ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1499 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 29961 - 29980 จากข้อมูลทั้งหมด 124231 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
29961 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับตราสารศุกูกและ รองรับการออกตราสารศุกูกในรูปแบบใบทรัสต์) | กค | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. แก้ไขเพิ่มเติมในข้อ ๒ ของกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ เกี่ยวกับบทนิยามของคำว่า “ใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์แบบ ข” “ใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์แบบ ค” และ “ใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์แบบ ง” เพื่อขยายขอบเขตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ของใบอนุญาตประเภทที่กล่าวให้รวมถึงตราสารศุกูกและใบทรัสต์ ๒. กำหนดให้ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์แบบ ข และผู้ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการค้าหลักทรัพย์ และการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์อันเป็นตราสารแห่งหนี้ ตามกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ที่ได้รับอยู่ก่อนวันที่ร่างกฎกระทรวงฉบับนี้มีผลใช้บังคับ สามารถประกอบธุรกิจหลักทรัพย์สำหรับหลักทรัพย์ที่เป็นตราสารศุกูกได้ ๓. กำหนดให้ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์แบบ ค และ แบบ ง และผู้ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ การค้าหลักทรัพย์ หรือการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ที่เป็นหน่วยลงทุน ตามกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ที่ได้รับอยู่ก่อนวันที่ร่างกฎกระทรวงฉบับนี้มีผลใช้บังคับ สามารถประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ที่เป็นใบทรัสต์ที่มีลักษณะทำนองเดียวกับกองทุนรวมได้
|
||||||||||||||||||||||||
29962 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนกรกฎาคม 2555 | พณ | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๑๕.๘๒ เทียบกับเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๑๕.๔๒ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๓๕ (เดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๖) เป็นการสูงขึ้นของราคาสินค้าที่ไม่ได้เร่งตัวมากนัก โดยดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๐.๔๗ สินค้าประเภทอาหารที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ ข้าวสารเจ้า ปลาและสัตว์น้ำ ผลไม้สด เครื่องปรุงรส เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และอาหารสำเร็จรูป ส่วนสินค้าที่มีราคาลดลงตามปริมาณผลผลิตและภาวะตลาด ได้แก่ ข้าวสารเหนียว เนื้อสัตว์สด ไข่และผลิตภัณฑ์นม และผักสด เป็นต้น สำหรับดัชนีหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๘ จากการสูงขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงขายปลีกในประเทศที่มีการปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันตลาดโลก และจากการสูงขึ้นของราคาสินค้าประเภทผ้าและเสื้อผ้า ค่าเช่าบ้าน วัสดุก่อสร้าง ค่าน้ำประปา ค่าตรวจรักษาและค่ายา ค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล และเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ เป็นต้น ขณะที่สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด และเครื่องรับอุปกรณ์สื่อสาร ปรับลดราคาลงตามการส่งเสริมการจำหน่าย ๒. พิจารณาเทียบกับดัชนีราคาเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๔ สูงขึ้นร้อยละ ๒.๗๓ จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๕.๔๒ โดยดัชนีราคาหมวดข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง สูงขึ้นร้อยละ ๒.๒๗ ปลาและสัตว์น้ำ ร้อยละ ๔.๐๔ ผักและผลไม้ ร้อยละ ๒๑.๔๕ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๒.๙๔ และอาหารสำเร็จรูป ร้อยละ ๔.๗๔ ดัชนีราคาหมวดอื่นๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๑.๐๓ จากการสูงขึ้นของหมวดเคหสถาน ร้อยละ ๒.๕๖ หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล ร้อยละ ๑.๐๕ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า ร้อยละ ๐.๙๓ หมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๐.๖๓ หมวดการบันเทิงการอ่าน การศึกษาและการศาสนา สูงขึ้นร้อยละ ๐.๕๘ ๓. พิจารณาดัชนีเฉลี่ย ๗ เดือนของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เทียบกับระยะเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สูงขึ้นร้อยละ ๒.๙๒ จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๕.๙๔ และดัชนีหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๑.๐๓ ตามการสูงขึ้นของหมวด ข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง ร้อยละ ๒.๕๒ เนื้อสัตว์ เป็ดไก่ และสัตว์น้ำ ร้อยละ ๒.๘๔ ไข่และผลิตภัณฑ์นม ร้อยละ ๑.๑๒ ผักและผลไม้ ร้อยละ ๑๑.๔๙ เครื่องประกอบอาหาร ร้อยละ ๗.๔๙ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๒.๖๖ อาหารสำเร็จรูป ร้อยละ ๗.๐๕ ค่าน้ำประปา ร้อยละ ๕.๒๘ ค่ากระแสไฟฟ้า ร้อยละ ๑๓.๔๔ และหมวดยานพาหนะ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๓๗ ๔. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๐๘.๓๔ เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๓ (เดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๕) จากการเคลื่อนไหวสูงขึ้นของราคาสินค้าและบริการ ได้แก่ ผ้าและเสื้อผ้า ค่าน้ำประปา ค่าเช่าบ้าน วัสดุก่อสร้าง ค่าตรวจรักษาและค่ายา ค่าของใช้ส่วนบุคคล และค่าบริการส่วนบุคคล สำหรับสินค้าที่มีราคาลดลง ได้แก่ สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด และเครื่องรับอุปกรณ์การสื่อสาร เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
29963 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนที่วัด วัดทุ่งน้อย ตำบลทุ่งน้อย อำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร ให้แก่กรมชลประทาน พ.ศ. .... | พศ | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||
29964 | สรุปผลการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปค ครั้งที่ 7 | กก | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปค ครั้งที่ ๗ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ เมืองคาบารอฟสค์ สหพันธรัฐรัสเซีย โดยการประชุมจัดขึ้นภายใต้หัวข้อหลักเอเปค ๒๐๑๒ “บูรณาการเพื่อการเติบโต นวัตกรรมเพื่อความรุ่งเรือง” (Integrate to Grow, Innovate to Prosper) มีวัตถุประสงค์ให้ประเทศสมาชิกส่งเสริมการค้าและการลงทุนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปคได้ร่วมรับรองปฏิญญาคาบารอฟสค์ ซึ่งมีสาระสำคัญ ได้แก่ ๑.๑ การยกระดับความสำคัญของการท่องเที่ยว ๑.๑.๑ รัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปคสนับสนุนให้ผู้นำเล็งเห็นและระบุความสำคัญของการท่องเที่ยวในฐานะกลไกการสร้างเศรษฐกิจไร้พรมแดนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในปฏิญญาวลาดิวอสต็อกในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจเอเปคในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ ณ เมืองวลาดิวอสต็อก สหพันธรัฐรัสเซีย ๑.๑.๒ รัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปคสนับสนุนให้ทุกเขตเศรษฐกิจเอเปคอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยวในฐานะกลไกการสร้างงานและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยให้คณะทำงานด้านการท่องเที่ยวเอเปคส่งเสริมการอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยวอย่างมีประสิทธิภาพและกระบวนการตรวจลงตราเพื่อเพิ่มปริมาณการเดินทางและการท่องเที่ยว ตลอดจนเตรียมการศึกษาผลกระทบของการอำนวยความสะดวกด้านการตรวจลงตราต่อการสร้างงานในภูมิภาคเอเปค ทั้งนี้ ได้แสดงความยินดีในโอกาสที่เม็กซิโกสามารถผลักดันให้ระบุความสำคัญของการท่องเที่ยวในปฏิญญา G20 ในระหว่างการประชุมกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำและประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ๒๐ แห่ง (The Group of Twenty Finance Ministers and Central Bank Governors-G20) ระหว่างวันที่ ๑๘-๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ ณ เมืองลอสคาบอส ประเทศเม็กซิโก ๑.