ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1479 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 29561 - 29580 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
29561 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการระดับสูง ไทย - อินโดนีเซีย ครั้งที่ 6 | กห | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมคณะกรรมการระดับสูงไทย - อินโดนีเซีย ครั้งที่ ๖ ระหว่างวันที่ ๑๕ - ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยมีผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารสูงสุดอินโดนีเซียเป็นประธานร่วม และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้ร่วมลงนามในบันทึกการประชุมคณะกรรมการระดับสูงไทย - อินโดนีเซีย ครั้งที่ ๖ โดยมีประเด็นที่สำคัญของการประชุม ได้แก่ การรายงานทบทวนผลการประชุมคณะกรรมการระดับสูงไทย - อินโดนีเซีย ครั้งที่ ๕ การรายงานความก้าวหน้าการดำเนินการของคณะอนุกรรมการร่วมด้านการข่าว การรายงานความก้าวหน้าการดำเนินการของคณะอนุกรรมการร่วมด้านยุทธการ (JCOSC) และคณะอนุกรรมการร่วมด้านการฝึกและศึกษา (JTESC) แผนการดำเนินงานในห้วงปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๖ และเรื่องอื่น ๆ ๒. ที่ประชุมคณะกรรมการระดับสูง ไทย - อินโดนีเซีย ครั้งที่ ๖ ได้เห็นชอบต่อกิจกรรม ดังนี้ ๒.๑ คณะอนุกรรมการร่วมด้านการข่าวจะดำเนินการประสานและบูรณาการความร่วมมือด้านข่าวกรองระหว่างกรมข่าวทหารทั้งสองประเทศ และกรมข่าวทหารกับสำนักงานข่าวกรองยุทธศาสตร์ของอินโดนีเซีย (BAIS) ต่อไป พร้อมกับนำผลการดำเนินงานระหว่าง BAIS รวมในรายงานของคณะอนุกรรมการร่วมด้านการข่าวด้วย นอกจากนี้ ขอให้ทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนข่าวกรองทุกช่องทางและทุกระดับเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหา ๒.๒ คณะอนุกรรมการร่วมด้านยุทธการดำเนินการประชุมตามระเบียบวาระการประชุมที่ได้รับการเห็นชอบแล้ว ๒.๓ ชะลอโครงการแลกเปลี่ยนการเยือนของนักเรียนเตรียมทหาร เนื่องจากอินโดนีเซียไม่มีสถาบันนักเรียนเตรียมทหารที่เทียบเท่า ๒.๔ กองทัพทั้งสองประเทศริเริ่มดำเนินกิจกรรมหรือการฝึกในรูปแบบที่สามารถขยายสู่ระดับอาเซียนได้ ๒.๕ ปรับเปลี่ยนข้อกำหนดของคณะกรรมการระดับสูงไทย - อินโดนีเซีย และทบทวนภารกิจของคณะอนุกรรมการร่วมด้านยุทธการและคณะอนุกรรมการร่วมด้านการฝึกและศึกษา ๒.๖ มอบหมายคณะอนุกรรมการที่เหมาะสมเพิ่มความร่วมมือด้านการประชาสัมพันธ์ และการแพทย์ทหาร ๒.๗ จัดการประชุมหารือไม่เป็นทางการในรูปแบบ “Senior Staff Talk” ที่สามารถดำเนินการได้บ่อยครั้งตามต้องการในสถานที่ที่ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบ ๒.๘ ดำเนินการตามคำเชิญของกองทัพไทยที่เชิญนายทหารอินโดนีเซียเข้ารับการศึกษาในหลักสูตรวิทยาลัยเสนาธิการทหารของไทย ๒.๙ ดำเนินการตามคำเชิญของกองทัพไทยที่เชิญบุคลากรจากกองทัพอินโดนีเซียเข้าร่วมการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและผลกระทบด้านความมั่นคงในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่กรุงเทพฯ ๓. การประชุมคณะกรรมการระดับสูง ไทย - อินโดนีเซีย ครั้งที่ ๗ จะจัดในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ ที่ประเทศไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29562 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ในสาขาการบริหารจัดการภัยพิบัติระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี | กต | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ในสาขาการบริหารจัดการภัยพิบัติระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี มีสาระสำคัญเป็นความร่วมมือทวิภาคีในหลักการว่าด้วยการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และแนวปฏิบัติที่ดีเกี่ยวกับการจัดการภัยพิบัติ รวมทั้งแสวงหาแนวทางความร่วมมือ และแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อป้องกันและเตรียมการรับมือต่อภัยพิบัติ โดยการติดต่อประสานงาน การประชุมหารือ และการอบรมเสริมสร้างศักยภาพต่าง ๆ ๑.๒ อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทยในบันทึกความเข้าใจฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๑.๓ เห็นชอบให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เป็นหน่วยงานเจ้าของเรื่องในการปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของบันทึกความเข้าใจฯ ภายหลังจากที่มีการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ แล้ว ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับร่างบันทึกความเข้าใจฯ เห็นควรมีสาระสำคัญเกี่ยวข้องกับความร่วมมือทางวิชาการทั้งการบริหารจัดการและเทคโนโลยี ส่วนความร่วมมือในการลงทุน หรือโครงสร้างพื้นฐานควรมีกระบวนการพิจารณาใหม่อีกครั้งหนึ่งโดยการมีส่วนร่วมในการให้ข้อคิดเห็นของภาคประชาชน ไปพิจารณาด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29563 | ผลการเสด็จฯ เยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนดารุสซาลาม | นร04 | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับผลการเสด็จฯ เยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนดารุสซาลาม ระหว่างวันที่ ๒๙ มิถุนายน-๒ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การเสด็จฯ เยือนประเทศไทยครั้งนี้ประสบความสำเร็จด้วยดี โดยเป็นการยืนยันความสัมพันธ์อันใกล้ชิดและแน่นแฟ้นระหว่างสองประเทศ อันเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาความร่วมมือด้านต่าง ๆ ให้มีความคืบหน้า เกิดผลเป็นรูปธรรม และเกิดประโยชน์แก่ทั้งสองประเทศ ๑.๒ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนดารุสซาลามทรงสนพระทัยด้านกิจการทหารและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ด้านอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างมาก การจัดให้ทอดพระเนตรการแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์และการฝึกซ้อมทางทหารที่กรมทหารราบที่ ๑๑ รักษาพระองค์ จะมีส่วนช่วยให้ความสัมพันธ์ด้านการทหารระหว่างสองประเทศมีความใกล้ชิดยิ่งขึ้น ๑.