ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1472 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 29421 - 29440 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
29421 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลวังใหญ่ ตำบลสายลำโพง ตำบลพนมเศษ ตำบลพนมรอก ตำบลดอนคา ตำบลวังมหากร ตำบลท่าตะโก ตำบลหัวถนน และตำบลทำนบ อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลวังใหญ่ ตำบลสายลำโพง ตำบลพนมเศษ ตำบลพนมรอก ตำบลดอนคา ตำบลวังมหากร ตำบลท่าตะโก ตำบลหัวถนน และตำบลทำนบ อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลวังใหญ่ ตำบลสายลำโพง ตำบลพนมเศษ ตำบลดอนคา ตำบลพนมรอก ตำบลท่าตะโก ตำบลหัวถนน และตำบลทำนบ อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. ๒๕๔๓ เพื่อให้การกำหนดเขตปฏิรูปที่ดินสอดคล้องกับข้อเท็จจริง โดยกำหนดเขตปฏิรูปที่ดินเฉพาะที่ดินที่มีการดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเท่านั้น และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
29422 | รายงานผลการดำเนินการ กรณีสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ให้ความเห็นและข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี เรื่อง องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ตามมาตรา 61 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 (ความเห็นและข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี เรื่อง องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ตามมาตรา 61 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550) | สสป | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตีรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณาและผลการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานศาลยุติธรรม เรื่อง "องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ตามมาตรา ๖๑ ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐" โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การเร่งรัดการตราพระราชบัญญัติองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค โดยนำร่างพระราชบัญญัติองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. .... ที่ได้ผ่านวุฒิสภา และได้ส่งให้สภาผู้แทนราษฎรแล้ว เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๕ เพื่อพิจารณาในรัฐสภา และมีกฎหมายออกบังคับใช้โดยเร็ว เพื่อให้เป็นไปตามบัญญัติในรัฐธรรมนูญ มาตา ๖๑ ที่กำหนดให้มีการดำเนินการ ภายหลังรัฐบาลประกาศนโยบายไม่เกิน ๑ ปี ๒. การเป็นผู้นำระดับอาเซียนในการคุ้มครองผู้บริโภค โดยเร่งรัดและสนับสนุนให้มีการพิจารณา เพื่อผ่านร่างพระราชบัญญัติองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค อันเป็นหลักประกันแก่ผู้บริโภคไทย และเป็นแบบอย่างเชิงสัญลักษณ์ของความเป็นผู้นำในประเทศต่าง ๆ ในประชาคมอาเซียน และในระดับนานาชาติต่อไป ๓. การแสดงเจตจำนงในการสนับสนุนบทบาทของภาคประชาชนในการเสนอร่างกฎหมายสู่รัฐสภาอย่างจริงจัง การผ่านพระราชบัญญัติองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค จะทำให้เจตจำนงดังกล่าวได้รับการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม เนื่องจากกฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายฉบับแรกที่มีการเสนอรายชื่อ จำนวน ๑๐,๐๐๐ ราย โดยภาคประชาชน และรัฐบาลได้ให้การรับรองเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ๔. การเร่งสร้างความเข้าในเรื่ององค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคให้ประชาชน และผู้บริโภคทราบ โดยให้มีการดำเนินการสนับสนุนให้เกิดการพัฒนากลไกรับฟังความคิดเห็นในการกำหนดนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค สนับสนุนให้เกิดการปฏิบัติการจำลองขององค์กรผู้บริโภค นำร่องการบริหารจัดการเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคในรูปแบบองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค และสนับสนุนให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสนับสนุนงบประมาณและดำเนินการคุ้มครองผู้บริโภค ร่วมกับองค์กรผู้บริโภคทั่วประเทศ ในฐานะเครือข่ายทำงานคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคในทุกระดับ ๕. การแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาในปัจจุบันในประเด็นการขยายสิทธิผู้บริโภคในพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒ ให้สอดคล้องกับแนวทางการคุ้มครองผู้บริโภคของสหประชาชาติ และสภาพปัญหาการละเมิดสิทธิผู้บริโภคในปัจจุบัน การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และคณะกรรมการเฉพาะเรื่องให้มีตัวแทนผู้บริโภคในสัดส่วนที่เหมาะสม ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เป็นหน่วยงานกลางที่ให้บริการแบบเบ็ดเสร็จในการจัดการ และประสานงาน ชี้แจงผลการดำเนินการให้ผู้บริโภครับทราบผล เพื่อลดภาระต้นทุนในการร้องเรียนของผู้บริโภค จากการที่ต้องเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ เมื่อเรื่องที่ร้องเรียนไม่ตรงกับความรับผิดชอบของหน่วยงาน การกำหนดให้สมาคมและมูลนิธิได้รับยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียม ในการดำเนินคดีที่เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิผู้บริโภค การกำหนดให้มีมาตรการส่งเสริมองค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองผู้บริโภคที่ไม่เป็นนิติบุคคลให้มีบทบาทในการคุ้มครองผู้บริโภค การปรับปรุงมาตรการจัดการสินค้าที่อาจเป็นอันตรายแก่ผู้บริโภค การเพิ่มการคุ้มครองผู้บริโภคด้านบริการที่อาจเป็นอันตรายแก่ผู้บริโภค การยกระดับการคุ้มคอรงผู้บริโภคด้านโฆษณา ให้มีกระบวนการระงับข้อพิพาท เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับการชดเชยที่รวดเร็วและเป็นธรรม และการปรับปรุงบทกำหนดโทษ โดยเพิ่มเพดานโทษสูงสุดให้เหมาะสมกับระดับความเสียหายและสภาวการณ์ในปัจจุบันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีผู้ประกอบธุรกิจที่ก่อปัญหาซ้ำซาก
|
|||||||||||||||||||||