๑.๓ รัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปคแสดงความยินดีในโอกาสที่สาธารณรัฐเกาหลีสามารถผลักดันให้ระบุความสำคัญของ “การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน” (Sustainable Tourism) ในเอกสารผลลัพธ์ (Outcome Document) ชื่อว่า “The Future We Want” ในระหว่างการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาอย่างยั่งยืน (RIO+20) เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ ณ เมืองริโอ เดอ จาเนโร สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ๑.๒ การดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวเอเปค พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๘ (APEC Tourism Strategic Plan : ATSP 2012 -2015) รัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปคสนับสนุนการดำเนินงานของคณะทำงานด้านการท่องเที่ยวเอเปคตามแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวเพื่อใช้เป็นแนวทางการดำเนินงานในอนาคต โดยผ่านการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด (Best Practices) ตามเป้าหมาย ได้แก่ การท่องเที่ยวในฐานะกลไกสำคัญในการเติบโตและความมั่งคั่งในภูมิภาคเอเปค การเติบโตอย่างเท่าเทียมของอุตสาหกรรมการเดินทางและการท่องเที่ยว ความยั่งยืนของธุรกิจท่องเที่ยวและแหล่งท่องเที่ยว และการรวมตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเปค ๑.๓ ความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว รัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปคได้ร่วมรับรอง “คู่มือการป้องกันความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว” (APEC Guidelines on Ensuring Tourist Safety) เพื่อให้ทุกเขตเศรษฐกิจเอเปคสามารถนำไปปรับใช้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เอเปคเป็นจุดหมายปลายทางที่ปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยว ๑.๔ ข้อริเริ่มด้านการอำนวยความสะดวกด้านการเดินทาง (Travel Facilitaiton Initiative : TFI) รัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปคสนับสนุนข้อริเริ่มดังกล่าว ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อลดอุปสรรคด้านการเดินทางภายในภูมิภาคเอเปค และให้คณะทำงานด้านการท่องเที่ยวเอเปคสนับสนุนการดำเนินงานตามข้อริเริ่มดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนงาน Airport Partnership Program (APP) และเห็นชอบให้ขยายการมีส่วนร่วมของคณะทำงานด้านการท่องเที่ยวเอเปคไปยังแผนงานต่าง ๆ ของ TFI เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของธุรกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวภายในภูมิภาคเอเปค ตลอดจนประสานงานกับคณะทำงานสาขาอื่น ๆ อย่างใกล้ชิด ๑.๕ ความเชื่อมโยงการคมนาคมทางอากาศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (Air Transport Connectivity) รัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปคเน้นย้ำความสำคัญของความเชื่อมโยงการคมนาคมทางอากาศ รวมทั้งผลกระทบของการเปิดเสรีด้านการบริการทางอากาศต่อการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเปค โดยให้คณะทำงานด้านการท่องเที่ยวเอเปคประสานงานอย่างใกล้ชิดกับคณะทำงานด้านการขนส่งของเอเปคและสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้หารือระดับทวิภาคีกับประธานการบริหารการท่องเที่ยวแห่งชาติจีนเกี่ยวกับการจัดตั้งสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ณ นครกวางโจว เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวจีนได้มากขึ้น ฝ่ายจีนรับจะมอบหมายผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป และหารือกับรัฐมนตรีท่องเที่ยวสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) เกี่ยวกับการยกเว้นการตรวจลงตราระหว่างกัน ฝ่ายไต้หวันรับจะไปหารือกับกระทรวงการต่างประเทศต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
29965 | สรุปผลการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน ครั้งที่ 11 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | สธ | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงสาธารณสุขรายงานสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน ครั้งที่ ๑๑ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒-๖ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดภูเก็ต หัวข้อหลักของการประชุม คือ “ประชาคมอาเซียน : โอกาสและความท้าทายต่อสุขภาพ (ASEAN Community 2015 : Opportunities and Challenges to Health)" ประกอบด้วยการประชุม ๒ ระดับ ดังนี้
๑. การประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส เพื่อรายงานความคืบหน้าการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ นับจากการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนครั้งผ่านมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๓ รวมทั้งการเตรียมการเพื่อเสนอประเด็นสำหรับการประชุมระดับรัฐมนตรีในครั้งนี้ ๒. การประชุมระดับรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาและหารือประเด็นสำคัญต่าง ๆ ประกอบด้วย ๒.๑ การประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน ครั้งที่ ๑๑ อย่างไม่เป็นทางการ (11th AHMM Retreat) เกี่ยวกับเรื่อง โรคไม่ติดต่อ (Non -Communicable Diseases : NCD) รัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนได้แลกเปลี่ยนความเห็นและหารือกันเกี่ยวกับเรื่อง การควบคุมการบริโภคยาสูบ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ๒.๒ การประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน ครั้งที่ ๑๑ (11th ASEAN Health Ministers Meeting) รัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนเห็นชอบให้มีการจัดการประเด็นด้านสาธารณสุขที่เป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะภาระจากโรคไม่ติดต่อที่เพิ่มขึ้น การเพิ่มขึ้นของการบริโภคยาสูบ ความพยายามในการป้องกันไม่ให้มีผู้ป่วยเอดส์รายใหม่ และการเตรียมความพร้อมเพื่อการรองรับภัยพิบัติและสถานการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ โดยมอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสหารือเกี่ยวกับการจัดตั้งเครือข่ายอาเซียนด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (ASEAN network on UHC) และสนับสนุนให้เครือข่ายการฝึกอบรมนักระบาดวิทยาของอาเซียนบวกสาม (ASEAN Plus Three FETN) ใช้ Minimum Standards on Joint Multi-sectoral Outbreak Investigation and Response (MS JMOIR) ในการศึกษาและสำรวจร่วมกัน โดยส่งเสริมให้มีการดำเนินงานร่วมกับองค์การอนามัยโลกและหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulation : IHR) ทั้งนี้ ที่ประชุมได้รับรองแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) ของการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน ครั้งที่ ๑๑ ๒.