ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1497 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 29921 - 29940 จากข้อมูลทั้งหมด 123963 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
29921 | ผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ (ระหว่างวันที่ 22 - 24 กรกฎาคม 2555) | กต | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของนายเต็ง เส่ง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ระหว่างวันที่ ๒๒ - ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕ และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการเยือน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเยือนไทยของประธานาธิบดีเมียนมาร์ เป็นการเยือนไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรกหลังจากเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๕๔ มีวัตถุประสงค์เพื่อกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกัน โดยประธานาธิบดีเมียนมาร์ได้พบหารือกับนายกรัฐมนตรีในประเด็นสำคัญต่าง ๆ และได้ร่วมกันลงนามเอกสาร รวม ๓ ฉบับ ได้แก่ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการพัฒนาที่ครอบคลุมในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการพัฒนาในเมียนมาร์ และถ้อยแถลงร่วมว่าด้วยการจัดตั้งเวทีหารือด้านพลังงาน นอกจากนี้ ได้เยี่ยมชมท่าเรือและนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบังด้วย ซึ่งผลการเยือนไทยครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างดียิ่งทั้งสองฝ่าย โดยฝ่ายไทยได้ใช้โอกาสนี้กระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือที่ไทยให้ความสำคัญ โดยเฉพาะกรอบความร่วมมือเพื่อการพัฒนา และการผลักดันโครงการทวาย ซึ่งเป็นประเด็นที่เมียนมาร์ให้ความสำคัญเช่นกัน เนื่องจากเมียนมาร์กำลังอยู่ในช่วงการเปิดและปฏิรูปที่สำคัญอย่างยิ่งและเปิดรับความร่วมมือกับไทยมากกว่าที่เคยเป็นมา ในขณะที่ฝ่ายเมียนมาร์ได้ศึกษาดูงานการพัฒนาอุตสาหกรรม และผลักดันความร่วมมือที่จะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ รวมทั้งพบปะกับภาคธุรกิจรายสำคัญของไทยที่มีการลงทุนในเมียนมาร์หรือสนใจจะขยายการลงทุนไปยังเมียนมาร์ด้วย ๒. การลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการพัฒนาที่ครอบคลุมในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง และการเยี่ยมชมท่าเรือและนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบังของประธานาธิบดีเมียนมาร์ ช่วยยืนยันความมุ่งมั่นของทั้งสองรัฐบาลที่จะร่วมกันผลักดันโครงการทวาย ซึ่งเมื่อเชื่อมโยงกับท่าเรือแหลมฉบังจะมีความสำคัญยิ่งทางยุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกส์ ๓. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการพัฒนาในเมียนมาร์ถือเป็นการยกระดับความเป็นหุ้นส่วนด้านการพัฒนาระหว่างไทย - เมียนมาร์ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในขณะที่ทุกประเทศต่างมุ่งให้ความช่วยเหลือแก่เมียนมาร์ โดยเป็นการย้ำการสนับสนุนของไทยอย่างเป็นรูปธรรมต่อการปฏิรูปของรัฐบาลเมียนมาร์ผ่านความร่วมมือในสาขาที่เมียนมาร์ให้ความสำคัญ ซึ่งหลายสาขาจะช่วยบรรเทาปัญหาข้ามพรมแดนมายังฝั่งไทยโดยตรงด้วย อาทิ ปัญหายาเสพติด การค้ามนุษย์ และแรงงานผิดกฎหมาย
|
|||||||||||||||||||||
29922 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 6/2555 | นร | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๖/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดสุรินทร์ โดยมีรายละเอียดข้อเสนอเพื่อพิจารณาของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๖/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดสุรินทร์ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการศึกษาวิจัยโครงการ “นครราชสีมา : เมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ในอนุภูมิภาค” จำนวน ๒๐ ล้านบาท และขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลด้านนโยบายและงบประมาณเพื่อศึกษาความเป็นไปได้โครงการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตรชายแดน ที่อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ที่ประชุมมีมติ ๒.๑.๑ ให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมโยธาธิการและผังเมืองรับข้อเสนอโครงการศึกษาวิจัยโครงการ “นครราชสีมาเป็นเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ในอนุภาค” ไปพิจารณาดำเนินการ โดยให้มีผู้แทนภาคเอกชนเข้าร่วมในคณะกรรมการกำกับการศึกษาโครงการฯ ด้วย ๒.๑.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตรชายแดนที่อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ๒.๒ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนการพัฒนาและขยายเส้นทางการจราจร จำนวน ๑๐ โครงการ โครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟทางคู่ จังหวัดนครราชสีมา - บุรีรัมย์ - สุรินทร์ - ศรีษะเกษ - อุบลราชธานี และโครงการยกระดับสนามบินอุบลราชธานี ที่ประชุมมีมติ ๒.๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคมศึกษาความเหมาะสมและจัดลำดับความสำคัญของการขยายเส้นทางและช่องจราจรในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง โดยให้ความสำคัญกับเส้นทางและช่องจราจรที่เชื่อมโยงระหว่างภาคและประเทศเพื่อนบ้านในการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนต่อไป โดยคำนึงถึงข้อจำกัดด้านขีดความสามารถในการลงทุนของภาครัฐ และผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ ๒.๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาความเป็นไปได้ในการเร่งรัดแผนการพัฒนารถไฟทางคู่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยคำนึงถึงข้อจำกัดด้านขีดความสามารถในการลงทุนของภาครัฐ และขั้นตอนการพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของโครงการควบคู่ไปด้วย ๒.๒.๓ ให้กระทรวงคมนาคมศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาท่าอากาศยานอุบลราชธานีในเชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการบินในอินโดจีน โดยคำนึงถึงปริมาณความต้องการเดินทาง ความได้เปรียบในเชิงพื้นที่ รวมทั้งโอกาสและข้อจำกัดในการรองรับการเดินทางของผู้โดยสาร ๒.๓ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำโป่งขุนเพชรบริเวณบ้านแก่งกระจวน ตำบลโคกสะอาด อำเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ ให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ และขอให้เร่งรัดการก่อสร้างโครงการพัฒนาลุ่มน้ำชีตอนบน เขื่อนชีบน และเขื่อนยางนาดี จังหวัดชัยภูมิ ให้แล้วเสร็จ ที่ประชุมมีมติ ๒.๓.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำโป่งขุนเพชรให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ และนำเสนอคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ต่อไป ๒.๓.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในเรื่องประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ เพื่อเร่งรัดการก่อสร้างโครงการพัฒนาลุ่มน้ำชีตอนบน เขื่อนชีบน และเขื่อนยางนาดี จังหวัดชัยภูมิ และนำเสนอ กบอ. ต่อไป ๒.๓.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับ กบอ. และกลุ่มจังหวัดพิจารณาการเชื่อมโยงพื้นที่ในการจัดหาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรและการอุปโภคบริโภคแบบบูรณาการในภาพรวมทั้งระบบ โดยคำนึงถึงความพร้อมของพื้นที่และการยอมรับของประชาชน ทั้งนี้ ให้ขอความร่วมมือภาคเอกชนได้ร่วมสนับสนุนข้อมูลที่จำเป็นในพื้นที่ด้วย ๒.