29423 | ผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย | นร07 | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ตามที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ โดยผลการพิจารณาโครงการ/รายการที่สำคัญ และมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องเร่งดำเนินการ เห็นสมควรอนุมัติให้กระทรวงกลาโหม กองทัพเรือ ใช้จ่ายจากเงินที่ส่วนราชการส่งคืนงบประมาณและเงินที่ส่วนราชการใช้จ่ายจริงน้อยกว่าที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ไปดำเนินการรวม ๒ โครงการ/รายการ ได้แก่
๑. โครงการก่อสร้างบริเวณพื้นที่อู่ทหารเรือพระจุลจอมเกล้า เป็นเงิน ๒๕.๐๐๐๐ ล้านบาท ภายใต้แผนงานเผชิญเหตุเฉพาะพื้นที่เพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วน เพื่อใช้เป็นคลังเก็บเครื่องมืออุปกรณ์ (เครื่องผลักดันน้ำ) ในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ซึ่งผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๕ ๒. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเพื่อผลักดันน้ำ เป็นเงิน ๒.๐๐๐๐ ล้านบาท ๓. รวมเป็นเงินที่เห็นควรให้ใช้จ่ายจากเงินที่ส่วนราชการส่งคืนงบประมาณ และเงินที่ส่วนราชการใช้จ่ายจริงน้อยกว่าที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยาฯ ในครั้งนี้ เป็นเงินทั้งสิ้น ๒๗.๐๐๐๐ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||
29424 | การเข้าร่วมงานฉลองครบรอบ 20 ปีแผนงาน GMS | นร | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย และรัฐมนตรีประจำแผนงานการพัฒนาความร่วมมือในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (Greater Mekong Subregion : GMS) ของไทย รายงานสรุปผลการเข้าร่วมงานฉลองครบรอบ ๒๐ ปีแผนงาน GMS ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๕ กันยายน ๒๕๕๕ ณ สำนักงานใหญ่ธนาคารพัฒนาเอเชีย กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ โดยงานฉลองครบรอบ ๒๐ ปีแผนงาน GMS ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ประเทศสมาชิกได้ทบทวนความสำเร็จในช่วงที่ผ่านมา เพื่อพัฒนาความร่วมมือและเสริมสร้างความเข้มแข็งภายในกลุ่มในการเผชิญกับความท้าทายที่มากขึ้นในอนาคต และร่วมหารือเพื่อเตรียมการประชุมระดับรัฐมนตรี ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๑๘ ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๕ ณ นครหนานหนิง มณฑลกวางสี สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยประเด็นสำคัญที่รัฐมนตรี ๖ ประเทศจะหารือร่วมกัน คือ การจัดทำกรอบการลงทุนของภูมิภาค (Regional Investment Framework) เพื่อกำหนดโครงการลงทุนลำดับความสำคัญสูงของ GMS ในระยะ ๑๐ ปีข้างหน้า สำหรับการดำเนินงานของฝ่ายไทยเพื่อสนับสนุนการประชุมระดับรัฐมนตรี ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๑๘ มีดังนี้
๑. การจัดทำกรอบการลงทุนของอนุภูมิภาค ในระยะที่ ๑ ซึ่งครอบคลุมการประเมินการพัฒนารายสาขา การวิเคราะห์แผนและนโยบายการพัฒนาประเทศ รวมถึงจัดทำข้อเสนอโครงการลงทุนลำดับความสำคัญสูงของแต่ละประเทศ ๒. การจัดทำร่างยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการสาขาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (๒๐๑๓-๒๐๑๗) และการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจสำหรับการดำเนินงานร่วมกันเพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อเอดส์ที่มีการเคลื่อนย้ายในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๓. การเตรียมการลงนามในเอกสารสำคัญ ๒ เรื่อง ได้แก่ การลงนามในความตกลงเพื่อการจัดตั้งสมาคมการรถไฟของประเทศลุ่มแม่น้ำโขง (GMS Railway Association : GMRA) และการลงนามร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลต่อการจัดตั้งศูนย์ประสานงานการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างประเทศสมาชิกในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (Inter-Governmental MOU for the Establishment of the Regional Power Coordination Centre in the Greater Mekong Subregion : IGM) ๔. การเร่งรัดการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อการให้สัตยาบันภาคผนวกและพิธีสารแนบท้ายความตกลงการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เนื่องจากปัจจุบันเหลือเพียงไทยและเมียนมาร์ที่ให้สัตยาบันภาคผนวกและพิธีสารฯ ไม่ครบทั้ง ๒๐ ฉบับ ทั้งนี้ ไทยอยู่ระหว่างผลักดันร่างกฎหมาย ๕ ฉบับ ประกอบด้วย ร่างกฎหมาย ๓ ฉบับ อยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณาของรัฐสภา ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดน พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติการรับขนของทางถนนระหว่างประเทศ พ.ศ. .... ของกระทรวงคมนาคม และร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ว่าด้วยการอนุวัติการตามความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดนภายในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน The GMS Agreement) ของกระทรวงการคลัง และร่างกฎหมาย ๒ ฉบับ อยู่ระหว่างการพิจารณาร่างโดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... (ในเรื่องเกี่ยวกับข้อบทว่าด้วยการผ่านแดน) ของกรมศุลกากร และร่างพระราชบัญญัติการรับขนคนโดยสารและสัมภาระทางถนนระหว่างประเทศ พ.ศ. .... ของกระทรวงคมนาคม
|
|||||||||||||||||||||
29425 | ขอเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาตามมาตรา 179 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อพิจารณาเรื่อง การอนุญาตให้องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกาเข้ามาดำเนินโครงการศึกษาการก่อตัวของเมฆที่มีผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia Composition, Cloud, Climate Coupling Regional Study - SEAC4 RS) | สผ | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรแจ้งว่า ประธานรัฐสภามีบัญชาให้บรรจุเรื่อง ขอเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาเรื่อง การอนุญาตให้องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกาเข้ามาดำเนินโครงการศึกษาการก่อตัวของเมฆที่มีผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia Composition, Cloud, Climate Coupling Regional Study - SEAC4 RS) ในประเทศไทย ตามมาตรา ๑๗๙ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เข้าระเบียบวาระการประชุมเป็นเรื่องด่วน ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ ๑ (สมัยสามัญทั่วไป) วันอังคารที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ เวลา ๐๙.๓๐ น.