๓ การประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ ๕ (5th ASEAN Plus Three Health Ministers Meeting) รัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนบวกสามได้ร่วมกันหารือ Roundtable discussion หัวข้อหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Universal Health Coverage : UHC) โดยส่งเสริมให้มีการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในการลดความยากจนและให้มีการเข้าถึงการบริการสุขภาพที่จำเป็น โดยมอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนบวกสามหารือเกี่ยวกับการจัดตั้งเครือข่ายอาเซียนบวกสามด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (ASEAN Plus Three network on UHC) และส่งเสริมให้มีความร่วมมือในสาขาการแพทย์พื้นบ้าน อนามัยแม่และเด็ก และโรคติดต่อทั่วไปและโรคติดต่ออุบัติใหม่ เช่น การริเริ่มเครือข่ายการฝึกอบรมนักระบาดวิทยา (FETN) การสื่อสารความเสี่ยง (Risk Communication) ความร่วมมือด้านห้องทดลอง (Partnership Laboratories) เป็นต้น ทั้งนี้ ที่ประชุมได้รับรองแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) ของการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ ๕ ๒.๔ การประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน-จีน ครั้งที่ ๔ (4th ASEAN-China Health Ministers Meeting) รัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน-จีนได้ร่วมกันหารือ Roundtable discussion หัวข้อการควบคุมการบริโภคยาสูบ (Tobacco Control) โดยส่งเสริมให้มีความร่วมมือในสาขาโรคติดต่อทั่วไปและโรคติดต่ออุบัติใหม่ ได้แก่ โรคมาลาเรีย โรคไข้หวัดใหญ่ โรคไข้เลือดออก โรคเอดส์ การแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์ทางเลือก รวมทั้งลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของรัฐสมาชิกของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุข ประกอบด้วย ความร่วมมือในสาขาการป้องกันควบคุมโรคติดต่อ กลไกเพื่อสนองตอบต่อภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข และศักยภาพในการบรรเทาผลกระทบสุขภาพที่เกิดจากภัยธรรมชาติ การป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ ความปลอดภัยด้านอาหาร และระบบการเตือนภัยฉุกเฉิน การพัฒนาบุคลากรด้านสาธารณสุข การพัฒนาการแพทย์ดั้งเดิม และการพัฒนาเภสัชกรรมและวัคซีน โดยมอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียน-จีนจัดทำแผนปฏิบัติการต่อไป ทั้งนี้ ที่ประชุมได้รับรองแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) ของการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน-จีน ครั้งที่ ๔ ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้หารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีสาธารณสุขสิงคโปร์ บรูไนดารุสซาลาม และเมียนมาร์ รวมทั้งประเทศเวียดนามจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน ครั้งที่ ๑๒ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ประมาณสัปดาห์แรกของเดือนสิงหาคม ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ณ เมืองดาลัด
|
||||||||||||||||||||||||
29966 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้าง เพิ่มวงเงินค่าควบคุมงาน และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการอาคารเรียนเทคโนโลยีและการพัฒนาชุมชน (ส่วนที่ก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ) ของมหาวิทยาลัยทักษิณ | ศธ | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้มหาวิทยาลัยทักษิณเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการอาคารเรียนเทคโนโลยีและการพัฒนาชุมชน ๑ หลัง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. เพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างอาคารเรียนเทคโนโลยีและการพัฒนาชุมชน ๑ หลัง ภายในวงเงิน ๖๔,๖๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งได้ดำเนินการก่อสร้างและเบิกจ่ายค่าก่อสร้างไปแล้ว จำนวน ๓๙,๑๐๐,๐๐๐ บาท และก่อสร้างในส่วนที่ยังไม่แล้วเสร็จอีก จำนวน ๒๕,๕๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี จำนวน ๑๘,๔๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายแล้ว และใช้เงินนอกงบประมาณสมทบ จำนวน ๗,๑๐๐,๐๐๐ บาท ๒. เพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการค่าควบคุมงานอาคารเรียนเทคโนโลยีและการพัฒนาชุมชน ๑ หลัง ภายในวงเงิน ๑,๔๕๘,๒๕๐ บาท โดยค่าควบคุมงานในส่วนที่เพิ่มขึ้น จำนวน ๔๗๑,๒๕๐ บาท ให้ใช้จากเงินนอกงบประมาณสมทบ ๓. ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากเดิมปีงบประมาณ ๒๕๕๑ - ๒๕๕๓ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๕๕
|
||||||||||||||||||||||||
29967 | การจัดทำความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมสำหรับความร่วมมือทวิภาคีระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรโมร็อกโก | กต | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. ยืนยันมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๔๘ ที่เห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมสำหรับความร่วมมือทวิภาคีระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรโมร็อกโก และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามในความตกลงฯ ในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ทั้งนี้ ร่างความตกลงฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกรอบแม่บทสำหรับความร่วมมือด้านต่าง ๆ ระหว่างกัน และสนับสนุนการแลกเปลี่ยนการเยือนที่สม่ำเสมอ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของคู่สัญญาหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะทำหน้าที่ประธานร่วม โดยการประชุมฯ จะจัดสลับกันในภาคีคู่สัญญาและคณะกรรมาธิการร่วมจะกำหนดกฎและระเบียบวิธีการประชุมฯ รวมทั้งอาจมีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการ คณะทำงานถาวรหรือเฉพาะกิจเมื่อจำเป็น นอกจากนี้ ร่างความตกลงฯ จะเป็นกรอบแม่บทและกลไกสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์ด้านการเมืองและเศรษฐกิจ ตลอดจนส่งเสริมความเข้าใจและปฏิสัมพันธ์ระดับประชาชนของทั้งสองประเทศ ๒. หากก่อนการลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมสำหรับความร่วมมือทวิภาคีระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรโมร็อกโกในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ โดยถ้อยคำดังกล่าวสอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาดำเนินการได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง |
||||||||||||||||||||||||
29968 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่วัด วัดบางปลา ตำบลบางปลา อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม ให้แก่กรมชลประทาน พ.ศ. .... | พศ | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่วัด วัดบางปลา ตำบลบางปลา อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม ให้แก่กรมชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ โอนกรรมสิทธิ์ที่วัด วัดบางปลา ตำบลบางปลา อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม ตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๖๘๑๔ (บางส่วน) เนื้อที่ ๘ ไร่ ๒ งาน ๑๕ ตารางวา ให้แก่กรมชลประทาน ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
29969 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลแม่สอย อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นกรณีที่มี ความจำเป็นโดยเร่งด่วน | กษ | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลแม่สอย อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลแม่สอย อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อประโยชน์แก่การชลประทาน เก็บกักน้ำสำหรับพื้นที่การเกษตร การอุปโภคและบริโภค ตลอดจนรักษาสมดุลของระบบนิเวศน์ และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์ได้ทันตามกำหนดเวลา ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
29970 | แนวทางการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ | มท | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางในการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