๓ ไทยและบรูไนดารุสซารามควรใช้ประโยชน์จากความสำเร็จของการเสด็จฯ เยือนครั้งนี้ในการผลักดันความร่วมมือทวิภาคีไทย-บรูไนดารุสซาลามที่กำลังดำเนินอยู่ให้มีความคืบหน้ามากยิ่งขึ้น รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือในมิติใหม่ ๆ ที่ทั้งสองประเทศมีศักยภาพ ได้แก่ ๑.๓.๑ ความร่วมมือด้านการเกษตร บรูไนดารุสซามกำลังส่งเสริมการพัฒนาภาคการเกษตรอย่างจริงจัง เพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหาร ไทยจึงอาจสนับสนุนโดยการส่งเสริมการฝึกอบรมด้านการเกษตร ทั้งด้านวิชาการและเทคโนโลยี ๑.๓.๒ ความร่วมมือด้านสาธารณสุข ไทยและบรูไนดารุสซาลามมีคณะทำงานด้านสาธารณสุขภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุข จึงควรผลักดันให้มีความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ของการสาธารณสุข อาทิ การควบคุมและป้องกันโรคติดต่อ การศึกษาและพัฒนายาสมุนไพร การส่งเสริมโอกาสทางธุรกิจและการลงทุนในภาคสาธารณสุข ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น ๑.๓.๓ ความร่วมมือด้านแรงงาน บรูไนดารุสซารามมีนโยบายพัฒนาระบบสาธารณูปโภค มีโครงการก่อสร้างเป็นจำนวนมาก และต้องพึ่งพาแรงงานต่างชาติในภาคการก่อสร้าง จึงเป็นโอกาสที่ไทยควรส่งเสริมให้แรงงานไทยไปทำงานในบรูไนดารุสซาลามมากขึ้น นอกจากนี้ บรูไนดารุส ซารามมีท่าทีตอบสนองต่อข้อเสนอของไทยในการจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) การจัดส่งแรงงานไทย-บรูไนซารุสซาลามในลักษณะรัฐต่อรัฐ ไทยจึงควรเร่งหาข้อสรุปในเรื่องดังกล่าวเพื่อความคืบหน้าในการจัดทำ MOU ดังกล่าวต่อไป ๑.๓.๔ ความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมฮาลาล บรูไนดารุสซาลามพยายามผลักดันให้ตราฮาลาลของบรูไนดารุสซาลามได้รับการยอมรับในตลาดต่างประเทศ และกำลังต้องการสร้างความร่วมมือกับไทยในด้านวิทยาศาสตร์ฮาลาลและเทคโนโลยีการรับรองคุณภาพอาหารของไทย จึงเป็นโอกาสอันดีที่ไทยควรสนับสนุนและผลักดันความร่วมมือในการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่ได้รับการรับรองมาตรฐานฮาลาลจากบรูไนดารุสซาลามเพื่อส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศที่สาม ๑.๓.๕ ความร่วมมือด้านพลังงาน บรูไนดารุสซาลามเริ่มให้ความสำคัญมากขึ้นกับการพัฒนาพลังงานทางเลือก โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ ไทยจึงควรเร่งส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ด้านพลังงานทดแทน ๑.๓.๖ ความร่วมมือด้านการศึกษา บรูไนดารุสซาลามเป็นประเทศมุสลิมสายกลาง มีสภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมสงบสุข มีระบบการศึกษาที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก ไทยจึงควรพิจารณาให้บรูไนดารุสซาลามเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของนักศึกษาไทยมุสลิมจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกเหนือจากการไปศึกษาที่ประเทศมาเลเซียและสาธารณรัฐอินโดนีเซีย รวมทั้งส่งเสริมการแลกเปลี่ยนบุคลากรครูและนักศึกษา และการสร้างเครือข่ายความเชื่อมโยงระดับสถาบันการศึกษาและระดับรัฐ ๒. ให้ส่วนราชการต่าง ๆ ติดตามและดำเนินการในประเด็นที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ๒.๑ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานงานกับกระทรวงอุตสาหกรรมและทรัพยากรพื้นฐานบรูไนดารุสซาลาม เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการเกษตรกับบรูไนดารุสซาลามทั้งด้านวิชาการและเทคโนโลยี ๒.๒ กระทรวงสาธารณสุขประสานงานกับกระทรวงสาธารณสุขบรูไนดารุสซาลามเพื่อผลักดันการดำเนินการต่าง ๆ ตามกรอบบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุขให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ๒.๓ กระทรวงแรงงานติดตามความคืบหน้าในการจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) การจัดส่งแรงงานไทย-บรูไนดารุสซาลามในลักษณะรัฐต่อรัฐ ๒.๔ กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการขยายความร่วมมือกับบรูไนดารุสซาลามด้านอุตสาหกรรมฮาลาล ๒.๕ กระทรวงพลังงานประสานงานกับกระทรวงพลังงานบรูไนดารุสซาลามเพื่อพัฒนาความร่วมมือด้านพลังงานทางเลือก รวมทั้งประสานงานกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เกี่ยวกับการลงทุนด้านก๊าซธรรมชาติในบรูไนดารุสซาลาม ๒.๖ กระทรวงศึกษาธิการประสานงานกับกระทรวงศึกษาธิการบรูไนดารุสซาลามเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษา โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษามุสลิมจากจังหวัดชายแดนภาคใต้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29564 | การขออนุมัติเงื่อนไขพิเศษ (Special Conditions) เพื่อออกหนังสือรับรอง (Letter of Assurance) และการขออนุมัติให้ใช้ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการในสัญญาการจัดหาเงินกู้ เพื่อชำระค่าเครื่องบินแอร์บัส A380-800 จำนวน 3 ลำ ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) | คค | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบเงื่อนไขพิเศษ (Special Conditions) ในการดำเนินการกู้เงินระยะยาวในรูป Asset Based Financing เพื่อชำระค่าเครื่องบินแอร์บัส A380 - 800 จำนวน ๓ ลำ ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ดังนี้ ๑.๑ ตราบเท่าที่กระทรวงการคลังหรือหน่วยงานอื่นภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลังถือหุ้นบริษัท การบินไทยฯ ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๒๕ หรือกระทรวงการคลังหรือหน่วยงานอื่นของรัฐบาลยังคงกำกับควบคุมบริษัท การบินไทยฯ อยู่ หากบริษัท การบินไทยฯ จำเป็นต้องส่งมอบเครื่องบินคืนตามเงื่อนไขของสัญญาเช่าซื้อ กระทรวงการคลังพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับการถอนทะเบียน การส่งมอบเครื่องบิน และการนำเครื่องบินออกนอกประเทศตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ๑.๒ การกู้เงินในรูปแบบ Asset Based Financing ในครั้งนี้จะได้รับการยกเว้นภาษีหัก ณ ที่จ่ายและภาษีมูลค่าเพิ่ม ๑.