาทของสตรีและชุมชนที่มีส่วนสำคัญในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นว่าการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ดังกล่าวน่าจะเป็นประโยชน์ และขอให้เอกอัครราชทูตศรีลังกาประจำประเทศไทยหารือกับกระทรวงกลาโหมของไทยต่อไป ๕. นายกรัฐมนตรีเสนอให้ทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันในกรอบความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (Bay of Bengal Initiative for Multi - Sectoral Technical and Economic Cooperation : BIMSTEC) และกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue : ACD) เพื่อผลักดันความเชื่อมโยงระดับภูมิภาค พร้อมทั้งได้ขอให้ศรีลังกาสนับสนุนไทยในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UN Human Rights Council : HRC) วาระปี ค.ศ. ๒๐๑๕ ส่วนประธานาธิบดีศรีลังกาขอบคุณไทยที่ให้การสนับสนุนศรีลังกาในร่างข้อมติเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในศรีลังกาในการประชุม HRC ๖. นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีศรีลังกาเป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการต่างประเทศไทย - ศรีลังกา ว่าด้วยการหารือทางการเมืองทวิภาคี และบันทึกวาจา (Proces - Verbal) การแลกเปลี่ยนสัตยาบันสารของสนธิสัญญาระหว่าง ไทย - ศรีลังกา ว่าด้วยความช่วยเหลือซึ่งกันและกันทางกฎหมายในเรื่องทางอาญา
|
.....