๑. ตั้งคณะกรรมการกำหนดแนวทางในการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ในส่วนกลาง จังหวัด และอำเภอ ได้แก่ ๑.๑ คณะกรรมการกำหนดแนวทางในการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ในส่วนกลาง ประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรี/รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน ส่วนราชการและผู้ที่เกี่ยวข้อง เป็นกรรมการ อธิบดีกรมการปกครอง เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่กำหนดนโยบาย แนวทางการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ และให้คำปรึกษา แนะนำคณะกรรมการฯ ระดับจังหวัด และอำเภอในการดำเนินงาน ๑.๒ คณะกรรมการกำหนดแนวทางในการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ระดับจังหวัด ประกอบด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธาน ส่วนราชการและผู้ที่เกี่ยวข้อง เป็นกรรมการ ปลัดจังหวัด เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่กำหนดแนวทางการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ในพื้นที่จังหวัด และให้คำแนะนำคณะกรรมการฯ ระดับอำเภอในการดำเนินงาน ๑.๓ คณะกรรมการกำหนดแนวทางในการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ระดับอำเภอ ประกอบด้วย นายอำเภอ เป็นประธาน หัวหน้าส่วนราชการระดับอำเภอและผู้ที่เกี่ยวข้อง เป็นกรรมการ ปลัดอำเภอหัวหน้ากลุ่ม/ฝ่ายบริหารงานปกครอง เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่ขับเคลื่อนการดำเนินงานโดยกำหนดรูปแบบ แนวทาง และวิธีการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ในพื้นที่ระดับหมู่บ้าน จัดประชุมสัมมนาและรับฟังความคิดเห็นเพื่อกำหนดแนวทางในการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ๒. จัดประชุมสัมมนาและรับฟังความคิดเห็นเพื่อกำหนดแนวทางในการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ผู้เข้าร่วมสัมมนาประกอบด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดจังหวัด นายอำเภอ ทั่วประเทศ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ปลัดกรุงเทพมหานคร และผู้อำนวยการเขตในกรุงเทพมหานคร ๓. จัดเวทีสัมมนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญระดับจังหวัดทุกจังหวัดและกรุงเทพมหานคร ๔. จัดเวทีประชาคมหมู่บ้าน/ชุมชน เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ทุกหมู่บ้าน/ชุมชน ทั่วประเทศ ๕. จัดเวทีประชาคมชุมชนในกรุงเทพมหานครเพื่อรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ๖. สรุปผลการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ
|
||||||||||||||||||||||||
29971 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 [มาตรการภาษีและค่าธรรมเนียมของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund)] | กค | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๗ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕๑ (พ.ศ. ๒๕๔๙) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ดังนี้
๑. กำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์กรณีกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเป็นผู้รับโอนหรือเป็นผู้โอน ร้อยละ ๐.๐๑ แต่อย่างสูงไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ๒. กำหนดค่าจดทะเบียนการจำนอง กรณีกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเป็นผู้ขอจดทะเบียน ร้อยละ ๐.๐๑ แต่อย่างสูงไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ๓. กำหนดค่าจดทะเบียนการเช่า กรณีกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเป็นผู้เช่า ผู้เช่าช่วง ผู้ให้เช่า หรือผู้ให้เช่าช่วง ร้อยละ ๐.๐๑ แต่อย่างสูงไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
|
||||||||||||||||||||||||
29972 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา เรื่อง ผลการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 | สว | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา เรื่อง ผลการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ พร้อมข้อเสนอแนะ กับผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะดังกล่าวที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยในส่วนรายงานของคณะกรรมาธิการฯ พร้อมข้อเสนอแนะ มีดังนี้
๑. ความยากลำบากในการดำเนินคดี ควรหามาตรการ แนวทางในการพิจารณาช่วยเหลือ หรือกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว รวมทั้งแนะนำแนวทางในการดำเนินงานได้อย่างถูกต้อง เหมาะสมและปลอดภัยต่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ๒. ขาดงบประมาณด้านการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ รัฐบาลควรพิจารณาจัดสรรอย่างเพียงพอและต่อเนื่อง ๓. การดำเนินงานตามมาตรา ๓๕ และมาตรา ๓๗ การเรียกร้องสินไหมทดแทนให้ผู้เสียหายต้องผ่านขั้นตอนการได้รับแจ้งจากปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จึงไม่คล่องตัว และควรผลักดันกฎกระทรวงให้มาตรา ๓๗ ดำเนินการปฏิบัติได้ ๔. ภาษาและการสื่อสารกับผู้เสียหายที่คลาดเคลื่อน ควรมีระบบการสนับสนุนล่ามให้พอเพียงกับความต้องการของหน่วยงานในด้านการบังคับใช้กฎหมายและการคุ้มครองช่วยเหลือผู้เสียหาย ๕. การแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย ควรเร่งรัดดำเนินการฝึกอบรมและแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ๖. ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติไม่เข้าใจในขั้นตอนกระบวนการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาอบรม สัมมนาให้กับผู้ปฏิบัติทุกพื้นที่ รวมทั้งอบรมพนักงานสอบสวนโดยตรง ๗. ความไม่ชัดเจนในเรื่องการคัดแยกผู้เสียหาย ควรจัดทำเอกสารแนวทางการพิจารณาองค์ประกอบของความผิดฐานค้ามนุษย์เพื่อแจกจ่าย รณรงค์ และให้ความรู้ ๘. ความล่าช้าในการดำเนินคดี ควรเร่งรัดการดำเนินคดีให้รวดเร็วขึ้นโดยตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาหาแนวทางมาตรการ และควรส่งเสริมให้ผู้เสียหายมีนันทนาการ และมีรายได้ ๙. การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ในพื้นที่ ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์จังหวัดควรดำเนินการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์พระราชบัญญัติดังกล่าวให้เครือข่าย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนทั่วไป หรือผลิตคู่มืออธิบายพระราชบัญญัติฯ ๑๐. การสร้างกลไกและทีมสหวิชาชีพ ควรทบทวนการดำเนินงานเพื่อสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมจากทีมสหวิชาชีพ การช่วยเหลือผู้เสียหายหรือผู้อาจตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ รวมทั้งซักซ้อมความเข้าใจในการปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงระดับพื้นที่หรือระดับภาค ๑๑. ระดับนโยบาย ควรจัดตั้งคณะติดตามและประเมินผลการทำงานด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ รวมทั้งให้คำแนะนำ ปรึกษาแนวทางปฏิบัติและข้อกฎหมายต่าง ๆ ๑๒. การศึกษาในอนาคต ควรทำการศึกษาใน ๒ ประเด็น คือการวิจัยเชิงคุณภาพโดยเก็บข้อมูลเชิงลึกจากผู้เสียหายในพื้นที่ที่มีการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย และศึกษาระบบการคุ้มครองพยานตามพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๖ |
||||||||||||||||||||||||