๓ ในอนาคตถ้าหากบริษัท การบินไทยฯ จะทำ Asset Based Financing โดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน กระทรวงการคลังจะต้องให้คำมั่นว่าจะให้การค้ำประกันสำหรับการกู้เงินของบริษัท การบินไทยฯ ในครั้งนี้ด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมออกหนังสือรับรอง (Letter of Assurance) ให้แก่สถาบันการเงิน European Export Credit Agencies (ECAs) และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจัดทำความเห็นทางกฎหมายสำหรับการกู้เงินในครั้งนี้ ๓. อนุมัติให้บริษัท การบินไทยฯ ใช้ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทสำหรับสัญญาจัดหาเงินกู้เพื่อชำระค่าเครื่องบินแอร์บัส A380 - 800 จำนวน ๓ ลำ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29565 | รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 3 ปีงบประมาณ 2555 | กค | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๓ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ (เมษายน - มิถุนายน ๒๕๕๕) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้า มีมูลค่านำเข้ารวม ๖๗๑.๘๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ (เมษายน - มิถุนายน ๒๕๕๔) จำนวน ๑๑๕.๒๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๒๐.๗๐ ๒. มูลค่าการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้า เปรียบเทียบกับมูลค่านำเข้ารวมของสินค้าทุกชนิดในไตรมาสที่ ๓ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ (๖๒,๗๗๖.๕๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ) มูลค่านำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้า มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ ๑.๐๗ ของมูลค่านำเข้ารวม ๓. มูลค่านำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยในช่วงไตรมาสที่ ๓ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีมูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้น ๑๑ กลุ่มสินค้า ตั้งแต่ร้อยละ ๓.๑๒ ถึง ๔๓.๔๐ ๔. สินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ น้ำหอมและเครื่องสำอาง มูลค่านำเข้า ๑๑๕.๓๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๒๒.๔๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๒๔.๑๗ เลนส์ มูลค่านำเข้า ๘๙.๙๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๒๐.๕๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๒๙.๖๓ กระเป๋าหนังและเข็มขัดหนัง มูลค่านำเข้า ๘๔.๙๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๒๒.๑๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๓๕.๓๕ ๕. สินค้าฟุ่มเฟือยในไตรมาสที่ ๓ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้น ๑๑ กลุ่มสินค้า เมื่อเปรียบเทียบ (ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ) กับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และ ๕ อันดับแรก ที่มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ ไฟแช็คและอุปกรณ์ ผลไม้ กล้องถ่ายรูปและอุปกรณ์ สูท เสื้อ กระโปรง กางเกงสำหรับบุรุษ สตรี เด็กชาย เด็กหญิง และเนคไท กระเป๋าหนังและเข็มขัดหนัง มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๔๓.๔๐, ๓๙.๔๒, ๓๙.๓๕, ๓๕.๓๖ และ ๓๕.๓๕ ตามลำดับ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29566 | ผลการประชุมคณะทำงานแก้ไขปัญหาอุปสรรคและผลักดันการส่งออกของไทย ครั้งที่ 1/2555 | พณ | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะทำงานแก้ไขปัญหาอุปสรรคและผลักดันการส่งออกของไทย ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมได้สรุปสถานการณ์ส่งออกของไทยในระยะ ๖ เดือนของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ (มกราคม - มิถุนายน) มีมูลค่า ๑๑๒,๒๖๔.๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ ๑.๙๗ โดยได้รับผลกระทบจากปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจยุโรปและสภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นหลัก ๒. ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับปัญหา กลยุทธ์ และข้อเสนอแนวทางการดำเนินงานเพื่อผลักดันการส่งออก ๒.๑ การผลักดันการส่งออกไปยังตลาดภูมิภาคยุโรปและตลาดศักยภาพอื่น ๆ ๒.๑.๑ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการส่งออก ได้แก่ ผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจในตลาดหลัก กฎระเบียบทางการค้า มาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี (NTBs) การเจรจาเขตการค้าเสรีต่าง ๆ คุณภาพสินค้าและบริการของไทย และการประสานงานระหว่างองค์กรภายในประเทศ เป็นต้น ๒.๑.๒ กลยุทธ์ในการผลักดันการส่งออก ได้แก่ การแสวงหาโอกาสในตลาดเดิมหรือตลาดที่มีปัญหา และแสวงหาโอกาสในตลาดใหม่และตลาดที่มีศักยภาพอื่น ๆ ๒.๑.๓ แนวทางการดำเนินงาน ได้แก่ ส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศและแก้ปัญหาการถูกโจมตีในประเด็นการใช้แรงงานและการทำลายสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการผลิตสินค้า Organic & Sustainable Farming ส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่ม การปรับปรุงกระบวนการผลิต และการเร่งรัดการเจรจาการค้าเสรีกรอบ FTA ไทย - สหภาพยุโรป เป็นต้น ๒.๒ การส่งเสริมการสร้างฐานการผลิตในประเทศเพื่อนบ้านและการค้าชายแดน ๒.๒.๑ ปัญหาอุปสรรคทางการค้าและการลงทุน ได้แก่ ด่านชายแดนมีจำนวนจำกัด ความตกลงว่าด้วยการขนส่งสินค้าข้ามแดน/ผ่านแดนในกรอบ GMS และ ASEAN ยังไม่มีผลบังคับใช้ กฎระเบียบทางการค้าของประเทศเพื่อนบ้าน การลักลอบนำเข้าส่งออก อาชญากรรม และความรุนแรง และขาดการศึกษาวิจัยตลาดประเทศเพื่อนบ้านเชิงลึก ๒.๒.๒ แนวทางการส่งเสริมการค้าชายแดน ได้แก่ การปรับปรุงกฎระเบียบและลดขั้นตอน การขอหนังสือรับรองการนำเข้าส่งออก พัฒนาระบบโลจิสติกส์ให้ทันสมัยและเพียงพอ ยกระดับมาตรฐานสินค้าและบริการของไทยสู่ระดับมาตรฐานระดับอาเซียน และสร้างสิ่งจูงใจเพื่อส่งเสริมการไปลงทุนในต่างประเทศ ๒.๓ ปัญหาในการผลักดันการส่งออกรายสินค้า ๒.๓.๑ อาหาร ได้แก่ ไก่สดแช่เย็นและแช่แข็งและแปรรูป เช่น ปริมาณอาหารสัตว์ที่ผลิตได้ในประเทศมีไม่เพียงพอ คุณภาพต่ำ และยังต้องพึ่งพิงการนำเข้าจากต่างประเทศสูง ปัญหาด้านสุขอนามัยและปัญหาเทคนิคกับกลุ่มตลาดหลัก การเตรียมการเพื่อรองรับการเปิดตลาด AEC เป็นต้น กุ้งสดแช่เย็นและแช่แข็งและแปรรูป เช่น ขาดแคลนพ่อพันธุ์แม่พันธุ์กุ้ง ปัญหาขาดแคลนแรงงาน ราคาไม่มีเสถียรภาพและปริมาณผลผลิตไม่สม่ำเสมอ สินค้ามีแนวโน้มถูกตัดสิทธิ GSP ของสหภาพยุโรปในสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๖ การถูกกล่าวหาจากประเทศคู่ค้าว่าทำลายสภาพแวดล้อมและกดขี่แรงงาน รวมทั้ง Lab ของเอกชนคิดค่าใช้จ่ายสูง เป็นต้น ผักและผลไม้ เช่น ปัญหาด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช ขาดแคลนแรงงานในภาคเกษตร การขยายพื้นที่เพาะปลูกพืชพลังงานทำให้พื้นที่เพาะปลูกพืชอาหารลดลง ๒.