๔ ข้อเสนอของ สทท. เรื่อง ขอให้สนับสนุนและส่งเสริมการดำเนินโครงการ “นำช้างคืนถิ่น” และ “คชอาณาจักร” ขอให้พัฒนาพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมในเขตอำเภอวังน้ำเขียวให้เป็นสวนพฤกษศาสตร์เพื่อการเรียนรู้ภายใต้ความร่วมมือของภาครัฐและเอกชน และขอให้ส่งเสริมเส้นทางการท่องเที่ยวเชื่อมโยงอีสานใต้กับประเทศเพื่อนบ้าน ที่ประชุมมีมติ ๒.๔.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหารือกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาช้างเร่ร่อน การอนุรักษ์ช้างและอาชีพควาญช้าง โดยบูรณาการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน มูลนิธิ และองค์กรการกุศล เพื่อให้การดูแลอนุรักษ์ช้างเป็นไปอย่างเป็นระบบและสามารถแก้ไขปัญหาช้างได้อย่างยั่งยืน ๒.๔.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาบูรณาการพัฒนาพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมในเขตอำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา เพื่อใช้ประโยชน์จากพื้นที่โดยเน้นการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ โดยไม่กระทบต่อพื้นที่ปาสงวน ๒.๔.๓ ให้กระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอเรื่องการส่งเสริมเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงอีสานใต้กับประเทศเพื่อนบ้านไปผนวกไว้ในแผนการเชื่อมโยงระบบคมนาคมและโลจิสติกส์ เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยพิจารณาใช้ประโยชน์จากความตกลงที่ไทยได้จัดทำร่วมกับกัมพูชา สปป.ลาว และเวียดนาม เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการขนส่ง คมนาคม และการท่องเที่ยวระหว่างกัน ๒.๔.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยพิจารณาความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยเดินทางไปประเทศเพื่อนบ้าน และการบังคับใช้ใบอนุญาตประกอบกิจการนำเที่ยวในประเทศสำหรับบริษัทนำเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้าน และนำเสนอผลการดำเนินการต่อรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) พิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๒.๕ ข้อเสนอของเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามมติการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ที่ประชุมมีมติรับทราบและให้ฝ่ายเลขานุการติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานมารายงานให้ทราบเป็นระยะ ๒.๖ เรื่องอื่น ๆ ที่ภาคเอกชนเสนอเพิ่มเติม ๒.๖.๑ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง ผลการประชุม 3rd Asian Business Summit (ABS) ที่ประชุมมีมติรับทราบและให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒.๖.๒ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง การส่งเสริมการค้าชายแดน โดยการยกระดับจุดผ่อนปรนเป็นด่านถาวร ที่ประชุมีมติรับทราบและให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงมหาดไทยติดตามรายงานความก้าวหน้าการยกระดับจุดผ่านแดนให้คณะรัฐมนตรีรับทราบต่อไป ๒.๖.๓ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง โครงการปรับปรุงพื้นที่ด่านชายแดนช่องจอม อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ที่ประชุมมีมติรับทราบและให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยจังหวัดสุรินทร์ รับไปพิจารณาในรายละเอียดของข้อเสนอต่อไป ๒.๖.๔ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง การเร่งรัดจัดตั้งสถาบันพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางพารา ที่ประชุมมีมติรับทราบและให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม ประสานสำนักงบประมาณ รับไปพิจารณาในรายละเอียดการขอรับการสนับสนุนงบประมาณ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ยุทธศาสตร์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางพารา และการจัดตั้งสถาบันพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางพารา) ๒.๖.๕ ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง ข้อเสนอโครงการจัดตั้ง Northeastern Food Valley จังหวัดนครราชสีมา จำนวน ๙๔๗,๔๐๐,๐๐๐ บาท ระยะเวลาดำเนินการ ๓ ปี (ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๘) ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการ โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักในการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษารายละเอียดโครงการ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมเป็นคณะทำงาน เพื่อศึกษาความเหมาะสมในการกำหนดเขตพื้นที่ดำเนินการในภาพรวมทั้งประเทศ โดยคำนึงถึงการเพิ่มมูลค่าของผลิตผลการเกษตรด้วย ๒.๖.๖ ข้อเสนอของสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เรื่อง โครงการให้ความรู้ด้านการเงินแก่ประชาชนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ที่ประชุมมีมติรับทราบและให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาให้การสนับสนุนการดำเนินงานดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||
29923 | ผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 และตอนล่าง 2 | นร | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แนวทางและข้อสั่งการในการแก้ไขปัญหาของรัฐมนตรีที่ปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ๑ (จังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์) และกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ๒ (จังหวัดอุบลราชธานี อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ และยโสธร) รวม ๘ จังหวัด โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดโครงการและรับข้อสั่งการของรัฐมนตรีไปดำเนินการ ๑.๒ โครงการที่มีความพร้อมและมีความจำเป็นเร่งด่วนซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จัดส่งให้สำนักงบประมาณโดยเร่งด่วน ๑.๓ ความเห็นและข้อสั่งการเพิ่มเติมที่นอกเหนือจากโครงการในพื้นที่ดูงานของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ทั้งนี้ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการที่มีความพร้อมและมีความจำเป็นเร่งด่วนซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันทีขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ๒. คณะรัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติมว่า ผลจากการลงพื้นที่ปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ๑ และตอนล่าง ๒ พบว่า ถนนสายรองและสะพานในพื้นที่หลายแห่งซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีสภาพชำรุดทรุดโทรม ขาดการซ่อมบำรุงให้อยู่ในสภาพดีและใช้สัญจรไปมาได้อย่างสะดวกปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบางสายทางผิวจราจรเสียหายเป็นหลุมบ่อทั้งที่ก่อสร้างเสร็จไม่นานและอยู่ในระยะเวลารับประกันตามสัญญาก่อสร้างของผู้ประกอบการ จึงมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรับไปกำกับสั่งการเพื่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องติดตามดูแลแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยเร็ว รวมทั้งการตรวจสอบความชำรุดเสียหายของถนนภายหลังก่อสร้างเสร็จและใช้งานแล้ว เพื่อให้ผู้ประกอบการก่อสร้างเร่งปรับปรุงแก้ไขและซ่อมบำรุงให้อยู่ในสภาพดีภายในกรอบระยะเวลารับประกันตามสัญญาก่อสร้างด้วย