29973 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์การพัฒนาคนเพื่อการพัฒนาประเทศ" | สสป | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์การพัฒนาคนเพื่อการพัฒนาประเทศ" ดังนี้ ๑.๑ นโยบายรัฐบาลเกี่ยวการพัฒนาคน รัฐบาลควรถือเป็นวาระสำคัญของชาติโดยเร่งด่วน ๑.๒ รัฐบาลควรจัดให้มียุทธศาสตร์การพัฒนาคนเพื่อการพัฒนาประเทศ ๑.๓ รัฐบาลควรแต่งตั้งกรรมการยุทธศาสตร์การพัฒนาคนเพื่อการพัฒนาประเทศโดยเร่งด่วนโดยมีนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายเป็นประธาน มีคณะกรรมการประกอบด้วย ผู้แทนส่วนราชการ และภาคส่วนต่าง ๆ รวมทั้งผู้ทรงคุณวุฒิ ๒. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับเรื่อง "ยุทธศาสตร์การพัฒนาคนเพื่อการพัฒนาประเทศ" ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบให้การพัฒนาคนเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ควรกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ โดยให้มีการติดตามประเมินผลความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง และเห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลัก ๒.๒ ไม่ควรกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาคนเพื่อการพัฒนาประเทศขึ้นใหม่ เนื่องจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙) ได้น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นปรัชญานำทางในการพัฒนาประเทศอย่างต่อเนื่อง และในยุทธศาสตร์ที่ ๒ ได้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาคนสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างยั่งยืนไว้แล้ว และเห็นชอบให้ส่วนราชการทีเกี่ยวข้องตระหนักถึงข้อเสนอของสภาที่ปรึกษาฯ และให้ถือเป็นประเด็นสำคัญ ประกอบการพิจารณากำหนดยุทธศาสตร์ตามภารกิจของหน่วยงานให้มีความครอบคลุม ๒.๓ เห็นสมควรให้มีคณะกรรมการติดตามประเมินผลตามความสำเร็จในการขับเคลื่อนการพัฒนาคน ซึ่งมีคณะกรรมการเฉพาะเรื่อง เช่น ด้านการศึกษา สุขภาพ สตรี เด็กและเยาวชน แรงงาน เป็นต้น ซึ่งมีคณะกรรมการระดับชาติและมีนายกรัฐมนตรี/รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ตามภารกิจของส่วนราชการ หากแต่งตั้งคณะการกรรมยุทธศาสตร์การพัฒนาคนเพื่อการพัฒนาประเทศจะทำให้เกิดความซ้ำซ้อน โดยผู้แทนสภาที่ปรึกษาฯ มีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า คณะกรรมการติดตามฯ ควรมีอำนาจหน้าที่ในการเชื่อมโยงและประสานแผน ให้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุง พัฒนา เพื่อให้การดำเนินการตามแผนมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น โดยเห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นหน่วยงานหลัก
|
||||||||||||||||||||||||
29974 | ร่างพระราชบัญญัติสถาบันวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. .... | ศธ | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับร่างพระราชบัญญัติสถาบันวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. .... ไปพิจารณาร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้รับความเห็นของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดการศึกษาในรูปแบบวิทยาลัยชุมชนเป็นการขยายโอกาสทางการศึกษาและการเข้าถึงการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่ต่ำกว่าปริญญา โดยให้ท้องถิ่นสามารถกำหนดหลักสูตรการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความเหมาะสมและความประสงค์ของท้องถิ่นได้ โดยควรพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนให้มีมาตรฐานสามารถเชื่อมโยงกับการศึกษาในระบบ เพื่อให้ผู้ที่จบการศึกษาจากวิทยาลัยชุมชนสามารถศึกษาต่อในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาในระดับปริญญาได้ รวมทั้งความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการกำหนดให้สถาบันวิทยาลัยชุมชนมีอำนาจในการปกครอง ดูแล บำรุงรักษา ใช้และจัดหาประโยชน์จากที่ราชพัสดุ โดยรายได้หรือผลประโยชน์ที่ได้จากที่ราชพัสดุเป็นรายได้ของสถาบันที่ไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้ของแผ่นดิน โดยเห็นควรเพิ่มเติมให้กระทรวงการคลังมีอำนาจกำหนดเงื่อนไขในการใช้ที่ราชพัสดุด้วย ส่วนการกำหนดให้สภาสถาบันมีอำนาจออกข้อบังคับ และระเบียบเกี่ยวกับการเงินของสถาบันนั้น ซึ่งในหลักการ การใช้จ่ายเงินของส่วนราชการโดยทั่วไปต้องถือปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือหลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกำหนดเพื่อให้การใช้จ่ายเงินของส่วนราชการเป็นไปในแนวทางเดียวกัน และไม่เกิดความเหลื่อมล้ำในทางปฏิบัติ และโดยที่สถาบันวิทยาลัยชุมชนมีสถานะเป็นส่วนราชการจึงไม่เห็นสมควรให้สภาสถาบันมีอำนาจดังกล่าว และเห็นควรให้สถาบันวิทยาลัยชุมชนบริหารการใช้จ่ายเงินโดยถือปฏิบัติเช่นเดียวกับส่วนราชการอื่น รวมทั้งควรบัญญัติเพิ่มเติมให้สถาบันวิทยาลัยชุมชนนำเงินรายได้ที่ได้รับฝากไว้กับกระทรวงการคลัง หากจะนำรายได้ไปฝากธนาคารให้ขอความเห็นชอบจากกระทรวงการคลังก่อน และในกรณีที่ปรากฏว่า เงินรายได้ของสถาบันวิทยาลัยชุมชนเหลือเกินความจำเป็น กระทรวงการคลังจะกำหนดให้สถาบันวิทยาลัยชุมชนนำเงินส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินตามจำนวนที่เห็นสมควรก็ได้ นอกจากนี้ รายได้อื่นของสถาบันวิทยาลัยชุมชนที่มาจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เห็นควรให้ใช้จ่ายเกี่ยวกับการลงทุนค่าก่อสร้างและจัดหาครุภัณฑ์ เพื่อไม่ให้เกิดภาวะงบประมาณในภาพรวมอย่างต่อเนื่อง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||||||||
29975 | ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. .... | นร01 | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้มีคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยมีองค์ประกอบ วาระการดำรงตำแหน่ง และอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด และให้สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการมีหน้าที่ปฏิบัติงานวิชาการและธุรการให้แก่คณะกรรมการฯ ๑.๒ กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ดังนี้ ๑.๒.๑ กำหนดหลักเกณฑ์การขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล กำหนดหน้าที่ของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล กำหนดให้มีการแจ้งวัตถุประสงค์เพื่อขอความยินยอม และจะต้องเก็บ ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลฯ ตามวัตถุประสงค์นั้น เว้นแต่จะได้แจ้งวัตถุประสงค์ใหม่และได้รับความยินยอมแล้วหรือได้รับยกเว้นตามกฎหมาย ๑.๒.๒ กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ห้ามเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลที่มีลักษณะเป็นข้อมูลต้องห้าม (ข้อมูลที่เกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศ ข้อมูลที่อาจเป็นผลร้ายทำให้เสียชื่อเสียง) ๑.๒.๓ กำหนดหลักเกณฑ์การใช้และการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล โดยต้องได้รับความยินยอมเป็นหนังสือ รวมทั้งกำหนดข้อยกเว้นดังกล่าว ๑.๒.๔ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการเก็บรักษาและการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลส่วนบุคคล โดยกำหนดให้มีระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัยให้แก่ข้อมูลส่วนบุคคล การแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลส่วนบุคคล ๑.๒.๕ กำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีปฏิบัติของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลเชิงธุรกิจหรือการพาณิชย์ ๑.๓ กำหนดสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลและความรับผิดทางแพ่งในกรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้หรือประกาศที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้ ๑.๔ กำหนดให้มีคณะกรรมการตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งแต่งตั้งโดยคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อให้มีหน้าที่พิจารณาเรื่องร้องเรียน ตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เป็นต้น รวมทั้งกำหนดให้การยื่นคำร้อง การส่งคำร้องเรียน วิธีพิจารณา ระยะเวลาและการขยายระยะเวลาการตรวจสอบ การไกล่เกลี่ย และการไม่รับเรื่องร้องเรียนไว้พิจารณาให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการประกาศกำหนด ตลอดจนกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการในการอุทธรณ์การไม่รับเรื่องร้องเรียนหรือคำสั่งยุติเรื่อง ๑.