๓.๒ อัญมณีและเครื่องประดับ เช่น ขาดแคลนวัตถุดิบ ต้นทุนการผลิตสูง งานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับในประเทศไทยดึงดูดผู้ซื้อต่างประเทศได้น้อยลง แบรนด์สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยยังไม่เป็นที่รู้จักในตลาดโลก ขาดข้อมูลเชิงลึกในตลาดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับที่สำคัญ และปัญหาโลจิสติกส์ในการจัดส่งวัตถุดิบจากประเทศที่เป็น Free Port ๒.๓.๓ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เช่น มาตรการ Anti-Dumping และ Safeguard ของประเทศคู่ค้า (สินค้าผ้าผืนและเส้นด้าย) ขาดการพัฒนาผลิตภัณฑ์แฟชั่นในเชิงลึกเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ต้องการข้อมูลเชิงลึกของประเทศเพื่อนบ้าน การสนับสนุนในการไปลงทุนตาม JETRO Model ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น การขาดแคลนแรงงาน ขาดแคลนเงินทุนเพื่อนำมาขยายการผลิต เปลี่ยนเครื่องจักร และเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ๓. ที่ประชุมได้กำหนดให้คณะทำงานติดตามสถานการณ์และขับเคลื่อนการส่งออกไปตลาดภูมิภาคยุโรปและตลาดศักยภาพอื่น ๆ คณะทำงานส่งเสริมการสร้างฐานการผลิตในประเทศเพื่อนบ้านและการค้าชายแดน และคณะทำงานแก้ไขปัญหาอุปสรรคและผลักดันการส่งออกรายสินค้า จัดประชุมเพื่อติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกเดือน พร้อมทั้งให้จัดการประชุมคณะทำงานกลุ่มย่อยภาครัฐและเอกชนเพื่อศึกษาวิเคราะห์ สรุปประเด็นปัญหา และแนวทางการแก้ไขให้มีความชัดเจนทั้งในส่วนของรายตลาดและรายสินค้าต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29567 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การบริหารจัดการระบบสัญญาณเตือนภัยจากอัคคีภัยและไฟป่า" | สสป | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การบริหารจัดการระบบสัญญาณเตือนภัยจากอัคคีภัยและไฟป่า" โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. อัคคีภัย กรณีชุมชน รัฐบาลควรดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ ด้านมาตรการบังคับใช้กฎหมาย ได้แก่ บังคับใช้กฎหมาย และดำเนินมาตรการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันอัคคีภัยอย่างจริงจังและเด็ดขาด ปรับปรุงกฎระเบียบในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการหรือข้อกำหนดสำหรับการป้องกันอัคคีภัยให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล และการกำหนดนโยบายการให้ความรู้เกี่ยวกับหลักสูตรการป้องกันอัคคีภัย รวมถึงมีการฝึกซ้อมอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ๑.๒ ด้านมาตรการทางด้านการสื่อสารและการประชาสัมพันธ์ ได้แก่ มีมาตรการด้านการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ การสร้างเครือข่ายภาคประชาชน และจัดทำคู่มือการป้องกันและระงับอัคคีภัยพื้นฐานแก่ประชาชน ๑.๓ ด้านมาตรการบริหารจัดการแบบบูรณาการของระบบสัญญาณเตือนภัยอัคคีภัย ได้แก่ การให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นติดตั้งระบบสัญญาณเตือนภัยในชุมชนให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ และตั้งศูนย์ประสานงานช่วยเหลือผู้ประสบภัย ส่งเสริมและสนับสนุนองค์กรเอกชน องค์กรสาธารณะกุศลในการเพิ่มศักยภาพการป้องกันและควบคุมอัคคีภัยในชุมชน ส่งเสริม สนับสนุนงานวิจัย การศึกษาคนคว้า เทคโนโลยีและนวัตกรรมระบบสัญญาณเตือนภัย การป้องกันภัยอัคคีภัย ระบบการควบคุมอัคคีภัย สนับสนุนให้มีหน่วยงานการพิสูจน์หลักฐานเฉพาะด้าน รวมทั้งปรับปรุงโครงสร้างหน่วยงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมถึงต้องมีแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของประเทศที่เป็นแผนงานที่มีความชัดเจน ครอบคลุมหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ๑.๔ ด้านมาตรการกำหนดนโยบายเกี่ยวกับระบบความปลอดภัยจากอัคคีภัย ได้แก่ ส่งเสริมการฝึกอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันอัคคีภัยแก่เจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนในชุมชนอย่างต่อเนื่อง กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออกมาตรการบังคับให้มีการติดตั้งสัญญาณเตือนภัยอัคคีภัยทุกชุมชน และกำหนดนโยบายในการส่งเสริมสนับสนุนอาสาสมัครป้องกันภัยในชุมชนและองค์กรที่สนับสนุนในการป้องกันและระงับอัคคีภัย ๒. อัคคีภัย กรณีโรงงานอุตสาหกรรม รัฐบาลควรดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ด้านมาตรการบังคับใช้กฎหมาย ได้แก่ มีมาตรการให้ผู้ประกอบการต้องติดตั้งระบบสัญญาเตือนภัยให้ครอบคลุมทั้งอาคาร และสามารถเชื่อมโยงสัญญากับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องโดยตรง ปรับปรุง กฎระเบียบในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการหรือข้อกำหนดสำหรับการป้องกันอัคคีภัยในโรงงานและสถานประกอบการให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล การบังคับใช้กฎหมายต้องเด็ดขาดและจริงจัง และควรแก้ไขเพิ่มเติมบทลงโทษสำหรับผู้ประกอบการที่หลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดดังกล่าว และจัดการบูรณาการกฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันอัคคีภัย ให้ยืดหยุ่น ไม่ซ้ำซ้อนและเป็นฉบับเดียวกัน ๒.๒ ด้านมาตรการส่งเสริมและพัฒนาระบบสัญญาณเตือนภัยอัคคีภัย ได้แก่ ส่งเสริมการศึกษาวิจัยและนำผลงานวิจัยเกี่ยวกับระบบสัญญาณเตือนภัยและการป้องกันอัคคีภัย รวมถึงนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้กับระบบป้องกันอัคคีภัยของประเทศ สนับสนุนการศึกษาในสาขาวิชาวิศวกรรมอัคคีภัย และสนับสนุนให้มีหน่วยงานการพิสูจน์หลักฐานเฉพาะด้าน ๓. อัคคีภัย กรณีไฟป่า รัฐบาลควรดำเนินการ ดังนี้ ๓.๑ ด้านมาตรการบังคับใช้กฎหมาย ได้แก่ บังคับใช้กฎหมายต่อผู้กระทำความผิดอย่างเด็ดขาดและจริงจัง และเพิ่มบทลงโทษทางอาญาและความรับผิดทางแพ่งต่อผู้กระทำผิดโดยเจตนา ๓.