ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1491 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 29801 - 29820 จากข้อมูลทั้งหมด 124231 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
29801 | ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับประเทศหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา (ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี และสหรัฐอเมริกา) | กต | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับประเทศหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา (ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี และสหรัฐอเมริกา) ได้แก่ ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๕ ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๒ ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศข้อริเริ่มลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๕ ผลการประชุมรัฐมนตรีมิตรของประเทศลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๒ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๐ - ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ในช่วงการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ ๔๕ ณ กรุงพนมเปญ และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปสาระสำคัญของผลการประชุมต่าง ๆ ได้ ดังนี้ ๑.๑ การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๕ ที่ประชุมหารือเรื่องความก้าวหน้าและทิศทางของกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น และประเด็นภูมิภาคและระหว่างประเทศ รวมทั้งรับรองแถลงการณ์ของประธานร่วมของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๕ และรับรองเอกสารแผนปฏิบัติการกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น เพื่อดำเนินการตามยุทธศาสตร์กรุงโตเกียว ค.ศ. ๒๐๑๒ เพื่อกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่นสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๘ นอกจากนี้ ญี่ปุ่นจะจัดสรรงบประมาณ ๖๐๐,๐๐๐ ล้านเยน (ประมาณ ๒๓๐,๐๐๐ ล้านบาท) ทั้งในรูปแบบของการให้กู้เงินเยน การให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่า และความช่วยเหลือทางวิชาการ เพื่อให้โครงการต่าง ๆ ตามแผนปฏิบัติการฯ ประสบผลสำเร็จ รวมถึงจะดำเนินโครงการนำร่อง ๕๗ โครงการ ซึ่งญี่ปุ่นได้ประกาศไว้ในการประชุมผู้นำฯ ครั้งที่ ๔ โดยใช้ประโยชน์จากแนวคิดหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐกับเอกชน ๑.๒ การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๒ ที่ประชุมได้หารือในสองประเด็นการดำเนินการที่ผ่านมาและทิศทางความร่วมมือในอนาคต และประเด็นของภูมิภาคและของโลก โดยได้รับรองแถลงการณ์ของประธานร่วมของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศดังกล่าว ซึ่งมีสาระสำคัญคือ การสนับสนุนการตั้งกองทุนความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี การจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อประกาศใช้ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ และการพิจารณาจัดทำโครงการนำร่องในช่วงที่ยังไม่มีแผนปฏิบัติการ ๑.๓ การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศข้อริเริ่มลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๕ ที่ประชุมได้หารือเรื่องการดำเนินการที่ผ่านมาและทิศทางความร่วมมือในอนาคต และได้รับรองแถลงการณ์การประชุมรัฐมนตรีดังกล่าว ซึ่งมีสาระสำคัญคือ การรับเมียนมาร์เข้าเป็นสมาชิกใหม่ของกรอบความร่วมมือนี้ และได้ให้เมียนมาร์เป็นผู้นำร่วมกับสหรัฐอเมริกาในสาขาการเกษตรและความมั่นคงทางอาหารซึ่งเป็นสาขาที่เพิ่มใหม่ และรับทราบสหรัฐอเมริกาจะให้ความช่วยเหลือทางการเงิน จำนวน ๕๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงสามปีข้างหน้าภายใต้วิสัยทัศน์ “LMI 2020” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย Strategic Rebalancing โดยเน้นการเพิ่มขีดความสามารถในอนุภูมิภาคเพื่อจัดการกับความท้าทายข้ามพรมแดนและสนับสนุนการเชื่อมโยงในเรื่องกฎระเบียบและประชาชนต่อประชาชนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง รวมทั้งตกลงที่จะให้มีการหารือเรื่องการพัฒนาเครือข่ายประสานงานข้อริ่เริ่มลุ่มน้ำโขงระดับภูมิภาค ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของกรอบความร่วมมือนี้ต่อไป ๑.๔ การประชุมรัฐมนตรีมิตรของประเทศลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ ๒ ที่ประชุมได้รับรองแถลงการณ์การประชุมรัฐมนตรี ซึ่งมีสาระสำคัญคือ เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานของเวทีมิตรของประเทศลุ่มน้ำโขงตอนล่างในอนาคตว่า จะเป็นไปในสองระดับ ได้แก่ การหารือระหว่างหน่วยงานผู้ให้ความช่วยเหลือเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและเสริมสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของโครงการต่าง ๆ และการหารือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศของประเทศหุ้นส่วนและประเทศลุ่มน้ำโขงเพื่อกำหนดนโยบาย และเห็นว่าในอนาคตเวทีมิตรประเทศลุ่มน้ำโขงอาจหารือประเด็นที่มีลักษณะข้ามพรมแดนและกระทบต่อความมั่นคงของประเทศลุ่มน้ำโขง อาทิ การโยกย้ายถิ่นฐาน การค้ามนุษย์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม และประเด็นที่เกี่ยวกับความมั่นคงของมนุษย์ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าการจัดทำกรอบความร่วมมือเพิ่มขึ้นกับหุ้นส่วนการพัฒนา ควรหลีกเลี่ยงความซ้ำซ้อนกับกรอบความร่วมมือต่าง ๆ ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงที่มีอยู่แล้ว เพื่อเสริมให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาประเทศไทยและอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