๕ กำหนดมาตรการส่งเสริม โดยกำหนดให้ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลที่ประสงค์จะมีสิทธิใช้หรือแสดงเครื่องหมายรับรองมาตรฐานยื่นคำขอใบรับรองต่อสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ผู้อำนวยการสำนักงานฯ ประกาศกำหนด ๑.๖ กำหนดความรับผิดของนิติบุคคล โทษปรับทางปกครอง และโทษทางอาญา ๑.๗ กำหนดบทเฉพาะกาล โดยมีบทเร่งรัดให้สำนักงานฯ ดำเนินการให้มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภายใน ๙๐ วันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ และกำหนดไม่ให้กฎหมายมีผลใช้บังคับย้อนหลังสำหรับการปฏิบัติตามบทบัญญัติเกี่ยวกับการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลที่อยู่ในความครอบครองก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ๒. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. ที่เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. .... กำหนดให้มีคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มีอำนาจหน้าที่กำหนดนโยบายและมาตรการควบคุม ดูแล และส่งเสริมการให้ความคุ้มครองสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคล และให้สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการมีหน้าที่ปฏิบัติงานวิชาการและธุรการให้แก่คณะกรรมการและคณะอนุกรรมการนั้น ในเบื้องต้นเห็นควรให้เกลี่ยอัตรากำลังจากสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีก่อน หากดำเนินการแล้วอัตรากำลังยังไม่เพียงพอก็ให้เสนอคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ หรือคณะกรรมการบริหารพนักงานราชการ พิจารณาจัดสรรอัตรากำลังให้ตามความจำเป็น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับไปพิจารณาทบทวนโครงสร้างของสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ โดยให้นำความเห็นของสำนักงาน ก.พ. ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
29976 | รายงานผลการดำเนินการของกระทรวงการคลังในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย | กค | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ซึ่งกระทรวงการคลังได้กำหนดมาตรการด้านต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือฯ รวมทั้งมาตรการช่วยเหลือฯ ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๔ วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๔ และวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. มาตรการด้านการเงิน ประกอบด้วย ๑.๑ สินเชื่อเพื่อภาคการเกษตร ดำเนินการโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จำนวน ๑ โครงการ คือ สินเชื่อฟื้นฟูการประกอบอาชีพรายละไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท วงเงินสินเชื่อรวม ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ สินเชื่อเพื่อภาคเคหะ ดำเนินการโดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ร่วมกับธนาคารออมสิน จำนวน ๑ โครงการ คือ มาตรการสินเชื่อสำหรับการเคหะ วงเงินสินเชื่อรวม ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๓ สินเชื่อเพื่อธุรกิจ SMEs มีมาตรการที่ให้ความช่วยเหลือ จำนวน ๓ โครงการ วงเงินสินเชื่อรวม ๑๖๒,๐๐๐ ล้านบาท ได้แก่ มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำโดยความร่วมมือของธนาคารออมสินและธนาคารพาณิชย์ วงเงินสินเชื่อรวม ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ประสบภัยพิบัติปี พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย วงเงินสินเชื่อรวม ๒,๐๐๐ ล้านบาท และการค้ำประกันสินเชื่อของอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม โดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม วงเงินค้ำประกันรวม ๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท (คาดว่าจะให้สินเชื่อได้ ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ๑.๔ สินเชื่อเพื่อรายย่อย มีมาตรการที่ให้ความช่วยเหลือ จำนวน ๓ โครงการ วงเงินสินเชื่อรวม ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท ได้แก่ มาตรการสินเชื่อสำหรับกลุ่มรายย่อย โดยธนาคารออมสิน วงเงินสินเชื่อรวม ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท มาตรการสินเชื่อรายย่อยสำหรับผู้ประสบอุทกภัย โดยสำนักงานประกันสังคม วงเงินสินเชื่อรวม ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท และมาตรการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน โดยสำนักงานประกันสังคม วงเงินสินเชื่อรวม ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๕ สินเชื่อเพื่อการพัฒนาระบบป้องกันอุทกภัยของนิคมอุตสาหกรรม ดำเนินการโดยธนาคารออมสิน จำนวน ๑ โครงการ คือ มาตรการสินเชื่อเพื่อพัฒนาระบบป้องกันอุทกภัย วงเงินสินเชื่อรวม ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๖ การให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท ๒. มาตรการด้านภาษี ประกอบด้วย ๒.๑ ภาษีเงินได้ ได้แก่ การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลสำหรับเงินชดเชยที่ผู้ประสบอุทกภัยได้รับจากภาครัฐ การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นจำนวนเงินเท่ากับจำนวนความเสียหายที่ได้รับสำหรับผู้ประสบอุทกภัยที่ลงทะเบียนไว้กับศูนย์หรือหน่วยงานให้ความช่วยเหลือของทางราชการ การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับค่าสินไหมทดแทนที่ผู้ประสบอุทกภัยได้รับจากการประกันภัยเพื่อชดเชยความเสียหายดังกล่าวเฉพาะส่วนที่เกินมูลค่าต้นทุนของทรัพย์สินที่เหลือจากการหักค่าสึกหรอหรือค่าเสื่อมราคาแล้ว การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลสำหรับเงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับจากการบริจาคหรือชดเชยที่มีมูลค่าไม่เกินความเสียหาย รวมทั้งยกเว้นภาษีในส่วนของการบริจาคให้กับผู้ประสบอุทกภัยผ่านหน่วยงานส่วนราชการ องค์การของรัฐบาล องค์การหรือสถานสาธารณกุศล หรือผ่านเอกชนที่เป็นตัวแทนรับบริจาค ที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมสรรพากร เพื่อนำไปบริจาคต่อให้กับผู้ประสบอุทกภัย ผู้บริจาคสามารถนำมาหักเป็นค่าลดหย่อน/ค่าใช้จ่ายได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด ๒.๒ ภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่นำสินค้าไปบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ๒.๓ ภาษีศุลกากร ได้แก่ การยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบเครื่องจักร รวมถึงเครื่องมือและเครื่องใช้ที่ใช้กับเครื่องจักรดังกล่าวที่นำเข้ามาเพื่อทดแทนหรือซ่อมแซมเครื่องจักรที่ได้รับความเสียหายอันเนื่องมาจากอุทกภัย การยกเว้นอากรขาเข้ารถยนต์นั่งสำเร็จรูปเพื่อทดแทนการผลิตในประเทศ และการยกเว้นอากรขาเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ที่นำเข้ามาเพื่อผลิตหรือประกอบเป็นส่วนประกอบหรืออุปกรณ์ประกอบเป็นรถยนต์สำเร็จรูปในประเทศ ๒.๔ การขยายเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษี ได้แก่ การขยายเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ อากรแสตมป์ สำหรับผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร โดยให้สามารถนำไปยื่นแบบได้ภายในวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๔ และการขยายเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษีสรรพสามิตแก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม และผู้ประกอบกิจการสถานบริการที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ตามประกาศกระทรวงการคลัง โดยให้สามารถนำไปยื่นแบบได้ภายในวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ๓. มาตรการด้านการคลัง ประกอบด้วย ๓.๑ การอนุมัติให้จังหวัดต่าง ๆ และส่วนราชการขยายวงเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน และอนุมัติให้สามารถปฏิบัตินอกเหนือระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และหลักเกณฑ์และวิธีการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๑ ๓.