|
|||||||||||||||||||||
29924 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตอนล่าง 1 และตอนล่าง 2 รวม 8 จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดสุรินทร์ วันที่ 30 กรกฎาคม 2555 | นร11 | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ๑ (จังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์) และตอนล่าง ๒ (จังหวัดอุบลราชธานี อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ ยโสธร) รวม ๘ จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดสุรินทร์ วันที่๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ๑ และตอนล่าง ๒ รวม ๘ จังหวัด ที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๕๘ โครงการ วงเงินรวม ๑,๐๒๐.๓๘ ล้านบาท ๑.๒ กรอบข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ๑ และตอนล่าง ๒ รวม ๘ จังหวัด จำนวน ๓๔๔ โครงการ วงเงินรวม ๑๒๒,๖๓๘.๐๖ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานรับผิดชอบรับไปพิจารณาศึกษาความเหมาะสมและจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ รวมทั้งดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณี เพื่อให้สำนักงบประมาณใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณประจำปีตามลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการตามขั้นตอนต่อไป ๑.๓ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็น/ข้อสังเกตเพิ่มเติมของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ดังนี้ ๑.๓.๑ ข้อเสนอการลงทุนด้านโครงการพื้นฐานด้านการขนส่งระบบรางของจังหวัดนครราชสีมา ในส่วนที่เสนอให้ความเห็นชอบในหลักการกรอบแผนงาน/โครงการของกลุ่มจังหวัด/จังหวัด มีโครงการที่สอดคล้องกับนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลและได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว อาทิ โครงการรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางมาบกะเบา - จิระ และชุมทางจิระ - ขอนแก่น โครงการก่อสร้างถนนทางหลวง หมายเลข ๒๐๑ (สี่คิ้ว - บ้านหนองบัวโคก) โครงการเชื่อมผืนป่ามรดกโลกทางหลวง หมายเลข ๓๐๔ (ช่วงที่ ๑ และช่วงที่ ๒) เห็นควรให้หน่วยงานรับผิดชอบเร่งดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณี เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการได้ตามเป้าหมายต่อไป ๑.๓.๒ ข้อเสนอการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและน้ำเพื่อการเกษตร รวมทั้งการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างที่อยู่นอกเหนือจากแผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที เห็นควรให้กรมชลประทานเป็นเจ้าภาพหลักในการบูรณาการแผนงาน/โครงการ เสนอต่อคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศในภาพรวมต่อไป ๒. ในส่วนของแผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๕๘ โครงการ วงเงินรวม ๑,๐๒๐.๓๘ ล้านบาท ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ โดยส่งรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์
|
|||||||||||||||||||||
29925 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคดีพิเศษ (จำนวน 9 คน 1. นายไกรสร บารมีอวยชัย ฯลฯ) | ยธ | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕) อนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคดีพิเศษ จำนวน ๙ คน ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายไกรสร บารมีอวยชัย ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและการบริหารงานยุติธรรม ๒. ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ชัยเกษม นิติสิริ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและกระบวนการดำเนินคดีอาญา ๓. นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ๔. นายประดิษฐ์ เอกมณี ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและการพิจารณาพิพากษาคดี ๕. รองศาสตราจารย์ มนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์และการเงินการธนาคาร ๖. นายมหิดล จันทรางกูร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการธนาคารและเทคโนโลยีสารสนเทศ ๗. นายเรวัต วิศรุตเวช ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์และการสาธารณสุข ๘. พลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกระบวนการสืบสวนสอบสวนคดีอาญา ๙. นายอนุพร อรุณรัตน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๕) อนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยให้แก้ไขเพิ่มเติมการกำหนดตัวบุคคลเฉพาะที่ทรงคุณวุฒิในด้านเศรษฐศาสตร์ การเงินการธนาคาร เทคโนโลยีสารสนเทศ และกฎหมาย จำนวน ๔ คน นอกนั้นให้คงเดิม โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ดังนี้ ๑. นายไกรสร บารมีอวยชัย ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ๒. ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ชัยเกษม นิติสิริ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการธนาคาร ๓. รองศาสตราจารย์ มนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์ ๔. นายมหิดล จันทรางกูร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
|
|||||||||||||||||||||
29926 | การจัดทำความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรโมร็อกโก | กต | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. ยืนยันมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๔๘ (เรื่อง การจัดทำความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างไทยกับโมร็อกโก) ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการจัดทำความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรโมร็อกโก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันในด้านศิลปะ วัฒนธรรม การศึกษา สื่อสารมวลชน เยาวชนและกีฬา ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามความตกลงฯ ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งต่อรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรโมร็อกโกว่า รัฐบาลไทยได้ดำเนินกระบวนการภายในที่จำเป็นของตนเพื่อความมีผลบังคับใช้ความตกลงนี้ต่อไป ๒. หากก่อนการลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างความตกลงฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ โดยถ้อยคำดังกล่าวสอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาดำเนินการได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง |
|||||||||||||||||||||