29802 | รัฐบาลราชอาณาจักรสเปนเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นางสาวมาเรีย เดล การ์เมน โมเรโน ไรย์มุนโด (Ms. Maria del Carmen Moreno Raymundo)] | กต | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวมาเรีย เดล การ์เมน โมเรโน ไรย์มุนโด (Ms. Maria del Carmen Moreno Raymundo) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งราชอาณาจักรสเปนประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายอิกนาเซียว ซากัซ เตมปราโน (Mr. Ignacio Sagaz Temprano) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
29803 | พิธีสารฉบับที่ 3 เพื่อแก้ไขกรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสาธารณรัฐประชาชนจีน และพิธีสารเพื่อผนวกข้อบทอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า และมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช เพื่อเป็นส่วนหนึ่ง ของความตกลงการค้าสินค้า ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสาธารณรัฐประชาชนจีน | พณ | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบพิธีสาร รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ พิธีสารฉบับที่ ๓ เพื่อแก้ไขกรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสาธารณรัฐประชาชนจีน มีสาระสำคัญเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการร่วมกำกับการดำเนินงานภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน ได้แก่ (๑) การทบทวน ตรวจสอบ และดูแลการปฏิบัติตามและการดำเนินงานของความตกลง (๒) การพิจารณาและให้ข้อเสนอแนะแก่รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-จีน เกี่ยวกับการแก้ไขความตกลง (๓) การเจรจาแก้ไขการดำเนินงาน หรือเรื่องอื่นใดอันเกิดขึ้นจากการดำเนินงานตามความตกลง (๔) การกำกับดูแลและประสานความร่วมมือกับองค์กรย่อยต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นภายใต้ความตกลง รวมทั้งให้ความเห็นชอบตามที่เห็นสมควรต่อการตัดสินใจหรือคำแนะนำขององค์กรย่อยที่ได้ถูกจัดตั้งขึ้น (๕) การพิจารณาเรื่องอื่น ๆ ที่อาจมีผลกระทบต่อการดำเนินงานตามความตกลง หรือเรื่องที่ภาคีทั้งสองฝ่ายได้มอบหมายแก่คณะกรรมการร่วมกำกับการดำเนินงานภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน และ (๖) การทำหน้าที่อื่น ๆ ตามที่ภาคีทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมกัน ทั้งนี้ คณะกรรมการร่วมกำกับการดำเนินงานภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน จะต้องจัดประชุมอย่างน้อยปีละ ๒ ครั้ง หรือตามที่เห็นว่าจำเป็น ๑.๒ พิธีสารเพื่อผนวกข้อบทอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า และมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของความตกลงการค้าสินค้า ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสาธารณรัฐประชาชนจีน มีสาระสำคัญประกอบด้วย ๑.๒.๑ ส่วนที่ ๑ อุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า มีวัตถุประสงค์เพื่อ (๑) อำนวยความสะดวกและส่งเสริมการค้าสินค้าระหว่างประเทศสมาชิก โดยที่กฎระเบียบทางเทคนิค มาตรฐาน และกระบวนการตรวจสอบและรับรอง จะต้องไม่ก่อให้เกิดอุปสรรคทางการค้าที่ไม่จำเป็น (๒) เสริมสร้างความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับมาตรฐาน กฎระเบียบทางเทคนิค และกระบวนการตรวจสอบและรับรองของประเทศภาคี (๓) เสริมสร้างความร่วมมือต่าง ๆ รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เกี่ยวกับการเตรียมการ การจัดทำ และการใช้มาตรฐาน กฎระเบียบทางเทคนิค และกระบวนการตรวจสอบและรับรอง และ (๔) เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการค้าระหว่างประเทศภาคีอย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๒.๒ ส่วนที่ ๒ มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช มีวัตถุประสงค์เพื่อ (๑) อำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างประเทศสมาชิก ในการที่จะคุ้มครองชีวิตหรือสุขภาพของมนุษย์ สัตว์ หรือพืช ในอาณาเขตของตน (๒) สร้างความโปร่งใสและความเข้าใจที่ดียิ่งขึ้น ในการใช้บังคับระเบียบข้อบังคับและกระบวนการเกี่ยวกับมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชของประเทศภาคีแต่ละฝ่าย (๓) เสริมสร้างความแข็งแกร่งของความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรับผิดชอบหลักของแต่ละประเทศสมาชิก และ (๔) เสริมสร้างการนำเอาหลักการและระเบียบที่ระบุไว้ไปปฏิบัติ ๑.๒.๓ ส่วนที่ ๓ บทญัตติสุดท้าย ระบุเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติม การระงับข้อพิพาท การเก็บรักษา และการมีผลใช้บังคับ ๑.๓ ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงสาธารณสุขพิจารณาร่วมกันในพิธีสารเพื่อผนวกข้อบทอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้าฯ หากไม่จำเป็นต้องแก้ไขพิธีสาร ในส่วนที่ ๒ มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช เกี่ยวกับสุขภาพของมนุษย์ โดยขอให้ดำเนินการภายใต้กรอบของกฎอนามัยระหว่างประเทศ ฉบับปี ๒๐๐๕ ขององค์การอนามัยโลก ซึ่งจะครอบคลุมประเด็นสินค้าเข้า-ออกระหว่างประเทศ ทั้งในเรื่อง Food safety ที่ต้องมีการเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารในระบบ INFOSAN ตามมติสมัชชาอนามัยโลก และ CODEX ตามความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข ก็ให้แจ้งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อจะได้เสนอพิธีสารดังกล่าวต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยโดยด่วนต่อไป ๒. อนุมัติการลงนามในพิธีสารทั้งสองฉบับ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้ได้รับมอบหมายอื่น เป็นผู้ลงนามในพิธีสาร และหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญในพิธีสารทั้งสองฉบับดังกล่าว ให้ผู้ลงนามใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ ได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้ได้รับมอบหมายอื่นเป็นผู้ลงนาม ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือแจ้งการมีผลใช้บังคับของพิธีสารทั้งสองฉบับเมื่อประเทศไทยลงนามและดำเนินการตามกระบวนการภายในเสร็จสิ้นแล้ว ๕. ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการต่างประเทศเร่งดำเนินการตามกระบวนการให้แล้วเสร็จโดยด่วนเพื่อให้ทันการลงนามพิธีสารในการประชุมผู้นำอาเซียน-จีน ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ |
|||||||||||||||||||||||||||
29804 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 | กค | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ภายใต้โครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๕ รุ่น วงเงินรวม ๗๑,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ได้แก่ ๑.๑ พันธบัตรรัฐบาลประเภทอัตราดอกเบี้ยแปรผันตามการเปลี่ยนแปลงของเงินเฟ้อในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๒ (ILB217A) จำนวน ๓๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๒ พันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ พ.ศ. ๒๕๕๒) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๒ (LB326A) จำนวน ๗,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๓ พันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ พ.ศ. ๒๕๕๒) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๓ (LB176A) จำนวน ๑๖,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๔ พันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ พ.ศ. ๒๕๕๒) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๔ (LB193A) จำนวน ๑๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๕ พันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ ประเภทอัตราดอกเบี้ยลอยตัว (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ พ.ศ. ๒๕๕๒) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๑ (LB165A) จำนวน ๘,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ๒. พันธบัตรรัฐบาลฯ ทั้ง ๕ รุ่น เริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๕ สิ้นสุดวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๕ โดยมีพันธบัตรรัฐบาลฯ จำนวน ๒ รุ่นที่จำหน่ายได้ไม่ครบตามวงเงินที่ประกาศ ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ประเภทอัตราดอกเบี้ยลอยตัว (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ พ.ศ. ๒๕๕๒) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๑ (LB165A) ได้รับจัดสรรวงเงิน จำนวน ๔,๔๐๐.๐๐ ล้านบาท จากวงเงินที่ประกาศจำหน่าย จำนวน ๘,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท และพันธบัตรรัฐบาลประเภทอัตราดอกเบี้ยแปรผันตามการเปลี่ยนแปลงของเงินเฟ้อในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๒ (ILB217A) ได้รับจัดสรรวงเงิน จำนวน ๒๒,๑๘๐.๐๐ ล้านบาท จากวงเงินที่ประกาศจำหน่าย จำนวน ๓๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ทำให้วงเงินจำหน่ายปรับลดจากจำนวน ๗๑,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท เป็นจำนวน ๕๙,๕๘๐.๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ การจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลทั้ง ๕ รุ่น และประกาศปรับลดวงเงินการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลฯ จำนวน ๒ รุ่น ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ๓. ภายหลังการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลฯ ในแต่ละครั้ง กระทรวงการคลังได้นำเงินที่ได้จากการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลฯ ไปชำระคืนเงินกู้สำหรับโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง จำนวน ๕๙,๕๘๐.๐๐ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
29805 | การแต่งตั้งข้าราชการ (กระทรวงมหาดไทย) (นายนิรวัชช์ ปุณณกันต์) | มท | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่ตั้ง นายนิรวัชช์ ปุณณกันต์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านกฎหมาย (นิติกรทรงคุณวุฒิ)สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
29806 | สถานการณ์สิ่งแวดล้อมจากการรั่วไหลของสารพิษในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง | อก | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานการณ์สิ่งแวดล้อมจากการรั่วไหลของสารพิษในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง กรณีเกิดเหตุก๊าซคลอรีนรั่วไหลจากหน่วยผลิตกรดเกลือ บริษัท อดิตยา เบอร์ล่า เคมิคัลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการตรวจสอบใบอนุญาตประกอบกิจการพบว่า บริษัท อดิตยา เบอร์ล่าฯ ได้รับการพิจารณาต่อใบอนุญาตให้ใช้ที่ดินและประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม (กนอ. ๐๓/๖ ฉบับต่ออายุครั้งที่ ๓) เลขที่ ๐๕๖/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ โดยได้มีการยื่นรายงานการวิเคราะห์ความเสี่ยงต่อกรมโรงงานอุตสาหกรรม เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ ซึ่งจากผลการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ความเสี่ยงของกรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้ระบุจุดวิกฤตที่บริษัท อดิตยา เบอร์ล่าฯ จะต้องควบคุม คือ การรั่วไหลของคลอรีนจากถังเก็บ ระบบและอุปกรณ์ ๒. การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้มีข้อสั่งการให้บริษัท