ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1476 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 29501 - 29520 จากข้อมูลทั้งหมด 124231 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
29501 | ผลการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเซีย (Asia Cooperation Dialogue - ACD) ครั้งที่ 1 | นร04 | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอผลการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue-ACD) ครั้งที่ ๑ ที่รัฐคูเวต เมื่อวันที่ ๑๖-๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๕ สรุปได้ ดังนี้
๑. ไทยในฐานะผู้ประสานงาน ACD ได้เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกดำเนินการร่วมกันเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนของเอเชีย และเสนอให้มีการจัดทำ Blueprint on Enhanced Infrastructure Connectivity เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายการคมนาคมและสร้างเสริมความมั่นคงด้านอาหารและพลังงาน พร้อมทั้งได้เสนอเป็นเจ้าภาพจัดการหารือระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินงานของ ACD เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๒. คูเวตได้เสนอให้มีการระดมทุน จำนวน ๒,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหาด้านโลจิสติกส์ ด้านอาหารและพลังงานในประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชีย โดยจะจัดสรรเงินทุนให้ จำนวน ๓๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ผ่านธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank) ซึ่งประเทศไทยในฐานะผู้ประสานงานกรอบความร่วมมือ ACD จะต้องประสานงานกับประเทศคูเวตเพื่อกำหนดรายละเอียดและเงื่อนไขในการจัดสรรเงินทุนดังกล่าว ๓. ไทยเสนอเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมสุดยอดผู้นำ ACD ในปี ค.ศ. ๒๐๑๕ (พ.ศ. ๒๕๕๘) ๔. การหารือทวิภาคี ๔.๑ คูเวต สนใจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเป็นอย่างมาก โดยจะมาลงทุนในตลาดการท่องเที่ยวของประเทศไทย และเสนอให้ใช้การประชุมคณะกรรมการร่วม (Joint Committee : JC) เป็นกลไกในการหารือร่วมกัน ซึ่งการประชุมครั้งแรกประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพ ทั้งนี้ ได้มอบให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานงานในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการเรื่องดังกล่าวต่อไป ๔.๒ ศรีลังกา สนใจในการดำเนินโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) และเนื่องจากในปีหน้าจะครบ ๒๖๐ ปี ของการก่อตั้งพุทธศาสนานิกายสยามวงศ์ขึ้นในประเทศศรีลังกา เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในโอกาสสำคัญดังกล่าว จึงมอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เพื่อจัดตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อพิจารณาดำเนินการในรายละเอียดต่อไป ๔.๓ ทาจิกิสถาน เป็นประเทศที่เป็นตลาดใหม่ของไทย โดยเน้นเรื่องความมั่นคงทางอาหารและการท่องเที่ยว ๔.๔ อิหร่าน ให้ความสำคัญกับการหารือการค้าในรูปของ Barter Trade ๔.๕ ปากีสถาน เป็นประเทศที่มีประชากรมาก ควรขยายความร่วมมือในหลายด้าน เช่น ทางการค้า การพลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน รถยนต์ อาหาร และอัญมณี เป็นต้น ๔.๖ ในประเด็นการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ประเทศสมาชิก ACD หลายประเทศ เช่น คูเวต ปากีสถาน และอิหร่าน ยินดีให้ความร่วมมือดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวผ่านการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ องค์การการประชุมอิสลาม (Organization of the Islamic Conference : OIC)
|
||||||||||||||||||
29502 | โครงการแนวร่วมดูแลคูคลอง "รวมแรงไทยรักษาน้ำใสทุกคูคลอง" | นร04 | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการ “รวมแรงไทยรักษาน้ำใสทุกคูคลอง” ไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ให้ชัดเจนทั่วถึง และให้เพิ่มมหาวิทยาลัยมหิดลเป็นผู้รับผิดชอบการบริหารจัดการ ตลอดจนการอบรมและสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ประชาชนเกี่ยวกับโครงการดังกล่าว ตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย) เสนอ ๒. ขอความร่วมมือให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมตลอดถึงภาคเอกชนและชุมชนต่าง ๆ ให้การสนับสนุนการดำเนินโครงการ “รวมแรงไทยรักษาน้ำใสทุกคูคลอง” โดยให้แต่ละหน่วยงานแจ้งผลการดำเนินการไปยังรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย) เพื่อรายงานคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยนำแนวทางการดำเนินโครงการนี้ไปปรับใช้กับการดูแลรักษาคูคลองต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยประสานงานและขอความร่วมมือให้กรุงเทพมหานครและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนและร่วมดำเนินการให้บรรลุผลอย่างยั่งยืน ๔. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายชุมพล ศิลปอาชา) รับไปดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสร้างจิตสำนึกความเป็นเจ้าของและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการดูแลรักษาคูคลองให้อยู่ในสภาพดี รวมทั้งสนับสนุนให้มีการตกแต่งคูคลองให้เรียบร้อยสวยงาม เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว
|
||||||||||||||||||
29503 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา พ.ศ. .... | ศธ | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้การขอรับการจัดสรรเงินกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์เพื่อการผลิต การวิจัย หรือการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ๒. กำหนดผู้มีสิทธิขอรับเงินกองทุน หลักเกณฑ์การยื่นขอรับเงินกองทุน ๓. กำหนดขั้นตอนการพิจารณาแผนงานหรือโครงการ หลักเกณฑ์และวิธีการเลือกผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาการกลั่นกรองทางวิชาการ การกลั่นกรองทางวิชาการ การพิจารณาแผนงานหรือโครงการที่เสนอขอรับเงินกองทุน และอำนาจในการอนุมัติเงินกองทุนของคณะกรรมการ ๔. กำหนดหลักเกณฑ์การรายงานผลการปฏิบัติงานและการใช้เงินของผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุน การระงับการจ่ายเงินงวด และการปรับปรุงโครงการ