29927 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การเตรียมความพร้อมของประเทศไทยเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ด้วยปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" | สสป | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การเตรียมความพร้อมของประเทศไทยเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ด้วยปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเตรียมความพร้อมด้านประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ประกอบด้วย ๑.๑ การเป็นตลาดเดียวและฐานการผลิตร่วมกัน เช่น ส่งเสริมการสร้างเครือข่ายพันธมิตร ระหว่างภาคธุรกิจไทยและอาเซียน พัฒนาระบบติดตามเงินทุน และการเคลื่อนย้ายเงินทุน เป็นต้น ๑.๒ การมีขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจสูง เช่น การเร่งปฏิรูปกฎหมายเศรษฐกิจ ให้เอื้อประโยชน์ต่อการประกอบธุรกิจการค้า การลงทุน อย่างเป็นธรรม และผลักดันให้มีการประกาศใช้กฎหมายใหม่ ๆ เพื่อรองรับการเปิดเสรี และพัฒนาระบบขนส่งและโครงข่ายการขนส่งสินค้า ทั้งทางถนน ทางราง และทางน้ำอย่างเป็นระบบ และมีการให้บริการที่ได้มาตรฐาน เป็นต้น ๑.๓ การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเสมอภาค โดยพัฒนาระบบความร่วมมือระหว่างประเทศด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวในเชิงสร้างสรรค์ รวมทั้งสนับสนุนเงินทุนให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กปรับโครงสร้างระบบการผลิต ๑.๔ การบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลก โดยมุ่งเน้นยุทธศาสตร์การเจริญเติบโตรูปแบบใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการเจริญเติบโตอย่างสมดุล เท่าเทียม ยั่งยืน บนพื้นฐานนวัตกรรม และความมั่นคงของภูมิภาค รวมทั้งสนับสนุนให้มีการจัดตั้งกองทุนเงินสำรองเอเชีย เพื่อช่วยเหลือประเทศในเอเชียที่จะประสบกับปัญหาสภาพคล่องทางเศรษฐกิจ และเป็นการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของเอเชีย ๒. การเตรียมความพร้อมด้านประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ประกอบด้วย ๒.๑การพัฒนามนุษย์ เช่น การปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง ให้รองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และเร่งรัดการจัดทำหลักสูตรอาเซียนศึกษาในการศึกษาทุกระดับ เป็นต้น ๒.๒ การคุ้มครองสวัสดิการ เช่น ให้ความสำคัญกับการลดความยากจนอย่างเป็นรูปธรรมตามหลักการพัฒนาแห่งสหัสวรรษของสหประชาชาติ และกำหนดให้ประเทศไทยเป็นสังคมสวัสดิการ เพื่อให้คนไทยทุกคนได้รับสวัสดิการสังคมที่เป็นประโยชน์ อย่างเป็นธรรมและมั่นคง เป็นต้น ๒.๓ การยุติธรรมและสิทธิ เช่น กำหนดนโยบายที่ชัดเจนในการคุ้มครองประชาชนให้ได้สิทธิในกระบวนการยุติธรรม การคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิชุมนุมตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาญาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ อย่างแท้จริง และส่งเสริมปกป้องการให้ค่าแรงที่เป็นธรรมและเหมาะสม เป็นต้น ๒.๔ การส่งเสริมความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการส่งเสริมการประสานงานในการดำเนินงานกับพันธกรณีที่เกี่ยวข้องกับความตกลงพหุภาคีด้านสิ่งแวดล้อม (MEAs) ให้ภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทราบอย่างกว้างขวาง และเพิ่มการประสานงานในระดับภูมิภาค และการแลกเปลี่ยนข้อมูล ประสบการณ์ และความสามารถในการจัดการของเสียอันตรายระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน เป็นต้น ๒.๕ การสร้างอัตลักษณ์อาเซียน เช่น เร่งประชาสัมพันธ์เรื่องการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนให้ประชาชนได้รับรู้และเข้าใจอย่างเร่งด่วน และการเพิ่มการเชื่อมโยงระหว่างเมืองใหญ่ เมืองเล็กของอาเซียน โดยเฉพาะเมืองที่มีศิลปะและมรดกวัฒนธรรมอย่างจริงจัง เป็นต้น ๒.๖ การลดช่องว่างทางการพัฒนา โดยส่งเสริมสนับสนุนนโยบายการลดช่องว่างทางการพัฒนา ระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนด้วยกัน และการลดช่องว่างทางการพัฒนาที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ตามยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙) และเร่งรัดพัฒนาประเทศไทยให้เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าในทุก ๆ ด้านอย่างสมดุลและยั่งยืน รวมทั้งการใช้มาตรการทางภาษีและการสร้างโอกาสให้คนยากจนเข้าถึงทรัพยากรของรัฐ ตลอดจนให้ความช่วยเหลือประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นในการลดช่องว่างทางการพัฒนาตามความเหมาะสมต่อไป ๓. การขับเคลื่อนการเตรียมความพร้อมของประเทศไทยเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ด้วยปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยสนับสนุนและผลักดัน เรื่อง "การเตรียมความพร้อมของประเทศไทยเข้าสู่ประชาคมอาเซียน" เป็นวาระแห่งชาติ เร่งเผยแพร่ความรู้ และประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับ "ประชาคมอาเซียน" ให้กับทุกภาคส่วนของสังคม การน้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่ชี้นำถึงแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ มาใช้เป็นแนวทางในการเตรียมความพร้อมของประเทศไทยเข้าสู่ประชาคมอาเซียน อย่างมีประสิทธิภาพ และมีประสิทธิผล รวมทั้งสนับสนุนให้มีการพิจารณาทบทวนกฎบัตรอาเซียนเป็นระยะ ๆ เพื่อให้ทันต่อเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศสมาชิกอาเซียน
|
|||||||||||||||||||||
29928 | การดำเนินงานตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับไลบีเรีย | กต | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ ๒๐๒๕ (ค.ศ. ๒๐๑๑) ขยายเวลาการดำเนินมาตรการเกี่ยวกับไลบีเรีย ออกไปจนถึงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๕ เพื่อเป็นการปฏิบัติตามพันธกรณีที่ไทยมีต่อสหประชาชาติ โดยสอดคล้องกับกฎหมายภายในของไทย ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติ ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย และแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักข่าวกรองแห่งชาติและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มการตรวจสอบพฤติกรรมชาวไลบีเรียที่เดินทางเข้าประเทศไทย เนื่องจากมีแนวโน้มเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินและอาชญากรรมข้ามชาติ ที่อาจมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มบุคคลที่ถูกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ประกาศห้ามเดินทางและอายัดทรัพย์สิน รวมทั้งดำเนินมาตรการตามที่ระบุไว้ในข้อมติคณะมนตรีฯ อย่างใกล้ชิด ตลอดจนการติดตามความเคลื่อนไหวและสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสันติภาพและเสถียรภาพ การเสริมสร้างความร่วมมือและประสานงานในการแลกเปลี่ยนข่าวกรองกับหน่วยงานด้านความมั่นคงในภูมิภาคเกี่ยวกับกิจกรรมและความเคลื่อนไหวของบุคคลและกลุ่มบุคคลที่ปรากฏอยู่ตามข้อมติคณะมนตรีฯ ดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||