อดิตยา เบอร์ล่าฯ ดำเนินการปรับปรุงระบบการควบคุมการ Start up และ Shutdown ในหน่วยผลิตกรดเกลือทั้ง Unit A และ Unit B โดยให้มีระบบควบคุมอัตโนมัติ ซึ่งมีคุณสมบัติสำคัญในการตรวจสอบยืนยันความคืบหน้าของการ Start up และ Shutdown ในแต่ละขั้นตอนก่อนที่จะยินยอมให้ดำเนินการในขั้นต่อไป และให้ปรับปรุงขีดความสามารถของ HCL vent gas scrubber ทั้ง HCL Unit A และ Unit B ให้สามารถรองรับสถานการณ์ที่ไม่ปรกติ ที่มีการ Purge Cl2 ออกจากระบบสูงสุดทาง vent gas scrubber ๓. กระทรวงอุตสาหกรรมได้กำหนดให้ทุกนิคมอุตสาหกรรมดำเนินการทบทวนมาตรฐานความปลอดภัยของโรงงานอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม โดยให้มีการทบทวนแผนฉุกเฉินให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. ๒๕๕๐ รวมทั้งหลักฐานด้านความปลอดภัย และจัดฝึกซ้อมแผนตอบโต้ภาวะฉุกเฉินอย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง และกำหนดให้ทุกนิคมอุตสาหกรรมต้องมีแผนการตรวจสอบสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรมและความปลอดภัยและประเมินผลการดำเนินงาน
|
|||||||||||||||||||||||||||
29807 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 | นร07 | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๑ การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรแล้วสุทธิ เป็นเงิน ๑๑๙,๐๓๐.๑๗๔๑ ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๑๐,๖๔๗.๙๙๕๒ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๖๐๙.๒๖๑๒ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๕๕ และผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) เป็นเงิน ๙๒,๔๘๔.๐๔๙๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗๗.๗๐ จากยอดจัดสรร ๑.๒ ผลการดำเนินงาน มิติส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๙ กระทรวง ที่เหลือมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๙ กระทรวง และมิติจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๔๑ จังหวัด ส่วนจังหวัดที่เหลือมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๓๒ จังหวัด ๑.๓ การส่งคืนเงินงบประมาณและการใช้จ่ายจากเงินที่แจ้งส่งคืน ส่วนราชการฯ ส่งเงินคืนในระบบ GFMIS เป็นเงิน ๕,๔๙๙.๓๙๗๒ ล้านบาท และเงินที่ส่วนราชการจะใช้จ่ายจริงน้อยกว่ากรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ เป็นเงิน ๑๓๙.๐๐๖๐ ล้านบาท รวมเป็นเงินที่จะจัดสรรเพิ่มเติมได้ จำนวน ๕,๖๓๘.๔๐๓๒ ล้านบาท สำหรับการใช้จ่ายเงินที่แจ้งส่งคืน คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินที่ส่วนราชการฯ ส่งคืนงบประมาณรวม ๗ ครั้ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕,๓๑๓.๕๔๔๙ ล้านบาท (สำนักงบประมาณจัดสรรแล้ว ๔,๕๔๑.๘๕๐๑ ล้านบาท) คงเหลือวงเงินที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้อีก เป็นเงิน ๓๒๔.๘๕๘๓ ล้านบาท ๒. การจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (วงเงิน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) คณะรัฐมนตรีอนุมัติวงเงินรวมทั้งสิ้น ๒๙,๘๓๖.๗๙๒๖ ล้านบาท สำนักงบประมาณจัดสรรเงินกู้ฯ ให้ส่วนราชการ จำนวน ๒๑,๓๗๒.๑๐๕๘ ล้านบาท คงเหลือ จำนวน ๘,๔๖๔.๖๘๖๘ ล้านบาท ได้แก่ กระทรวงคมนาคม จำนวน ๓,๙๘๑.๙๘๘๐ ล้านบาท กระทรวงอุตสาหกรรม จำนวน ๓,๒๓๖.๖๙๔๐ ล้านบาท กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๙๐๘.๕๘๙๓ ล้านบาท กระทรวงมหาดไทย จำนวน ๑๒๘.๙๗๐๐ ล้านบาท กระทรวงกลาโหม จำนวน ๑๙.๘๕๐๐ ล้านบาท กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน ๑๗.๑๒๕๐ ล้านบาท และกระทรวงศึกษาธิการ จำนวน ๑๗๑.๔๗๐๕ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
29808 | รายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีมีราษฎรและผู้ประกอบกิจการที่พักแก่นักท่องเที่ยวในพื้นที่ อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา ร้องเรียนกรณีที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำพื้นที่อุทยานแห่งชาติ อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา | นร01 | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีมีราษฎรและผู้ประกอบกิจการที่พักแก่นักท่องเที่ยวในพื้นที่ อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา ร้องเรียนกรณีที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำพื้นที่อุทยานแห่งชาติ อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา ของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งมีความเห็นและข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาในเรื่องดังกล่าว สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน ทั้งในพื้นที่อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา และในพื้นที่อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี (กรณีห้างหุ้นส่วนจำกัดบ้านทะเลหมอกรีสอร์ท) ของพนักงานเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ เป็นการดำเนินการที่ชอบด้วยกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องแล้ว ๒. ในโอกาสต่อไป กรณีที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชได้ฟ้องผู้ที่รุกล้ำพื้นที่อุทยานแห่งชาติเป็นคดี และศาลได้มีคำพิพากษาให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของผู้กระทำความผิดที่รุกล้ำพื้นที่อุทยานแห่งชาติแล้ว เห็นควรดำเนินการบังคับคดีดังกล่าวตามวิธีการและขั้นตอนที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยเคร่งครัด ส่วนกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาให้ผู้กระทำความผิดออกจากพื้นที่อุทยานแห่งชาติ และพนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชจะใช้อำนาจเข้าทำลายหรือรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างหรือสิ่งอื่นใดที่รุกล้ำพื้นที่อุทยานแห่งชาติดังกล่าวตามมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติฯ เห็นควรให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติฯ โดยเคร่งครัดด้วย ๓. สำหรับการแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา และอำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี เห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นหน่วยงานหลักในการนำข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร คณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา และจังหวัดนครราชสีมาที่เสนอให้มีการปรับปรุงแนวเขตอุทยานแห่งชาติทับลาน ป่าสงวนแห่งชาติ ตลอดจนแนวเขตปฏิรูปที่ดิน มาพิจารณาเพื่อให้เกิดความชัดเจน และมิให้เกิดการทับซ้อนระหว่างที่ดินของเอกชนและที่ดินของรัฐทั้งหลาย
|
|||||||||||||||||||||||||||
29809 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน พ.ศ. .... | มท | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลบ้านกาศ ตำบลแม่คง ตำบลแม่สะเรียง และตำบลแม่ยวม อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะและสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
29810 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนกำแพงเพชร - นาสีทอง จังหวัดสงขลา พ.ศ. .... | มท | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนกำแพงเพชร - นาสีทอง จังหวัดสงขลา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่บางส่วนของตำบลควนรู บางส่วนของตำบลคูหาใต้ บางส่วนของตำบลท่าชะมวง บางส่วนของตำบลกำแพงเพชร และบางส่วนของตำบลเขาพระ อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
29811 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นางวิไล บัณฑิตานุกูล) | สธ | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางวิไล บัณฑิตานุกูล ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ด้านสาธารณสุข (นักวิชาการอาหารและยาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
29812 | ขอความเห็นชอบให้การประปาส่วนภูมิภาค ปรับปรุงสภาพการจ้างเกี่ยวกับการเงิน | มท | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการแรงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ปรับปรุงสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงิน ดังนี้ ๑.๑ การจ่ายเงินสวัสดิการค่าน้ำประปาให้พนักงานทุกคนในอัตราเดือนละ ๓๐๐ บาท ๑.๒ การปรับเพิ่มสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลกรณีพนักงานเบิกค่ารักษาพยาบาลในสถานพยาบาลเอกชน (ประเภทผู้ป่วยใน) กำหนดให้เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน ๑๘,๐๐๐ บาท สำหรับการรักษาพยาบาลภายในระยะเวลาไม่เกิน ๓๐ วัน นับแต่วันเข้ารับการรักษาพยาบาล ส่วนที่เกิน ๓๐ วัน ให้เบิกได้ครึ่งหนึ่งของจำนวนเงินที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินวันละ ๖๐๐ บาท ๒. ส่วนวงเงินสวัสดิการที่เพิ่มขึ้นปีละประมาณ ๒๕.๘๘ ล้านบาท ให้ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของ กปภ. ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการควบคุมหรือประหยัดค่าใช้จ่ายอื่นที่ไม่จำเป็น เพื่อไม่ให้ค่าใช้จ่ายรวมเพิ่มสูงขึ้นมาก จนส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของ กปภ. ในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
29813 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นายธวัช นิ่มนวลศรี) | กค | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายธวัช นิ่มนวลศรี ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (นักวิชาการคอมพิวเตอร์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
29814 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการในการตรวจสอบ ติดตามและประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลการใช้จ่ายงบประมาณการจัดการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา พ.ศ. .... | ศธ | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการในการตรวจสอบ ติดตามและประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลการใช้จ่ายงบประมาณการจัดการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้มีคณะกรรมการตรวจสอบ ติดตามและประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลการใช้จ่ายงบประมาณการจัดการศึกษา ประกอบด้วยกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นประธานกรรมการ กรรมการโดยตำแหน่ง และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ กำหนดคุณสมบัติกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ วาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่ง กำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ และกำหนดให้มีกรรมการสรรหา ๑.๒ กำหนดให้สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษามีอำนาจสนับสนุนการดำเนินงานของคณะกรรมการ ๑.๓ กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการตรวจสอบ ติดตามและประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผล การใช้จ่ายงบประมาณการจัดการศึกษา ๑.๔ กำหนดบทเฉพาะกาลเกี่ยวกับการแต่งตั้งคณะกรรมการ การดำเนินการของคณะกรรมการ และการจัดทำแผน ขั้นตอน และกรอบเวลาในการตรวจสอบ ๒. ให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรปรับปรุงถ้อยคำในหมวด ๒ ข้อ ๑๒ (๓) และข้อ ๑๓ (๓) จาก “จำแนกตามหมวดหรือประเภทรายจ่าย” เป็น “จำแนกตามงบรายจ่ายและรายการ” ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