๒ การขยายระยะเวลาและผ่อนปรนหลักเกณฑ์การกันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ไว้เบิกเหลื่อมปีกรณีไม่มีหนี้ผูกพันได้อีก ๖ เดือน จนถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕ เพื่อให้ส่วนราชการสามารถเบิกจ่ายเงินตามระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในรายการเพื่อช่วยเหลือ แก้ไขและฟื้นฟูภายหลังเกิดอุทกภัย ๓.๓ การยกเว้นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัดสุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ สำหรับหน่วยงานภายใต้ระเบียบที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่จังหวัดมีประกาศภัยพิบัติในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปจนกว่าภัยพิบัติจะสิ้นสุดลง และการผ่อนคลายการจัดซื้อจัดจ้างสำหรับเงินนอกงบประมาณ รวมทั้งการเพิ่มความคล่องตัวในการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ สำหรับหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในงาน/โครงการ ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากเหตุอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจะส่งผลเป็นการลดขั้นตอนดำเนินการ e-Auction จากเดิมต้องใช้เวลา ๘๕ วัน เหลือ ๒๘ วัน ๓.๔ การแจ้งให้ทุนหมุนเวียนทบทวนบทบาท หน้าที่ กรอบภารกิจและวัตถุประสงค์ของทุนหมุนเวียน ซึ่งหากอยู่ในข่ายที่สามารถให้ความช่วยเหลือกลุ่มผู้รับบริการที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติได้ ให้ดำเนินการสำรวจกลุ่มผู้รับบริการของทุนหมุนเวียนที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาน้ำท่วมและกำหนดแนวทางหรือมาตรการเยียวยาให้ความช่วยเหลือ ๓.๕ การให้ความช่วยเหลือผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวที่อยู่ในพื้นที่อุทกภัยหรือได้รับความเดือดร้อนจากเหตุอุทกภัยสามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยในสถานพยาบาลของทางเอกชนได้ทุกโรค ส่วนการเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของทางราชการประเภทผู้ป่วยนอก ให้ผู้มีสิทธิและสถานพยาบาลของทางราชการถือปฏิบัติเกี่ยวกับกรณีการสมัครขอใช้สิทธิในระบบเบิกจ่ายตรงสามารถใช้สิทธิได้ทันที ซึ่งจากเดิมต้องรอ ๑๕ วัน ๓.๖ การผ่อนผันให้ขยายระยะเวลาการส่งรายงานการเงินของส่วนราชการระดับกรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ผ่อนผันการส่งผลการประเมินการปฏิบัติงานด้านบัญชีของส่วนราชการระดับกรม ไตรมาสที่ ๔ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ผ่อนผันการส่งรายงานประจำเดือนจากระบบ GFMIS ประจำไตรมาสที่ ๑ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และผ่อนผันการส่งรายงานผลการประเมินการปฏิบัติงานด้านบัญชีของส่วนราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ไตรมาสที่ ๑ ๓.๗ การเลื่อนกำหนดระยะเวลาการจ่ายเงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยหวัด และบำนาญของข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว รวมทั้งค่าตอบแทนของพนักงานราชการ ของส่วนราชการต่าง ๆ ประจำเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม ๒๕๕๔ จากเดิม ก่อนวันทำการสุดท้ายของเดือน ๓ วันทำการ เป็นประจำเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔ ให้จ่ายในวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ และประจำเดือนธันวาคม ๒๕๕๔ ให้จ่ายก่อนวันทำการสุดท้ายของเดือน ๕ วันทำการ ๔. มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเพิ่มเติม โดยให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างในภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๔ - วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๔ ให้ได้รับการขยายระยะเวลาของสัญญาออกไปอีก จำนวน ๑๘๐ วัน และการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างและผู้ประกอบการอื่นที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔ - วันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๕ กรณีเป็นสัญญาจ้างก่อสร้างหรือสัญญาประเภทอื่นที่มิใช่สัญญาจ้างก่อสร้าง ให้ขยายระยะเวลาของสัญญาออกไปอีก จำนวน ๑๘๐ วัน สำหรับสัญญาซื้อขาย ให้ขยายระยะเวลาออกไปอีก จำนวน ๑๒๐ วัน
|
||||||||||||||||||||||||
29977 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การวิเคราะห์ระบบการจัดการน้ำลุ่มน้ำยมโดยใช้กระบวนการนโยบายสาธารณะแบบบูรณาการ | กษ | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การวิเคราะห์ระบบการจัดการน้ำลุ่มน้ำยมโดยใช้กระบวนการนโยบายสาธารณะแบบบูรณาการ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการรับฟังความคิดเห็นต่อกรอบแนวทางการศึกษาวิเคราะห์ระบบการจัดการลุ่มน้ำยมโดยใช้กระบวนการนโยบายสาธารณะแบบบูรณาการ ส่วนใหญ่ร้อยละ ๙๑.๔๕ แสดงความเห็นด้วยต่อกรอบแนวทางการศึกษาวิเคราะห์ระบบการจัดการลุ่มน้ำยมฯ ในทุกหัวข้อ ซึ่งคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้นำผลการรับฟังความคิดเห็นต่อกรอบแนวทางการศึกษาการจัดการลุ่มน้ำยมฯ ไปปรับปรุงเป็นข้อกำหนดขอบเขตงาน (TOR) สำหรับการศึกษาระบบการจัดการลุ่มน้ำยมฯ ผลการศึกษามี ๒ ประเด็น ได้แก่ ๑.๑ การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเชิงกลยุทธ์ (Strategic Environmental Assessment L : SEA) เป็นกระบวนการในการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของนโยบาย แผน เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจเชิงนโยบาย โดยมีการพิจารณาถึงผลกระทบทางลบ ทางบวกจากการดำเนินโครงการต่อมิติสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยผลการศึกษาสรุปว่า ทางเลือกการจัดการน้ำในลุ่มน้ำยมมีด้วยกัน ๔ ทางเลือก คือ ๑.๑.๑ ทางเลือกที่ ๑ มีการพัฒนาเฉพาะมาตรการไม่ใช้สิ่งก่อสร้าง และการปรับปรุงประสิทธิภาพการชลประทาน ๑.๑.๒ ทางเลือกที่ ๒ มีการพัฒนาในมาตรการไม่ใช้สิ่งก่อสร้าง และมาตรการใช้สิ่งก่อสร้าง การพัฒนาแหล่งน้ำขนาดกลาง ทั้งอ่างเก็บน้ำและฝาย/ประตูระบายน้ำตามลำน้ำยม รวมถึงการพัฒนาและจัดสรรน้ำโครงการขนาดเล็กในพื้นที่ประสบภัยแล้งซ้ำซาก ๑.๑.๓ ทางเลือกที่ ๓ มีการพัฒนาในมาตรการไม่ใช้สิ่งก่อสร้าง และมาตรการใช้สิ่งก่อสร้าง ทั้งโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดกลางและแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ได้แก่ เขื่อนแม่ยม และเขื่อนแม่ยมตอนบน ๑.๑.๔ ทางเลือกที่ ๔ มีการพัฒนาในมาตรการไม่ใช้สิ่งก่อสร้าง และมาตรการใช้สิ่งก่อสร้าง ทั้งการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดกลางและแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ได้แก่ เขื่อนแก่งเสือเต้น ทั้งนี้ แนวทางการเลือกการพัฒนาโครงการ ทางเลือกที่ ๔ เป็นทางเลือกที่มีศักยภาพมากที่สุด โดยมีความยั่งยืนทางด้านสิ่งแวดล้อมเช่นเดียวกับทางเลือกที่ ๑, ๒ และ ๓ ในด้านความยั่งยืนทางด้านเศรษฐกิจ ทางเลือกที่ ๔ จะให้ผลประโยชน์สุทธิมากกว่าทางเลือกที่ ๓ และทางเลือกที่ ๒ ตามลำดับ ๑.๒ การใช้นโยบายสาธารณะแบบบูรณาการเป็นกระบวนการที่ให้ความสำคัญกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างจริงจังในกระบวนการศึกษาวิเคราะห์ระบบการจัดการลุ่มน้ำยม ทั้งนี้ ผลจากการจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ “ทางเลือกในการจัดการลุ่มน้ำยม” ครอบคลุมพื้นที่ลุ่มน้ำยมตอนบนและลุ่มน้ำยมตอนล่าง รวม ๙ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพะเยา ลำปาง น่าน แพร่ สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร กำแพงเพชร และนครสวรรค์ โดยให้จัดมีการประชุมรวมทั้งหมดจำนวน ๙ ครั้ง โดยพื้นที่และกลุ่มประชากรเป้าหมายของการประชุมในพื้นที่ลุ่มน้ำยมได้ครอบคลุมพื้นที่และกลุ่มประชากรเป้าหมายที่มาจากพื้นที่ลุ่มน้ำย่อยทั้ง ๑๑ ลุ่มน้ำ มีพื้นที่ครอบคลุม ๑๖๑ ตำบล ๓๑ อำเภอ ๑๐ จังหวัด ผลสรุปจากการมีส่วนร่วมในการจัดระดับความสำคัญของทางเลือกในการพัฒนาลุ่มน้ำยมพบว่า ผู้มีส่วนได้เสียส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับทางเลือกที่ ๔ รองลงมาได้แก่ ทางเลือกที่ ๓ ทางเลือกที่ ๒ และทางเลือกที่ ๑ ตามลำดับ ยกเว้นกลุ่มองค์กรอิสระที่ให้ความสำคัญกับทางเลือกที่ ๔ น้อยที่สุด