29929 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ โครงการ "อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา" | ตช | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินโครงการ “อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา ๖๐ พรรษา” (ที่ทำการและที่พักอาศัยข้าราชการกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง) ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ได้ในวงเงิน ๕,๒๑๙,๔๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จากแผนงานป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติภัยทางถนน ผลผลิตการอำนวยการจราจร งบลงทุน โครงการจัดหาที่พักอาศัยสำเร็จรูปพร้อมที่ดินสำหรับข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อย ๒๗๐ หน่วย ไปตั้งจ่ายในแผนงานพัฒนากฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ผลผลิตการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน งบลงทุน โครงการ "อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา ๖๐ พรรษา" จำนวน ๑๐๕,๓๐๐,๐๐๐ บาท และปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณตามโครงการอาคารที่ทำการและอาคารที่พักอาศัยเฉลิมพระเกียรติฯ ระยะที่ ๑ ซึ่งสำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบปรมะาณไว้แล้ว จำนวน ๖๒๖,๑๓๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่ขาดอยู่อีกจำนวน ๔,๔๘๗,๙๗๐,๐๐๐ บาท ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ - ๒๕๕๙ รองรับต่อไป โดยยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) กรณีวงเงินปีแรกของโครงการต่ำกว่าร้อยละ ๒๐ ของวงเงินทั้งสิ้นของโครงการ และสัดส่วนการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๙ ต่อรายจ่ายลงทุนเกินหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณได้เป็นกรณีพิเศษ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่า การคำนวณค่าใช้จ่ายของพื้นที่ใช้สอยต่อตารางเมตรควรเทียบกับราคากลาง และเป็นไปตามกลไกของตลาด เพื่อให้เป็นมาตรฐานและสามารถนำไปใช้ได้กับการก่อสร้างอาคารอื่น ๆ ในลักษณะเดียวกัน โดยประสานรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ นอกจากนั้น ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาการใช้อาคารเป็นสถานที่ทำการให้มีความเหมาะสมกับชื่ออาคารที่ได้รับพระราชทานด้วย |
|||||||||||||||||||||
29930 | ขออนุมัติการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการไตรภาคีระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล | กต | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการไตรภาคีระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล (Memorandum of Understanding for Trilateral Technical Cooperation Programme between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Federative Republic of Brazil) เป็นเอกสารกำหนดแนวทางความร่วมมือระหว่างสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศกับ The Brazilian Cooperation Agency (ABC) สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ หน่วยงานกลางที่จะทำหน้าที่ในการประสานโครงการไตรภาคีระหว่างกัน ได้แก่ สำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ (สพร.) ของไทย และ The Brazilian Cooperation Agency (ABC) ของบราซิล ๑.๑.๒ สาขาความร่วมมือที่กำหนดในร่างบันทึกความเข้าใจฯ เป็นสาขาที่แต่ละฝ่ายให้ความสำคัญ เช่น สาธารณสุข การพัฒนาชนบทอย่างยั่งยืน เกษตรกรรม การท่องเที่ยวและกีฬา สิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ และสามารถขยายไปยังสาขาอื่น ๆ หากทั้งสองฝ่ายสนใจและมีความเชี่ยวชาญ (Best Practice) ๑.๑.๓ ขอบเขตของกิจกรรม ประกอบด้วย การศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำโครงการไตรภาคี การส่งผู้เชี่ยวชาญจากทั้งสองประเทศไปยังประเทศที่สามเพื่อร่วมกันออกแบบโครงการ หรือจัดการฝึกอบรม ติดตาม และประเมินผลโครงการในขั้นตอนสุดท้าย การสนับสนุนการฝึกอบรมในประเทศไทยหรือที่ประเทศบราซิลให้กับผู้รับทุนจากประเทศที่สาม และความร่วมมือในแบบอื่น ๆ ตามที่ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน ซึ่งประเทศผู้รับจะไม่จำกัดเฉพาะแต่ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และลาตินอเมริกา ๑.๑.๔ งบประมาณและทรัพยากรในการดำเนินงานโครงการไตรภาคี ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกันที่จะรับผิดชอบค่าใช้จ่าย ซึ่งต้องสอดคล้องกับกฎระเบียบทางการเงินของประเทศผู้ให้ และรายละเอียดวิธีการบริหาร/จัดการงบประมาณจะต้องปรากฏในเอกสารโครงการที่จัดทำร่วมกัน ๑.๑.๕ ผู้แทนของไทยและบราซิลต้องเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการบริหาร (Steering Committee) ในโครงการไตรภาคี และจะจัดการประชุมเพื่อทบทวนแผนงาน ร่วมกันวิเคราะห์และวางแผนหรือร่วมมือกันบริหารจัดการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมอบหมายลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ทั้งฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่เนื้อหาสาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจฯ ให้สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นควรเพิ่มเติมเรื่องนโยบายเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy Policy) และให้ความสำคัญต่อการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในสาขาความร่วมมือที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ความร่วมมือดังกล่าวจะต้องไม่เป็นการกำหนดเป็นพันธกรณี หรือข้อผูกพันใด ๆ สำหรับประเทศไทยที่อาจก่อให้เกิดภาระหรือลดความคล่องตัวในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ/หรือ การพัฒนาประเทศในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
29931 | ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ปี 2012 | พณ | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ครั้งที่ ๑๙ The 18th APEC Minister Responsible for Trade Meeting) ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๔ - ๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ ณ เมืองคาซาน สหพันธรัฐรัสเซีย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ที่ประชุมฯ ได้มีการหารือในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ การสนับสนุนการเจรจาการค้ารอบโดฮา และต่อต้านการใช้มาตรการกีดกันทางการค้า การส่งเสริมการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาคและการขยายการค้า (Trade and Investment Liberalization, Regional Economic Integration) การเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหาร (Strengthening Food Security) การสร้างห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อถือได้ (Establishing Reliable Supply Chain) และความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของนวัตกรรม (Intensive Cooperation to Foster Innovative Growth) ๑.๒ ข้อคิดเห็นของกระทรวงพาณิชย์ ๑.๒.๑ การเจรจาพหุภาคีขององค์การการค้าโลก (WTO) รอบโดฮาได้ยืดเยื้อมาเป็นเวลาเกือบ ๑๑ ปีแล้ว และขณะนี้อยู่ในภาวะชะงักงัน ปัจจุบัน WTO มีสมาชิก ๑๕๕ ประเทศ ซึ่งการเจรจาตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ใน WTO จะใช้ระบบฉันทามติ (consensus) ทำให้การเจรจามีความล่าช้ามาก ดังนั้น กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วใน WTO ที่เป็นสมาชิกเอเปค เช่น ออสเตรเลีย แคนาดา ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และสหรัฐฯ หันมาใช้เวทีเอเปค ซึ่งมีสมาชิกเพียง ๒๑ เขตเศรษฐกิจ ในการผลักดันให้การเจรจาเรื่องต่าง ๆ มีความคืบหน้าก่อน จากนั้นจึงนำไปผลักดันในเวที WTO ต่อไป เช่น การผลักดันให้มีการเจรจาขยายขอบเขตสินค้าภายใต้ความตกลงว่าด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology Agreement : ITA) และการผลักดันให้สินค้าใช้แล้วที่นำมาผลิตใหม่ (Remanufactured Products) ได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมกับสินค้าใหม่ เป็นต้น ๑.๒.