29815 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - สาธารณรัฐอาร์เมเนีย | คค | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบบันทึกข้อตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐอาร์เมเนีย ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐอาร์เมเนีย และร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอาร์เมเนีย รวม ๓ ฉบับ และให้เสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ สาระสำคัญของบันทึกข้อตกลงฯ คณะผู้แทนของสาธารณรัฐอาร์เมเนียแจ้งว่า ตนไม่มีอำนาจเต็มในการลงนามในร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศและบันทึกความเข้าใจ ดังนั้น ทั้งสองฝ่ายจึงได้ตกลงให้นำความตกลงดังกล่าวไปขอความเห็นชอบต่อไป ๑.๒ สาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๒.๑ ความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศ ทั้งสองฝ่ายตกลงจัดทำร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างกัน โดยสาระสำคัญส่วนใหญ่เป็นไปตามร่างมาตรฐานไทย ๑.๒.๒ ใบพิกัดเส้นทางบิน ทั้งสองฝ่ายตกลงให้ใบพิกัดเส้นทางบินที่ระบุไว้ในภาคผนวกของความตกลงฯ เป็นดังนี้ ฝ่ายไทย จุดต่าง ๆ ในไทย-จุดต่าง ๆ ในอาร์เมเนีย ฝ่ายอาร์เมเนีย จุดต่าง ๆ ในอาร์เมเนีย-จุดต่าง ๆ ในไทย ๑.๒.๓ ความจุความถี่ของบริการ ทั้งสองฝ่ายตกลงให้สายการบินที่กำหนดของแต่ละฝ่ายสามารถทำการบินได้ ๒ เที่ยวต่อสัปดาห์ ด้วยอากาศยานแบบใด ๆ ๑.๒.๔ สิทธิรับขนการจราจร ทั้งสองฝ่ายตกลงให้สายการบินที่กำหนดของแต่ละฝ่ายมีสิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๓ และ ๔ ได้อย่างเต็มที่ ๑.๒.๕ การทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน ทั้งสองฝ่ายตกลงระบุข้อบทเรื่องการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน ๑.๓ สาระสำคัญของร่างความตกลงฯ ๑.๓.๑ สายการบินที่กำหนดสายหนึ่ง (หรือหลายสาย) ของภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายจะมีโอกาสอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียมกัน ในอันที่จะรับขนโดยบริการที่ตกลงซึ่งการจราจรที่รับขึ้นในอาณาเขตของภาคีผู้ทำความตกลงฝ่ายหนึ่ง และขนลงในอาณาเขตของภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่งหรือกลับกัน และจะถือว่าการจราจรที่รับขึ้นหรือขนลงในอาณาเขตของภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่งไปยังและมาจากจุดต่าง ๆ ในเส้นทางมีลักษณะเป็นการจราจรเพิ่มเติมในการจัดความจุเพื่อการรับขนการจราจรที่รับขึ้นในอาณาเขตของภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่ง และขนลง ณ จุดต่าง ๆ ในเส้นทางที่ระบุหรือกลับกัน สายการบินที่กำหนดสายหนึ่ง (หรือหลายสาย) ของภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายจะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ปฐมมูลของสายการบินที่กำหนดสายหนึ่ง (หรือหลายสาย) ของภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่งในการเจรจาเช่นนั้น ๑.๓.๒ กฎหมายและข้อบังคับของภาคีผู้ทำความตกลงฝ่ายหนึ่ง ซึ่งใช้บังคับกับการเข้ามาและการออกจากอาณาเขตของตนของอากาศยานซึ่งใช้ในการเดินอากาศระหว่างประเทศ หรือเที่ยวบินของอากาศยานเช่นว่านั้น เหนืออาณาเขตนั้น จะใช้บังคับแก่สายการบินที่กำหนดสายหนึ่ง (หรือหลายสาย) ของภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่งด้วย ๑.๓.๓ โดยสอดคล้องกับสิทธิและหน้าที่ของตนตามกฎหมายระหว่างประเทศ ภาคีผู้ทำความตกลงยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า ภาระหน้าที่ของตนซึ่งกันและกันที่จะรักษาความปลอดภัยของการบินพลเรือนจากการกระทำอันเป็นการแทรกแซงโดยมิชอบด้วยกฎหมายเป็นส่วนหนึ่งของความตกลงฉบับนี้ โดยไม่เป็นการจำกัดสิทธิและภาระหน้าที่ของตนภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ภาคีผู้ทำความตกลงจะต้องกระทำโดยสอดคล้องกับข้อบัญญัติแห่งอนุสัญญาว่าด้วยความผิดและการกระทำอื่นบางประการที่กระทำบนอากาศยาน ลงนามที่กรุงโตเกียว เมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน ค.ศ. ๑๙๖๓ ฯลฯ ๑.๓.๔ ภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายอาจร้องขอให้มีการปรึกษาหารือในเวลาใด ๆ เกี่ยวกับมาตรฐานความปลอดภัยที่คงไว้โดยภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่ง ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินอากาศ ลูกเรือการบิน อากาศยาน และการปฏิบัติการบินของอากาศยาน การปรึกษาหารือเช่นว่านี้จะต้องมีขึ้นภายในสามสิบวันนับแต่ที่มีการร้องขอ ๑.๓.๕ ภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายมีสิทธิที่จะกำหนดสายการบินสายหนึ่งหรือหลายสาย เพื่อความมุ่งประสงค์ในการดำเนินบริการที่ตกลง การกำหนดนั้นให้กระทำโดยแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างเจ้าหน้าที่การเดินอากาศของภาคีผู้ทำความตกลงทั้งสองฝ่าย ๑.๓.๖ ภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายมีสิทธิที่จะเพิกถอนใบอนุญาตดำเนินการ หรือพักการใช้สิทธิที่ระบุในข้อ ๒ แห่งความตกลงฉบับนี้ โดยสายการบินที่กำหนดสายหนึ่ง (หรือหลายสาย) ของภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่ง หรือตั้งบังคับเงื่อนไขตามที่ตนเห็นว่าจำเป็นแก่การใช้สิทธิเช่นว่านั้น สิทธิเช่นว่านั้น จะใช้ได้ต่อเมื่อได้มีการปรึกษาหารือกับภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่งแล้วเท่านั้น ๑.๓.๗ ใบสำคัญสมควรเดินอากาศ ใบสำคัญความสามารถ และใบอนุญาตที่ภาคีผู้ทำความตกลงฝ่ายหนึ่งออกให้หรือกระทำให้สมบูรณ์ ในระหว่างระยะเวลาที่มีผลใช้ได้ จะได้รับการยอมรับนับถือจากภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่ง โดยมีเงื่อนไขว่าข้อกำหนดในการออกให้หรือกระทำให้สมบูรณ์ซึ่งใบสำคัญหรือใบอนุญาตเช่นว่านั้น จะต้องเท่าเทียมกัน เหนือกว่ามาตรฐานขั้นต่ำ ซึ่งอาจกำหนดขึ้นตามอนุสัญญา ๑.