ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1496 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 29901 - 29920 จากข้อมูลทั้งหมด 123963 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
29901 | การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ | นร | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ยุทธศักดิ์ ศศิประภา) รับไปพิจารณาร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) เลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ รวมทั้งแนวทางการยุติความขัดแย้งอย่างสันติวิธี โดยเน้นการสื่อสารและทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่อย่างถูกต้องทั่วถึง แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) รับไปประสานงานกับกระทรวงกลาโหม ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) กรมประชาสัมพันธ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาเพิ่มเวลาการออกอากาศทางสถานีวิทยุและโทรทัศน์ต่าง ๆ เป็นภาษายาวีเพื่อขยายโอกาสในการสื่อสารทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีรายการวิทยุโทรทัศน์ที่ใช้ภาษายาวีทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ช่อง ๑๑ และสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง ๕ อยู่บ้างแล้ว แต่ไม่เพียงพอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
29902 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนที่ธรณีสงฆ์ วัดป่าหนองโกเจริญธรรม ตำบลอ่างหิน อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี ให้แก่กรมชลประทาน พ.ศ. .... | พศ | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาโอนที่ธรณีสงฆ์ วัดป่าหนองโกเจริญธรรม ตำบลอ่างหิน อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี ให้แก่กรมชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ โอนที่ธรณีสงฆ์ วัดป่าหนองโกเจริญธรรม ตำบลอ่างหิน อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี เนื้อที่ ๖ ไร่ ๑ งาน ๔๐ ตารางวา ให้แก่กรมชลประทาน เพื่อประโยชน์แก่การชลประทานตามโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยสำนักไม้เต็ง ที่ตำบลอ่างหิน อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
29903 | ผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ไทย - เมียนมาร์ ครั้งที่ 26 | กห | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee : RBC) ไทย - เมียนมาร์ ครั้งที่ ๒๖ ระหว่างวันที่ ๖ - ๘ มิถุนายน ๒๕๕๕ ณ จังหวัดตองยี รัฐฉาน สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ โดยมีพลโท ชาญชัยณรงค์ ธนารุณ แม่ทัพภาคที่ ๓ และพลโท เท็ดไหน่วิน ผู้บัญชาการสำนักปฏิบัติการพิเศษที่ ๔ เป็นประธานร่วม สำหรับการประชุมครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้มีการดำเนินการอยู่บนพื้นฐานของการประสานประโยชน์ร่วมกัน ส่งผลให้การประชุมประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะการสนับสนุนให้ความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพของทั้งสองประเทศแน่นแฟ้นกันมากขึ้น ซึ่งประเด็นที่ได้มีการหารือ ได้แก่ กลไกของคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น (Township Border Committee : TBC) การยกระดับจุดผ่านแดน บ.พระเจดีย์สามองค์/พญาตองซู การส่งเสริมให้มีการติดต่อสื่อสารระหว่างเรือ ทร. เมียนมาร์ และเรือ ทร. ไทย การแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างผู้นำทางทหารของกองทัพทั้งสองประเทศ การป้องกันอาชญากรรมบริเวณพื้นที่ชายแดน การปราบปรามการลักลอบการค้าอาวุธและกระสุน การป้องกันการค้ามนุษย์และลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย การป้องกันไฟป่าและหมอกควัน การป้องกันการค้าสัตว์ป่าและไม้ข้ามแดนผิดกฎหมาย การเปิดจุดผ่านแดนแห่งใหม่ การจัดตั้งหมู่บ้านคู่ขนานบริเวณพื้นที่ชายแดนเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดระหว่างประชาชน และส่งเสริมความร่วมมือในระดับท้องถิ่นของทั้งสองประเทศ การจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในพื้นที่ชายแดน การตั้งจุดตรวจทางทหารบริเวณพื้นที่ดอยลาง และการตั้งจุดตรวจบริเวณพิกัด NR 092354 ของไทย การกำหนดมาตรการที่มีประสิทธิภาพต่อกลุ่มก่อความไม่สงบ/กลุ่มต่อต้าน และความร่วมมือในการส่งผู้ร้ายข้ามแดน นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือในประเด็นการล้ำน่านฟ้าของไทย - เมียนมาร์ การทำประมงผิดกฎหมาย และการลักลอบระเบิดปลาในน่านน้ำเมียนมาร์และน่านน้ำไทย รวมทั้งประเด็นที่เกี่ยวกับเส้นเขตแดน การปราบปรามยาเสพติด การหาประโยชน์จากชาวเขาเผ่าปะด่อง และการกำหนดการประชุม RBC - 27 จะจัดขึ้นที่ประเทศไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||
