ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1500 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 29981 - 30000 จากข้อมูลทั้งหมด 123963 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
29981 | การแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกกรอบแนวคิดเพื่อออกแบบก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย | วท | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบ (ร่าง) คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกกรอบแนวคิดเพื่อออกแบบก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ องค์ประกอบของคณะกรรมการ มีดังนี้ ๑.๑.๑ ประธาน กบอ. เป็นประธาน ๑.๑.๒ กรรมการโดยตำแหน่ง จำนวน ๑๐ คน ได้แก่ ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดกระทรวงคมนาคม ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ และประธานคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ ๑.๑.๓ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย นายอภิชาติ อนุกูลอำไพ นายรอยล จิตรดอน นายอานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา นายวัยวุฒิ หล่อตระกูล และนางสาววิลาวรรณ วนดุรงค์วรรณ โดยให้ประธานแต่งตั้งเลขานุการหนึ่งคนและผู้ช่วยเลขานุการไม่เกินสองคน ๑.๒ อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ มีดังนี้ ๑.๒.๑ พิจารณาคัดเลือกข้อเสนอกรอบแนวคิดเพื่อออกแบบก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทยที่สอดคล้องกับแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนของประเทศไทยมากที่สุด ๑.๒.๒ เสนอแนะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการเพื่อให้มีการนำกรอบแนวคิดที่ได้รับการคัดเลือกไปดำเนินการต่อไป ๑.๒.๓ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาหรือดำเนินการในเรื่องที่ได้รับมอบหมาย ทั้งนี้ ให้หน่วยงานของรัฐสนับสนุนการปฏิบัติงานของคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกตามที่ได้รับการร้องขอ ๒. ให้เพิ่มผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเป็นกรรมการโดยตำแหน่งในคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกกรอบแนวคิดเพื่อออกแบบก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29982 | ผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย | นร | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยตามที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ซึ่งร่วมกันพิจารณาแผนงานเร่งด่วน การติดตั้งตะแกรงกันขยะ การขยายเขตไฟฟ้า การติดตั้งแพลูกบวบสำหรับเครื่องสูบน้ำของกรมชลประทาน โดยอนุมัติให้กรมชลประทานใช้จ่ายจากเงินที่ส่วนราชการส่งคืนงบประมาณ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ดังนี้ ๑.๑ ติดตั้งตะแกรงกันขยะสำหรับเครื่องสูบน้ำเคลื่อนที่ ๑๒๐ เครื่อง ของสถานีสูบน้ำฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา จำนวน ๔๙ แห่ง เป็นเงิน ๑๐๓.๖๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ ติดตั้งตะแกรงกันขยะสำหรับเครื่องสูบน้ำเคลื่อนที่ ๑๒๐ เครื่อง ของสถานีสูบน้ำฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา จำนวน ๓๓ แห่ง เป็นเงิน ๘๙.๖๖๙๐ ล้านบาท ๑.๓ ติดตั้งแพลูกบวบสำหรับเครื่องสูบน้ำเคลื่อนที่ จำนวน ๔๑ แห่ง ความยาวทั้งสิ้น ๑,๖๐๑ เมตร เป็นเงิน ๕๖.๒๐๗๐ ล้านบาท ๒. ให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเร่งรัดการดำเนินการจัดทำแผนการติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำและเครื่องสูบน้ำ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง ผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย) ให้แล้วเสร็จโดยเร็วด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29983 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (จำนวน 11 ราย 1. นายมนตรี จุฬาวัฒนทล ฯลฯ) | ศธ | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำนวน ๑๑ คน ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายมนตรี จุฬาวัฒนทล ประธานกรรมการ ๒. นายสุพจน์ หารหนองบัว กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๓. นายณรงค์ ปั้นนิ่ม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๔. นายประสาท สืบค้า กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๕. นายสมบูรณ์ ม่วงกล่ำ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๖. นายทรงศักดิ์ เปรมสุข กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๗. นายช่วงโชติ พันธุเวช กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๘. นางประคอง กลิ่นจันทร์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ครูผู้สอนด้านวิทยาศาสตร์ ภาคเหนือ ๙. นางรำเพย ภาณุสิทธิกร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ครูผู้สอนด้านวิทยาศาสตร์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๑๐. นายสมประสงค์ สิงคชาติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ครูผู้สอนด้านวิทยาศาสตร์ ภาคกลาง ๑๑. นางศิริวรรณ ตรีพงศ์พันธุ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ครูผู้สอนด้านคณิตศาสตร์ ภาคใต้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29984 | การดำเนินการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรม ที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ดำเนินการเอง | อก | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๕ รวมทั้งผลการหารือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการดำเนินการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ดำเนินการเอง ซึ่งประธานกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เห็นชอบแล้ว ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการกลั่นกรองฯ เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการขอเพิ่มเติมงบประมาณลงทุนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ (ครั้งที่ ๒) เพื่อก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมในนิคมอุตสาหกรรมของ กนอ. รวม ๖ แห่ง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง นิคมอุตสาหกรรมบางชัน นิคมอุตสาหกรรมบางปู นิคมอุตสาหกรรมสมุทรสาคร นิคมอุตสาหกรรมบางพลี และนิคมอุตสาหกรรมพิจิตร วงเงิน ๓,๕๔๖.๒๔ ล้านบาท โดยให้กู้ยืมเงินจากธนาคารออมสิน จำนวน ๓,๕๔๖.๒๔ ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๐.๐๑ ต่อปี ระยะเวลา ๑๕ ปี และให้จ่ายเฉพาะดอกเบี้ยโดยไม่ต้องจ่ายคืนเงินต้นใน ๕ ปีแรก ๑.๒ ให้ กนอ. พิจารณานำเงินส่งเป็นรายได้แผ่นดินตามปกติ โดยไม่ต้องหักยอดเงินต้นและดอกเบี้ยที่จะต้องชำระคืนในแต่ละปีออก ๑.๓ ให้ กนอ. รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการพิจารณาเก็บค่าบริการส่วนกลาง ไปดำเนินการต่อไป ๑.๔ ให้ กนอ. จัดทำรายละเอียดผลกระทบที่เกิดขึ้นเสนอคณะกรรมการจัดทำบันทึกข้อตกลงและประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจพิจารณาต่อไป ๑.๕ ให้ กนอ. รับภาระภาษีโรงเรือน ภาษีบำรุงท้องที่หรือภาษีอื่นใดที่หน่วยงานท้องถิ่นจัดเก็บ เนื่องจากการประมาณการภาระภาษีอยู่ในระดับที่ฐานะทางการเงินของ กนอ. สามารถรองรับได้ ๒. ในกรณีที่การดำเนินการโครงการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ. ดำเนินการเอง ส่งผลกระทบต่อต้นทุนของ กนอ. ให้คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยพิจารณาปรับอัตราค่าบริการส่วนกลางจากผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยให้มีผลกระทบต่อผู้ประกอบการน้อยที่สุด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29985 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - ซาอุดีอาระเบีย | คค | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของประเทศไทยและซาอุดีอาระเบีย ดังนี้ ๑.๑ สาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจฯ ได้แก่ ๑.๑.๑ ความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศ ทั้งสองฝ่ายได้หารือกันเกี่ยวกับข้อบทในความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศ ๒ ประเด็น คือ ๑.๑.๑.๑ การแต่งตั้งสายการบินที่กำหนด โดยปรับปรุงข้อบทเรื่องการแจ้งแต่งตั้งสายการบินที่กำหนดจากเดิมที่ระบุให้ภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายสามารถแจ้งแต่งตั้งสายการบินที่กำหนดได้เพียงหนึ่งสาย ให้เป็นหลายสาย เพื่อส่งเสริมให้มีสายการบินดำเนินบริการระหว่างกันมากขึ้น โดยทั้งสองฝ่ายตกลงระบุให้สายการบินซาอุดีอาระเบียเป็นสายการบินที่กำหนดของซาอุดีอาระเบีย และบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) เป็นสายการบินที่กำหนดของไทย ๑.๑.๑.๒ ความปลอดภัยและการรักษาความปลอดภัยการบิน ได้เพิ่มข้อบทว่าด้วยความปลอดภัย (Safety) และการรักษาความปลอดภัย (Security) การบินในความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างกัน โดยร่างข้อบททั้งสองเป็นไปตามร่างมาตรฐานขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ ๑.๑.๒ ใบพิกัดเส้นทางบิน ได้ปรับปรุงใบพิกัดเส้นทางบิน โดยเพิ่มจุดเจดดาห์ และเปลี่ยนแปลงจุด “ดาห์รัน” เป็นจุด “ดัมมัม” ในเส้นทางบินของฝ่ายไทย และระบุจุดที่มีท่าอากาศยานระหว่างประเทศ ๗ แห่งของไทย ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ เชียงราย หาดใหญ่ ภูเก็ต กระบี่ อู่ตะเภา เป็นจุดในเส้นทางบินของฝ่ายซาอุดีอาระเบีย สำหรับจุดระหว่างทางและจุดพ้น ทั้งสองฝ่ายตกลงระบุเป็นสองจุดใด ๆ ที่จะระบุภายหลัง โดยเส้นทางดังกล่าวจะใช้ได้สำหรับทั้งบริการขนส่งผู้โดยสารและบริการขนส่งเฉพาะสินค้า ๑.๑.๓ ความจุความถี่ของบริการ ปรับปรุงสิทธิความจุความถี่ของบริการไว้ ดังนี้ ๑.๑.๓.๑ สายการบินที่กำหนดของไทย สามารถทำการบินด้วยอากาศยานแบบใด ๆ ระหว่างจุดใด ๆ ในไทยและริยาด ได้ถึง ๕ เที่ยวต่อสัปดาห์ ระหว่างจุดใด ๆ ในไทยและเจดดาห์ ได้ถึง ๕ เที่ยวต่อสัปดาห์ และระหว่างจุดใด ๆ ในไทยและดัมมัม ได้ไม่จำกัดจำนวน ๑.๑.๓.๒ สายการบินที่กำหนดของซาอุดีอาระเบีย สามารถทำการบินด้วยอากาศยานแบบใด ๆ จากเจดดาห์และริยาด ไปยังจุดใด ๆ ในไทย ได้ถึง ๙ เที่ยวต่อสัปดาห์ และระหว่างดัมมันและจุดใด ๆ ในไทย ได้ไม่จำกัดจำนวน ๑.๑.๔ สิทธิรับขนการจราจร ทั้งสองฝ่ายตกลงให้สิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๓ และ ๔ แก่สายการบินของแต่ละฝ่ายอย่างเต็มที่ ภายใต้ความจุความถี่ที่กำหนด สำหรับสิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๕ ให้เป็นไปโดยการตกลงระหว่างเจ้าหน้าที่การเดินอากาศของทั้งสองฝ่ายต่อไป ๑.๑.๕ เที่ยวบินพิเศษ ทั้งสองฝ่ายตกลงระบุข้อความเกี่ยวกับเที่ยวบินพิเศษว่า การขอทำการเที่ยวบินพิเศษสามารถกระทำได้ โดยการส่งรายละเอียดของเที่ยวบินไปยังเจ้าหน้าที่การเดินอากาศเพื่อการอนุญาตเป็นกรณีพิเศษต่อไป ๑.๑.