๓.๘ อากาศยานที่ใช้ดำเนินบริการระหว่างประเทศโดยสายการบินที่กำหนดสายหนึ่ง (หรือหลายสาย) ของภาคีผู้ทำความตกลงฝ่ายหนึ่ง ตลอดจนเครื่องบริภัณฑ์ปกติของตนซึ่งอยู่บนอากาศยาน เชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่น และพัสดุอากาศยาน รวมทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และยาสูบ ซึ่งอยู่บนอากาศยานนั้นจะได้รับการยกเว้นค่าอากรหรือภาษีทั้งปวงเมื่อนำเข้ามาในอาณาเขตของภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่ง โดยมีเงื่อนไขว่า เครื่องบริภัณฑ์ซึ่งอยู่บนอากาศยาน สัมภาระ และพัสดุอากาศยานนั้น ต้องอยู่บนอากาศยานจนกระทั่งถูกนำกลับออกไป ๑.๓.๙ พิกัดอัตราค่าขนส่งซึ่งสายการบินที่กำหนดแต่ละสายเรียกเก็บในการรับขนส่งไปยังและมาจากอาณาเขตของภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่ง จะต้องกำหนดในระดับที่มีเหตุผลสมควรโดยคำนึงถึงปัจจัยทั้งปวงที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน กำไรอันสมควร ลักษณะของแต่ละบริการและบรรดาพิกัดอัตราที่เรียกเก็บโดยสายการบินอื่น ๆ ๑.๓.๑๐ ความตกลงฉบับนี้จะต้องได้รับความเห็นชอบโดยภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายตามกระบวนการทางกฎหมายของตน และจะมีผลใช้บังคับในวันที่มีการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันความเห็นชอบนั้น ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการเพื่อให้มีการลงนามร่างบันทึกความเข้าใจฯ และร่างความตกลงฯ และแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตระหว่างกันต่อไป หลังจากรัฐสภาให้ความเห็นชอบบันทึกข้อตกลงฯ ร่างบันทึกความเข้าใจฯ และร่างความตกลงฯ ดังกล่าวแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
29816 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - สเปน | คค | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรสเปน และหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรสเปน รวม ๒ ฉบับ และให้เสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ สาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๑.๑ การปรับปรุงความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศ ทั้งสองฝ่ายได้จัดทำร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างไทยและสเปน เป็นเอกสารแนบ ๒ ของบันทึกความเข้าใจ และตกลงที่จะทำเป็นอักษรเข้มใส่วงเล็บในข้อบทที่มีความเห็นต่างกันเพื่อที่จะได้หารือกันต่อไป ทั้งนี้ จนกว่าร่างความตกลงฉบับใหม่นี้จะบรรลุถึงข้อสรุป เจ้าหน้าที่การเดินอากาศของทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะปรับใช้ข้อบทต่าง ๆ ในร่างความตกลงนี้ เท่าที่สามารถกระทำได้ภายใต้ขอบเขตของอำนาจของตนเป็นการชั่วคราว ๑.๑.๒ การกำหนดสายการบิน ทั้งสองฝ่ายตกลงให้กำหนดสายการบินที่กำหนดได้หลายสายการบินแทนการกำหนดสายการบินที่กำหนดได้สายการบินเดียว ๑.๑.๓ ใบพิกัดเส้นทางบิน ทั้งสองฝ่ายตกลงกันดังต่อไปนี้ เส้นทางบินที่จะดำเนินบริการเดินอากาศโดยสายการบินที่กำหนดของราชอาณาจักรสเปน ดังนี้ จุดต่าง ๆ ในสเปน-จุดระหว่างทางต่าง ๆ-จุดต่าง ๆ ในไทย-สามจุดพ้น และกลับ และเส้นทางบินที่จะดำเนินบริการเดินอากาศโดยสายการบินที่กำหนดของราชอาณาจักรไทย ดังนี้ จุดต่าง ๆ ในไทย-จุดระหว่างทางต่าง ๆ-จุดต่าง ๆ ในสเปน-สามจุดพ้น และกลับ ๑.๑.๔ ความจุความถี่ และสิทธิรับขนการจราจร ทั้งสองฝ่ายตกลงกำหนดกรอบการดำเนินการบริการที่ตกลงตามเส้นทางบินที่ระบุว่า จะขออนุญาตให้สายการบินที่กำหนดของภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายดำเนินบริการรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๓ และ ๔ ได้ไม่จำกัดจำนวนความถี่ และแบบของอากาศยานที่ใช้ และมีสิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๕ ได้สัปดาห์ละ ๓ เที่ยว นอกจากนั้น ให้สายการบินที่กำหนดของแต่ละฝ่ายสามารถทำการบินเชื่อมจุดสองจุดในอาณาเขตของภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่งได้ด้วย ๑.๑.๕ การทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะใช้ข้อบทใหม่เกี่ยวกับการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน ซึ่งจะเป็นการไม่จำกัดจำนวนบริการสำหรับสายการบินที่มิได้ทำการบินเอง (marketing carrier) แทนข้อบทเดิมที่ใช้หลักการนับหักสิทธิความจุความถี่จากสายการบินที่มิได้ทำการบินเองด้วย ๑.๒ สาระสำคัญของร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ได้แก่ การกำหนดสายการบิน ใบพิกัดเส้นทางบิน ความจุความถี่ และสิทธิรับขนการจราจร รวมทั้งการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจฯ โดยในหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับบันทึกความเข้าใจฯ ซึ่งระบุถึงการปรับปรุงความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรสเปน โดยได้มีการจัดทำร่างความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางอากาศระหว่างราชอาณาจักรสเปนและราชอาณาจักรไทย (Draft of Air Transport Agreement between the Kingdom of Spain and the Kingdom of Thailand) และอยู่ระหว่างการเจรจาโดยยังไม่ได้ข้อยุติ จึงเข้าลักษณะเป็นการดำเนินการเกี่ยวกับหนังสือสัญญาตามมาตรา ๓๐๕ (๕) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ที่ต้องนำบทบัญญัติมาตรา ๑๙๐ วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญฯ มาใช้บังคับกับการดำเนินการที่ยังคงค้างอยู่และต้องดำเนินการต่อไป จึงควรที่จะได้มีการเสนอกรอบการเจรจาในเรื่องนี้ต่อรัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบ สำหรับการกำหนดให้เจ้าหน้าที่การเดินอากาศทั้งสองฝ่ายนำหลักการในร่างความตกลงฯ ไปปรับใช้เป็นการชั่วคราวจนกว่าร่างความตกลงฯ จะได้ข้อยุติ โดยให้เป็นไปภายในขอบเขตอำนาจหน้าที่ของตน นั้น ควรพิจารณาด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง เพราะอาจจะสุ่มเสี่ยงต่อการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และกระทรวงคมนาคมควรถือปฏิบัติและดำเนินการให้สอดคล้องกับรูปแบบที่กำหนดในความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศฯ ในโอกาสต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการ
|
|||||||||||||||||||||||||||
29817 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป. ลาว สำหรับโครงการพัฒนาถนนจากเมืองหงสา - บ้านเชียงแมน (เมืองจอมเพชร แขวงหลวงพระบาง) สปป.ลาว | กค | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินโครงการพัฒนาถนนจากเมืองหงสา - บ้านเชียงแมน (เมืองจอมเพชร แขวงหลวงพระบาง) สปป.ลาว ทั้งนี้ เพื่อให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการศึกษา สำรวจออกแบบรายละเอียดการก่อสร้างให้เสร็จเรียบร้อย แล้วนำผลศึกษาประมาณราคาค่าใช้จ่ายเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติรูปแบบ วิธีการ และเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือทางการเงินที่เหมาะสมแก่โครงการดังกล่าวต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดย สพพ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรหารือกับ สปป.ลาว กำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์เส้นทางคมนาคมอย่างยั่งยืน อาทิ การวางระบบและจัดหาเครื่องมือกำกับดูแลน้ำหนักของรถบรรทุก การพัฒนาศักยภาพการบำรุงรักษาเส้นทาง การจัดตั้งสถานีบริการน้ำมัน และจุดแวะพักริมทาง โดยอาจพิจารณากำหนดให้เป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขในสัญญาเงินกู้ เพื่อให้การใช้ประโยชน์จากเส้นทางที่ได้รับการพัฒนาจากความช่วยเหลือของประเทศไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
29818 | การแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร | กค | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร โดยมีอธิบดีกรมสรรพสามิต เป็นประธานกรรมการ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานหรือผู้แทน และที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต กรมสรรพสามิต เป็นรองประธานกรรมการ กรรมการอื่นอีก ๑๓ คน โดยมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการตรวจสอบสรรพสามิต กรมสรรพสามิต เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่กำกับ ดูแล ให้การปฏิบัติตามโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง เกิดความรัดกุม และมีประสิทธิภาพ ประสานงานกับหน่วยงานและบุคคลต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมการดำเนินงานและเพื่อแก้ไขปัญหาที่อาจมีขึ้นจากการดำเนินโครงการ ประเมินผลโครงการ และรายงานผลของโครงการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติทราบ และมีอำนาจขอข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการเชิญมาประชุมชี้แจงเมื่อมีความจำเป็น ตลอดจนมีอำนาจแต่งตั้งคณะที่ปรึกษา คณะอนุกรรมการ คณะทำงาน หรือบุคคล เพื่อให้ดำเนินการเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้เพิ่มผู้แทนจากศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลเป็นกรรมการในคณะกรรมการดังกล่าวด้วย เพื่อประโยขน์ต่อการประสานงานในภาพรวมระหว่างคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักรกับหน่วยงานในศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ตามความเห็นของกระทรวงกลาโหม โดยกระทรวงการคลังไม่ต้องออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการดังกล่าวอีก |
|||||||||||||||||||||||||||
29819 | การดำเนินโครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืนไทย - เมียนมาร์ (พ.ศ. 2555-2561) | ยธ | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบโครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืนไทย - เมียนมาร์ ระยะเวลา ๖ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๖๑) และกรอบวงเงินงบประมาณในเบื้องต้นสำหรับดำเนินโครงการฯ จำนวน ๓๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ สำหรับงบประมาณที่จะนำมาใช้ตามโครงการฯ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ไปแล้ว จำนวน ๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท และสำนักงบประมาณได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไว้จำนวน ๘๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ - ๒๕๖๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
29820 | ขออนุมัติขยายเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ การเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ | สผ | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเปลี่ยนแปลงระยะเวลาทำสัญญา และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณการเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ จากเดิมตั้งแต่ปีปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ รวมระยะเวลา ๓ ปี เป็น ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ รวมระยะเวลา ๕ ปี ในวงเงินรวมทั้งสิ้น ๑๖,๓๖๘,๐๐๐ บาท ประกอบด้วย รายการค่าเช่ารถยนต์นั่งส่วนกลางพร้อมพนักงานขับรถ จำนวน ๘ คัน และรายการค่าเช่ารถยนต์โดยสารส่วนกลางพร้อมพนักงานขับรถ จำนวน ๔ คัน โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๔,๐๙๒,๐๐๐ บาท สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๙ สำนักงบประมาณจะจัดสรรงบประมาณรายจ่ายส่วนที่เหลือจนครบสัญญาต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
.....