|
|||||||||||||||||||||
29426 | สรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำท่วมของประเทศไทยประจำสัปดาห์ (ครั้งที่ 5/2555 ณ วันที่ 24 กันยายน 2555) | วท | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยสรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำท่วมของประเทศไทย ครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ ณ วันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. สถานการณ์ภูมิอากาศ พายุดีเปรสชั่นที่ก่อตัวทางด้านตะวันออกของอายุไต้ฝุ่น "เจอลาวัต" (JELAWAT) มีแนวโน้มทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน แต่มีทิศทางไปยังประเทศญี่ปุ่น สำหรับร่องมรสุมที่อาจส่งผลกระทบต่อประเทศไทยพบว่ามีร่องมรสุมยังคงพาดผ่านบริเวณภาคกลาง และภาคตะวันออก และจะเริ่มมีกำลังแรงขึ้นในช่วงวันที่ ๒๔-๒๙ กันยายน ๒๕๕๕ และในช่วงวันที่ ๒๕-๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ บริเวณภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ มีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากได้บางแห่ง สำหรับปริมาณน้ำฝนในภาพรวมพบว่า ฝนสะสมในทุกภาคสูงกว่าค่าเฉลี่ย ๓๐ ปี เว้นแต่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนน้อยกว่าค่าเฉลี่ย โดยทุกภาคมีฝนน้อยกว่าเมื่อปี ๒๕๕๔ ๒. สถานการณ์น้ำและน้ำท่วม ดังนี้ ๒.๑ ปริมาณน้ำท่าในบริเวณจุดสำคัญ ได้แก่ ๒.๑.๑ สถานี C.2 จังหวัดนครสวรรค์ ๑,๕๗๓ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ที่ความจุลำน้ำ ๓,๕๙๐ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ๒.๑.๒ สถานี C.13 เขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท ๑,๖๕๔ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ที่ความจุลำน้ำ ๒,๘๔๐ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ๒.๑.๓ สถานี C.29A ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๑,๘๑๒ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ที่ความจุลำน้ำ ๓,๕๐๐ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ๒.๒ ระดับความสูงของน้ำในแม่น้ำสายหลัก ได้แก่ ๒..๒.๑ แม่น้ำปิง ที่สถานี P.1 จังหวัดเชียงใหม่ +๓๐๒.๑๓ เมตรระดับน้ำทะเลปานกลาง (ม.รทก.) ต่ำกว่าตลิ่ง ๒.๐๗ เมตร ๒.๒.๒ แม่น้ำวัง ที่สถานี W.10A จังหวัดลำปาง +๒๕๙.๒๑ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๖.๓๙ เมตร ๒.๒.๓ แม่น้ำยม ที่สถานี Y.4 จังหวัดสุโขทัย +๔๗.๑๕ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๓.๗๒ เมตร ๒.๒.๔ แม่น้ำน่าน ที่สถานี N.1 จังหวัดน่าน +๑๙๓.๓๒ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๕.๘๘ เมตร ๒.๒.๕ แม่น้ำเจ้าพระยา ที่สถานี C.2 จังหวัดนครสวรรค์ +๒๒.๗๕ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๓.๔๕ เมตร และที่สถานี C.13 จังหวัดชัยนาท ระดับน้ำท้ายเขื่อน +๑๓.๖๑ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๒.๗๓ เมตร ๒.๓ น้ำในเขื่อน/อ่างเก็บน้ำ ได้แก่ ๒.๓.๑ เขื่อนภูมิพล น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ ๓๗.๔๑ ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำ ๗,๗๘๙ ล้านลูกบาศก์เมตร และใช้การได้จริง ๓,๙๘๙ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒.๓.๒ เขื่อนสิริกิติ์ น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ ๒๑.๖๓ ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำ ๖,๒๑๘ ล้านลูกบาศก์เมตร และใช้การได้จริง ๓,๓๖๘ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒.๓.๓ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ ๒๖.๖๔ ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำ ๔๘๗ ล้านลูกบาศก์เมตร และใช้การได้จริง ๔๘๔ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒.๓.๔ น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่รวม ๓๓ อ่างทั่วประเทศ ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำ รวม ๔๘,๗๓๖ ล้านลูกบาศก์เมตร ปริมาณน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ สะสมตั้งแต่ต้นปี ๓๐,๒๕๖ ล้านลูกบาศก์เมตร ปริมาณน้ำระบายจากอ่างเก็บน้ำ สะสมตั้งแต่ต้นปี ๓๙,๔๗๔ ล้านลูกบาศก์เมตร และความสามารถในการรับน้ำได้อีก ๒๑,๔๑๕ ล้านลูกบาศก์เมตร ๓. การบริหารน้ำในเขื่อน ดังนี้ ๓.๑ เขื่อนลำปาว มีปริมาณน้ำกักเก็บ ๒๖% ต่ำกว่าปี ๒๕๕๓ ซึ่งเป็นปีที่เกิดภัยแล้งอยู่ค่อนข้างมาก และมีปริมาณน้ำไหลลงอ่างน้อยมาก จึงเสนอให้ปรับลดการระบายน้ำ ๓.๒ เขื่อนประแสร์และเขื่อนคลองสียัด มีปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนทั้งสองเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก และคาดว่าในสัปดาห์หน้าจะยังคงมีฝนตกต่อเนื่องในบริเวณดังกล่าว จึงให้เฝ้าระวังและติดตามตามปริมาณน้ำที่จะไหลลงอ่างเพิ่มเติม รวมทั้งผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่เหนือน้ำและท้ายของของเขื่อนทั้งสอง ๓.๓ เขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ให้ปรับลดการระบายน้ำที่เขื่อนภูมิพลลงเหลือไม่เกินวันละ ๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ส่วนเขื่อนสิริกิติ์ปรับลดการระบายน้ำลงเหลือไม่เกินวันละ ๒ ล้านลูกบาศก์เมตร ตั้งแต่วันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๕ ทั้งนี้ ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยพิจารณาผลกระทบท้ายน้ำด้วย ๓.๔ เขื่อนศรีนครินทร์และเขื่อนวชิราลงกรณ ให้ลดการระบายน้ำที่เขื่อนศรีนครินทร์ลงเหลือวันละ ๑๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ส่วนเขื่อนวชิราลงกรณลดการระบายลงเหลือวันละ ๑๖ ล้านลูกบาศก์เมตร โดยเริ่มลดการระบายของทั้งสองเขื่อนตั้งแต่วันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๕ จนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ ๔. สถานการณ์อุทกภัย ฝนทิ้งช่วง และน้ำป่า ดังนี้ ๔.