๒ ด้านมาตรการเทคโนโลยีระบบสัญญาณเตือนภัยอัคคีภัย ได้แก่ จัดให้มีระบบตรวจจับการเกิดไฟป่า โดยใช้ข้อมูลผ่านดาวเทียมที่พัฒนาโดยหน่วยงานในประเทศ จัดสรรงบประมาณให้เพียงพอต่อการจัดซื้ออุปกรณ์พื้นฐานในการดับไฟป่า และดำเนินการบูรณาการเทคโนโลยีให้สามารถปรับใช้ร่วมกับภูมิปัญญาท้องถิ่น ในการเฝ้าระวังและเตือนภัยให้สอดคล้องกับท้องถิ่น ๓.๓ ด้านมาตรการเทคโนโลยีในการป้องกันและการบริหารจัดการอัคคีภัย ได้แก่ สนับสนุนการค้นคว้าวิจัยในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ระบบสัญญาณเตือนภัย และรวมถึงการนำผลงานวิจัย และหรือนวัตกรรมของนักวิจัยคนไทยมาปรับใช้กับการป้องกันอัคคีภัย ประชาสัมพันธ์และจัดอบรมวิธีการป้องกัน การดับไฟ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องในเรื่องไฟป่าให้กับเจ้าหน้าที่และประชาชนอย่างต่อเนื่อง จัดการบูรณาการหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการทับซ้อนในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเกิดไฟป่าของแต่ละหน่วยงาน และจัดทำโครงการเพื่อจูงใจและสร้างจิตสำนึกในการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรทุกภาคส่วน ตลอดจนพัฒนาระบบการบริหารจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29568 | การรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2555 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2555 | กค | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานะหนี้สาธารณะของประเทศ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕ มีหนี้สาธารณะคงค้าง จำนวน ๔,๔๗๓,๒๐๖.๘๘ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๑.๔๓ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) แบ่งเป็นหนี้ของรัฐบาลกู้โดยตรง จำนวน ๓,๒๖๘,๓๙๙.๘๑ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน จำนวน ๑,๐๓๖,๐๘๒.๒๗ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) จำนวน ๑๖๒,๕๔๔.๘๐ ล้านบาท และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ จำนวน ๖,๑๘๐.๐๐ ล้านบาท ส่วนหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินไม่มีหนี้คงค้าง ๒. คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะได้จัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และปรับปรุงแผนฯ ในระหว่างปี เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการใช้เงินกู้และบริหารหนี้ โดยหลังการปรับปรุงแผนในครั้งที่ ๒ ทำให้วงเงินรวมในแผนฯ ที่จะบริหารจัดการมีจำนวนทั้งสิ้น ๒,๒๔๒,๐๓๙.๔๘ ล้านบาท และในช่วงระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการกู้เงินและบริหารหนี้แล้ว เป็นวงเงินทั้งสิ้น ๔๘๐,๗๓๔.๓๕ ล้านบาท ๓. การดำเนินงานในช่วง ๖ เดือนแรกของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ (ตุลาคม ๒๕๕๔ - มีนาคม ๒๕๕๕) ประกอบด้วย แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงินรวม ๑๗๑,๐๖๖.๒๒ ล้านบาท การก่อหนี้ใหม่ของรัฐวิสาหกิจ วงเงินรวม ๖๓,๑๕๓.๑๖ ล้านบาท แผนการปรับโครงสร้างหนี้ วงเงินรวม ๒๘๗,๐๙๖.๓๘ ล้านบาท แผนการบริหารความเสี่ยง วงเงินรวม ๒,๔๕๒.๐๐ ล้านบาท แผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ วงเงินรวม ๑๐,๑๑๙.๗๕ ล้านบาท และแผนการก่อหนี้ใหม่ของหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ : สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) กู้เงินจำนวน ๑๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ๔. สรุปผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ในช่วง ๖ เดือนแรกของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการบริหารและจัดการหนี้สาธารณะตามกรอบแผนฯ เป็นจำนวน ๔๖๐,๖๑๔.๖๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒๑.๙๕ ของแผนฯ โดยผลการกู้เงินและบริหารจัดการหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ รวมทั้งสิ้น ๑๐,๑๑๙.๗๕ ล้านบาท และผลการกู้เงินของหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ เป็นจำนวนทั้งสิ้น ๑๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ การกู้เงินและการบริหารหนี้ตามแผนฯ แบ่งเป็นหนี้ของรัฐบาล จำนวน ๓๓๙,๙๔๑.๕๔ ล้านบาท หนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน จำนวน ๑๐๓,๐๔๐.๐๐ ล้านบาท หนี้ที่กระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน จำนวน ๒๓,๔๔๙.๗๕ ล้านบาท และการกู้ต่อจากกระทรวงการคลัง จำนวน ๑๔,๓๐๓.๐๖ ล้านบาท ผลของการบริหารหนี้ที่ได้ดำเนินการทั้งในส่วนของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๒๙๑,๗๑๘.๓๘ ล้านบาท สามารถลดยอดหนี้ได้ทั้งสิ้น ๓๑,๙๒๒.๘๕ ล้านบาท ประหยัดดอกเบี้ยได้ จำนวน ๙๕๓.๑๖ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29569 | การให้ความเห็นชอบแต่งตั้งบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร (Chief Executive Officer, CEO) ขององค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย | พน | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนาย Rosli bin Boni เข้าดำรงตำแหน่งหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร (Chief Executive Officer, CEO) ขององค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย โดยมีวาระการดำรงตำแหน่ง ๔ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ - ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29570 | แผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | พม | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ที่มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และเพื่อให้ประชากรเป้าหมายเข้าถึงหลักประกันด้านการป้องกันและการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ประกอบด้วยมาตรการในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านการป้องกัน ด้านการดำเนินคดี ด้านการคุ้มครองช่วยเหลือ ด้านการพัฒนากลไกเชิงนโยบาย และด้านการพัฒนาและบริหารข้อมูล โดยการดำเนินโครงการ ๗ โครงการ วงเงินทั้งสิ้น ๑๕๒,๙๖๑,๗๗๒ บาท ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ในรูปแบบแรงงาน มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจและคุ้มครองแรงงาน งบประมาณดำเนินการ ๑๗,๓๓๒,๘๕๐ บาท ๑.