๒ เอเปคได้ดำเนินการเพื่อผลักดันการเปิดเสรีการค้าและการลงทุนอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น เพื่อมุ่งเป้าหมายระยะยาวของการเจรจาความตกลงการค้าเสรีของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (Free Trade Area of the Asia - Pacific : FTAAP) ในอนาคต การเจรจาเรื่องต่าง ๆ จึงมีความเข้มข้นมากขึ้น เช่น การจัดทำรายการสินค้าสิ่งแวดล้อมของเอเปค การคัดเลือกประเด็นการค้าการลงทุนมิติใหม่ ตลอดจนการสร้างความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทาน และการส่งเสริมนโยบายนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพ ไม่เลือกปฏิบัติ และขับเคลื่อนโดยกลไกตลาด เป็นต้น ๑.๒.๓ ประเด็นเรื่องการจัดทำรายการสินค้าสิ่งแวดล้อมของเอเปคเพื่อนำมาลดภาษีให้เหลือร้อยละ ๕ หรือต่ำกว่า ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ (ค.ศ. ๒๐๑๕) เป็นประเด็นสำคัญของการประชุมครั้งนี้ เนื่องจากสมาชิกมีท่าทีที่แตกต่างกัน ระหว่างสองขั้วใหญ่ ได้แก่ จีนกับสหรัฐฯ ที่ประชุมจึงมอบหมายให้ระดับเจ้าหน้าที่หารือเพิ่มเติม โดยมีเป้าหมายให้จัดทำรายการสินค้าฯ ให้เสร็จก่อนการประชุมผู้นำเอเปค ที่จะมีขึ้นในเดือนกันยายนนี้ ที่เมืองวลาดิวอสต๊อก ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงอุตสาหกรรม เกี่ยวกับแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปค ปี ค.ศ. ๒๐๑๒ ที่ระบุเป้าหมายและกำหนดเวลาในการดำเนินการในหลายประเด็น ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับหน่วยราชการหลายหน่วยงาน จึงเห็นควรประสานงานอย่างใกล้ชิด เพื่อให้หน่วยราชการที่รับผิดชอบสามารถดำเนินการตามเป้าหมายและกรอบเวลาที่กำหนดไว้ การสงวนท่าทีการนำเสนอสินค้าเกษตรไว้ในรายการสินค้าและบริการสิ่งแวดล้อม (Environmental Goods and Services : EGS) การต่อต้านการใช้มาตรการกีดกันทางการค้า (Protectionism) การเจรจาเชิงรุกในเรื่องการลดหรือขจัดมาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษีโดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าเกษตรและอาหาร การผลักดันให้ได้ข้อสรุปของคำจำกัดความของสินค้าสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการกำหนดรายการสินค้าสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการกำหนดมาตรการในการกำกับดูแลการนำเข้าสินค้าสิ่งแวดล้อมของเอเปค ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
29932 | ผลการประชุมเวทีหารือเพื่อการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ ครั้งที่ 4 | นร | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมเวทีหารือระดับรัฐมนตรีเพื่อการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ (Economic Corridor Forum : ECF) ครั้งที่ ๔ ภายใต้แผนงานการพัฒนาความร่วมมือในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (Greater Mekong Subregion : GMS) เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๕ ณ เมืองมัณฑะเลย์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ โดยสาระสำคัญของการประชุมเกี่ยวข้องกับเรื่องการบูรณาการการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจในด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การอำนวยความสะดวกการค้าข้ามพรมแดนและโลจิสติกส์ การลงทุนโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านพลังงานและเกษตร รวมถึงการพัฒนาเมืองและทรัพยากรมนุษย์ ตลอดจนทิศทางในอนาคตเพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนตามแนวระเบียงเศรษฐกิจ สรุปสาระสำคัญของการประชุมฯ ได้ ดังนี้ ๑.๑ รัฐมนตรีประเทศลุ่มแม่น้ำโขง และภาคีการพัฒนา ได้ร่วมหารือแนวทางการเร่งขับเคลื่อนการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจให้มีผลเป็นรูปธรรมเพื่อสนับสนุนการเชื่อมโยงระหว่างกันในภูมิภาค (Regional Connectivity) และการเติบโตของเศรษฐกิจเอเชีย โดยมุ่งเน้นการดำเนินงานในเรื่องการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ การอำนวยความสะดวกการค้าและการขนส่งข้ามพรมแดน การพัฒนาโลจิสติกส์ และการกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการลงทุนตามแนวพื้นที่ หลังจากโครงข่ายโครงสร้างพื้นฐานได้รับการพัฒนาค่อนข้างครบสมบูรณ์แล้ว ๑.๒ รับทราบความต้องการของภาคเอกชนและรับไปเร่งปรับปรุงการดำเนินงานให้สอดคล้องกับความต้องการที่ส่วนใหญ่เป็นประเด็นในเรื่องการขนส่งและโลจิสติกส์ อาทิ การเพิ่มเติมการพัฒนาเส้นทางการขนส่งภายใต้กรอบ GMS และการดำเนินงานตามความตกลงการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาค การประกันภัยคนและสินค้า รวมถึงการประกันภัยบุคคลที่สาม การอำนวยความสะดวกกิจกรรมทางเศรษฐกิจข้ามพรมแดน ๑.๓ ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) ควรเข้ามาช่วยประเทศสมาชิกพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ การพัฒนาเมืองและเมืองชายแดน รวมถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และฝีมือแรงงาน เพื่อการเตรียมความพร้อมในการบริหารจัดการห่วงโซ่การผลิตร่วมระหว่างประเทศและการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามพรมแดน เพื่อนำไปสู่การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของภูมิภาค การลดช่องว่างทางเศรษฐกิจและการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน ๑.๔ ADB ได้เสนอโครงการลำดับความสำคัญสูงในการขจัดอุปสรรคและข้อจำกัดของการพัฒนาเส้นทางตามแนวระเบียงเศรษฐกิจในปัจจุบันที่มีศักยภาพในการเป็นเส้นทางการค้าหลักของอนุภูมิภาค โดยมีความสนใจให้การสนับสนุน จำนวน ๕ โครงการ ได้แก่ การปรับปรุงถนนกอกะเรก - ท่าตอน เชื่อมโยงเมืองเมียวดี (เมียนมาร์) - อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก (ไทย), การปรับปรุงถนนเลี่ยงเมืองและโครงสร้างพื้นฐานบริเวณพรมแดนอรัญประเทศ - ปอยเปต, การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานบริเวณพรมแดนไทย - เมียนมาร์, ถนนเลี่ยงเมืองพนมเปญ และการประเมินท่าเรือย่างกุ้งและถนนเชื่อมโยง ๑.๕ กลไกเวทีหารือเพื่อการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ (ECF) ควรได้รับการปรับปรุงให้สามารถระดมความเห็นจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเห็นควรให้ ADB จัดทำแนวทางการปรับปรุงกลไกการดำเนินงาน ECF และประเมินผลการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจและรับฟังความเห็นจากภาคเอกชนเป็นระยะเพื่อประสิทธิผลในการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจต่อไป ๒. เห็นชอบข้อเสนอการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการโดยประสานกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ดังนี้ ๒.๑ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับกระทรวงมหาดไทยเตรียมการเป็นเจ้าภาพจัดประชุม ECF ครั้งที่ ๕ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และผลักดันการดำเนินงานเพื่อสร้างความเข้าใจและเพิ่มการมีส่วนร่วมของจังหวัด ภาคเอกชนและประชาชนในพื้นที่ตามแนวระเบียงเศรษฐกิจและพื้นที่ชายแดนอย่างต่อเนื่อง ๒.๒ สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (สพพ.) ประสานกับ ADB เพื่อหารือแนวทางความร่วมมือในการให้ความช่วยเหลือพัฒนาโครงการลำดับความสำคัญสูงในเมียนมาร์และกัมพูชา ๒.๓ กระทรวงคมนาคมพิจารณาผลักดันเส้นทาง R8 (นครพนม - ท่าแขก - ยมราช - หลักซาว - วินห์) และเส้นทาง R12 (นครพนม - ท่าแขก - มหาไซย - น้ำพาว - จาลอ - ฮาตินห์ - วินห์) เข้าอยู่ภายใต้กรอบการดำเนินงานตามความตกลงการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Cross Border Transport Agreement : CBTA) ๒.๔ กระทรวงแรงงานพิจารณากำหนดแนวทางความร่วมมือด้านการพัฒนาฝีมือแรงงาน แรงงานอพยพ และการจ้างแรงงานร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเป็นระบบ |