29904 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ ในท้องที่ตำบลหนองปลาหมอ อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ของวัดบ้านโป่ง ตำบลบ้านโป่ง อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ให้แก่กรมชลประทาน พ.ศ. .... | พศ | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ ในท้องที่ตำบลหนองปลาหมอ อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ของวัดบ้านโป่ง ตำบลบ้านโป่ง อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ให้แก่กรมชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ โอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ในท้องที่ตำบลหนองปลาหมอ อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ของวัดบ้านโป่ง ตำบลบ้านโป่ง อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี เนื้อที่ ๓ งาน ๕ ตารางวา ให้แก่กรมชลประทาน เพื่อประโยชน์แก่การชลประทาน ตามโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาท่ามะกา ที่ตำบลหนองปลาหมอ อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
29905 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นางวไลพร เอื้อนนทัช) | สธ | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางวไลพร เอื้อนนทัช ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขากุมารเวชกรรม) กลุ่มงานกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครศรีธรรมราช สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
29906 | ร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการกำหนดเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. .... | ยธ | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการกำหนดเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดลักษณะ ชนิด และประเภทของเครื่องแบบพิเศษของข้าราชการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดให้เป็นไปตามที่กำหนดในร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีนี้ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
29907 | รายงานการพัฒนาเด็กและเยาวชน ประจำปี 2553 | พม | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอรายงานการพัฒนาเด็กและเยาวชน ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ซึ่งผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติแล้ว โดยสาระสำคัญของรายงาน ประกอบด้วย วัตถุประสงค์และขอบเขตรายงาน เนื้อหารายงาน และข้อเสนอเชิงนโยบายต่อการพัฒนาเด็กและเยาวชน โดยในส่วนของข้อเสนอเชิงนโยบายฯ มีดังนี้
๑. ส่งเสริมสถาบันครอบครัวและวัฒนธรรม ด้วยการพัฒนาความรู้ ทักษะ และทัศนคติที่ถูกต้องให้กับพ่อแม่และผู้ปกครองในการเลี้ยงดู เด็กและเยาวชนอย่างเหมาะสม โดยปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนมีคุณธรรม จริยธรรม ยึดมั่นในหลักคำสอนทางศาสนา มีความพอเพียง มีสำนึกความเป็นพลเมือง มีวิถีประชาธิปไตย เคารพสิทธิผู้อื่น รู้จักคิดอย่างมีเหตุผล มีจิตสาธารณะ รักสิ่งแวดล้อม สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปลอดภัย และสนับสนุนให้ชุมชน สังคม ภาคีเครือข่ายเข้าใจปัญหาและความต้องการของเด็กและเยาวชน จัดบริการสวัสดิการให้สอดคล้องกับความต้องการของเด็กและเยาวชน ๒. ส่งเสริมสุขภาพกายและสุขภาพจิตเด็กและเยาวชน ด้านโภชนาการที่เหมาะสมตามวัยให้หญิงมีครรภ์และเด็กเล็กได้รับสารไอโอดีนอย่างทั่วถึง ให้ความรู้กับเด็กและเยาวชนในการป้องกันตนเองจากโรคและสิ่งเสพติด หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ป้องกันปัญหาโรคอ้วน รวมทั้งดูแลสุขภาพจิตของเด็กและเยาวชนไม่ให้เกิดความเครียด ปรับปรุงคุณภาพศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและบุคลากรผู้ดูแลเด็ก รวมถึงการดูแลเด็กเล็กในโรงเรียน โรงงาน สถานประกอบการ และให้ความรู้และทักษะการใช้ชีวิตเรื่องเพศศึกษาเมื่อถึงวัยอันควร ๓. ด้านการศึกษา ควรสนับสนุนภาคีอื่นเข้าร่วมจัดการศึกษากับกระทรวงศึกษาธิการ อาทิ สื่อมวลชน องค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรระหว่างประเทศที่ทำงานด้านการศึกษา หรือชุมชน ฯลฯ เพื่อให้การจัดการศึกษาเป็นไปอย่างมีคุณภาพและสอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนแต่ละกลุ่ม รวมทั้งเตรียมความพร้อมเด็กและเยาวชนเมื่อไทยเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน และต้องเพิ่มโอกาสทางการศึกษาของเด็กและเยาวชนที่ยากจนหรือด้อยโอกาสรุนแรงด้วยมาตรการที่หลากหลาย ดูแลเรื่องคุณภาพการศึกษาอย่างจริงจัง รวมทั้งสร้างความหลากหลายของแนวทางและช่องทางการศึกษา โดยสนับสนุนให้มีการจัดการศึกษาทางเลือกทุกระดับ ๔. ดูแลเด็กและเยาวชนด้อยโอกาส ทั้งในด้านโภชนาการ การศึกษาที่พอเพียงและมีคุณภาพ การมีงานทำ ครอบครัวที่อบอุ่น รวมทั้งสร้างทุนทางสังคมให้กับเด็กและเยาวชนที่ด้อยโอกาสที่จะมีส่วนช่วยการพัฒนาตัวเองให้หลุดพ้นสภาพด้อยโอกาส ภาครัฐควรสร้างฐานข้อมูลเด็กและเยาวชนด้อยโอกาส ซึ่งปัจจุบันยังมีความคลุมเครือและไม่สมบูรณ์ โดยเชื่อมโยงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้ด้อยโอกาส ระหว่างเครือข่ายพันธมิตรและชุมชน และทำการปรับแก้หรือบังคับใช้กฎหมายที่เอื้อต่อการพัฒนา คุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของเด็กและเยาวชนผู้ด้อยโอกาส ๕. ปรับปรุงการดำเนินงานของสภาเด็กและเยาวชน ด้วยการสร้างความเข้าใจถึงบทบาทและความสำคัญของสภาเด็กและเยาวชนในทุกระดับ เพื่อให้มีความต่อเนื่องของการดูแลเป็นพี่เลี้ยงให้ผู้บริหารสภาเด็กและเยาวชน พร้อมกับที่ต้องส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของสภาเด็กและเยาวชนไปในตัวด้วย ในขณะที่ผู้บริหารสภาเด็กและเยาวชนควรทำการปรึกษาอย่างกว้างขวางกับเด็กและเยาวชนในพื้นที่ในการจัดกิจกรรมที่ตรงกับความต้องการในพื้นที่ อันจะนำไปสู่การสนับสนุนทรัพยากรทางการเงินจากภาครัฐได้มากขึ้น ๖. ส่งเสริมบทบาทของเครือข่ายเพื่อมีส่วนร่วมพัฒนาเด็กและเยาวชน การพัฒนาเด็กและเยาวชนเป็นหน้าที่ของทุกภาคส่วนในสังคมไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ธุรกิจเอกชน ชุมชน หรือครอบครัว จึงควรมีมาตรการส่งเสริมให้ภาคส่วนเหล่านี้ตระหนักและมีการเพิ่มบทบาทของตนเองในเรื่องนี้มากขึ้น มาตรการที่อาจทำได้ เช่น การสนับสนุนการดำเนินงานของธุรกิจเพื่อสังคม (Corporate Social Responsibility) เพิ่มอัตราจ้างเด็กและเยาวชนในการทำงาน สนับสนุนให้อาสาสมัครมีบทบาทต่อการพัฒนาเด็กและเยาวชนในพื้นที่ ส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีฝ่ายงานด้านเด็กและครอบครัว ๗. ติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในทุกด้าน
|
|||||||||||||||||||||||||||
29908 | ตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการบุกรุกพื้นที่อุทยานแห่งชาติ อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา | นร | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ได้รับข้อร้องเรียนจากราษฎรและผู้ประกอบกิจการที่พักแก่นักท่องเที่ยวในพื้นที่อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา กรณีที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำพื้นที่อุทยานแห่งชาติ อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปด้วยความถูกต้องและเป็นธรรมแก่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย จึงมอบหมายให้ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับไปจัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวให้ชัดเจน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
29909 | ร่างพระราชบัญญัติกำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จวิชาการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กห | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติกำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จวิชาการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดปริญญาในโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า โรงเรียนนายเรือ โรงเรียนนายเรืออากาศ และโรงเรียนแผนที่ ให้มีปริญญาสามชั้น คือ ปริญญาเอก ปริญญาโท และปริญญาตรี ๑.๒ แก้ไขชื่อสังกัดของโรงเรียนแผนที่ให้สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยการจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ๑.๓ กำหนดให้สภาการศึกษาวิชาการทหารอาจออกข้อบังคับกำหนดให้มีประกาศนียบัตรบัณฑิตชั้นสูง ประกาศนียบัตรบัณฑิต หรือประกาศนียบัตรได้ ๑.๔ เพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของสภาการศึกษาวิชาการทหารเพื่อให้มีอำนาจกำหนดมาตรฐานการศึกษาวิชาการทหาร รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบของสภาการศึกษาวิชาการทหารโดยให้มีกรรมการสภาการศึกษาวิชาการทหารผู้ทรงคุณวุฒิ ๑.๕ กำหนดวาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการสภาการศึกษาวิชาการทหารผู้ทรงคุณวุฒิ ๑.๖ กำหนดให้มีตำแหน่งทางวิชาการของคณาจารย์ประจำของสถาบันการศึกษาและให้มีสิทธิใช้เป็นคำนำหน้านามเพื่อแสดงวิทยฐานะได้ตลอดไป ๑.๗ แก้ไขเพิ่มเติมบทกำหนดโทษแก่ผู้ใช้ปริญญา อักษรย่อปริญญา ประกาศนียบัตรบัณฑิตชั้นสูง ประกาศนียบัตรบัณฑิต หรือประกาศนียบัตรโดยไม่มีสิทธิที่จะใช้ ๒. ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวกับมาตรา ๕ วรรคสอง ที่กำหนดให้สภาการศึกษาวิชาการทหารต้องคำนึงถึงมาตรฐานโดยทั่วไปที่สอดคล้องกับมาตรฐานที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด ซึ่งหมายความว่า สภาการศึกษาวิชาการทหารจะต้องนำเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับอุดมศึกษาไปใช้ในการพิจารณากำหนดมาตรฐานและอนุมัติหลักสูตร และในมาตรา ๑๐/๑ วรรคสาม ที่กำหนดให้คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ และวิธีการแต่งตั้งและถอดถอนคณาจารย์ประจำของสถาบันการศึกษาวิชาการทหารให้เป็นไปตามข้อบังคับของสภาการศึกษาวิชาการทหาร และสอดคล้องกับมาตรฐานที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