๒ โครงการเสริมสร้างศักยภาพการบังคับใช้กฎหมาย มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างทัศนคติและความเชี่ยวชาญในการดำเนินคดี และเพื่อพัฒนาศักยภาพพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ งบประมาณดำเนินการ ๑๑,๓๑๖,๔๐๐ บาท ๑.๓ โครงการพัฒนาประสิทธิภาพในการสืบสวนสอบสวน ขยายผล ปราบปรามและจับกุมขบวนการค้ามนุษย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานสืบสวนและปราบปรามความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ งบประมาณดำเนินการ ๓๕,๙๓๒,๙๒๒ บาท ๑.๔ โครงการพัฒนาการคุ้มครองและส่งกลับ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดบริการทางสังคมให้กับผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือผู้เสียหายในการดำเนินคดี รวมทั้งเพื่อพัฒนากระบวนการส่งกลับ งบประมาณดำเนินการ ๑๘,๔๘๑,๗๐๐ บาท ๑.๕ โครงการเสริมสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังการค้าทุกรูปแบบ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ และเพื่อสร้างหลักประกันการเข้าถึงความปลอดภัยจากการค้ามนุษย์ งบประมาณดำเนินการ ๕๗,๐๖๙,๙๐๐ บาท ๑.๖ โครงการพัฒนานโยบายการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมกระบวนการพัฒนานโยบายเชิงรุก สนับสนุนการศึกษาและวิจัยต่อต้านการค้ามนุษย์ งบประมาณดำเนินการ ๕,๗๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๗ โครงการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการปราบปรามการดำเนินคดีการค้ามนุษย์ และการคุ้มครองผู้เสียหาย รวมทั้งเพื่อติดตามสถานการณ์ป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ งบประมาณดำเนินการ ๗,๑๒๘,๐๐๐ บาท ๒. ส่วนงบประมาณสำหรับดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับแผนดังกล่าว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์รับข้อเสนอของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางนลินี ทวีสิน) เกี่ยวกับการดำเนินการแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ เห็นควรบูรณาการการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีความเป็นเอกภาพ รวมทั้งควรจัดให้มีการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับแผนปฏิบัติการฯ ให้ประชาชนรับทราบด้วย และควรให้กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ ดังกล่าว ในส่วนของโครงการเสริมสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังการค้ามนุษย์ทุกรูปแบบด้วย รวมทั้งความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับกิจกรรมตรวจสอบสภาพการจ้างและการทำงาน โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าวในเรือประมง ที่ควรดำเนินการควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาแรงงานภาคประมงทะเล การพิสูจน์สถานภาพของแรงงานต่างด้าว การพัฒนาระบบฐานข้อมูลแรงงานต่างด้าว การกำหนดมาตรฐานสภาพการจ้าง/การทำงานในเรือประมงให้มีความชัดเจน รวมทั้งการอบรมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ทหารเรือในฐานะพนักงานตรวจแรงงาน การบริหารจัดการเพื่อการนำไปสู่การบรูณาการร่วมกัน โดยเฉพาะในกิจกรรมที่มีหน่วยงานรับผิดชอบหลายหน่วยงาน การระบุเกี่ยวกับเหยื่อการค้ามนุษย์ในคนต่างชาติที่ถูกหลอกมาเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์กับกรณีคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองเพื่อมาทำงานในประเทศไทยต้องมีหลักเกณฑ์การแยกให้ชัดเจน การจัดทำฐานข้อมูลผู้ที่เป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นเจ้าภาพหลักในการกำหนดรายละเอียดของข้อมูลว่าต้องการข้อมูลประเภทใด จากหน่วยงานใด เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและครอบคลุมทุกมิติ การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการตรวจ รักษาพยาบาล ผู้ที่เป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ในกรณีที่เป็นคนต่างชาติ สำหรับโรงพยาบาลนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ควรมีแนวทางในการสนับสนุนงบประมาณที่ชัดเจน รวมทั้งการเร่งดำเนินการติดตามและประเมินผลแผนปฏิบัติการฯ เพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงวิธีการบริหารการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์จากทุกภาคส่วน และการเชื่อมโยงงบประมาณของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ กับปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29571 | การเข้าเป็นภาคีพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก เรื่อง กระบวนการติดต่อร้องเรียน | พม | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ไทยเข้าเป็นภาคีพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก เรื่อง กระบวนการติดต่อร้องเรียน โดยการลงนามและให้สัตยาบันในคราวเดียวกัน โดยไม่แถลงรับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติในการรับและพิจารณาข้อร้องเรียนระหว่างรัฐ ตามข้อ ๑๒ ของพิธีสารเลือกรับฯ และไม่แถลงไม่รับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติในการไต่สวนกรณีการละเมิดที่ร้ายแรงหรือเป็นระบบ ตามข้อ ๑๓ ของพิธีสารเลือกรับฯ ทั้งนี้ พิธีสารเลือกรับฯ เป็นข้อตกลงเสริมของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก แบ่งออกเป็น ส่วนที่ ๑ ตั้งแต่ข้อบทที่ ๑ - ๔ ว่าด้วยเรื่องข้อบททั่วไป ส่วนที่ ๒ ตั้งแต่ข้อบทที่ ๕ - ๑๒ ว่าด้วยเรื่องกระบวนการติดต่อร้องเรียน ส่วนที่ ๓ ตั้งแต่ข้อบทที่ ๑๓ - ๑๔ ว่าด้วยเรื่องการไต่สวนกรณีการละเมิดที่ร้ายแรงหรือเป็นระบบ และส่วนที่ ๔ ตั้งแต่ข้อบทที่ ๑๕ - ๒๔ ว่าด้วยเรื่องความช่วยเหลือและความร่วมมือระหว่างประเทศ การเผยแพร่ การบังคับใช้พิธีสาร และบทเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลงนามและยื่นสัตยาบันสารพิธีสารเลือกรับฯ ต่อสหประชาชาติ ในคราวเดียวกัน ในช่วงการจัดงานสนธิสัญญา (Treaty Event) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำสัตยาบันสาร ๑.๓ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จัดตั้งกลไกเฉพาะรองรับการดำเนินงานตามพิธีสารเลือกรับฯ โดยมีผู้แทนจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ทั้งนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยรับข้อร้องเรียนจากคณะกรรมการสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติเพื่อส่งต่อให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ซึ่งเป็นฝ่ายเลขานุการของกลไกเฉพาะดังกล่าว ประสานงานเพื่อให้กลไกดังกล่าวพิจารณาข้อร้องเรียน จัดทำข้อมูล คำชี้แจง และพิจารณาข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติ รวมทั้งพิจารณาเยียวยาตามที่เห็นสมควรต่อไป ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการเข้าเป็นภาคีพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก เรื่อง กระบวนการติดต่อร้องเรียน ต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29572 | รายงานการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยของกระทรวงกลาโหม ตั้งแต่วันที่ 10 ถึง 14 กันยายน 2555 | กห | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงกลาโหมรายงานการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัยและได้ประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติฉุกเฉิน (อุทกภัย) ๑๓ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุตรดิตถ์ สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร กำแพงเพชร นครสวรรค์ ชัยนาท อุทัยธานี สุพรรณบุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สระแก้ว และชัยภูมิ มีประชาชนได้รับความเดือดร้อน ๖๙,๘๗๙ ครัวเรือน จำนวน ๑๘๗,๘๔๓ คน และพื้นที่การเกษตรได้รับผลกระทบ จำนวน ๑๐๙,๘๒๐ ไร่ โดยห้วงวันที่ ๑๐ ถึง ๑๔ กันยายน ๒๕๕๕ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกระทรวงกลาโหม โดยศูนย์บรรเทาสาธารณภัยสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองบัญชาการกองทัพไทย และศูนย์บรรเทาสาธารณภัยเหล่าทัพ ได้เข้าดำเนินการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยและสนับสนุนส่วนราชการในพื้นที่ โดยการสร้างแนวคันกั้นน้ำด้วยกระสอบทรายและกล่องเกเบี้ยน เปิดเส้นทางถนน ซ่อมแซมคอสะพาน ให้การรักษาพยาบาล มอบยาเวชภัณฑ์และถุงยังชีพให้กับประชาชนที่ประสบอุทกภัย รวมทั้งการเคลื่อนย้ายประชาชนและขนย้ายสิ่งของไปยังพื้นที่ปลอดภัย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29573 | การแต่งตั้่งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ (นักบริหารสูง) (นางสาวนวรัตน์ อโนมะศิริ) | นร07 | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวนวรัตน์ อโนมะศิริ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่ง รองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ สำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29574 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันจันทร์ที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๕ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติความลับทางการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29575 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (พันตำรวจเอกโภคพิบูลย์ โปตระนันทน์ และนางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล) | ยธ | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงยุติธรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. พันตำรวจเอก โภคพิบูลย์ โปตระนันทน์ ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ๒. นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมคุมประพฤติ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29576 | สรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำท่วมของประเทศไทยประจำสัปดาห์ (ครั้งที่ 4/2555 ณ วันที่ 17 กันยายน 2555) | วท | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยสรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำท่วมของประเทศไทย ครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ ณ วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. สถานการณ์ภูมิอากาศ พายุไต้ฝุ่น “ซันปา”ก่อตัวบริเวณด้านตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะเจจู ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งคาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเกาหลีบริเวณเมืองปูซาน และในช่วงวันที่ ๒๑-๒๔ กันยายน ๒๕๕๕ มีแนวโน้มการก่อตัวของพายุลูกใหม่บริเวณใกล้เคียงกับการก่อตัวของพายุ “ซันปา” และมีทิศทางการเคลื่อนตัวไปยังประเทศญี่ปุ่น สำหรับประเทศไทยพบว่ามีร่องมรสุมพาดผ่านบริเวณภาคกลาง และภาคตะวันออกยังคงมีกำลังแรง และจะเริ่มมีกำลังอ่อนลงเล็กน้อยใน ๒-๓ วันข้างหน้า และจะกลับมีกำลังแรงอีกครั้งในช่วงวันที่ ๒๐-๒๑ กันยายน ๒๕๕๕ โดยมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยในทั้งประเทศและในแต่ละภูมิภาคต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของปีที่แล้ว (ยกเว้นภาคตะวันตก) แต่สูงกว่าค่าเฉลี่ย ๓๐ ปี ๒. สถานการณ์น้ำและน้ำท่วม ดังนี้ ๒.๑ ปริมาณน้ำท่าในบริเวณสำคัญ ได้แก่ ๒.๑.๑ สถานี C.2 ค่ายจิรประวัติ จังหวัดนครสวรรค์ ๑,๗๕๓ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ที่ความจุลำน้ำ ๓,๕๐๐ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ๒.๑.๒ สถานี C.13 เขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท ๑,๖๓๑ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ที่ความจุลำน้ำ ๒,๔๘๐ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ๒.๑.๓ สถานี C.29A ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๒,๑๓๑ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ที่ความจุลำน้ำ ๓,๕๐๐ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ๒.๒ ระดับความสูงของน้ำในแม่น้ำสายหลัก ได้แก่ ๒.๒.๑ แม่น้ำปิง ที่สถานี P.1 จังหวัดเชียงใหม่ +๓๐๒.๖๓ เมตรระดับน้ำทะเลปานกลาง (ม.รทก. ) ต่ำกว่าตลิ่ง ๑.๕๗ เมตร ๒.๒.๒ แม่น้ำวัง ที่สถานี W.10A จังหวัดลำปาง +๒๖๐.๔๗ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๕.๑๓ เมตร ๒.๒.๓ แม่น้ำยม ที่สถานี Y.4 จังหวัดสุโขทัย +๕๐.๖๗ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๐.๒๐ เมตร ๒.๒.๔ แม่น้ำน่าน ที่สถานี N.1 จังหวัดน่าน +๑๙๓.๘๗ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๕.๓๓ เมตร ๒.๒.