|
||||||||||||||||||||||||
29978 | ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ 8/2555 | วท | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติงบประมาณตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) วงเงิน ๗๖๙,๓๑๑,๓๗๔.๘๕ บาท ตามมติคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๕ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธาน กบอ. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการป้องกันน้ำท่วมของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ วงเงิน ๑๗๑,๔๗๐,๔๗๑ บาท เป็นค่าก่อสร้างกำแพงเข็มพืดคอนกรีต พนังคันดิน ประตูกั้นน้ำที่ประตูทางเข้า - ออก และถนนยกระดับบริเวณทางเข้าหลักร่วมกันของสามสถาบัน ๑.๒ โครงการประตูระบายน้ำ/สถานีสูบน้ำกึ่งถาวรปากคลองรังสิตประยูรศักดิ์ ของกรมชลประทาน วงเงิน ๓๓๔,๐๔๔,๔๐๓.๘๕ บาท ๑.๓ โครงการก่อสร้าง Siphon เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำบริเวณประตูระบายน้ำบางโฉมศรี ของกรมชลประทาน วงเงิน ๒๖๓,๗๙๖,๕๐๐ บาท ๒. สำหรับโครงการประตูระบายน้ำ/สถานีสูบน้ำกึ่งถาวรปากคลองรังสิตประยูรศักดิ์ และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำบริเวณประตูระบายน้ำบางโฉมศรี ของกรมชลประทาน นั้น เพื่อให้การระบายน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การก่อสร้างประตูระบายน้ำต้องพิจารณารายละเอียดในด้านเทคนิคการก่อสร้างให้เหมาะสมด้วย โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธาน กบอ. รับไปประสานงานในรายละเอียดกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) ให้เหมาะสมชัดเจนก่อนดำเนินการต่อไป ๓. ให้กรมชลประทานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการและการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการส่งแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินกู้ต่อสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบและจัดสรรวงเงินกู้ตามที่ได้รับอนุมัติ และให้สำนักงบประมาณส่งข้อมูลแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินกู้ให้แก่ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เพื่อประกอบการพิจารณาจัดหาเงินกู้ รวมทั้งให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดส่งประมาณการการเบิกจ่ายเงินกู้เป็นรายเดือนให้แก่ สบน. เพื่อประกอบการพิจารณาเบิกจ่าย โดย กบอ. พิจารณาวงเงินโครงการดังกล่าวรวมทั้งวงเงินโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ใช้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดฯ ที่ผ่านมาให้อยู่ภายใต้กรอบการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ ที่คณะรัฐมนตรีนำเสนอรัฐสภา เมื่อวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ โดยไม่ให้เกินกรอบวงเงินกู้ของแต่ละแผนงานที่กำหนดไว้ นอกจากนี้ เห็นควรระบุหน่วยงานเจ้าของโครงการให้ชัดเจนเพื่อจัดส่งรายละเอียดแบบรูปรายการ และแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินกู้ที่สอดคล้องกับแผนงานตามกรอบการใช้จ่ายเงินกู้ฯ ที่เสนอไว้ต่อรัฐสภา สำหรับการดำเนินการโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำ/สถานีสูบน้ำกึ่งถาวรปากคลองรังสิตประยูรศักดิ์ต้องใช้ระยะเวลาก่อสร้างรวม ๕ เดือน ซึ่งจะแล้วเสร็จไม่ทันฤดูน้ำหลากในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้กรมชลประทานหามาตรการเสริมในการป้องกันผลกระทบจากปัญหาน้ำหลากท่วมพื้นที่ในช่วงดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||||||||
29979 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 | นร07 | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ จำนวน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๑ การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ เป็นเงิน ๑๑๘,๗๗๕.๗๔๕๙ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๐๘,๗๗๔.๘๐๑๔ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๑,๒๔๗.๘๓๓๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑.๑๖ และผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) เป็นเงิน ๘๕,๙๙๓.๙๑๔๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗๒.๔๐ จากยอดจัดสรร ๑.๒ ผลการดำเนินงาน มิติส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๙ กระทรวง ที่เหลือมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๙ กระทรวง และมิติจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๔๗ จังหวัด ส่วนจังหวัดที่เหลือมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๒๖ จังหวัด ๑.๓ การส่งคืนเงินงบประมาณและการใช้จ่ายจากเงินที่แจ้งส่งคืน ส่วนราชการฯ ส่งเงินคืนในระบบ GFMIS เป็นเงิน ๕,๒๐๙.๔๘๙๐ ล้านบาท และเงินที่ส่วนราชการจะใช้จ่ายจริงน้อยกว่ากรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ เป็นเงิน ๑๓๙.๐๐๖๐ ล้านบาท รวมเป็นเงินที่จะจัดสรรเพิ่มเติมได้อีก จำนวน ๕,๓๔๘.๔๙๕๐ ล้านบาท สำหรับการใช้จ่ายเงินที่แจ้งส่งคืน คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินที่ส่วนราชการฯ ส่งคืนงบประมาณรวม ๖ ครั้ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕,๓๑๓.๕๔๔๙ ล้านบาท (สำนักงบประมาณจัดสรรแล้ว ๔,๐๓๑.๕๘๓๗ ล้านบาท) คงเหลือวงเงินที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้อีก เป็นเงิน ๓๔.๙๕๐๑ ล้านบาท ๒. การจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ คณะรัฐมนตรีอนุมัติวงเงินรวมทั้งสิ้น ๒๘,๙๑๘.๘๖๑๒ ล้านบาท สำนักงบประมาณจัดสรรเงินกู้ฯ ให้ส่วนราชการ จำนวน ๒๑,๓๗๒.๑๐๕๘ ล้านบาท คงเหลือ จำนวน ๗,๕๔๖.๗๕๕๔ ล้านบาท ได้แก่ กระทรวงคมนาคม จำนวน ๓,๙๘๑.๙๘๘๐ ล้านบาท กระทรวงอุตสาหกรรม จำนวน ๓,๒๓๖.๖๙๔๐ ล้านบาท กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๓๑๐.๗๔๘๔ ล้านบาท กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน ๑๗.๑๒๕๐ ล้านบาท และกระทรวงมหาดไทย จำนวน ๐.๒๐๐๐ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
29980 | ร่างถ้อยแถลงระดับรัฐมนตรีในการประชุม Special ASEAN-ROK Ministerial Meeting on Forestry ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี | ทส | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างถ้อยแถลงระดับรัฐมนตรีในการประชุม Special ASEAN-ROK Ministerial Meeting on Forestry ระหว่างวันที่ ๒๙-๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๕ ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยร่างถ้อยแถลงฯ มีสาระสำคัญสรุปว่า รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบด้านการป่าไม้จากประเทศสมาชิกอาเซียน และสาธารณรัฐเกาหลีมีถ้อยแถลงร่วมกัน ดังนี้ ๑.๑ ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลี เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ ๑.๒ ส่งเสริมการสร้างขีดความสามารถและการดำรงชีวิตของชุมชนที่พึ่งพาป่าไม้ การจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน การอนุรักษ์ป่าไม้ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ๑.๓ การขยายความร่วมมือด้านป่าไม้ระดับภูมิภาค จากขอบเขตของประเทศสมาชิกอาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลี ไปสู่ความร่วมมือระดับภูมิภาคเอเชีย ๑.๔ ดำเนินการตามกลยุทธ์เชิงรุกจากความร่วมมือด้านป่าไม้ประเทศสมาชิกอาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลีในการก่อตั้งองค์กรผู้แทนในระดับภูมิภาค ๒. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๔ เกี่ยวกับเรื่องที่อาจเกี่ยวข้องกับบทบัญญัติตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องเสนอเรื่องถึงสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๗ วัน
|
.....