๖ การทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน ทั้งสองฝ่ายตกลงระบุข้อบทเรื่องการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน ทั้งในส่วนของการทำการบินร่วมกันกับสายการบินของประเทศคู่ภาคี ประเทศที่สาม และสายการบินในประเทศเดียวกัน เพื่อให้สายการบินของแต่ละฝ่ายมีทางเลือกที่จะร่วมมือด้านการบินกับสายการบินอื่น ๆ ได้อย่างเต็มที่ ๑.๑.๗ การรวมบันทึกความเข้าใจฉบับต่าง ๆ ทั้งสองฝ่ายตกลงรวมบันทึกความเข้าใจฉบับต่าง ๆ ที่ได้จัดทำขึ้นเป็นฉบับเดียว เพื่อให้สะดวกแก่การอ้างและง่ายต่อผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งบันทึกความเข้าใจฉบับนี้จะมีผลใช้แทนบันทึกความเข้าใจฉบับก่อนหน้านี้ทั้งหมด ๑.๒ สาระสำคัญของร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ได้แก่ ตัวบทความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศ กรอบด้านการปฏิบัติการ และใบพิกัดเส้นทางบิน ๒. ให้นำเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนมอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจฯ ต่อไป โดยในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29986 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - ปากีสถาน | คค | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของบันทึกความเข้าใจลับระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของประเทศไทยและปากีสถาน ดังนี้ ๑.๑ สาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจฯ ได้แก่ ๑.๑.๑ ข้อบทว่าด้วยการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินเดียวกัน สองฝ่ายได้ตกลงเพิ่มข้อบทว่าด้วยการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินเดียวกันไว้ในความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศ ทั้งในส่วนของการร่วมมือกันระหว่างสายการบินของประเทศคู่ภาคีในช่วงเส้นทางระหว่างประเทศ การร่วมมือระหว่างสายการบินของประเทศเดียวกัน และการร่วมมือกับสายการบินของประเทศที่สาม ๑.๑.๒ ข้อบทว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยการบิน ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงเพิ่มข้อบทว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยการบิน ซึ่งมีสาระเป็นไปตามร่างมาตรฐานขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ ไว้ในความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศ ๑.๑.๓ ข้อบทว่าด้วยความปลอดภัยการบิน ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงเพิ่มข้อบทว่าด้วยความปลอดภัยการบิน ซึ่งมีสาระเป็นไปตามร่างมาตรฐานขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ ไว้ในความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศ ๑.๑.๔ สิทธิความจุความถี่และสิทธิรับขนการจราจร ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงให้สายการบินที่กำหนดของแต่ละฝ่ายสามารถใช้สิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๕ ได้ทุกจุดในเส้นทางบินได้ไม่เกิน ๔ เที่ยวต่อสัปดาห์ ในแต่ละช่วงเส้นทางบินไปยังและมาจากอาณาเขตของอีกฝ่ายหนึ่ง ๑.๑.๕ เส้นทางบิน ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงปรับปรุงเส้นทางบินของแต่ละฝ่าย ๑.๑.๖ การมีผลใช้บังคับ ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงให้เรื่องของเส้นทางบิน สิทธิความจุความถี่ และสิทธิรับขนการจราจรที่ระบุไว้ในบันทึกความเข้าใจลับฉบับนี้มีผลใช้บังคับนับจากวันที่ความตกลงว่าด้วยการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกันระหว่างสายการบินปากีสถานและบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) มีผลนำไปใช้ ตามที่สายการบินทั้งสองได้จัดทำข้อตกลงไว้ในการเจรจาคราวนี้ ๑.๒ สาระสำคัญของร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ได้แก่ ภาคผนวกเส้นทางบิน ความถี่ ความจุ และสิทธิรับขนจราจร การรักษาความปลอดภัยการบิน ความปลอดภัยการบิน และการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน ๒. ให้นำเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนมอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจลับฯ ต่อไป โดยในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29987 | การให้สัตยาบันพิธีสารเพื่ออนุวัติข้อผูกพันชุดที่ 7 ของบริการขนส่งทางอากาศ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน | คค | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการให้สัตยาบันพิธีสารเพื่ออนุวัติข้อผูกพันชุดที่ ๗ ของบริการขนส่งทางอากาศ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน และให้นำพิธีสารฯ เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาให้ความเห็นชอบเพื่อการมีผลใช้บังคับของพิธีสารต่อไป ๑.๒ เมื่อรัฐสภาเห็นชอบพิธีสารฯ แล้ว ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งภาคีคู่สัญญาทราบเพื่อให้หนังสือสัญญามีผลใช้บังคับต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นว่า ก่อนการแสดงเจตนาให้มีผลผูกพัน กระทรวงคมนาคมจะต้องให้ประชาชนเข้าถึงรายละเอียดของพิธีสารฯ นั้น และในกรณีที่การปฏิบัติตามพิธีสารฯ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนหรือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม จะต้องดำเนินการแก้ไขหรือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบนั้นอย่างรวดเร็ว เหมาะสม และเป็นธรรม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29988 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับโกตดิวัวร์ | กต | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ ๒๐๔๕ (ค.