|||||||||||||||||||||
29933 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (จำนวน 5 คน 1. นายอำพน กิตติอำพน ฯลฯ) | กษ | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง จำนวน ๕ คน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายอำพน กิตติอำพน ประธานกรรมการ ๒. รองศาสตราจารย์อุณารุจ บุญประกอบ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเกษตร ๓. นายธีรพงษ์ ตั้งธีระสุนันท์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการพัฒนาสังคม ซึ่งมิใช่ข้าราชการหรือผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐ ๔. รองศาสตราจารย์กัมปนาท ภักดีกุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการอนุรักษ์ และการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ ๕. นายเชาว์ อรรถมานะ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารจัดการ ซึ่งมิใช่ข้าราชการหรือผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐ
|
|||||||||||||||||||||
29934 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ 3/2555 | นร | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบเรื่องเพื่อทราบ จำนวน ๔ เรื่อง ตามมติคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ประธาน กพต. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เรื่อง การบูรณาการเป้าหมายยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๑.๒ เรื่อง ผลการเยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ของที่ปรึกษาและผู้แทนพิเศษ OIC ๑.๓ เรื่อง ผลการดำเนินงานแก้ไขปัญหาด้านการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๑.๔ เรื่อง การพัฒนาระบบการควบคุมดูแลผู้ต้องขังในเรือนจำ/ทัณฑสถานจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามวิธีปฏิบัติศาสนาอิสลาม ๒. เห็นชอบในหลักการเรื่องเพื่อพิจารณาตามมติ กพต. ดังนี้ ๒.๑ เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือประชาชนที่เสียชีวิตและทุพพลภาพจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และขอรับการจัดสรรงบประมาณจากเงินงบกลางปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๘ เนื่องจากคณะกรรมการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานกรรมการได้เสนอเรื่องการปรับปรุงหลักเกณฑ์ การจ่ายเงินช่วยเหลือประชาชนที่เสียชีวิตและทุพพลภาพจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไปเพื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว จึงเห็นควรให้เป็นไปตามผลการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป และรับทราบมติการประชุมคณะกรรมการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ สืบเนื่องจากความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยให้คณะกรรมการเยียวยาฯ นำความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข กรณีนายสมชาย นีละไพจิตร ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒.๒ เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมการจ่ายเงินยังชีพรายเดือนผู้พิการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รับทราบตามมติ กพต. ๒.๓ สำหรับการดำเนินงานตามภารกิจของหน่วยงานต่าง ๆ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เห็นชอบให้เพิ่มวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น ๑๖๘,๐๕๖,๐๐๐ บาท ส่วนการเพิ่มกรอบอัตรากำลังสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนให้แก่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และอำเภอเมือง อำเภอสะบ้าย้อย อำเภอเทพา อำเภอจะนะ อำเภอนาทวี ของจังหวัดสงขลา จำนวน ๒,๗๐๐ อัตรา ให้กรมการปกครองจัดทำแผนเพื่อขออนุมัติเพิ่มกรอบอัตรากำลังต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.๔ เรื่อง การพิจารณากำหนดวันหยุดราชการประจำปีเพิ่มเติม และเรื่อง การทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ความร่วมมือว่าด้วยทุนการศึกษาระหว่างศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) กับองค์กร Muhammadiyah ให้ ศอ.บต. จัดทำรายละเอียดเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||
29935 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2555 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | นร | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๓๙๑,๕๒๔,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับสิทธิกำลังพล และสิ่งอุปกรณ์ที่จำเป็น เพื่อการปฏิบัติภารกิจของ กอ.รมน. โดยให้ กอ.รมน. ขอทำความตกลงในรายละเอียดค่าใช้จ่ายกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้ กอ.รมน. ไปปรับแผนงานและแผนงบประมาณให้เป็นไปตามนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ และสอดคล้องกับพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๕ ด้วย
|
|||||||||||||||||||||
29936 | แนวทางการดำเนินงานเกี่ยวกับ "กองทุนตั้งตัวได้" ตามนโยบายรัฐบาล | ศธ | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้จัดตั้งทุนหมุนเวียนเป็นกองทุนตั้งตัวได้ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และหลักการการดำเนินการกองทุนตั้งตัวได้ เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียนสำหรับนักศึกษาจากสถาบันอุดมศึกษา และสถาบันอาชีวศึกษา หรือบุคคลที่สำเร็จการศึกษาแล้วไม่เกิน ๕ ปีการศึกษา ที่มีศักยภาพทางความคิดที่มุ่งให้เกิดวิสาหกิจนวัตกรรมใหม่ หรือการลงทุนในเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๑ (เรื่อง แนวทางการจัดตั้งทุนหมุนเวียน) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง การจัดตั้งทุนหมุนเวียนของหน่วยงานของรัฐ) ๒. เห็นชอบเกี่ยวกับงบประมาณดำเนินการ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงหน่วยงานดำเนินการของกองทุนตั้งตัวได้ ซึ่งขอตั้งงบประมาณไว้ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ มาตรา ๓๒ งบประมาณรายจ่ายของกองทุนและเงินทุนหมุนเวียน วงเงิน ๕,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท จากเดิม “สำนักนายกรัฐมนตรี สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี” เป็น “กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา” และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหารือแนวทางการบริหารจัดการงบประมาณที่ตั้งไว้ในกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ๓. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยกองทุนตั้งตัวได้ พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข วิธีการกู้ยืมเงิน การชำระเงินคืนและการคัดเลือกกลั่นกรองผู้เข้าร่วมโครงการให้ชัดเจนโดยด่วน พร้อมทั้งกลไกกระบวนการบ่มเพาะวิสาหกิจในสถานศึกษาอย่างเป็นระบบ เพื่อให้สามารถกู้ยืมเงินเพื่อการสร้างอาชีพ และเพื่อมุ่งให้เกิดวิสาหกิจนวัตกรรมใหม่ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ สำหรับสาระสำคัญของร่างระเบียบฯ มีดังนี้ ๓.๑ กำหนดให้จัดตั้ง “กองทุนตั้งตัวได้” ในกระทรวงศึกษาธิการ ประกอบด้วยเงินทุนประเดิมและเงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี และเงินหรือทรัพย์สินที่ตกเป็นของกองทุนหรือที่กองทุนได้รับตามกฎหมายอื่น เป็นต้น และให้การใช้จ่ายเงินกองทุนเป็นไปเพื่อกิจการตามที่กำหนด ๓.