|
||||||||||||||||||
29504 | รายงานประจำครึ่งปี (มกราคม - มิถุนายน 2555) ธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (มกราคม-มิถุนายน ๒๕๕๕) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ส่วนที่ ๑ ภาวะเศรษฐกิจ ๑.๑ ภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ขยายตัวร้อยละ ๒.๒ จากระยะเดียวกันปีก่อน ๑.๒ เสถียรภาพเศรษฐกิจโดยรวมปรับดีขึ้นหลังปัญหาอุทกภัยคลี่คลายลง คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๓.๐๐ ต่อปี สำหรับเสถียรภาพด้านราคา อัตราเงินเฟ้อชะลอลงและยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย ส่วนเสถียรภาพด้านต่างประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี ๑.๓ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ กนง.ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวร้อยละ ๕.๗ ในขณะที่แรงส่งของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปีมีแนวโน้มอ่อนลงจากอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศ ๒. ส่วนที่ ๒ การดำเนินงานของ ธปท. ๒.๑ แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายการเงิน กนง.ประเมินภาวะการเงินโดยรวมในปัจจุบันว่า ยังผ่อนปรนเพียงพอที่จะสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป และสามารถรองรับความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกได้ในระดับหนึ่ง อีกทั้งเศรษฐกิจไทยยังสามารถขยายตัวได้ใกล้เคียงศักยภาพ ขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมาย ๒.๒ แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายสถาบันการเงิน ได้แก่ ๒.๒.๑ ภาพรวมระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ในภาพรวมระบบธนาคารพาณิชย์มีเสถียรภาพ สินเชื่อขยายตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ลดลงเล็กน้อย กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของสินเชื่อ สำหรับปัจจัยที่ควรติดตามที่อาจมีผลต่อเสถียรภาพในช่วงต่อไปที่สำคัญ ได้แก่ ผลของการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่อาจกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยและคุณภาพของสินเชื่อ สินเชื่อมีการเร่งตัวโดยเฉพาะสินเชื่อรถยนต์และสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ ๒.๒.๒ การดำเนินนโยบายด้านสถาบันการเงินในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้จัดให้มีการประชุมร่วมระหว่าง กนง. และคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) โดยที่ประชุมร่วมได้ประเมินเสถียรภาพระบบการเงินไทยในปัจจุบันว่า ยังอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ความเสี่ยงที่สำคัญ คือ ปัญหาเศรษฐกิจในยุโรปและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งในระยะสั้นอาจสร้างความผันผวนต่อตลาดการเงินของไทย และในระยะยาวจะกระทบต่อศักยภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ๒.๒.๓ การดูแลความมั่นคงของสถาบันการเงิน ธปท. ได้ดำเนินการกำกับดูแลธุรกรรมที่สำคัญของสถาบันการเงิน โดยปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการออกตั๋วเงินของสถาบันการเงินให้มีความชัดเจน ทันสมัย และสอดคล้องหลักเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในส่วนของการดูแลผู้บริโภคได้ร่วมมือกับ ก.ล.ต. และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ในการยกร่างแนวนโยบายในเรื่องการขายผลิตภัณฑ์ด้านประกันและหลักทรัพย์ผ่านสาขาของสถาบันการเงิน สำหรับการเตรียมความพร้อมสถาบันการเงินเพื่อรองรับการปฏิบัติตามมาตรฐานสากล ธปท. ได้ออกหลักเกณฑ์การดำรงเงินกองทุนขั้นต่ำสำหรับความเสี่ยงด้านปฏิบัติการโดยวิธี Advanced Measurement Approaches (วิธี AMA) นอกจากนี้ได้เตรียมออกหลักเกณฑ์การกำกับดูแลเงินกองทุนเกี่ยวกับแนวทางในการรายงานข้อมูล (Leverage Ratio) และความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง และยังได้ดำเนินการต่อไปในส่วนของการประเมินผลกระทบ (Quantitative Impact Study: QIS) ของหลักเกณฑ์ Basel III ต่อระบบสถาบันการเงินด้วย ๒.๒.๔ การดำเนินนโยบายการพัฒนาระบบสถาบันการเงิน การดำเนินการคืบหน้าตามวัตถุประสงค์ คือ ลดต้นทุน ส่งเสริมการแข่งขันและการเข้าถึงบริการทางการเงิน และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน ๒.๒.๕ การดำเนินนโยบายสถาบันการเงินในเวทีระหว่างประเทศ ธปท. ได้ร่วมกำหนดนโยบายการเปิดเสรีและกลยุทธ์การเจรจากับคณะทำงานพิจารณาเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน ตามแนวนโยบายของรัฐบาลและแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่ ๒ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาเปิดเสรีภาคการเงิน รอบที่ ๖ (พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๗) นอกจากนี้ยังได้เข้าร่วมประชุมจัดทำแผนการรวมตัวภาคการธนาคาร และร่วมเจรจาความตกลงการค้าเสรีอื่น ๆ อีก ๔ ฉบับ สำหรับบทบาท ธปท. ในเวทีการกำกับดูแลสากล ได้เข้าร่วมหารือในเวทีที่มีความสำคัญในการวางเกณฑ์สากลของการกำกับดูแลสถาบันการเงิน ๒.๒.๖ การดำเนินงานด้านการกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงิน ได้ดำเนินการปรับปรุงแนวทางการตรวจสอบสถาบันการเงินแบบเน้นธุรกรรมที่สำคัญของสถาบันการเงิน โดยในครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้ตรวจสอบสถาบันการเงินแล้วเสร็จ ๑๗ แห่ง และอยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบอีก ๖ แห่ง นอกจากนี้ยังได้กำหนดให้มีการตรวจสอบกระบวนการบริหารที่สำคัญ ซึ่งได้ดำเนินการตรวจสอบสถาบันการเงินในด้านนี้แล้ว ๑๔ แห่ง ๒.๒.๗ การทำหน้าที่เป็นนายธนาคารของสถาบันการเงินของ ธปท. ในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ธนาคารพาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องประมาณ ๔.๘ เท่าของอัตราที่กฎหมายกำหนด ๒.๓ แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายระบบการชำระเงิน ๒.๓.๑ การดำเนินนโยบายด้านระบบการชำระเงิน ธปท. ดำเนินงานในโครงการต่าง ๆ ตามแผนกลยุทธ์ระบบการชำระเงิน ๒๕๕๕-๒๕๕๙ อาทิ การสนับสนุนการพัฒนาระบบ Local Switching การชำระเงินด้วยบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ออกและใช้จ่ายในประเทศ การส่งเสริมการทำธุรกรรมชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ การกำหนดมาตรฐานกลางข้อความการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ และการพัฒนาระบบการชำระเงินเพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งการดำเนินงานตามแผนงานดังกล่าวมีความคืบหน้าตามที่กำหนด ๒.๓.๒ การพัฒนาระบบการหักบัญชีเช็คระหว่างธนาคารด้วยภาพเช็ค (Imaged Cheque Clearing and Archive System: ICAS) ดำเนินโครงการพัฒนาระบบ ICAS ซึ่งเริ่มใช้งานในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ก่อนทยอยขยายการให้บริการไปทั่วประเทศภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๒.๓.๓ การกำกับดูแลระบบการชำระเงินและผู้ประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ธปท. อยู่ระหว่างศึกษาและรวบรวมข้อมูลแนวทางการกำกับดูแลระบบการชำระเงินตามมาตรฐานสากลที่สำคัญ รวมถึงพิจารณาแนวทางในการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่ภายใต้พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๕๑ นอกจากนี้ได้ให้ความร่วมมือกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในการให้ความเห็นเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงและแนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับผู้ให้บริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
|
||||||||||||||||||
29505 | รัฐบาลสาธารณรัฐตุรกีเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นายออสมัน บูเลนต์ ทูลุน (Mr. Osman Bulent Tulun)] | กต | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายออสมัน บูเลนต์ ทูลุน (Mr. Osman Bulent Tulun) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐตุรกีประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายอะห์เมต อูซ เชลิกกอล (Mr. Ahmet Oguz Celikkol)
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||
29506 | รัฐบาลสหพันธรัฐไมโครนีเชียเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นายอาคิลลีโน แฮร์ริส ซูซาเอีย (Mr. Akillino Harris Susaia)] | กต | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายอาคิลลีโน แฮร์ริส ซูซาเอีย (Mr. Akillino Harris Susaia) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสหพันธรัฐไมโครนีเชียประจำประเทศไทยคนแรก โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงปักกิ่ง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||
29507 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นางสุรางค์ เดชศิริเลิศ) | สธ | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นางสุรางค์ เดชศิริเลิศ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์การแพทย์ (ชีววิทยา) (นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทรงคุณวุฒิ) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ๒. นางอัญชลี เครือตราชู ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขารังสีวิทยา) กลุ่มงานรังสีวิทยา กลุ่มภารกิจวิชาการ โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๕
|
||||||||||||||||||
29508 | ขออนุมัติแต่งตั้งนายฟรันเชสโก เปนซาโต ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐอิตาลี ประจำจังหวัดภูเก็ต | กต | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายฟรันเชสโก เปนซาโต (Mr. Francesco Pensato) ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐอิตาลีประจำจังหวัดภูเก็ต โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดภูเก็ต กระบี่ ตรัง นครศรีธรรมราช ปัตตานี พังงา พัทลุง นราธิวาส ยะลา สงขลา สตูล และสุราษฎร์ธานี สืบแทน นายฟรันเชสโก กาวาลีเอเร (Mr. Francesco Cavaliere) ซึ่งเกษียณอายุ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||
29509 | รายงานผลการจัดงาน Bangkok International ICT Expo 2012 | ทก | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานผลการจัดงาน Bangkok International ICT Expo 2012 ระหว่างวันที่ ๓-๖ สิงหาคม ๒๕๕๕ ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีเปิดงาน สรุปได้ ดังนี้
๑. วัตถุประสงค์ของการจัดงาน Bangkok International ICT Expo 2012 เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้ระลึกถึงวันสื่อสารแห่งชาติ ซึ่งตรงกับวันที่ ๔ สิงหาคมของทุกปี และเป็นการแสดงศักยภาพของประเทศไทยในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รวมทั้งสร้างทัศนคติให้ประชาชนเกิดความตระหนักถึงการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้อย่างสร้างสรรค์ ตลอดจนการเตรียมความพร้อมในการก้าวไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ๒. รูปแบบการจัดงาน แบ่งออกเป็น ๔ ส่วน คือ ๒.๑ ส่วนจัดแสดงนิทรรศการ เป็นการจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ (Royal Pavilion) และการจัดแสดงนิทรรศการ MICT Pavilion ผลงานของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ภายใต้แนวคิด Smart Thailand Towards AEC ๒.๒ ส่วนแสดงสินค้า เป็นการแสดงนวัตกรรมเทคโนโลยีจากภาคเอกชน อาทิ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ได้นำเสนอแนวคิดเรื่อง 3G และอนาคต ที่สะท้อนให้เห็นถึงประโยชน์และความสำคัญของเทคโนโลยีบรอดแบนด์ซึ่งช่วยเสริมศักยภาพคุณภาพชีวิตคนไทย บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเช็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ได้นำเสนอนโยบายเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับเทคโนโลยี 3G และ 4G ด้วยวิธีการที่เข้าใจได้ง่าย ภายใต้จุดโฟกัสเรื่อง Device รวมทั้ง Application ที่รองรับเครือข่ายใหม่ และบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่นำเสนอภาพ TRUE Convergence ซึ่งหลอมรวมเทคโนโลยีที่ครอบคลุมการให้บริการทุกรูปแบบ และสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวันทั้ง Mobile, Fiber to The Home, Hi speed Internet รวมถึง 3G และ 4G เป็นต้น ๒.๓ ส่วนการประชุมสัมมนา เป็นการจัดเวทีสัมมนาเพื่อให้ความรู้และนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในเรื่อง Towards “THAILAND SMART ICT” โดยผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐ รวมทั้งภาคเอกชน ๒.๔ ส่วนกิจกรรมการแสดงต่าง ๆ เป็นการจัดกิจกรรมการร่วมสนุกผสมผสานสาระด้าน ICT จากผู้ร่วมออกงานที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้นเพื่อชิงรางวัลตลอดช่วงเวลาจัดงาน ๓. ผลที่ได้รับจากการจัดงาน มีผู้ให้ความสนใจเข้าชมงานนิทรรศการเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะกิจกรรมถวายพระพรออนไลน์ในส่วนจัดแสดงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ (Royal Pavilion) และการเจรจาธุรกิจที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมแสดงงานทั้งในและต่างประเทศ โดยยอดรวมมูลค่าการเจรจาทำธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการกับผู้ประกอบการ (Business to Business) จำนวน ๑๕,๐๕๐,๐๐๐ บาท นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปได้ร่วมสัมผัสกับประสบการณ์ใหม่แห่งโลกไอที เป็นเวทีสำหรับผู้ประกอบการไทยได้นำเสนอความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีระดับสากล รวมทั้งเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการในภูมิภาคอาเซียนได้พบปะแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีซึ่งกันและกัน พร้อมช่วยยกระดับเทคโนโลยีไทยให้ก้าวไกล สู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
|
||||||||||||||||||
29510 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 24 และการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 20 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการค้าและการลงทุน | พณ | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๔ (The 24th APEC Ministerial Meeting) และการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๐ (The 20th APEC Economic Leaders Meeting) ระหว่างวันที่ ๕-๙ กันยายน ๒๕๕๕ ณ นครวลาดิวอสตอก สหพันธรัฐรัสเซีย โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนประเทศไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ร่วมในคณะฯ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ที่ประชุมยืนยันที่จะเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ระบบการค้าพหุภาคี และเสาะหาแนวทางการเจรจาในรูปแบบที่แตกต่างแปลกใหม่และน่าเชื่อถือ (different, fresh, and credible negotiating approaches) เพื่อให้การเจรจาการค้าพหุภาคีรอบโดฮาสามารถบรรลุผลสำเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้การหารือประเด็นเทคนิคเรื่องการอำนวยความสะดวกทางการค้า (Trade Facilitaion : TF) และประเด็นด้านการพัฒนาอื่น ๆ ที่กำลังดำเนินการอยู่ใน WTO มีความคืบหน้า โดยจะมีการทบทวนความคืบหน้าการทำงานเรื่องนี้ในการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค (Ministers Responsible for Trade : MRT) ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๒ ที่ประชุมยืนยันที่จะไม่ออกมาตรการใหม่ ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าและการลงทุน ทั้งการค้าสินค้าและบริการ และการส่งออก และไม่ใช้มาตรการที่ไม่สอดคล้องกับความตกลง WTO ไปจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๘ รวมทั้งจะลดมาตรการที่เป็นการกีดกันหรือบิดเบือนทางการค้าลง ๑.๓ ที่ประชุมได้ให้การรับรองรายการสินค้าสิ่งแวดล้อมของเอเปค จำนวน ๕๔ รายการ โดยจะลดอัตราภาษีศุลกากรเก็บจริงจากสินค้าในรายการดังกล่าวให้ไม่เกินร้อยละ ๕ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ทั้งนี้ รายการสินค้าสิ่งแวดล้อมของเอเปค จำนวน ๕๔ รายการ ได้แก่ กลุ่มสินค้าบอยเลอร์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ (พิกัด ๘๔ จำนวน ๒๓ รายการ) กลุ่มสินค้าเครื่องจักรไฟฟ้า เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้า (พิกัด ๘๕ จำนวน ๑๑ รายการ) กลุ่มสินค้าอุปกรณ์ทางทัศนศาสตร์ เครื่องมือวัดและตรวจสอบ (พิกัด ๙๐ จำนวน ๑๙ รายการ) และสินค้าแผ่นปูพื้นทำจากไม้ไผ่ (พิกัด ๔๔๑๘๗๒) มีสินค้าที่ไทยเสนอ ๒๐ รายการ และมีสินค้าที่ไทยให้การสนับสนุน ๑๒ รายการ ส่วนใหญ่เป็นสินค้าเพื่อปกป้อง/รักษาสิ่งแวดล้อม ๑.๔ ที่ประชุมได้ให้การรับรองแบบจำลองบทบัญญัติเรื่องความโปร่งใส (APEC Model Chapter on Transparency for Regional Trade Agreement/Free Trade Agreement) เพื่อเตรียมการสำหรับการเจรจาจัดทำเขตการค้าเสรีของภูมิภาคเอเปค (Free Trade Area of the Asia-Pacific : FTAAP) ในอนาคต ๑.๕ ที่ประชุมยินดีต่อการเจรจาขยายขอบเขตสินค้าและสมาชิกภายใต้ความตกลงเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology Agreement : ITA) ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโลกและมีส่วนสนับสนุนพันธกิจหลักของเอเปคในการเปิดตลาดและอำนวยความสะดวกทางการค้าในภูมิภาค โดยมอบหมายเจ้าหน้าที่ดำเนินการอย่างจริงจังให้บรรลุผลการเจรจา ๑.๖ ที่ประชุมยืนยันที่จะเพิ่มการผลิตและผลผลิตทางการเกษตรอย่างยั่งยืน โดยการกระตุ้นการลงทุนด้านการเกษตร นำนวัตกรรมเทคโนโลยีการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพการเกษตรมาใช้ สร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐและเอกชนในด้านการเกษตร โดยให้นำ “หลักการสำหรับการลงทุนด้านการเกษตรอย่างมีความรับผิดชอบ” (Principles for Responsible Agricultural Investment : PRAI) มาหารือต่อไป ๑.๗ ที่ประชุมยืนยันความมุ่งมั่นเพื่อบรรลุเป้าหมายการปรับปรุงสมรรถนะห่วงโซ่อุปทานของเอเปค (APEC-wide target) ให้ได้ร้อยละ ๑๐ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยลดระยะเวลา ต้นทุน และความไม่แน่นอนในการเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการ โดยคำนึงถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของแต่ละสมาชิก ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรสงวนท่าทีในการสนับสนุนการขยายขอบเขตความตกลง ITA ภายใต้ WTO ควรเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ และทำความเข้าใจกับภาคเอกชนและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องในเรื่องรายการสินค้าสิ่งแวดล้อมของเอเปคที่ได้มีการรับรอง จำนวน ๕๔ รายการ ที่จะต้องทำการลดอัตราภาษีศุลกากรเก็บจริงให้ไม่เกินร้อยละ ๕ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อให้มีเวลาในการเตรียมตัวและใช้ประโยชน์จากการลดอัตราภาษีได้อย่างแท้จริง รวมทั้งดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องการเพิ่มสมรรถนะของห่วงโซ่อุปทานที่เอเปคได้กำหนดเป้าหมายปรับปรุงสมรรถนะของเอเปคให้ได้ร้อยละ ๑๐ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||