ศ. ๒๐๑๒) ปรับและขยายเวลาการดำเนินมาตรการเกี่ยวกับโกตดิวัวร์ ออกไปจนถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๖ เพื่อเป็นการปฏิบัติตามพันธกรณีที่ไทยมีต่อสหประชาชาติ โดยสอดคล้องกับกฎหมายภายในของไทย ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และธนาคารแห่งประเทศไทยถือปฏิบัติและแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและสำนักข่าวกรองแห่งชาติที่เห็นควรระมัดระวังและเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวและสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสันติภาพและเสถียรภาพ รวมถึงการเสริมสร้างความร่วมมือและประสานงานในการแลกเปลี่ยนข่าวสารและข่าวกรองกับหน่วยงานด้านความมั่นคงในภูมิภาคเกี่ยวกับกิจกรรมและความเคลื่อนไหวของบุคคลและกลุ่มบุคคลที่ปรากฏอยู่ตามข้อมติฯ ดังกล่าว นอกจากนี้ เห็นควรเพิ่มการตรวจสอบตู้สินค้าที่มีปลายทางหรือส่งมาจากโกตดิวัวร์ผ่านท่าเรือคลองเตย และท่าเรือแหลมฉบังของไทย เพื่อป้องกันการลักลอบขนส่งอาวุธจากประเทศในเอเชียไปยังประเทศในแอฟริกาตะวันตก และเพิ่มการตรวจสอบการค้าอัญมณีและเพชรที่อาจมีการซื้อ - ขายผ่านมือนักธุรกิจข้ามชาติมายังไทย ซึ่งอาจทำให้ไทยละเมิดมาตรการคว่ำบาตรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติโดยไม่เจตนาได้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29989 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบล" | สสป | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “ศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบล” ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ดังนี้ ๑.๑ การบูรณาการงานถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีให้กับชุมชน ๑.๑.๑ รัฐควรให้ความสำคัญกับศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบลเพื่อเป็นศูนย์กลางการบูรณาการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับชุมชน ๑.๑.๒ รัฐควรสนับสนุนให้สภาเกษตรกรแห่งชาติมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนภารกิจศูนย์ฯ ให้บรรลุเป้าหมายเป็นไปตามทิศทางที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ ๑.๑.๓ หน่วยงานราชการที่มีหน้าที่ให้ความสำคัญในการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีไปยังชุมชนควรลดความซ้ำซ้อนในการจัดตั้งกลุ่มประชาชนเพื่อให้เป็นตัวแทนของหน่วยงานโดยอาศัยศูนย์ฯ เพื่อให้เป็นศูนย์รวมของชุมชนด้านการเกษตรในลักษณะจุดบริการเพียงจุดเดียว ๑.๑.๔ รัฐควรเอาภารกิจการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีของศูนย์ฯ เข้าเป็นส่วนหนึ่งของแผนสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ๑.๒. การทำหน้าที่บริการและถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีสู่ชุมชน ๑.๒.๑ พัฒนาให้เป็นศูนย์รวมข้อมูลองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านการเกษตรของชุมชน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการประกอบอาชีพสร้างแรงจูงใจก่อให้เกิดความภาคภูมิใจในอาชีพเกษตรกรรม ๑.๒.๒ เพิ่มบทบาทและหน้าที่ของศูนย์ฯ ในการส่งเสริมให้ชุมชนอนุรักษ์และใช้ประโยชน์อย่างพอเพียงจากพันธุกรรมพืช พันธุกรรมสัตว์ ทรัพยากรธรรมชาติ ความหลากหลายทางชีวภาพ และภูมิปัญญาท้องถิ่น ๑.๒.๓ จัดให้มีการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีการเกษตรด้านต่างๆ ให้เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมายโดยวิธีการที่เหมาะสมกับพื้นที่และชุมชน เช่น การจัดฝึกอบรม การจัดตั้งศูนย์สาธิต เป็นต้น ๑.๒.๔ จัดให้มีการถ่ายทอดผลงานและประสบการณ์บริหารงานระหว่างศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบล ๑.๓. งบประมาณ ๑.๓.๑ รัฐพึงจัดสรรงบประมาณสนับสนุนศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบลผ่านทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยระบุงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินงานให้ชัดเจน ๑.๓.๒ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรบูรณาการแผนงานด้านการส่งเสริมและถ่ายทอดความรู้เทคโนโลยีการเกษตรของหน่วยงานในระดับต่างๆ ให้กับเกษตรกร ๑.๓.๓ รัฐส่งเสริมและสนับสนุนให้ศูนย์ฯ สามารถดำเนินกิจกรรมโดยไม่ต้องรองบประมาณจากรัฐเพียงอย่างเดียว ๒. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ดังนี้ ๒.๑ การบูรณาการงานถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีให้กับชุมชน โดยมอบให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นประสานความร่วมมือไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้นำภารกิจด้านศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบลบรรจุไว้ในแผนยุทธศาสตร์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปรับปรุงโครงสร้างคณะกรรมการบริหารศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบลให้ชัดเจนในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน ให้ทุกส่วนราชการบูรณาการแผนการถ่ายทอดความรู้ โดยให้สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติสนับสนุนข้อมูลหรือองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน ๒.