๑ สถานการณ์ปัจจุบันยังคงมีพื้นที่ประสบอุทกภัย ๑๒ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสระแก้ว ปราจีนบุรี นครปฐม สุโขทัย พิษณุโลก นครสวรรค์ สุพรรณบุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ชัยภูมิ พิจิตร และนครนายก รวม ๓๘ อำเภอ ๒๖๙ ตำบล ๑,๗๔๖ หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ๗๕,๙๙๔ ครัวเรือน ๑๘๖,๕๐๘ คน ๔.๒ พื้นที่ภาคตะวันออก จังหวัดปราจีนบุรี เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องทำให้น้ำในแม่น้ำปราจีนบุรีเอ่อล้นเข้าท่วม ในพื้นที่ ๕ อำเภอ ๒ เขตเทศบาลตำบล ๓๖ ตำบล ๒๔๐ หมู่บ้าน ๒๗ ชุมชน จังหวัดสระแก้ว ฝนตกหนักทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำเอ่อล้นเข้าท่วมในพื้นที่ ๕ อำเภอ ๓๒ ตำบล ๒๙๔ หมู่บ้าน ๑๒,๙๙๘ ครัวเรือน ๓๔,๖๔๕ คน และจังหวัดนครนายก เกิดฝนตกต่อเนื่อง ทำให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ ๒ อำเภอ ๖ ตำบล ๓๐ หมู่บ้าน ปัจจุบันยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่อำเภอองครักษ์ ตำบลบางสมบูรณ์ ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ๒๓๐ ครัวเรือน ๒,๓๗๐ คน ๔.๓ กรมทรัพยากรน้ำได้เตือนภัยสถานการณ์น้ำป่า ณ วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๕ เตือนภัยสีเขียว(เฝ้าระวัง) ๑ จังหวัด คือจังหวัดอุตรดิตถ์ ๕. สรุปผลการตรวจติดตามสถานการณ์น้ำและระบบป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย ในเขตจังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ชัยนาท นครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก และสุโขทัย ในระหว่างวันที่ ๒๑-๒๓ กันยายน ๒๕๕๕ นายกรัฐมนตรีสั่งการให้จัดประชุมเตรียมความพร้อมเพื่อติดตามสถานการณ์และรับมือปัญหาอุทกภัยปี ๒๕๕๕ เป็นการเร่งด่วนเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๕ ณ ห้องประชุม ๑ กระทรวงมหาดไทย พร้อมจัดประชุมทางไกลผ่านระบบ Tele-conference กับจังหวัดในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาทั้งหมด และมอบให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ตรวจติดตามสถานการณ์น้ำและการรับมือปัญหาอุทกภัยปี ๒๕๕๕ ดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||
29427 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 | นร07 | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ๑.๑ การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ เป็นเงิน ๑๑๘,๘๗๒.๗๘๔๗ ล้านบาท ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๑๓,๐๒๕.๔๗๑๖ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๑,๒๘๒.๗๔๖๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑.๑๕ และผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) เป็นเงิน ๙๗,๖๖๓.๗๕๒๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๒.๑๖ จากยอดจัดสรร ๑.๒ ผลการดำเนินงาน มิติส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๙ กระทรวง ที่เหลือมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๙ กระทรวง และมิติจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๔๙ จังหวัด ส่วนจังหวัดที่เหลือมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๒๔ จังหวัด ๑.๓ การส่งคืนเงินงบประมาณและการใช้จ่ายจากเงินที่แจ้งส่งคืน ส่วนราชการฯ ส่งเงินคืนในระบบ GFMIS เป็นเงิน ๕,๘๒๔.๐๘๒๔ ล้านบาท คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินที่ส่วนราชการฯ ส่งคืนงบประมาณ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕,๓๑๓.๕๔๔๙ ล้านบาท คงเหลือวงเงินที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้อีก เป็นเงิน ๖๔๙.๕๔๓๕ ล้านบาท ๒. การจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (วงเงิน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) คณะรัฐมนตรีอนุมัติวงเงินรวมทั้งสิ้น ๒๙,๘๓๖.๗๙๒๖ ล้านบาท สำนักงบประมาณจัดสรรเงินกู้ฯ ให้ส่วนราชการ จำนวน ๒๒,๐๖๑.๗๓๔๘ ล้านบาท คงเหลือ จำนวน ๗,๗๗๕.๐๕๗๘ ล้านบาท ได้แก่ กระทรวงคมนาคม จำนวน ๔,๐๐๔.๑๔๔๐ ล้านบาท กระทรวงอุตสาหกรรม จำนวน ๓,๒๓๖.๖๙๔๐ ล้านบาท กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๑๙๖.๘๐๔๓ ล้านบาท กระทรวงมหาดไทย จำนวน ๑๒๘.๙๗๐๐ ล้านบาท กระทรวงกลาโหม จำนวน ๑๙.๘๕๐๐ ล้านบาท กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน ๑๗.๑๒๕๐ ล้านบาท และกระทรวงศึกษาธิการ จำนวน ๑๗๑.๔๗๐๕ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||
29428 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ค่าวัสดุอาหารผู้ต้องขังและผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ | นร07 | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ค่าวัสดุอาหารผู้ต้องขังและผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ ซึ่งขณะนี้มีหนี้ค้างชำระ จำนวน ๙๑๖,๖๘๔,๐๕๑ บาท ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. ให้โอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ยังไม่สามารถดำเนินการได้ และกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี ๒ รายการ ได้แก่ รายการก่อสร้างเรือนจำจังหวัดสกลนคร จำนวน ๕๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท และรายการก่อสร้างเรือนจำจังหวัดพังงา จำนวน ๕๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๐๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้ขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามนัยระเบียบการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๒. ให้เบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๓. สำหรับหนี้ค่าวัสดุอาหารส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๓๑๑,๖๘๔,๐๕๑ บาท เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประกาศใช้บังคับแล้ว ให้กรมราชทัณฑ์เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณเป็นค่าวัสดุอาหารไว้แล้ว จำนวน ๓,๑๗๕,๗๐๕,๒๐๐ บาท ไปชำระหนี้ค่าวัสดุอาหารต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