29511 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงินประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2555 | กค | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. เป้าหมายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทยดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น (Flexible Inflation Targeting) โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างเต็มศักยภาพ โดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อและปัญหาฟองสบู่หรือความไม่สมดุลในระบบการเงิน เป้าหมายนโยบายการเงินประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามข้อเสนอร่วมกันของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ กนง. ให้ใช้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยรายไตรมาสที่ร้อยละ ๐.๕-๓.๐ ต่อปี สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในไตรมาสที่ ๑ และ ๒ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๒.๗๔ และ ๒.๐๐ ตามลำดับ ชะลอลงต่อเนื่องจากครึ่งหลังของปีก่อนตามราคาสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่มที่ชะลอลง ๒. สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒.๑ ภาวะเศรษฐกิจ ในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๕ เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้เร็วจากเหตุการณ์อุทกภัยและกลับเข้าสู่ระดับปกติแล้ว การผลิตภาคอุตสาหกรรมในภาพรวมทยอยฟื้นตัวจนสามารถกลับมาผลิตได้ในระดับปกติในช่วงปลายไตรมาสที่ ๒ แต่อย่างไรก็ดี แม้ภาคการผลิตจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการส่งออก แต่ปัญหาเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศยูโรที่ยืดเยื้อและขยายวงกว้าง รวมถึงความอ่อนแอของเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ได้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกและการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่เน้นผลิตเพื่อการส่งออกชัดเจนขึ้น ๒.๒ ภาวะเงินเฟ้อ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ อยู่ที่ร้อยละ ๒.๙๕ และ ๒.๓๗ ตามลำดับ ๒.๓ การดำเนินนโยบายการเงิน กนง. ได้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๓.๐ ต่อปี โดยเห็นว่า แม้เศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัวเป็นปกติแล้ว แต่ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้น และส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก ภาวะการเงินที่ผ่อนปรนต่อเนื่องจะมีส่วนช่วยรองรับผลกระทบดังกล่าวขณะที่มิได้สร้างความไม่สมดุลในระบบเศรษฐกิจ โดยแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย และไม่มีสัญญาณของฟองสบู่ ๒.๔ การดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน ดัชนีค่าเงินบาทในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ ๑๐๑.๓๑ ทรงตัวจากช่วงครึ่งหลังของปีก่อนหน้า โดยค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลัก เช่น ดอลลาร์สหรัฐ และเยน แต่แข็งค่าขึ้นเทียบกับเงินยูโรจากปัญหาหนี้สาธารณะในกลุ่มประเทศยูโร สำหรับดัชนีค่าเงินบาทที่แท้จริงเฉลี่ยทรงตัวจากครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และเคลื่อนไหวสอดคล้องกับทิศทางดัชนีค่าเงินบาท ๒.๕ แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อปี พ.ศ. ๒๕๕๕ กนง. ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ มีแนวโน้มแผ่วลงจากปีก่อนหน้ามาเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๒.๙ และ ๒.๒ ตามลำดับ อย่างไรก็ดี ภาคการอุปโภคบริโภคและภาคการลงทุนยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนแรงกดดันด้านอุปสงค์อยู่ ขณะที่การคาดการณ์เงินเฟ้อและแรงกดดันด้านต้นทุนมีแนวโน้มทรงตัว โดยในส่วนของราคาน้ำมันแม้ว่าปัญหาความไม่สงบทางการเมืองในประเทศผู้ผลิตน้ำมันหลายแห่ง รวมถึงปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับชาติตะวันตกจะยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อในระยะต่อไป แต่การชะลอการปรับโครงสร้างราคาพลังงานของภาครัฐจะช่วยบรรเทาแรงกดดันในส่วนนี้ได้ในระดับหนึ่ง
|
||||||||||||||||||
29512 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง สถานการณ์สิ่งแวดล้อมจากการรั่วไหลของสารพิษในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง (เพิ่มเติม) | อก | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (กรมโรงงานอุตสาหกรรม) รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง สถานการณ์สิ่งแวดล้อมจากการรั่วไหลของสารพิษในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง (เพิ่มเติม) สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงอุตสาหกรรม (กรมโรงงานอุตสาหกรรม) ได้จัดประชุมคณะอนุกรรมการป้องกันอุบัติภัยจากสารเคมีและวัตถุอันตราย เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการป้องกันและบรรเทาภัยจากสารเคมีและวัตถุอันตราย พร้อมเสนอแนวทางให้ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติทราบในการประชุมคณะกรรมการฯ เมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ แนวทางดังกล่าวประกอบด้วย ๒ มาตรการ ได้แก่ ๑.๑ มาตรการที่ ๑ มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาจากสารเคมีและวัตถุอันตราย ๑.๑.๑ การปฏิบัติตามกฎระเบียบและมาตรการด้านความปลอดภัย มอบให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานหลัก สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด กรมควบคุมโรค และสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเป็นหน่วยงานสนับสนุน ๑.๑.๒ การจัดทำสรุปบทเรียน (Lesson Learned) ของการเกิดภัยจากสารเคมีและวัตถุอันตรายครั้งสำคัญที่ผ่านมา เพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการในอนาคต มอบให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยงานหลัก และมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมควบคุมโรค กรมควบคุมมลพิษ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ เป็นต้น เป็นหน่วยงานสนับสนุน ๑.๑.๓ การเสริมสร้างความรู้และความตระหนักแก่ประชาชน นักเรียน นักศึกษา และเยาวชน ให้เป็นไปตามบทบาทหน้าที่และแผนงานของหน่วยงาน โดยมีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยงานหลักประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กรมควบคุมมลพิษ กรมโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น ๑.๒ มาตรการที่ ๒ การบูรณาการเตรียมพร้อมรับเหตุภาวะฉุกเฉินจากโรงงานอุตสาหกรรม และการเตรียมพร้อมแผนฉุกเฉินชุมชน ๑.๒.๑ การจัดทำ “แผนปฏิบัติการในภาวะฉุกเฉินของโรงงาน” และ แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยระดับพื้นที่ (เทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล) ซึ่งเชื่อมโยงและสนับสนุนแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด โดยโรงงานอุตสาหกรรมสามารถนำข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยของโรงงานที่สามารถเปิดเผยได้ รวมทั้งแผนงาน/โครงการที่สอดคล้องมาบรรจุไว้ในแผนฯ ระดับพื้นที่ โดยการประสานอย่างใกล้ชิด เพื่อสนับสนุนแผนปฏิบัติการในภาวะฉุกเฉินของโรงงาน และแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยระดับพื้นที่ให้มีความเชื่อมโยง เกื้อกูล และสนับสนุนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ๑.๒.๒ การฝึกซ้อมแผนร่วมกันระหว่างโรงงานอุตสาหกรรมและชุมชนบริเวณใกล้เคียงเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติตามขั้นตอนและเป็นแนวทางเดียวกันอย่างเป็นรูปธรรม ๒. กระทรวงอุตสาหกรรมได้มีโครงการที่จะพัฒนาระบบการเตือนภัยและการจัดการสารเคมีและวัตถุอันตรายที่มีอยู่ยกระดับขึ้นเป็นศูนย์เฝ้าระวังและป้องกันภัยระดับโรงงานอุตสาหกรรม ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียด
|
||||||||||||||||||
29513 | การลาออกจากตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ เอกบุญ วงศ์สวัสดิ์กุล) | กห | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการลาออกของผู้ช่วยศาสตราจารย์ เอกบุญ วงศ์สวัสดิ์กุล จากตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายในคณะกรรมการบริหารสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
|
||||||||||||||||||
29514 | การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีแห่งเอเชียว่าด้วยการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2557 (The 6th Asian Ministerial Conference on Disaster Risk Reduction 2014, AMCDRR) | มท | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ประเทศไทย โดยกระทรวงมหาดไทย รับเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีแห่งเอเชียว่าด้วยการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ครั้งที่ ๖ พ.ศ. ๒๕๕๗ (The 6th Asian Ministerial Conference on Disaster Risk Reduction 2014, AMCDRR) โดยมีกระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยร่วมสนับสนุนการดำเนินการ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการจัดการประชุมฯ ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงประมาณปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจัดทำแผนการปฏิบัติงานและค่าใช้จ่ายที่จำเป็นเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และ/หรือ พ.ศ. ๒๕๕๘ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเตรียมความพร้อมในด้านงบประมาณและแผนงานต่อเนื่องเพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์จากการประชุมฯ ให้มากที่สุด รวมทั้งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อการจัดทำแผนงานการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฯ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๔. ให้เชิญรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายชูชาติ หาญสวัสดิ์) รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมการกำหนดประเด็นหลักสำหรับการประชุม (Theme) |
||||||||||||||||||
29515 | การประชุมระดับรัฐมนตรีของกรอบความร่วมมือประเทศลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | นร11 | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีของกรอบความร่วมมือประเทศลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม (Mekong Japan Economic and Industrial Cooperation : MJ-CI) ครั้งที่ ๔ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๕ ณ เมืองเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม และเห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานส่วนราชการที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีของกรอบความร่วมมือ MJ-CI ครั้งที่ ๔ ๑.๑ ที่ประชุมรับทราบผลการประชุมร่วมระหว่างภาคเอกชนและรัฐมนตรีประเทศลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๕ ภายใต้กรอบความร่วมมือ MJ-CI เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ ณ ประเทศไทย ได้แก่ ความก้าวหน้าการดำเนินงานภายใต้ MJ-CI Action Plan ผลการสำรวจความต้องการของภาคธุรกิจ และยุทธศาสตร์การพัฒนาลุ่มน้ำโขง พ.ศ. ๒๕๕๕ รวมทั้งข้อเสนอจากภาคเอกชนในประเทศลุ่มแม่น้ำโขงและญี่ปุ่นเกี่ยวกับเร่งสนับสนุนการค้าการลงทุนในอนุภูมิภาค ๑.