29910 | การขอชดเชยราคาการนำเข้าน้ำมันปาล์ม | พณ | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการให้ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงิน ๒๒.๒๐ ล้านบาท เพื่อชดเชยผลการขาดทุนขององค์การคลังสินค้าจากส่วนต่างของต้นทุนการนำเข้าน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์กับราคาจำหน่ายให้แก่โรงกลั่นน้ำมันปาล์ม ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับการแก้ไขปัญหาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๕ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม) และวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี การแก้ไขปัญหาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม) ในปริมาณไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ ตัน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณานำเข้าน้ำมันปาล์มในปริมาณและระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเกษตรกรและราคาผลปาล์มในประเทศและให้ตรวจสอบยืนยันข้อมูลผลการขาดทุนจากการนำเข้าน้ำมันปาล์มที่เกิดขึ้นจริง ก่อนขอทำความตกลงในรายละเอียดงบประมาณกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการติดตามและประเมินสถานการณ์ความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันปาล์มตลาดโลกอย่างใกล้ชิด เพื่อมิให้การนำเข้าน้ำมันปาล์มส่งผลกระทบต่อราคาผลปาล์มน้ำมันที่เกษตรกรขายได้ภายในประเทศ รวมทั้งติดตามสถานการณ์การผลิตและภาวะเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด เพื่อให้การนำเข้าน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์สามารถดำเนินการได้สอดคล้องและเหมาะสมกับช่วงเวลาที่ผลผลิตปาล์มออกสู่ตลาด โดยไม่ส่งผลกระทบต่อราคาผลปาล์มดิบและราคาน้ำมันพืชปาล์ม และพิจารณาปริมาณนำเข้าน้ำมันปาล์มตามความจำเป็นที่แท้จริง เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรชาวสวนปาล์ม ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
29911 | ร่างพระราชบัญญัติราชบัณฑิตยสถาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติราชบัณฑิตยสถาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. แก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของราชบัณฑิตยสถานให้สามารถจัดการศึกษาอบรมและพัฒนาทางวิชาการ และมีอำนาจในการจัดสวัสดิการและการสงเคราะห์อื่นแก่สมาชิกราชบัณฑิตยสถาน ๒. แก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของนายกราชบัณฑิตยสถานโดยให้เป็นผู้แทนของราชบัณฑิตยสถานในการดำเนินงานทางวิชาการ ๓. แก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของสภาราชบัณฑิตโดยให้มีอำนาจในการออกข้อบังคับเพื่อเรียกเก็บค่าใช้จ่าย ค่าธรรมเนียม และค่าบริการที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของราชบัณฑิตยสถาน และให้นำไปใช้จ่ายในการดำเนินงานได้ ๔. ปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการส่งเสริมกิจการราชบัณฑิตยสถาน และกำหนดให้เลขาธิการราชบัณฑิตยสถานปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามนโยบาย ข้อบังคับ ระเบียบ มติ หรือคำสั่งของสภาราชบัณฑิต นายกราชบัณฑิตยสถาน และคณะกรรมการส่งเสริมกิจการราชบัณฑิตยสถาน
|
|||||||||||||||||||||||||||
29912 | การส่งเสริมและสนับสนุนให้สหกรณ์เป็นวาระแห่งชาติในโอกาสทศวรรษครบ 100 ปี ของการสหกรณ์ไทย | กษ | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการประกาศให้สหกรณ์เป็นวาระแห่งชาติในโอกาสทศวรรษครบ ๑๐๐ ปี ของการสหกรณ์ไทย ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยมีแนวทางดำเนินการหลังการประกาศ “สหกรณ์เป็นวาระแห่งชาติ” โดยคาดหวังว่า หากสหกรณ์ได้รับการพิจารณาเป็นวาระแห่งชาติ จะมีผลในทางปฏิบัติในเรื่องที่สำคัญ ดังนี้ ๑.๑ เป็นเครื่องมือสำคัญในการรองรับนโยบายทางด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลได้อย่างเต็มที่ เช่น นโยบายประกันรายได้เกษตรกร ปัญหาจากผลของ AFTA สหกรณ์สามารถรองรับการตลาดผลผลิตการเกษตรได้ นโยบายส่งเสริมการออมภาคประชาชน การแก้ปัญหาหนี้สินนอกระบบ โดยสหกรณ์เป็นแหล่งการออมที่สำคัญของภาคประชาชน เป็นต้น ๑.๒ เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับมหภาคโดยการขับเคลื่อนและพัฒนาการรวมกลุ่มเศรษฐกิจและสังคมในชนบทที่มีความหลากหลายให้สามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยใช้วิธีการสหกรณ์ เพื่อลดความซ้ำซ้อน สร้างความชัดเจน และความเป็นเอกภาพแก่ระบบการส่งเสริมกลุ่มของรัฐ รวมถึงเป็นการปฏิรูประบบการออมของประเทศที่ประชาชนสามารถพึ่งตนเองได้ในระยะยาว ๑.๓ เป็นกลไกสร้างการเรียนรู้ วิถีแห่งประชาธิปไตยในระยะยาว โดยปลูกฝังประชาธิปไตยตั้งแต่ระดับเยาวชน ผ่านกิจกรรมสหกรณ์ได้อย่างเป็นรูปธรรม อันจะทำให้เกิดการซึมซับวิธีการประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปบูรณาการร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำยุทธศาสตร์และรายละเอียดต่าง ๆ ที่จะดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนการสหกรณ์ รวมทั้งการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ๓. ให้รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการกำหนดวัตถุประสงค์ เป้าหมายในข้อเสนอระเบียบวาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์ให้ชัดเจนเพื่อจะได้มีขอบเขตทิศทางและจุดมุ่งหมายร่วมของทุกภาคส่วนที่จะนำไปดำเนินการ การศึกษาโครงสร้างหน่วยงาน อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ผลกระทบ รวมทั้งผลดีผลเสีย ที่ผู้รับบริการจะได้รับ และรับฟังความคิดเห็นของหน่วยงานที่จะต้องดำเนินงานตามข้อเสนอวาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์มาประกอบการพิจารณา การกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดการดำเนินงานตามข้อเสนอยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์ให้ชัดเจน การปลูกฝังและวางรากฐานการสหกรณ์ให้กับเยาวชน โดยเฉพาะการให้มีหลักสูตรการสหกรณ์เป็นวิชาบังคับในโรงเรียน และนำระบบการสหกรณ์มาใช้ในโรงเรียน การทำงานร่วมกันระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยราชการในพื้นที่ และสหกรณ์ในระดับพื้นที่ในการขับเคลื่อนการพัฒนาสหกรณ์ในพื้นที่อย่างเป็นเอกภาพ การเชื่อมโยงสหกรณ์เครือข่ายการผลิต และการตลาด ที่มีอยู่หลากหลายประเภทในทุกระดับตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับชาติ และการปรับปรุงโครงสร้างภายในกรมส่งเสริมสหกรณ์และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ เพื่อให้เป็นหน่วยงานหลักในการสนับสนุนทางวิชาการและให้บริการที่เกี่ยวข้องแก่สหกรณ์ทุกประเภท ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
29913 | มาตรการภาษีเพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าและการผลิตอัญมณีและเครื่องประดับโลก | กค | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าและการผลิตอัญมณีและเครื่องประดับโลก โดยยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการนำเข้ามาเพื่อขายหรือการขายอัญมณีที่ยังมิได้เจียระไน การกำหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งมีเงินได้พึงประเมินจากการขายอัญมณีบางกรณีให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำเงินได้พึงประเมินดังกล่าวมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ และการกำหนดให้มีการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย สำหรับการจ่ายเงินได้จากการซื้ออัญมณีที่ยังมิได้เจียระไนในอัตราร้อยละ ๑.๐ ออกไปอีก ๓ ปี จากสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ เป็นสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ และอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา จำนวน ๒ ฉบับ และร่างกฎกระทรวง จำนวน ๑ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการนำเข้ามาเพื่อขายหรือการขายพลอย ทับทิม มรกต บุษราคัม โกเมน โอปอล นิล เพทาย ไพฑูรย์ หยก และอัญมณีที่มีลักษณะทำนองเดียวกัน เฉพาะที่ยังมิได้เจียระไน แต่ไม่รวมถึงสิ่งทำเทียมวัตถุดังกล่าวหรือที่ทำขึ้นใหม่ เพชร ไข่มุก และสิ่งทำเทียมเพชรหรือไข่มุกหรือที่ทำขึ้นใหม่ ให้แก่ผู้นำเข้าหรือผู้ขายที่เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาซึ่งมิใช่ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาซึ่งมิใช่ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ที่มีเงินได้พึงประเมินจากการขายพลอย ทับทิม มรกต บุษราคัม โกเมน โอปอล นิล เพทาย ไพฑูรย์ หยก และอัญมณีที่มีลักษณะทำนองเดียวกัน เฉพาะที่ยังมิได้เจียระไน แต่ไม่รวมถึงสิ่งทำเทียมวัตถุดังกล่าวหรือที่ทำขึ้นใหม่ เพชร ไข่มุก และสิ่งทำเทียมเพชรหรือไข่มุกหรือที่ทำขึ้นใหม่และได้ถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายไว้แล้วตามอัตราที่กฎหมายกำหนดเมื่อถึงกำหนดยื่นรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้ ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำเงินได้พึงประเมินจากการขายอัญมณีดังกล่าวมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๓ ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยภาษีเงินได้ มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้หักภาษี ณ ที่จ่าย สำหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมินเฉพาะที่เป็นการจ่ายเงินได้จากการซื้อพลอย ทับทิม มรกต บุษราคัม โกเมน โอปอล นิล เพทาย ไพฑูรย์ หยก และอัญมณี ที่มีลักษณะทำนองเดียวกัน เฉพาะที่ยังมิได้เจียระไน แต่ไม่รวมถึงสิ่งทำเทียมวัตถุดังกล่าว หรือที่ทำขึ้นใหม่ เพชร ไข่มุก และสิ่งทำเทียมเพชรหรือไข่มุกหรือที่ทำขึ้นใหม่ ให้แก่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาซึ่งมิใช่ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล และมิได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ใช้สิทธิยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามพระราชกฤษฎีกาออกตามในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ๓๑๑) พ.ศ. ๒๕๔๐ ร้อยละ ๑.๐ ทั้งนี้ สำหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมินระหว่างวันที่กฎกระทรวงมีผลใช้บังคับถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการประเมินผลมาตรการภาษีในลักษณะเดียวกันที่ได้ดำเนินการแล้วในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๔ เพื่อเปรียบเทียบผลของการเพิ่มขึ้นของปริมาณการค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย กับผลเสียจากรายได้ที่ลดลงจากการลดและยกเว้นภาษี เพื่อนำมาประกอบการพิจารณากำหนดมาตรการในการพัฒนาอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของไทยในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