29429 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณและขออนุมัติค่าใช้จ่ายสำนักบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย | วท | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ ให้สำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินการกระบวนการสรรหาผู้สนใจออกแบบก่อสร้างระบบการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย ในวงเงิน ๒ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ในส่วนค่าใช้จ่ายของสำนักนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (สบอช.) ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ให้ทบทวนค่าใช้จ่าย จำนวน ๑๖๔.๙๔ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้สำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๑๘.๒๖๓๕ ล้านบาท ให้สำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณอีกครั้ง เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประกาศใช้บังคับแล้ว ๑.๒ กรณีสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น งบรายจ่ายอื่น รายการค่าใช้จ่ายกรณีเฉพาะหน้าเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย เหลือจ่าย จำนวน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท เมื่อได้ดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้แล้ว ให้สำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแจ้งคืนเงินงบประมาณดังกล่าวให้สำนักงบประมาณต่อไป ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สำนักบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้สำนักบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทยประสานงานกับ สบอช. เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างสอดคล้องและไม่เกิดความซ้ำซ้อนกัน และเห็นสมควรให้มีงบประมาณเพื่อดำเนินการกรณีมีภารกิจเร่งด่วนที่ต้องเริ่มดำเนินกระบวนการพิจารณาคัดเลือกผู้เสนอกรอบแนวคิดตั้งแต่เดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ ซึ่งการจะใช้จ่ายจากการเปลี่ยนแปลงงบประมาณจากงบประมาณเหลือจ่ายจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เห็นควรให้ดำเนินการให้สอดคล้องตามระเบียบและขั้นตอนวิธีการงบประมาณต่อไป รวมทั้งให้สำนักงบประมาณร่วมกับสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ สบอช. พิจารณาในรายละเอียดทั้งด้านอัตราค่าจ้างในการจัดจ้างบุคลากรเพิ่มเติม และการจัดหาครุภัณฑ์ที่เหมาะสมกับการปฏิบัติงาน เพื่อให้การใช้งบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
29430 | ขออนุมัติการกู้เงินเพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา - คลองสิบเก้า - แก่งคอย พร้อมทางคู่เลี่ยงเมือง (Chord Line) จำนวน 3 แห่ง ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) | กค | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงการคลังกู้เงินในประเทศ วงเงิน ๑๑,๓๔๘.๓๕ ล้านบาท และให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้เงินต่อจากกระทรวงการคลังเพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย พร้อมทางคู่เลี่ยงเมือง (Chord Line) จำนวน ๓ แห่ง ทั้งนี้ วงเงินที่ รฟท. กู้ต่อจากกระทรวงการคลังจะนำไปใช้จ่ายในส่วนของค่าเวนคืนและรื้อย้ายสิ่งปลูกสร้าง จำนวน ๑๒๘.๘๒ ล้านบาท ดำเนินการประกวดราคา จำนวน ๘ ล้านบาท ค่าก่อสร้าง จำนวน ๑๐,๘๐๕.๒๙ ล้านบาท และค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง จำนวน ๔๐๖.๒๔ ล้านบาท ๑.๒ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นงบชำระหนี้ให้แก่ รฟท. เพื่อใช้ชำระหนี้คืนแก่แหล่งเงินกู้โดยตรงทั้งในส่วนเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังจะได้ตกลงกับ รฟท. ต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปหารือร่วมกันในเรื่องการพิจารณาความเหมาะสมของการจัดเตรียมงบประมาณเพื่อชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยตามแผนการชำระหนี้ดังกล่าวเพื่อรักษาวินัยการคลังและลดผลกระทบต่อภาพลักษณ์ทางการเงินของ รฟท. โดยเฉพาะอัตราส่วนความสามารถในการก่อหนี้และความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งจะทำให้มีผลกระทบต่อต้นทุนทางการเงินของ รฟท. |
|||||||||||||||||||||
29431 | การขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีการเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ และการเช่าบ้านพักข้าราชการประจำในต่างประเทศ | พณ | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กรมส่งเสริมการส่งออกก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙ รายการค่าเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ จำนวน ๒ แห่ง และค่าเช่าบ้านพักข้าราชการประจำในต่างประเทศ จำนวน ๑๑ ราย ในวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาสัญญาเช่าทั้งสิ้น ๔๑,๐๑๙,๐๐๐ บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒๒,๗๕๓,๘๐๐ บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๙ จำนวน ๑๘,๒๖๕,๒๐๐ บาท หรือไม่เกินวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาเช่าตามสกุลเงินท้องถิ่นของแต่ละแห่งกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินที่เห็นว่า กระทรวงพาณิชย์ชอบที่จะเบิกจ่ายค่าเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศได้ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของส่วนราชการในต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๙ สำหรับค่าเช่าบ้านพักข้าราชการประจำในต่างประเทศให้เบิกจ่ายตามระเบียบของทางราชการ ไปดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
29432 | การขออนุมัติเปิดสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐโคลอมเบียประจำประเทศไทยอีกครั้ง ภายหลังจากที่เคยปิดเป็นการชั่วคราว | กต | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเปิดสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐโคลอมเบียประจำประเทศไทยอีกครั้ง ภายหลังจากที่เคยปิดเป็นการชั่วคราว เพื่อเป็นช่องทางในการส่งเสริมและพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐโคลอมเบียให้ใกล้ชิดมากขึ้น รวมทั้งกับภูมิภาคลาตินอเมริกาในภาพรวม โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ความมั่นคง และการติดต่อระหว่างประชาชน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
29433 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม พ.ศ. .... | ศธ | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฏีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดปริญญาในสาขาวิชา และอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาการบัญชี สาขาวิชาการแพทย์แผนจีน สาขาวิชาการศึกษา สาขาวิชานิติศาสตร์ สาขาวิชาบริหารธุรกิจ สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาศิลปศาสตร์ สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ และสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ ๒. กำหนดครุยวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย ครุยประจำตำแหน่ง และเครื่องหมายประกอบครุยประจำตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการสภามหาวิทยาลัย และอธิการบดีของมหาวิทยาลัย ๓. กำหนดเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย ๔. กำหนดสีประจำสาขาวิชา
|
|||||||||||||||||||||
29434 | ผลการสำรวจครัวเรือนที่ประสบภัยในพื้นที่น้ำท่วมช่วงเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม พ.ศ. 2554 | ทก | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการสำรวจครัวเรือนที่ประสบภัยในพื้นที่น้ำท่วม ช่วงเดือนกรกฎาคม-ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ประเทศไทยมีพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมใน ๖๑ จังหวัด โดยมีครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวรวม ๕.๓ ล้านครัวเรือน หรือ ๑๗.๖ ล้านคน ในจำนวนนี้มีครัวเรือนถูกน้ำท่วม ร้อยละ ๗๓.๗ โดยเป็นน้ำท่วมตัวบ้าน ร้อยละ ๔๕.๖ และท่วมบริเวณรอบ ๆ ตัวบ้านอย่างเดียว ร้อยละ ๒๘.๑ ๒. ความรุนแรงของน้ำท่วม พิจารณาจากระยะเวลาและความสูงของน้ำท่วม พบว่า น้ำท่วมขังในและรอบ ๆ บริเวณบ้านเฉลี่ย ๒๕-๒๗ วัน และน้ำท่วมสูงเฉลี่ย ๘๗-๘๘ เซนติเมตร โดยครัวเรือนที่ถูกน้ำท่วมขังนานกว่า ๓๐ วัน และสูงกว่า ๑๒๐ เซนติเมตร พบในกรุงเทพมหานครและภาคกลางมากกว่าภาคอื่น ๓. ครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่น้ำท่วม ร้อยละ ๕๗.๑ มีการเตรียมตัวรับมือกับน้ำท่วม เช่น การยกของขึ้นที่สูง ร้อยละ ๔๘.๘ การกั้นถุงทราย การสำรองของกินของใช้ และการป้องกันพาหนะเสียหายมีประมาณร้อยละ ๑๗-๓๐ และมีการเตรียมการด้านการเจ็บป่วยประมาณร้อยละ ๑๖ เช่น การเตรียมยาสามัญ อุปกรณ์การปฐมพยาบาล และยารักษาโรคประจำตัว และจากการสำรวจ พบว่า รายได้เป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการเตรียมตัว โดยครัวเรือนที่มีรายได้สูงจะมีการเตรียมตัวมากกว่า โดยครัวเรือนมีค่าใช้จ่ายในการเตรียมตัวเฉลี่ยในช่วงก่อนน้ำท่วม ๕,๙๐๔ บาท และช่วงน้ำท่วม ๘,๔๑๙ บาท ๔. ในช่วงน้ำท่วม เมื่อพิจารณาถึงความพร้อมในการเอาชีวิตรอด พบว่า ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่น้ำท่วม ร้อยละ ๕๑.๑ ว่ายน้ำไม่เป็น มีเพียงร้อยละ ๑๘.๖ ที่ว่ายน้ำได้ตามมาตรฐานสากล (ว่ายน้ำขึ้นตลิ่งฝั่งตรงข้ามที่มีระยะทาง ๒๕ เมตรได้ในขณะสวมใส่เสื้อผ้าตามปกติ) ส่วนผู้ที่ว่ายน้ำได้น้อยกว่า ๒๕ เมตร มีร้อยละ ๒๖.๔ (ระยะทางเฉลี่ย ๘.๔๙ เมตร) และมีเพียงร้อยละ ๓.๗ ที่ช่วยเหลือตัวเองได้แค่เพียงลอยคอ/พยุงตัวในน้ำได้ ๕. ครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่น้ำท่วม ร้อยละ ๗๒.๗ ได้รับการแจ้งข้อมูลข่าวสารเฝ้าระวังก่อนที่น้ำจะท่วม และในช่วงน้ำท่วมมีผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมอพยพออกไปอยู่ที่อื่น ร้อยละ ๑๘.๐ ส่วนใหญ่เป็นการอพยพทั้งครัวเรือน ร้อยละ ๑๕.๒ โดยอพยพออกไปเฉลี่ยนานกว่า ๑ เดือน (๓๙ วัน) สำหรับผู้ที่ไม่อพยพให้เหตุผลว่ายังอาศัยอยู่ได้ เป็นห่วงบ้าน/ทรัพย์สิน คิดว่าท่วมไม่นาน/ไม่ท่วม ไม่มีที่ไป/ไม่มีเงิน และมีคนชรา/เด็ก/คนป่วย/คนพิการ เป็นต้น ๖. ครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมได้รับผลกระทบด้านเศรษฐกิจ และสังคม อาทิ การทำงานแบบเต็มเวลาของสมาชิกในครัวเรือนหลังน้ำท่วม ลดลงจากก่อนน้ำท่วม ร้อยละ ๕.๘ ขณะที่การทำงานแบบไม่เต็มเวลา และการตกงานเพิ่มขึ้น ร้อยละ ๔.๑ และ ๑.๗ ตามลำดับ ทำให้รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนในทุกภาคลดลงจากช่วงก่อนน้ำท่วมประมาณร้อยละ ๑๐ การสูญเสียรายได้จากการประกอบอาชีพหรือกิจการขาดทุนที่เกิดจากน้ำท่วมเฉลี่ย ๑๒,๒๓๐ บาท และ ๙,๘๗๑ บาท ตามลำดับ สาเหตุจากการหยุดขาย/หยุดประกอบการ ร้อยละ ๖๕-๗๖ สินค้าเสียหาย ร้อยละ ๑๕-๒๒ ตามลำดับ ทรัพย์สินในครัวเรือนที่ถูกน้ำท่วม เช่น ที่อยู่อาศัย รถยนต์/รถจักรยานยนต์ เครื่องใช้/สิ่งอำนวยความสะดวก และอุปกรณ์การประกอบอาชีพได้รับความเสียหาย รวมทั้งปัญหาการไปใช้บริการทางการแพทย์ และปัญหาการจัดการขยะมูลฝอยและการกำจัดสิ่งปฏิกูล เป็นต้น ๗. การติดต่อขอความช่วยเหลือบริการทางการแพทย์ ช่องทางที่ครัวเรือนทราบมากที่สุด คือ รถฉุกเฉิน เช่น รถ อบต./โรงพยาบาล/มูลนิธิ ร้อยละ ๕๕.๐ รองลงมา ได้แก่ สายด่วน ๑๖๖๙ ร้อยละ ๔๗.๓ ๘. ครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมมากกว่าร้อยละ ๘๐ มีความพึงพอใจต่อการดำเนินงานของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในทุกเรื่อง ได้แก่ การป้องกันและกู้เส้นทางสายหลักเพื่อใช้ในการคมนาคม ร้อยละ ๘๗.๐ การให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วม ร้อยละ ๘๖.๕ การใช้แรงดันเรือ/เครื่องในการดันน้ำ ร้อยละ ๘๕.๘ การปรับปรุงสาธารณูปโภค ร้อยละ ๘๕.๖ การระบายน้ำออกจากพื้นที่และการใช้ถุงทราย/คันกั้นน้ำชะลอการไหลของน้ำเข้าท่วมพื้นที่ ร้อยละ ๘๔.๙ และการควบคุมการเปิด-ปิดประตูระบายน้ำ ร้อยละ ๘๔.๑ ๙. ครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมเห็นว่าสิ่งของที่ควรบรรจุอยู่ในถุงยังชีพมากที่สุด คือ อาหารกระป๋อง ร้อยละ ๙๖.๑ น้ำดื่ม ร้อยละ ๙๔.๖ ข้าวสาร ร้อยละ ๙๔.๕ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ร้อยละ ๘๖.๙ ยาสามัญประจำบ้าน ร้อยละ ๘๒.๐ ไฟฉาย ร้อยละ ๗๐.๓ และนมกล่อง ร้อยละ ๕๑.๐ ส่วนอื่น ๆ เช่น นมผง ผ้าอนามัย ฯลฯ มีไม่เกินร้อยละ ๔๕