๒ ที่ประชุมเห็นชอบแผนที่นำทาง (Roadmap) เพื่อการพัฒนาลุ่มน้ำโขงภายใต้แผนปฏิบัติการสำหรับการดำเนินงานในด้านความร่วมมือ MJ-CI (Mekong Development Roadmap under the MJ-CI Action Plan) เพื่อใช้เป็นแนวทางการดำเนินงานของกรอบความร่วมมือ MJ-CI จากปัจจุบันถึง พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยครอบคลุมโครงการพัฒนาที่สำคัญ ได้แก่ การพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การพัฒนาคุณภาพถนนตามแนวพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก และแนวพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจตอนใต้ และการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมที่ยังไม่สมบูรณ์ เช่น การก่อสร้างสะพาน Neak Leoung ทางตอนใต้ของกัมพูชาและการพัฒนาเส้นทางเชื่อมต่อไปยังทวาย สหภาพเมียนมาร์ การพัฒนาเส้นทางเชื่อมโยงกับท่าเรือในอนุภูมิภาค และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานไฟฟ้า เป็นต้น การอำนวยความสะดวกการค้าและพัฒนาระบบโลจิสติกส์ เช่น การดำเนินงานด้านศุลกากร การใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้เขตการค้าเสรี และการดำเนินงานตามความตกลงการขนส่งข้ามพรมแดนในลุ่มแม่น้ำโขง เป็นต้น รวมทั้งการสนับสนุนการพัฒนาด้านอุตสาหกรรม ทั้งนี้ แผนที่นำทางดังกล่าวได้ระบุกรอบเวลาการดำเนินงานและผู้ประสานงานและผู้รับผิดชอบหลักสำหรับแต่ละโครงการเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการดำเนินงานและการติดตามความก้าวหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๓ ที่ประชุมเห็นชอบประเด็นการดำเนินงานเพิ่มเติมสำหรับแผนปฏิบัติการสำหรับการดำเนินงานในด้านความร่วมมือ MJ-CI (Additional actions to be incorporated into MJ-CI Action Plan) ได้แก่ การพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การพัฒนาโครงข่ายระบบส่งไฟฟ้าและศักยภาพการผลิตไฟฟ้า การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษติละวา (Thilawa) สหภาพเมียนมาร์ เป็นต้น การอำนวยความสะดวกการค้าและพัฒนาระบบโลจิสติกส์ เช่น การใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้เขตการค้าเสรี โดยการจัดสัมมนาและสัมมนาเชิงปฏิบัติการในแต่ละประเทศสมาชิกเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับภาคเอกชน เป็นต้น และการสนับสนุนการพัฒนาด้านอุตสาหกรรม เช่น การจัดทำยุทธศาสตร์และศึกษาแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมในเวียดนามและสหภาพเมียนมาร์ เป็นต้น ๒. การหารือแบบทวิภาคีระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น ผลการหารือ ฝ่ายญี่ปุ่นแสดงความสนใจในการเข้าร่วมลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษของสหภาพเมียนมาร์ทั้งในพื้นที่ติละวาและพื้นที่ทวาย และยินดีที่จะให้ความร่วมมือกับฝ่ายไทยในการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายตกลงให้มีการประสานการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด โดยฝ่ายญี่ปุ่นเสนอให้นาย Shigehiro Tanaka รองอธิบดีกรมนโยบายการค้า กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม เป็นผู้ประสานงานหลักของฝ่ายญี่ปุ่น ส่วนฝ่ายไทยเสนอให้นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นผู้ประสานงานหลักของฝ่ายไทย |
||||||||||||||||||
29516 | รายงานประจำปี 2554 ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) | ศธ | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอรายงานประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) [The International Institute for Trade and Development (Public Organization) : ITD] สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. อำนาจหน้าที่ของ ITD คือ การจัดการศึกษาอบรม และให้การสนับสนุนเพื่อการค้นคว้าวิจัยแก่บุคลากรของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชีย ทั้งในด้านการค้าระหว่างประเทศ การเงิน การคลัง การลงทุน การพัฒนา และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานในหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสอดคล้องกับกระแสโลกาภิวัตน์และแนวทางการยกเลิกข้อจำกัดทางการค้าต่าง ๆ รวมทั้งให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะในเรื่องการกำหนดนโยบายด้านเศรษฐกิจที่เหมาะสมร่วมกันและมาตรการทางกฎหมายต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับนโยบายดังกล่าว โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมและสนับสนุนความร่วมมือในระดับภูมิภาคเพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ ซึ่ง ITD จะเป็นศูนย์กลางในการจัดฝึกอบรมและสร้างกิจกรรมเสริมศักยภาพต่าง ๆ ร่วมกับสำนักงานเลขาธิการสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา และองค์กรอื่นที่เกี่ยวข้อง ๒. ผลการดำเนินงานของ ITD ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ประกอบด้วย ๒.๑ งานฝึกอบรม ได้ดำเนินการจัดฝึกอบรม ประชุม และสัมมนา โดยร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งสิ้น ๔๑ กิจกรรม อาทิ ร่วมกับธนาคารพัฒนาเอเชียและสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ จัดฝึกอบรมเรื่อง Trade Facilitation and Logistics Development in the GMS ร่วมกับองค์การการค้าโลก สถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดฝึกอบรมเรื่อง World Trading System at Risk : Impacts and Implications on National Policies, Firms and Industries และการสัมมนาเรื่อง World Trading System at Risk! Why? What''s next! เป็นต้น ๒.๒ งานวิจัย ได้ดำเนินงานด้านบริการวิชาการรวม ๗ โครงการ ได้แก่ โครงการจัดทำ FTA Guidebook I (Trade in Goods) โครงการศึกษาวิจัยเรื่องการพัฒนาศักยภาพเส้นทาง R3A/E และผลกระทบต่อประเทศไทย โครงการศึกษาวิจัยเรื่องผลกระทบและโอกาสจากมาตรการทางการค้าของสหภาพยุโรปที่ส่งผลต่อการพัฒนาสินค้าและเทคโนโลยีของไทย : กรณีศึกษามาตรการตรวจสอบย้อนกลับอาหารและฉลากร่องรอยคาร์บอนในผลิตภัณฑ์อาหาร โครงการศึกษาวิจัยเรื่องเก็บภาษีคาร์บอน : เครื่องมือลดโลกร้อน โครงการศึกษาวิจัยเรื่องความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน โครงการศึกษาวิจัยเรื่องกลไกความช่วยเหลือผู้รับผลกระทบการเปิดเสรีทางการค้า และโครงการแปลและสรุปงานวิชาการเด่นด้านการค้าและการพัฒนาในอาเซียน ๒.๓ งานสารสนเทศและเผยแพร่วิชาการ ดำเนินการเผยแพร่งานและกิจกรรมต่าง ๆ ที่ ITD จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งปรับปรุงและพัฒนาหน้าเว็บไซต์ มีการประชาสัมพันธ์และสื่อสารข้อมูลองค์กร โดยผู้บริหารและนักวิชาการของ ITD ทั้งกิจกรรมที่ ITD จัดขึ้นและตามที่ได้รับเชิญจากหน่วยงานภายนอก รวมทั้งผ่านสื่อสาธารณะทั่วไป เช่น สื่อวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ เป็นต้น ๓. การตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินงานของ ITD โดยคณะอนุกรรมการตรวจสอบและประเมินผล และผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ดังนี้ ๓.