๒ การทำหน้าที่บริการและถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีสู่ชุมชน มอบกรมส่งเสริมการเกษตรเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการประสานข้อมูลองค์ความรู้ เอกสาร นิทรรศการ จากภาครัฐ เอกชน และประชาชน ให้ศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบลมีบทบาทในด้านการอนุรักษ์ เป็นศูนย์กลางการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรระดับตำบล โดยให้ทุกหน่วยงานที่มีหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ให้ความสำคัญจะต้องสนับสนุนข้อมูล องค์ความรู้และงบประมาณให้ศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบล ๒.๓ งบประมาณ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนำภารกิจด้านศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบลบรรจุไว้ในแผนยุทธศาสตร์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในลักษณะที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องดำเนินการตามภารกิจถ่ายโอนทุกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเห็นควรให้ขอจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีผ่านกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นในฐานะที่กำกับดูแลต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29990 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการบริหารงานบุคคลในคณะกรรมการมาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น (ก.ถ.) แทนตำแหน่งที่ว่าง (ร้อยตำรวจตรี เกรียงศักดิ์ โลหะชาละ) | มท | 17/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง ร้อยตำรวจตรี เกรียงศักดิ์ โลหะชาละ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารงานบุคคลในคณะกรรมการมาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น (ก.ถ.) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29991 | การป้องกัน ควบคุมโรค มือ เท้า ปาก ชนิดรุนแรงในเด็ก | สธ | 17/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการระบาด การป้องกัน ควบคุมโรค มือ เท้า ปาก ชนิดรุนแรงในเด็ก และให้กระทรวงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมการระบาดของโรค มือ เท้า ปาก ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การระบาดของโรค มือ เท้า ปาก ในเด็ก จากเชื้อไวรัสเอนเทอโร ๗๑ (Enterovirus 71) ที่มีอาการรุนแรง ในพื้นที่ภาคกลางและภาคใต้ของประเทศกัมพูชา โดยตั้งแต่เดือนเมษายน ถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ พบผู้ป่วยเด็กทั้งสิ้น ๖๑ ราย ในจำนวนนี้เสียชีวิต ๕๔ ราย โดยอายุของผู้ป่วยอยู่ในช่วง ๓ เดือน ถึง ๑๑ ปี และส่วนใหญ่เป็นเด็กเล็กอายุน้อยกว่า ๓ ปี ซึ่งทางการกัมพูชาได้มีมาตรการเฝ้าระวังโรค ป้องกัน โดยเน้นสุขอนามัยและการดูแลเด็กเล็ก สำหรับสถานการณ์ของโรคมือ เท้า ปาก ในประเทศไทย จากข้อมูลการเฝ้าระวังของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม - ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๕ พบผู้ป่วยโรคมือ เท้า ปาก ทั่วประเทศรวม ๑๒,๕๘๑ ราย อัตราป่วย ๑๙.๘ ต่อประชากรแสนคน ยังไม่พบผู้เสียชีวิต ในขณะนี้พบผู้ป่วยยืนยันที่มีอาการรุนแรง จำนวน ๑ ราย ในจังหวัดน่าน และยังมีผู้ป่วยอาการรุนแรงที่กำลังรอผลการตรวจยืนยันโรคอีกหลายราย ๑.๒ โรคมือ เท้า ปาก เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสเอนเทอโร ซึ่งมีหลายชนิด โดยทั่วไปมีอาการไม่รุนแรง ผู้ป่วยมีไข้ต่ำ ๆ เกิดตุ่มพอง และแผลเล็ก ๆ ในปาก คอ มีตุ่มที่มือ เท้า และบริเวณก้น แต่เชื้อไวรัสบางสายพันธุ์อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น อาการทางระบบทางเดินหายใจ ระบบประสาท สมองอักเสบหรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ อาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ โรคนี้ติดต่อได้จากการสัมผัสโดยตรงกับน้ำมูก น้ำลาย อุจจาระ หรือตุ่มพองและแผลของผู้ป่วย รวมทั้งการติดต่อทางน้ำหรืออาหาร เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่กระจายของโรคในวงกว้าง และการเสียชีวิตของผู้ป่วย กระทรวงสาธารณสุขจึงได้ดำเนินมาตรการป้องกันโรคมือ เท้า ปาก ได้แก่ การเร่งรัดมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคมือ เท้า ปาก การประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เรื่องโรคมือ เท้า ปาก แก่ประชาชน โดยเน้นการรักษาสุขอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ หากมีผู้ป่วยสงสัยมือ เท้า ปากที่มีไข้สูง ซึม ชัก หายใจหอบเหนื่อย ให้รีบพาไปพบแพทย์ และให้จังหวัดที่พบผู้ป่วยมากกว่า ๑๐ รายต่อวัน เปิดศูนย์ปฏิบัติการระดับจังหวัด (War room) รวมทั้งให้ทำหนังสือขอความร่วมมือไปยังผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ปลัดกระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และนายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ในการร่วมเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมการระบาดของโรคมือ เท้า ปาก ในศูนย์เด็กเล็ก สถานรับเลี้ยงเด็ก สถานศึกษา และชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเน้นสุขอนามัย และการทำความสะอาดในโรงเรียนอนุบาลและโรงเรียนประถมศึกษาทั่วประเทศ ตลอดจนให้คำแนะนำผู้เดินทางไป - กลับจากประเทศที่มีการระบาดของโรคปฏิบัติตามสุขอนามัยที่ดี ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการร่วมกันพิจารณากำหนดมาตรการป้องกันและควบคุมการระบาดของโรคให้ชัดเจน และเผยแพร่ให้ผู้ปกครองเด็กและสาธารณชนได้ทราบโดยทั่วกันโดยด่วน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29992 | การเตรียมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดสุรินทร์ | นร | 