|
|||||||||||||||||||||
29435 | ผลการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐกินี | นร | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐกินี ในฐานะแขกของรัฐบาล (Official Visit) ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ และให้หน่วยงานต่าง ๆ ติดตามความคืบหน้าในประเด็นที่เกี่ยวข้อง โดยประสานกับกระทรวงการต่างประเทศอย่างใกล้ชิด ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. นายกรัฐมนตรีได้หารือกับประธานาธิบดีกินีทั้งแบบ four eyes และแบบเต็มคณะ โดยมีประเด็นการหารือ ได้แก่ การจัดตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการขายข้าวให้แก่กินีในราคามิตรภาพ สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๕- ๒๕๕๖ การให้ความร่วมมือระหว่างกันในสาขาต่าง ๆ อาทิ การเกษตร การประมง การตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาโอกาสในการลงทุนด้านเหมืองแร่และพลังงานของนักลงทุนไทยในกินี การสนับสนุนการสมัครของไทยในตำแหน่งสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ วาระปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๑๘ และตำแหน่งสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ วาระปี ค.ศ. ๒๐๑๕-๒๐๑๗ รวมทั้งการพิจารณาความเป็นไปได้ในการเปิดสถานเอกอัครราชทูตที่เมืองหลวงของอีกฝ่าย การแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างผู้นำของทั้งสองประเทศในโอกาสต่อไป และการเยือนของผู้แทนระดับรัฐมนตรี ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกินีและชาวกินีในต่างประเทศได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ จำนวน ๒ ฉบับ คือ บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐกินีว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการ และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งการปรึกษาหารือทวิภาคีระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการต่างประเทศและชาวกินีในต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐกินี โดยมีนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีกินีเป็นสักขีพยาน ๓. ในการประชุม Business Forum ประธานาธิบดีกินีได้กล่าวเชิญชวนนักธุรกิจไทยไปลงทุนในกินีในด้านการเกษตร ประมง เหมืองแร่ พลังงาน ก่อสร้าง และสาธารณสุข รวมทั้งได้หารือแบบตัวต่อตัวกับผู้บริหารของบริษัท การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย สำรวจ ผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กลุ่มบริษัทอิตัลไทย และบริษัท แอตแลนติคฟาร์มาซูติคอล จำกัด เกี่ยวกับการลงทุนในกินี ๔. ประธานาธิบดีกินีได้เยี่ยมชมศูนย์วิจัยข้าวปทุมธานี ของกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเห็นชอบให้มีการแลกเปลี่ยนการศึกษาดูงาน การส่งผู้เชี่ยวชาญไทยไปฝึกอบรมให้แก่กินี รวมทั้งเยี่ยมชมโรงงานแปรรูปเนื้อไก่ นครราชสีมา ของบริษัท ซีพีเอฟ จำกัด (มหาชน) โดยได้เชิญชวนให้บริษัทฯ ไปลงทุนสร้างโรงงานผลิตอาหารสัตว์ ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ การพัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดและอื่น ๆ ในกินี
|
|||||||||||||||||||||
29436 | รายงานผลการเดินทางไปราชการต่างประเทศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ระหว่างวันที่ 24 - 30 สิงหาคม 2555) | กษ | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อประชุมหารือการแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรไทยในสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ ๒๔-๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๕ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้แจ้งให้ประธานสถาบันประมงแห่งชาติสหรัฐฯ (National Fisheries Institutes : NFI ) และผู้แทนบริษัทนำเข้าอาหารทะเลของสหรัฐฯ ทราบถึงการดำเนินการแก้ไขปัญหาด้านแรงงานในอุตสาหกรรมประมงและอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารทะเลของไทย และจากที่ได้มีข่าวกรณีปัญหาการค้ามนุษย์ในอุตสาหกรรมประมงของไทยผ่านสื่อและบทความต่าง ๆ รวมทั้งจากรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ของสหรัฐฯ (TIP Report) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้จัดอันดับประเทศไทยอยู่ใน Tier 2 Watch list นั้น รัฐบาลไทยมีแนวทางและกลไกในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจในสินค้าประมงของไทย ได้แก่ แผนปฏิบัติการระดับชาติในการต่อต้านการค้ามนุษย์ของประเทศไทย (Action Plan) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๖ การจัดทำแนวทางการปฏิบัติในการตรวจตราเรือประมงไทยที่ออกไปและเดินทางกลับจากการทำประมงนอกน่านน้ำ และแนวทางการปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี [Good Labour Practice : (GLP)] สำหรับแรงงานประมงไทย รวมทั้งมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาแรงงานประมง โดยการติดตั้งระบบติดตามเรือประมง หรือ Vessel Monitoring System (VMS) สำหรับเรือประมงนอกน่านน้ำ การพัฒนาแนวทางการปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (GLP) ในอุตสาหกรรมกุ้งและอาหารทะเล และการจัดทำรายงานอันตรายสำหรับแรงงานเด็กในอุตสาหกรรมกุ้งและอาหารทะเลเพื่อปกป้องแรงงานผู้เยาว์ ๑๕-๑๗ ปี ๑.๒ NFI ได้กังวลถึงภาพลักษณ์ของสินค้าประมงที่ส่งออกมายังสหรัฐฯ ที่ปรากฏบนสื่อต่าง ๆ ที่แสดงถึงภาพลักษณ์การผลิตที่ระบุว่าอุตสาหกรรมของไทยมีการใช้แรงงานเด็ก แรงงานบังคับ มีการใช้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย มีการทารุณกรรมแรงงาน และเห็นว่าการดำเนินงานของไทยในการแก้ไขปัญหายังไม่เพียงพอ ภาครัฐของสหรัฐฯ ต้องการเห็นการแก้ไขปัญหาแรงงานอย่างจริงจัง ซึ่งหากไทยยังไม่สามารถดำเนินการให้เป็นที่ประจักษ์ในการแก้ไขปัญหาด้านแรงงาน จะมีความเสี่ยงสูงที่อาจถูกลดระดับลงมาที่ Tier 3 ๒. ให้หน่วยงานและคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงแรงงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ รับข้อกังวลเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาด้านแรงงานในอุตสาหกรรมดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