๑ คณะอนุกรรมการตรวจสอบและประเมินผลได้ดำเนินการสอบทานงบการเงินรายไตรมาสและงบการเงินประจำปี สอบทานแนวทางการบริหารความเสี่ยง สอบทานและทบทวนระเบียบสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) ว่าด้วยการตรวจสอบภายใน พ.ศ. ๒๕๕๑ และประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้ตรวจสอบภายในและกำกับดูแลการตรวจสอบภายใน แล้วเห็นว่า ITD ถือนโยบายการกำกับดูแลกิจการที่ดีเป็นสำคัญ มีการบริหารความเสี่ยง มีระบบการควบคุมภายในที่เพียงพอ รายงานทางการเงินแสดงข้อเท็จจริงในส่วนที่เป็นสาระสำคัญครบถ้วนถูกต้องตามมาตรฐานการบัญชี มีการปฏิบัติตามกฎระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี และนโยบายที่คณะกรรมการ ITD กำหนด รวมทั้งไม่พบว่ามีประเด็นเกี่ยวกับความขัดแย้งทางผลประโยชน์ ๓.๒ ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตได้ตรวจสอบงบแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ และ ๒๕๕๓ งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน และงบกระแสเงินสดสำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันของแต่ละปีของ ITD แล้วเห็นว่า มีความถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป
|
||||||||||||||||||
29517 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นางอัญชลี เครือตราชู) | สธ | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นางสุรางค์ เดชศิริเลิศ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์การแพทย์ (ชีววิทยา) (นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทรงคุณวุฒิ) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ๒. นางอัญชลี เครือตราชู ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขารังสีวิทยา) กลุ่มงานรังสีวิทยา กลุ่มภารกิจวิชาการ โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๕
|
||||||||||||||||||
29518 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานธนานุเคราะห์ พ.ศ. ..... | พม | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานธนานุเคราะห์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดตั้งสำนักงานธนานุเคราะห์ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้คงวัตถุประสงค์ของสำนักงานธนานุเคราะห์ในการดำเนินกิจการรับจำนำทรัพย์สิน และดำเนินกิจการเกี่ยวกับการรับฝากทรัพย์เพื่อดูแลและช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย และพิจารณารูปแบบที่เหมาะสมในการจัดตั้งสำนักงานธนานุเคราะห์ให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรพิจารณาทบทวนความคุ้มค่าของการดำเนินกิจการเกี่ยวกับการรับฝากทรัพย์ตามวัตถุประสงค์ของมาตรา ๗ เนื่องจากธุรกิจดังกล่าวในปัจจุบันมีผลตอบแทนที่ไม่สูงมากนัก ในขณะที่สำนักงานธนานุเคราะห์อาจมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น และร่างมาตรา ๘(๖) การซื้อขายอนุพันธ์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าตามกฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า รวมทั้งการก่อภาระหรือสิทธิอันเนื่องมาจากการซื้อขายอนุพันธ์ หรือเข้าผูกพันตามอนุพันธ์ หรือการซื้อขายล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการรับจำนำ สมควรได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนดำเนินการ นอกจากนี้ กรณีการขออนุญาตตั้งสถานธนานุเคราะห์ การย้ายสถานธนานุเคราะห์ การเรียกหรือรับดอกเบี้ย ข้อห้ามในการรับจำนำ หน้าที่ของผู้รับจำนำ หรือกรณีอื่นใดตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ. ๒๕๐๕ ยังคงต้องดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติดังกล่าว เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่เห็นควรพิจารณาถึงผลประกอบการที่ผ่านมาของสำนักงานธนานุเคราะห์ วัตถุประสงค์และเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจ ส่วนแบ่งทางการตลาด และโอกาสในการสร้างมูลค่าของกิจการให้สูงขึ้น รวมทั้งประเมินภาระงบประมาณของรัฐที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นและความคุ้มค่าในการลงทุนทั้งทางด้านการเงินและด้านเศรษฐกิจ รวมถึงปัจจัยผลกระทบต่อผู้ประกอบธุรกิจโรงรับจำนำและเกี่ยวเนื่องรายอื่น นอกจากนี้ การดำเนินกิจการของสำนักงานธนานุเคราะห์ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อการดำเนินกิจการในลักษณะเดียวกันหรือใกล้เคียงกันของส่วนท้องถิ่นและภาคเอกชน และความเป็นไปได้ในการถ่ายโอนภารกิจดังกล่าวให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
29519 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลชะเมา อำเภอปากพนัง และตำบลดอนตรอ ตำบลเชียรเขา อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัด นครศรีธรรมราช ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลชะเมา อำเภอปากพนัง และตำบลดอนตรอ ตำบลเชียรเขา อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลชะเมา อำเภอปากพนัง และตำบลดอนตรอ ตำบลเชียรเขา อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
29520 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลเวียง ตำบลบ้านแซว อำเภอเชียงแสน และตำบลหนองป่าก่อ ตำบลโชคชัย อำเภอดอยหลวง จังหวัดเชียงราย พ.ศ. .... | คค | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลเวียง ตำบลบ้านแซว อำเภอเชียงแสน และตำบลหนองป่าก่อ ตำบลโชคชัย อำเภอดอยหลวง จังหวัดเชียงราย พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ
กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลเวียง ตำบลบ้านแซว อำเภอเชียงแสน และตำบลหนองป่าก่อ ตำบลโชคชัย อำเภอดอยหลวง จังหวัดเชียงราย เพื่อสร้างและขยายทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๑๒๙ กับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๐๙๘ และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
.....