29914 | ขยายเวลาการส่งมอบรถยนต์และยื่นเอกสารสำหรับโครงการรถยนต์ใหม่คันแรก | กค | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการขยายเวลาการรับและส่งมอบรถยนต์รวมถึงเอกสารหลักฐานของราชการออกไปสำหรับโครงการรถยนต์ใหม่คันแรก ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้ ๑.๑ ผู้ขอใช้สิทธิในโครงการรถยนต์ใหม่คันแรกต้องทำการซื้อหรือจองรถยนต์ภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ และต้องยื่นคำขอใช้สิทธิฯ และเอกสารประกอบการใช้สิทธิฯ ภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ได้แก่ สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาหนังสือสัญญาเช่าซื้อ (ถ้ามี) สำเนาบัญชีเงินฝากธนาคารของผู้ขอใช้สิทธิฯ และใบจองรถยนต์ (ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕) ๑.๒ เนื่องจากในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ผู้ขอใช้สิทธิในโครงการรถยนต์ใหม่คันแรกอาจจะยังไม่ได้รับมอบรถยนต์หรือจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกไม่ทันตามกำหนดเวลา ส่งผลให้ไม่สามารถยื่นเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ได้ภายในวันสิ้นสุดโครงการฯ (วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕) จึงผ่อนผันให้ผู้ขอใช้สิทธิฯ นำเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมมายื่น ณ สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่สาขา ภายในระยะเวลา ๙๐ วันนับจากวันถัดจากวันรับมอบรถยนต์ ได้แก่ หนังสือสัญญายินยอมสละสิทธิ์การโอนรถยนต์ใหม่คันแรก สำเนาหลักฐานการซื้อขายรถยนต์ กรณีการซื้อด้วยเงินสด (สำเนาใบเสร็จรับเงินหรือสำเนาสัญญาซื้อขาย และสำเนาเอกสารการรับมอบรถยนต์) กรณีเช่าซื้อ (สำเนาใบเสร็จรับเงิน สำเนาเอกสารการรับมอบรถยนต์ และสำเนาหนังสือสัญญาเช่าซื้อ) และสำเนาคู่มือจดทะเบียน ๑.๓ หากผู้ขอใช้สิทธิในโครงการรถยนต์ใหม่คันแรกไม่ดำเนินการตามข้อ ๑.๑ และไม่นำเอาเอกสารเพิ่มเติมในข้อ ๑.๒ มายื่น ณ สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่สาขาภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้ถือว่าผู้ขอใช้สิทธิฯ ไม่ประสงค์จะขอรับเงินคืนตามโครงการฯ และจะเรียกร้องสิทธิฯ และค่าเสียหายใด ๆ กับทางราชการไม่ได้ ทั้งนี้ ให้กรมสรรพสามิตสามารถกำหนดแนวปฏิบัติเพิ่มเติมเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีต่อไปได้ ๑.๔ ผู้ขอใช้สิทธิในโครงการรถยนต์ใหม่คันแรกจะได้รับเงินคืนหลังจากครอบครองรถยนต์ใหม่คันแรกไปแล้ว ๑ ปี หากเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กรมสรรพสามิตกำหนด ทั้งนี้ ชื่อผู้ซื้อที่ระบุในใบจองรถยนต์ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ จะต้องเป็นชื่อบุคคลเดียวกันกับผู้ซื้อรถยนต์ที่ยื่นขอใช้สิทธิฯ ดังกล่าวเท่านั้น หากเป็นบุคคลอื่นจะไม่ได้รับสิทธิฯ เพื่อเป็นการป้องกันมิให้มีการซื้อและขายใบจองรถยนต์ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับขยายเวลาการส่งมอบรถยนต์และยื่นเอกสารสำหรับโครงการรถยนต์ใหม่คันแรกจะมีประชาชนมาดำเนินการยื่นเอกสารเป็นจำนวนมาก จึงเห็นควรให้กระทรวงการคลังประสานส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในการประชาสัมพันธ์ขั้นตอนในการยื่นเอกสาร เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องถึงกระบวนการต่าง ๆ รวมทั้งบูรณาการการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ขั้นตอนในการดำเนินงานเกิดความรวดเร็ว และสามารถรองรับความต้องการของประชาชนได้ดียิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งให้กำกับ ติดตาม ตรวจสอบการดำเนินการให้ผู้ซื้อที่ระบุในใบจองรถยนต์ตามโครงการฯ และผู้ซื้อรถยนต์ที่ยื่นขอใช้สิทธิต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ อย่างเคร่งครัดต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
29915 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การเพิ่มองค์ประกอบของคณะกรรมการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร พ.ศ. 2534) | พณ | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบฯ (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๕๑ ดังนี้
๑. แก้ไของค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร โดยเพิ่มกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีความเชี่ยวชาญหรือมีประสบการณ์ด้านการตลาด ด้านการผลิต หรือด้านการบริหารจัดการซึ่งแต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรีด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี จำนวนไม่น้อยกว่าสองคนแต่ไม่เกินสี่คน เป็นกรรมการ ๒. กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม วาระการดำรงตำแหน่ง และการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ |
|||||||||||||||||||||||||||
29916 | คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เรื่อง คำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 (กรณีพลเอก สมเจตน์ บุญถนอม) | ศร | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เรื่อง คำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๘ (กรณีพลเอก สมเจตน์ บุญถนอม ผู้ร้องและผู้ร้องอื่น รวม ๕ คำร้อง) ๒. มอบให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาหาข้อยุติเกี่ยวกับความหมายของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากคำวินิจฉัยของตุลาการซึ่งเป็นองค์คณะยังมีความแตกต่างกัน แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๓. มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) พิจารณาหากลไกในการมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อให้ประชาชนได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องและมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวางในประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ เช่น ๓.๑ การสร้างความสมดุลย์ในการใช้อำนาจขององค์กรต่างๆ ๓.๒ ความสมดุลย์ระหว่างความโปร่งใส่ตรวจสอบได้ เสถียรภาพ และความต่อเนื่องในการบริหารราชการแผ่นดิน ๓.๓ การใช้อำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ให้เป็นไปตามกลไกการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยใช้หลักสิทธิความเสมอภาคอย่างเท่าเทียมกัน หลักนิติธรรม และการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน
|
|||||||||||||||||||||||||||
29917 | การเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบการเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ดังนี้ ๑.๑ การเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวนทั้งสิ้น ๗๓,๐๘๘.๕ ล้านบาท โดยมีรายการผูกพันงบประมาณ ๑๐ รายการ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๒,๒๔๗.๘ ล้านบาท เป็นปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๔๔๙.๖ ล้านบาท และผูกพันงบประมาณปีต่อ ๆ ไป จำนวน ๑,๗๙๘.๒ ล้านบาท ๑.๒ การเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของส่วนราชการ ประกอบด้วย การเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายฯ จากมหาวิทยาลัยศิลปากร จำนวน ๖๕.๘ ล้านบาท เป็น สถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา จำนวน ๖๕.๘ ล้านบาท การเปลี่ยนแปลงรายละเอียดรายการงบประมาณที่กำหนดไว้ในเอกสารประกอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และการเปลี่ยนแปลงหน่วยงานดำเนินการของกองทุนตั้งตัวได้ที่กำหนดไว้ในเอกสารประกอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จากสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็น สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ๒. ให้สำนักงบประมาณนำเรื่องการเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบแล้วเสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ สภาผู้แทนราษฎร เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๓. เห็นชอบการปรับปรุงขั้นตอนการดำเนินงานการเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ในส่วนของขั้นตอนการนำเสนอคณะรัฐมนตรี จากวันอังคารที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เป็นวันจันทร์ที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ในวันอังคารที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕
|
|||||||||||||||||||||||||||
29918 | ขออนุมัติเป็นเจ้าภาพร่วมกับสำนักเลขาธิการอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในการจัดประชุมคณะทำงานเฉพาะกิจภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างไม่เป็นทางการ (Informal additional sessions of the ad hoc working groups) และการประชุมคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง | ทส | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ประเทศไทย โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นเจ้าภาพร่วมกับสำนักเลขาธิการอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในการจัดประชุมคณะทำงานเฉพาะกิจภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างไม่เป็นทางการ (Informal additional sessions of the ad hoc working groups) ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ องค์การสหประชาชาติ กรุงเทพมหานคร ในระหว่างวันที่ ๒๔ สิงหาคม - ๕ กันยายน ๒๕๕๕ และการประชุมคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง ในระหว่างวันที่ ๖ - ๑๓ กันยายน ๒๕๕๕ ณ สถานที่ที่สำนักเลขาธิการอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำหนด ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