29437 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลศรีแก้ว อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร พ.ศ. .... | กษ | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลศรีแก้ว อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลศรีแก้ว อำเภอขุนหาญ จังหวัดยโสธร เพื่อประโยชน์แก่การชลประทาน ในการดำเนินการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยโพง (ตอนบน) เพื่อประโยชน์แก่การชลประทาน การเกษตร การอุปโภคและบริโภค ตลอดจนการป้องกันและบรรเทาอุทกภัย และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่ มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
29438 | รายงานการเงินแผ่นดินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 | กค | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการเงินแผ่นดินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบรับรองแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้เสนอรัฐสภาทราบต่อไป โดยรายงานการเงินแผ่นดินฯ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน งบรายได้และค่าใช้จ่าย และหมายเหตุประกอบงบการเงิน ซึ่งจัดทำขึ้นตามหลักเกณฑ์คงค้างแบบผสม (Modified Accrual Basis) โดยใช้ข้อมูลบัญชีจากชุดรัฐบาลที่แสดงการรับจ่ายเงินคงคลังของรัฐบาลเป็นหลัก และรวบรวมข้อมูลที่มีสาระสำคัญในส่วนสินทรัพย์และหนี้สินของรัฐบาลจากส่วนราชการที่ทำหน้าที่บริหารจัดการแทนรัฐบาล มาปรับปรุงในบัญชีชุดรัฐบาล สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ งบรายได้และค่าใช้จ่าย ประกอบด้วย รายได้สุทธิ รวม ๑,๕๑๓,๒๒๕.๑๓ ล้านบาท และค่าใช้จ่าย รวม ๑,๔๘๖,๓๘๒.๗๑ ล้านบาท ๑.๒ งบแสดงฐานะการเงิน ประกอบด้วย สินทรัพย์ รวม ๔,๑๐๖,๘๓๒.๘๒ ล้านบาท หนี้สิน รวม ๒,๑๙๒,๓๓๓.๙๔ ล้านบาท และสินทรัพย์สุทธิหรือส่วนทุน ๑,๙๑๔,๔๙๘.๘๘ ล้านบาท ๒. เห็นชอบข้อเสนอแนะ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และกรมธนารักษ์ กำชับเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบในการส่งข้อมูลให้กรมบัญชีกลาง ตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องและจัดส่งข้อมูลภายในระยะเวลาที่กรมบัญชีกลางกำหนด ๒.๒ ให้ผู้บริหารของกรมธนารักษ์กำชับให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบบันทึกที่ดินราชพัสดุให้ครบถ้วนเป็นปัจจุบัน เพื่อให้ข้อมูลที่ดินราชพัสดุแสดงมูลค่าที่ถูกต้อง ๒.๓ ให้ผู้บริหารของหน่วยงานภาครัฐทุกแห่งกำชับให้หน่วยงานในสังกัดและเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบการเงินและบัญชีตรวจสอบและบันทึกข้อมูลในระบบ GFMIS ให้ถูกต้องเป็นปัจจุบัน โดยเฉพาะข้อมูลเงินนอกงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||
29439 | แผนการหารือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศสหพันธรัฐรัสเซีย | กต | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแผนการหารือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศสหพันธรัฐรัสเซียสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ เนื่องจากแผนการหารือฯ ฉบับแรกสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๔ ได้สิ้นสุดลงแล้ว ทั้งสองฝ่ายจึงได้ร่วมกันพิจารณาร่างแผนการหารือฯ ขึ้นในลักษณะเช่นเดียวกันสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ โดยกำหนดกรอบการปฏิบัติงานและกลไกการหารือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศใน ๒ ระดับ คือ ระดับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และระดับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติของกรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสถาบันวิชาการและสถาบันฝึกอบรมการทูตของกระทรวงการต่างประเทศ โดยกำหนดการและระเบียบวาระการหารือเป็นไปตามความเห็นชอบร่วมกันของทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทยในร่างแผนการหารือฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในแผนการหารือฯ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติที่ขอเสนอปรับแก้ข้อความเกี่ยวกับชื่อของกลไกความร่วมมือเพื่อให้ถูกต้อง และสอดคล้องกับบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติแห่งราชอาณาจักรไทยและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติแห่งสหพันธรัฐรัสเซียเพื่อจัดตั้งคณะทำงานร่วมว่าด้วยการหารือด้านความมั่นคงระหว่างไทยกับรัสเซีย ที่ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามร่วมกันในปี พ.ศ. ๒๕๔๘ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
29440 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ขออนุมัติการจัดทำและลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการด้านการบริหารจัดการน้ำไทย - สาธารณรัฐเกาหลี | กษ | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง ขออนุมัติการจัดทำและลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการด้านการบริหารจัดการน้ำไทย-สาธารณรัฐเกาหลี) โดยกรมชลประทานได้ดำเนินการจัดพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่ดิน การขนส่งทางบกและทางน้ำแห่งสาธารณรัฐเกาหลี เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๕ ณ โรงแรมรอยัล ปริ๊สเซส หลานหลวง กรุงเทพมหานคร
|
.....