17/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการเตรียมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดสุรินทร์ ระหว่างวันที่ ๒๙ - ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ประกอบด้วย โครงการในการลงพื้นที่ของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ๑ จำนวน ๔ จังหวัด (จังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสุรินทร์) และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ๒ จำนวน ๔ จังหวัด (จังหวัดอุบลราชธานี อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ และยโสธร) และข้อเสนอการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค (กรอ. ภูมิภาค) เกี่ยวกับการพัฒนาและแก้ไขปัญหาในการประกอบธุรกิจของภาคเอกชนใน ๒ กลุ่มจังหวัด ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ๑ ประกอบด้วย จังหวัดชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ และสุรินทร์ และกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ๒ ประกอบด้วย จังหวัดยโสธร ศรีสะเกษ อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29993 | ผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย | นร | 17/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ในส่วนของสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยที่ขออนุมัติค่าใช้จ่ายในโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินีเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ ในพื้นที่ต้นน้ำ ๖ จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดลำพูน ลำปาง พะเยา แพร่ สุโขทัย และน่าน โดยใช้จ่ายจากงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ จำนวน ๒๑.๒๙๙๑ ล้านบาท ตามที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29994 | การสมัครเป็นสมาชิกสหภาพเคมีบริสุทธิ์ และเคมีประยุกต์ระหว่างประเทศ (International Union of Pure and Applied Chemistry - IUPAC) | วท | 17/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สมัครเป็นสมาชิกสหภาพเคมีบริสุทธิ์ และเคมีประยุกต์ระหว่างประเทศ (International Union of Pure and Applied Chemistry - IUPAC) ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ทั้งนี้ ประโยชน์ที่กรมวิทยาศาสตร์บริการจะได้รับจากการเป็นสมาชิก IUPAC ในการเป็นสมาชิกสามัญ (Formal member) มีดังนี้ ๑.๑ เป็นหน่วยราชการที่เป็นตัวแทนระดับประเทศที่เข้าร่วมประชุมในสภา IUPAC Council ซึ่งเป็นสภาสูงสุดของสหพันธ์ ประกอบด้วยสมาชิกสามัญระดับ National Adhering Organization (NAO) จากทั่วโลก ซึ่งในปัจจุบัน IUPAC มีสมาชิก NAO ทั้งหมด ๕๗ ประเทศ ประเทศไทยมีสิทธิในการส่งผู้แทนเข้าร่วมการประชุมสมัยสามัญได้ จำนวน ๓ คน และมีสิทธิออกเสียง (Vote) ได้ จำนวน ๓ เสียง โดยผู้แทน จำนวน ๑ คน ใน ๓ คนดังกล่าวจะได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเดินทางเข้าร่วมการประชุมจาก IUPAC ๑.๒ ประเทศไทยสามารถเสนอชื่อผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านเคมีเป็นผู้แทนเข้าร่วมเป็นกรรมการ/คณะทำงานในสาขาต่าง ๆ ของ IUPAC เช่น สาขา Chemistry and Human Health สาขา Chemistry and Environment สาขา Organic and Bimolecular สาขา Inorganic และสาขา Physical and Biophysical เป็นต้น นอกจากนี้ นักวิชาการด้านเคมีที่มีศักยภาพสูงของประเทศไทยสามารถสมัครรับทุนอบรม/ประชุมเชิงปฏิบัติการต่าง ๆ ของ IUPAC รวมถึงการสมัครเข้ารับรางวัลของ IUPAC ได้ ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการพัฒนายุทธศาสตร์ความร่วมมือและการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับ IUPAC ควรพิจารณาประเด็นความสำคัญที่สอดคล้องกับแผนระดับชาติที่เกี่ยวข้อง อาทิ แผนยุทธศาสตร์การจัดการสารเคมีแห่งชาติ ฉบับที่ ๔ แผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ ๒ และนโยบายการดำเนินงานตามพันธกรณีของอนุสัญญาระหว่างประเทศด้านการจัดการสารเคมี อาทิ อนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน และอนุสัญญารอตเตอร์ดัมว่าด้วยกระบวนการแจ้งข้อมูลสารเคมีล่วงหน้าสำหรับสารเคมีอันตรายและสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชและสัตว์บางชนิดในการค้าระหว่างประเทศ ที่ประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิก นอกจากนี้ ในการสมัครเป็นสมาชิก IUPAC ควรมีการประสานงานกับหน่วยงานภาคเอกชน สถาบันการศึกษา ฯลฯ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ IUPAC ในประเทศไทยอย่างใกล้ชิดเพื่อบูรณาการการดำเนินการซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยมีบทบาทและส่วนร่วมที่ชัดเจนใน IUPAC เป็นไปในทิศทางเดียวกันและสามารถพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีทางเคมีของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29995 | การลงนามในบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือด้านทรัพยากรแร่ระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐโมซัมบิกและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย | พณ | 17/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือด้านทรัพยากรแร่ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐโมซัมบิก โดยให้กระทรวงพาณิชย์สามารถเปลี่ยนแปลงถ้อยคำในส่วนที่ไม่กระทบต่อสาระสำคัญของร่างความตกลงฯ โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ทั้งนี้ ร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ ความร่วมมือด้านทรัพยากรแร่ระหว่าง ๒ ประเทศ ครอบคลุมสาขาต่าง ๆ อาทิ การสำรวจทรัพยากรแร่ การส่งเสริมการลงทุนในการใช้ประโยชน์การค้าและการสร้างมูลค่าเพิ่มทรัพยากรแร่ การวิจัยและเทคโนโลยี ความช่วยเหลือทางเทคนิค การฝึกอบรม การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความรู้และข้อกฎหมายด้านการเหมืองแร่เพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน ๑.