29919 | การดำเนินการโครงการตามมติ ครม. นอกสถานที่ ณ จังหวัดเชียงใหม่ อุดรธานี ภูเก็ต กาญจนบุรี และชลบุรี | นร | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่ขอให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดเร่งรัดให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการตามมติคณะรัฐมนตรี ณ จังหวัดกาญจนบุรี และชลบุรี ขอรับการจัดสรรงบประมาณในโครงการเร่งด่วนที่ยังไม่ได้ขอรับการจัดสรรงบประมาณ โดยกรณีที่เป็นโครงการตามมติคณะรัฐมนตรี ณ จังหวัดกาญจนบุรี ให้จัดส่งสำนักงบประมาณ ภายในวันพุธที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๕ ส่วนโครงการตามมติคณะรัฐมนตรี ณ จังหวัดชลบุรี ให้จัดส่งสำนักงบประมาณ ภายในวันพฤหัสบดีที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๕ โดยหากพ้นกำหนดดังกล่าวแล้ว จะถือว่าไม่ประสงค์จะขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการนั้น ๆ
|
|||||||||||||||||||||||||||
29920 | ผลการประชุมเชิงปฏิบัติการการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน ปี 2558 ครั้งที่ 1 | นร | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมเชิงปฏิบัติการการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน ปี ๒๕๕๘ ครั้งที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ ตึกสันติไมตรีหลังนอก ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งได้มีการนำเสนอของหัวหน้าส่วนราชการจำแนกหน่วยงานตามภารกิจที่สอดรับกับประชาคมอาเซียน ๓ เสาหลัก ได้แก่ ประชาคมเศรษฐกิจ ประชาคมสังคมและวัฒนธรรม และประชาคมการเมืองและความมั่นคง รวมทั้งภารกิจของหน่วยงานขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี และความเห็นของที่ประชุมฯ ๒. เห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีไปดำเนินการ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติบูรณาการผลการดำเนินงานของหน่วยงานและรายงานผลการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรี ดังนี้ ๒.๑ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสรุปแผนงาน/โครงการหลักและจัดลำดับความสำคัญเพื่อบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานในแต่ละ ๓ เสาหลัก และวิเคราะห์ภาพรวม ความพร้อม/ไม่พร้อม และความได้เปรียบ/เสียเปรียบในการแข่งขันในแต่ละด้าน ให้แล้วเสร็จภายใน ๓ สัปดาห์ โดยด้านเศรษฐกิจ ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นเจ้าภาพหลัก ด้านสังคมและวัฒนธรรม ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นเจ้าภาพหลัก และด้านการเมืองและความมั่นคง ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นเจ้าภาพหลัก ๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักในเรื่องการเชื่อมโยงในภูมิภาคอาเซียน โดยให้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อวางแผนพัฒนาศักยภาพการเป็นศูนย์กลางอาเซียนของไทยใน ๓ เรื่อง ประกอบด้วย การขนส่ง การท่องเที่ยว รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและสุขภาพ และการสร้างความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคม ทั้งนี้ ให้พิจารณาในประเด็นเฉพาะควบคู่กันไปด้วย เช่น เรื่องการพัฒนาด่านศุลกากร ด่านตรวจคนเข้าเมือง และการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๓ สัปดาห์ ๒.๓ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน เป็นหน่วยงานหลักในเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยวางแผนกำลังคนทั้งระบบ ครอบคลุมทรัพยากรมนุษย์ในภาครัฐ และภาคการผลิตและบริการ ทั้งในส่วนของจำนวนความต้องการ และการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน และภาษาทักษะด้านภาษา โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๓ สัปดาห์ ๒.๔ ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) เป็นเจ้าภาพหลัก ในการพัฒนาขีดความสามารถของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดเพื่อบูรณาการความพร้อมของ ๓ เสาหลัก โดยให้ความสำคัญกับพื้นที่จังหวัดชายแดน เขตเศรษฐกิจพิเศษ และพื้นที่ที่มีศักยภาพในการเติบโต รวมทั้งการพัฒนาสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อการส่งออก โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๕ สัปดาห์ ๒.๕ ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการร่วมกับภาคเอกชน ๕ สถาบัน ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ๒.๖ ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบการสนับสนุนการขับเคลื่อน ๓ เสาหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นด้านเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับการปฏิบัติงานในภาครัฐและการศึกษา การจัดตั้งศูนย์บริการข้อมูลและให้คำปรึกษา (Call Center) ที่มีหลายภาษา จัดทำเว็บไซต์เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ การสร้างภาพลักษณ์และอัตลักษณ์ที่โดดเด่นของประเทศไทย การให้บริการด้านกฎหมาย พลังงานและไฟฟ้าซึ่งเป็นทั้งสินค้าและปัจจัยสนับสนุน รวมทั้งการวิจัยและพัฒนา โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๕ สัปดาห์
|
.....