๒ กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายกองทุนตั้งตัวได้ ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธานกรรมการ กรรมการโดยตำแหน่ง และให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๓.๓ กำหนดให้มีคณะกรรมการบริหารกองทุนตั้งตัวได้ ประกอบด้วยประธานกรรมการที่คณะกรรมการแต่งตั้ง กรรมการโดยตำแหน่ง และผู้ทรงคุณวุฒิที่คณะกรรมการแต่งตั้งจากผู้มีคุณสมบัติตามที่กำหนด กำหนดอำนาจหน้าที่ วาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่ง ๓.๔ กำหนดให้มีสำนักงานกองทุนตั้งตัวได้ เป็นหน่วยงานภายในสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา โดยให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๓.๕ กำหนดให้คณะกรรมการ คณะกรรมการบริหารกองทุนที่ปรึกษา คณะอนุกรรมการและคณะทำงาน ได้รับเบี้ยประชุมหรือค่าตอบแทน โดยเบิกจ่ายจากเงินของกองทุนตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง ๓.๖ กำหนดให้กองทุนสนับสนุนทางการเงินแก่นักศึกษาที่ประสงค์จะเป็นผู้ประกอบการภายใต้วัตถุประสงค์กองทุน และนโยบายของคณะกรรมการ และให้ขอบเขตการสนับสนุนทางการเงิน และหลักเกณฑ์และวิธีการขอรับและการพิจารณาการสนับสนุนทางการเงินเป็นไปตามที่คณะกรรมการบริหารกองทุนกำหนดโดยต้องเป็นไปตามนโยบายของคณะกรรมการ และกำหนดแนวทางการดำเนินการสนับสนุนทางการเงินของคณะกรรมการบริหารกองทุน ๓.๗ กำหนดให้การรับเงิน การจ่ายเงิน และการเก็บรักษาเงินของกองทุน ตลอดจนการนำส่งเงิน การบริหารกองทุนและการจัดหาผลประโยชน์ เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามที่กำหนด ๓.๘ กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจัดทำบัญชีกองทุน การรายงานผลการตรวจสอบงบการเงิน และการจัดทำรายงานการเงินในภาพรวม ๓.๙ กำหนดบทเฉพาะกาลเกี่ยวกับการใช้จ่ายเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการของกองทุน ๔. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับการจัดตั้งสำนักงานกองทุนที่ควรจะกำหนดให้อยู่ในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และการสั่งให้ข้าราชการหรือลูกจ้างของส่วนราชการไปช่วยปฏิบัติงานในสำนักงานกองทุนดังกล่าว โดยกำหนดระยะเวลาในการช่วยปฏิบัติงานได้ไม่เกินหนึ่งปี เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ตามภารกิจหลักของส่วนราชการต้นสังกัด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
29937 | การรับรองร่างปฏิญญาเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านโทรคมนาคมและอุตสาหกรรมสารสนเทศ ครั้งที่ 9 | ทก | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างปฏิญญาเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านโทรคมนาคมและอุตสาหกรรมสารสนเทศ ครั้งที่ ๙ ซึ่งเป็นเอกสารที่รัฐมนตรีกำกับดูแลด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศจะให้การรับรองในระหว่างการประชุม เพื่อแสดงเจตนารมณ์ในการขับเคลื่อนความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยสาระสำคัญของร่างปฏิญญาเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กจะประกอบด้วยหัวข้อการพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้แก่ การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อสนับสนุนความเจริญเติบโตรูปแบบใหม่ การเสริมสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การส่งเสริมความปลอดภัยและความเชื่อมั่นในสภาพแวดล้อมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การสนับสนุนการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค และการเสริมสร้างความร่วมมือในสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับหัวข้อ Promoting Safe and Trusted ICT Environment ซึ่งนโยบาย ICT 2020 ของประเทศไทยได้ให้ความสำคัญกับทักษะของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในศตวรรษที่ ๒๑ ทั้งสิ้น ๓ ประการคือ ICT Literacy, Media Literacy และ Information Literacy ในขณะที่ร่างปฏิญญาเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กกล่าวถึงเฉพาะ ICT Literacy จึงเห็นควรพิจารณาผลักดันให้มีการเพิ่มเติม Media Literacy และ Information Literacy ให้ปรากฏในร่างปฏิญญา เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นในโลกยุคดิจิทัลและมีการกล่าวถึงในเวทีระดับระหว่างประเทศอื่น ๆ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
29938 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงินเดือน เงินเพิ่ม เงินค่าเบี้ยประชุม และเงินตอบแทนอื่นของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ข้าราชการการเมืองอื่นของกรุงเทพมหานคร และกรรมการที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครแต่งตั้ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงินประจำตำแหน่งเงินค่าเบี้ยประชุม และเงินตอบแทนอื่นของสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร สมาชิกสภาเขตของกรุงเทพมหานคร และกรรมการของสภากรุงเทพมหานคร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | นร | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกา จำนวน ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงินเดือน เงินเพิ่ม เงินค่าเบี้ยประชุม และเงินตอบแทนอื่นของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ข้าราชการการเมืองอื่นของกรุงเทพมหานคร และกรรมการที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครแต่งตั้ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงอัตราเงินเดือนของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและข้าราชการการเมืองอื่นของกรุงเทพมหานคร โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ ๒. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงินประจำตำแหน่ง เงินค่าเบี้ยประชุม และเงินตอบแทนอื่นของสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร สมาชิกสภาเขตของกรุงเทพมหานคร และกรรมการของสภากรุงเทพมหานคร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงอัตราเงินประจำตำแหน่งของสมาชิกสภากรุงเทพมหานครและสมาชิกสภาเขตของกรุงเทพมหานคร โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๔ รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมการลดเงินประจำตำแหน่งและเงินตอบแทนกรณีขาดการประชุม |
|||||||||||||||||||||
29939 | รัฐบาลราชอาณาจักรเบลเยียมเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นายมาร์ก มีคีลเซิน (Mr. Marc Michielsen)] | กต | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายมาร์ก มีคีลเซิน (Mr. Marc Michielsen) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งราชอาณาจักรเบลเยียมประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายรูดี เฟชเตรเทิน (Mr. Rudi Veestraeten) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
29940 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลพะโต๊ะ อำเภอพะโต๊ะ จังหวัดชุมพร ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 24/07/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลพะโต๊ะ อำเภอพะโต๊ะ จังหวัดชุมพร ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลพะโต๊ะ อำเภอพะโต๊ะ จังหวัดชุมพร ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
.....