๑.๒ ให้มีการจัดตั้งคณะทำงานร่วม ประกอบด้วยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศ เพื่อประสานและติดตามการดำเนินกิจกรรมภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ โดยคณะทำงานร่วมจะประชุมกันปีละ ๑ ครั้ง ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ และหลังจากลงนามแล้วให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งผลการรับรองผูกพันความตกลงของประเทศไทยต่อประเทศโมซัมบิกอย่างเป็นทางการ ๒. ในการเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐโมซัมบิกของผู้บริหารระดับสูงและผู้แทนการค้าของไทยเพื่อขยายความสัมพันธ์ทางการค้า การลงทุนกับประเทศในภูมิภาคแอฟริกา และลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว ให้มีผู้แทนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรมเข้าร่วมเดินทางไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29996 | การจ่ายค่าชดเชยสิ่งปลูกสร้างผลอาสินในพื้นที่โครงการปรับปรุงด่านศุลกากรสะเดา (ด่านพรมแดนสะเดา) | กค | 17/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้จ่ายค่าชดเชยสิ่งปลูกสร้างและผลอาสินในที่ดินโครงการปรับปรุงด่านศุลกากรสะเดา (ด่านพรมแดนสะเดา) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ จ่ายเงินชดเชยสิ่งปลูกสร้างและผลอาสินในที่ดินให้กับผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินป่าสงวนแห่งชาติที่ได้ตกลงโดยมีบันทึกยินยอมรับราคาตามที่คณะทำงานตกลงราคาและจ่ายเงินชดเชยกำหนดโดยไม่มีเงื่อนไขทั้งหมด จำนวน ๓๖ แปลง เนื้อที่รวม ๑๘ - ๑ - ๑๓.๕ ไร่ เป็นเงินทั้งสิ้น ๓๙,๘๙๕,๐๖๙.๖๓ บาท ๑.๒ ในระหว่างรอขั้นตอนดำเนินการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมส่งมอบพื้นที่ให้กรมศุลกากร อนุมัติให้กรมศุลกากรร่วมกับจังหวัดสงขลาและสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดสงขลาร่วมกันจ่ายเงินค่าชดเชยสิ่งปลูกสร้างและผลอาสินในที่ดินโครงการไปก่อน ๒. ให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรต้องพิจารณารายละเอียดของพื้นที่ และตรวจสอบสิทธิของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งระยะเวลาที่ประชาชนได้เข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐประกอบการพิจารณาจ่ายเงิน และความเห็นของสำนักงบประมาณที่ให้กรมศุลกากรเร่งดำเนินการเกี่ยวกับการขออนุญาตใช้พื้นที่จากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เรียบร้อยเสร็จสิ้นก่อนการจ่ายค่าชดเชยให้แก่ราษฎร และดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี มาตรฐาน และระเบียบแบบแผนของทางราชการที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องครบถ้วน รวมทั้งกำกับการตรวจสอบสิทธิ์ของบุคคลและการจ่ายเงินให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและเป็นประโยชน์ต่อทางราชการ และสำหรับงบประมาณเพื่อการจ่ายค่าชดเชยดังกล่าว ให้กรมศุลกากรพิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ได้รับจัดสรรสำหรับเป็นค่าชดเชยผลอาสินและสิ่งก่อสร้างด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่ และได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีกรณีไม่มีหนี้ผูกพัน โดยให้ทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29997 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้าระหว่างไทยและกัมพูชา ครั้งที่ 3 | พณ | 17/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ระหว่างไทยและกัมพูชา ครั้งที่ ๓ เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เพื่อให้มีการทำงานอย่างบูรณาการและเกิดผลเป็นรูปธรรม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยผลการประชุมฯ มีประเด็นสำคัญที่จะต้องให้ความสำคัญและติดตามการดำเนินงานต่อไปอย่างใกล้ชิด คือ ความร่วมมือด้านการส่งเสริมและการอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ๑.๑ ความคิดริเริ่มใหม่ในการพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษด้านสินค้าเกษตร (Special Agriculture Inland Port) ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นสถานีให้บริการการขนส่งสินค้า โดยครอบคลุมการรวบรวมและกระจายสินค้า การเก็บรักษาสินค้า และการดำเนินพิธีการศุลกากร นำเข้า/ส่งออก ซึ่งสามารถใช้เส้นทางถนน รถไฟ ทางอากาศ หรือทางน้ำในการขนส่งสินค้ามายังสถานีดังกล่าว ปัจจุบันประเทศสมาชิกอาเซียน ๗ ประเทศ ได้แก่ ลาว เวียดนาม พม่า กัมพูชา ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ได้จัดตั้งและดำเนินการ Dry Port ที่มีความสำคัญต่อการค้าระหว่างประเทศแล้ว ขณะที่ไทยอยู่ระหว่างการพิจารณายกระดับ Dry Port ให้เป็น International Dry Port ๓ แห่ง ตั้งอยู่ที่ลาดกระบัง หนองคาย และเชียงราย ๑.๒ การพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งสมาพันธ์โรงสีข้าวและผู้ค้าข้าวแห่งอาเซียนและสมาพันธ์ผู้ค้ามันสำปะหลังแห่งอาเซียน ทั้งนี้ ความคิดริเริ่มดังกล่าวถือเป็นมิติใหม่ของความร่วมมือทวิภาคีซึ่งสามารถขยายไปสู่ความร่วมมือภูมิภาค โดยมุ่งเน้นให้เกิดผลอย่างยั่งยืนเป็นรูปธรรม และจำเป็นต้องมีการทำงานอย่างบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยผลจากการดำเนินมาตรการต่าง ๆ ตามที่ระบุไว้ในแผนปฏิบัติการขยายความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและกัมพูชา ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๘ จะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายสามารถบรรลุเป้าหมายการขยายตัวของการค้าในอัตราร้อยละ ๓๐ ต่อปี และยังสนับสนุนการดำเนินงานการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียนเพื่อการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการสนับสนุนให้มีการศึกษาความเป็นไปได้ในการเปิดจุดผ่านแดนแห่งใหม่หรือการยกระดับจุดผ่อนปรนทางการค้าที่มีอยู่ให้เป็นจุดผ่านแดนถาวร จะต้องพิจารณาในภาพรวมอย่างสมดุลทั้งมิติด้านเศรษฐกิจและมิติด้านความมั่นคงเพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติโดยรวม ส่วนจัดตั้งสมาพันธ์โรงสีข้าวและผู้ค้าข้าวแห่งอาเซียน ควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาความร่วมมือเพื่อความมั่นคงของอาหารและพลังงานของอาเซียนในภาพรวมประกอบด้วย นอกจากนี้ ในการพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดตั้ง “เขตเศรษฐกิจพิเศษสินค้าเกษตร หรือ Special Agriculture Inland Port” บริเวณชายแดนไทยและกัมพูชา เนื่องจากชื่อ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” มีนัยยะครอบคลุมถึงสิทธิพิเศษอื่น ๆ นอกเหนือจากสิทธิประโยชน์ที่ได้รับภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้องและมีอยู่ในปัจจุบัน หากข้อริเริ่มดังกล่าวอยู่บนพื้นฐานของกรอบแนวคิดท่าบก (Dry Port) อาจพิจารณาเรียกชื่อในภาษาไทยใหม่ให้สอดคล้องและเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29998 | รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนขอแต่งตั้งกงสุลใหญ่ประจำจังหวัดขอนแก่น [นายเซี่ย ฝูเกิน (Mr. Xie Fugen)] | กต | 17/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายเซี่ย ฝูเกิน (Mr. Xie Fugen) ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีนประจำจังหวัดขอนแก่น โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดขอนแก่น นครราชสีมา อุดรธานี หนองคาย นครพนม สกลนคร อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ มุกดาหาร มหาสารคาม ชัยภูมิ เลย กาฬสินธุ์ บึงกาฬ ยโสธร ร้อยเอ็ด หนองบัวลำภู และอำนาจเจริญ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29999 | ขออนุมัติการสนับสนุนงบประมาณประจำปีของรัฐบาลไทยให้แก่สถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง | กต | 17/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการสนับสนุนงบประมาณประจำปีของรัฐบาลไทยให้แก่สถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง (Mekong Institute) จำนวน ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ต่อปี เพื่อให้สถาบันฯ สามารถขยายการดำเนินงานครอบคลุมทุกแผนงานและกิจกรรมที่กำหนดไว้ในแผนยุทธศาสตร์ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๘ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ โดยเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ทั้งนี้ สำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รองรับเพื่อการนี้ไว้แล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
30000 | ร่างถ้อยแถลงร่วมว่าด้วยการจัดตั้งเวทีหารือด้านพลังงานระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ | พน | 17/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบสาระสำคัญในร่างถ้อยแถลงร่วมว่าด้วยการจัดตั้งเวทีหารือด้านพลังงานระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ จำนวน ๓ ฉบับ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะจัดตั้งเวทีหารือด้านพลังงาน และมีขอบเขตความร่วมมือด้านพลังงานลักษณะกว้าง ๆ ได้แก่ การหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายด้านพลังงานของรัฐบาลทั้งสองประเทศ เพื่อให้เกิดความเข้าใจร่วมกัน การจัดเตรียมข้อเสนอแนะรัฐบาลของทั้งสองประเทศในการสร้างความร่วมมือด้านพลังงาน การสนับสนุนและส่งเสริมภาครัฐและภาคเอกชนของทั้งสองประเทศเพื่อบรรลุความร่วมมือด้านพลังงาน การแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เกี่ยวกับความร่วมมือด้านพลังงานและประสานงานเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดจากความร่วมมือของทั้งสองประเทศ การส่งเสริมการดำเนินการที่นำไปสู่การปฏิบัติของข้อตกลงที่มีอยู่ในปัจจุบันและที่จะมีขึ้นในอนาคตของทั้งสองประเทศ และการพิจารณาความเป็นไปได้ในเรื่องความร่วมมือสาขาอื่น ๆ ตามที่ทั้งสองประเทศจะได้ตกลงร่วมกัน ๑.๒ อนุมัติให้กระทรวงพลังงานสามารถพิจารณาปรับปรุงถ้อยคำในร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญของความร่วมมือได้ตามความเหมาะสม ก่อนที่จะมีการลงนามกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กระทรวงไฟฟ้า ๑ และกระทรวงไฟฟ้า ๒ ของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ (หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลเมียนมาร์) ๑.๓ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศไม่ต้องจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในการลงนามร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ดังกล่าว ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ |
.....