๕ แม่น้ำเจ้าพระยา ที่สถานี C.2 จังหวัดนครสวรรค์ +๒๓.๑๕ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๓.๐๕ เมตร และที่สถานี C.13 จังหวัดชัยนาท ระดับน้ำท้ายเขื่อน +๑๓.๕๕ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๒.๗๙ เมตร ๒.๓ น้ำในเขื่อน/อ่างเก็บน้ำ ได้แก่ ๒.๓.๑ เขื่อนภูมิพล น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ ๖๘.๑๘ ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำ ๗,๔๖๑ ล้านลูกบาศก์เมตร และใช้การได้จริง ๓,๖๖๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒.๓.๒ เขื่อนสิริกิติ์ น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ ๔๐.๑๐ ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำ ๖,๐๕๒ ล้านลูกบาศก์เมตร และใช้การได้จริง ๓,๒๐๒ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒.๓.๓ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ ๒๒.๑๙ ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำ ๔๐๘ ล้านลูกบาศก์เมตร และใช้การได้จริง ๔๐๕ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒.๓.๔ น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่รวม ๓๓ อ่างทั่วประเทศ ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำ รวม ๔๗,๓๑๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ปริมาณน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ สะสมตั้งแต่ต้นปี ๒๘,๑๙๙ ล้านลูกบาศก์เมตร ปริมาณน้ำระบายจากอ่างเก็บน้ำ สะสมตั้งแต่ต้นปี ๓๘,๘๗๓ ล้านลูกบาศก์เมตร และความสามารถในการรับน้ำได้อีก ๒๒,๘๔๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ๓. การบริหารน้ำในเขื่อน ดังนี้ ๓.๑ น้ำในเขื่อนที่อยู่ในสภาวะน้ำน้อยวิกฤต ประกอบด้วย เขื่อนลำตะคอง ปริมาณน้ำกักเก็บ ๓๐% เขื่อนลำพระเพลิง ปริมาณน้ำกักเก็บ ๓๑% เขื่อนลำปาว ปริมาณน้ำกักเก็บ ๒๗% โดยเขื่อนทั้งสามปริมาณน้ำกักเก็บต่ำกว่าปี ๒๕๕๓ ซึ่งเป็นปีที่เกิดภัยแล้ง ๓.๒ เขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ให้ระบายน้ำไม่เกินวันละ ๓ ล้านลูกบาศก์เมตร ทั้งนี้ หากปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อการผลิตน้ำประปา การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจะหารือกับกรมชลประทานเพื่อปรับการระบายให้เหมาะสมต่อไป ๔. สถานการณ์อุทกภัย ฝนทิ้งช่วง และน้ำป่า ดังนี้ ๔.๑ อุทกภัย สถานการณ์ปัจจุบันมีพื้นที่ประสบอุทกภัย ๑๑ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดลำปาง อุตรดิตถ์ สุโขทัย พิษณุโลก นครสวรรค์ ชัยนาท สุพรรณบุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ชัยภูมิ และปราจีนบุรี รวม ๔๓ อำเภอ ๒๓๒ ตำบล ๑,๒๗๘ หมู่บ้าน ๔.๒ ฝนทิ้งช่วง ปัจจุบันมีพื้นที่ได้ประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) จำนวน ๔ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดบุรีรัมย์ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และพัทลุง รวม ๔๑ อำเภอ ๓๑๐ ตำบล ๓,๔๙๗ หมู่บ้าน ๔.๓ กรมทรัพยากรน้ำได้เตือนภัยสถานการณ์น้ำป่า ณ วันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๕ เตือนภัยสีเหลือง (เตือนภัย) ๑ จังหวัด คือ จังหวัดตราด (ตำบลเกาะช้าง อำเภอเกาะช้าง) ๕. สรุปสถานการณ์น้ำท่วมในเขตจังหวัดสุโขทัย ณ วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๕ สถานีวัดน้ำ Y.4 (อำเภอเมือง) ระดับน้ำ +๗.๓๒ เมตร(รสม.) ปริมาณน้ำไหลผ่าน ๕๔๙ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ยังต่ำกว่าตลิ่ง ๐.๑๓ เมตร มีแนวโน้มลดลง และในวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๕ พบว่าระดับน้ำต่ำกว่าพนังกั้นน้ำ ๓๗ เซนติเมตร มีแนวโน้มลดลง ๖. สรุปผลการตรวจติดตามสถานการณ์น้ำและระบบป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย ในเขตจังหวัดนครสวรรค์ สิงห์บุรี และอ่างทอง ณ วันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๕ ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยลงตรวจติดตามความพร้อมและการแก้ไขปัญหาอุทกภัยโดยเฉพาะพนังกั้นน้ำที่ยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ และสั่งการให้สร้างเขื่อนดินแทนชั่วคราว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29577 | โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 และการขอขยายปริมาณ และกรอบการใช้เงินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2555 | พณ | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ที่อนุโลมให้เกษตรกรที่เก็บเกี่ยวข้าวในช่วงเดือนมิถุนายน - ตุลาคม ๒๕๕๕ เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ รอบ ๒ ได้อีก ๑ ครั้ง ๒. อนุมัติการขยายปริมาณและกรอบการใช้เงินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ จากเดิมที่กำหนดเป้าหมายไว้ จำนวน ๑๑.๑๑ ล้านตัน เพิ่มเติมอีก จำนวน ๒.๒๐ ล้านตัน รวมเป็นปริมาณ ๑๓.๓๑ ล้านตัน และเห็นชอบให้ใช้วงเงินที่กระทรวงการคลังเห็นชอบวงเงินค้ำประกันให้ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จำนวน ๒๖๙,๑๖๐ ล้านบาท นำมาใช้ในปริมาณที่เพิ่มเติมดังกล่าว รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (ต้นทุนเงินและค่าบริหารโครงการ) ให้ใช้หลักเกณฑ์เช่นเดียวกับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ๓. ส่วนการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ให้กระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบปริมาณข้าวเปลือกนาปรังและข้าวเปลือกนาปีที่รับจำนำไว้เดิมและที่ระบายออกไปแล้ว ปริมาณเป้าหมายที่จะรับจำนำใหม่ในปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ รวมทั้งแนวทางการบริหารจัดการที่ครอบคลุมถึงการรับจำนำ การเก็บรักษา การระบาย ตลอดจนวงเงินสินเชื่อ และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง แล้วให้นำเสนอ กขช. พิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29578 | ขออนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี) (นายศิริ เลิศธรรมเทวี) | นร | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายศิริ เลิศธรรมเทวี ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29579 | ให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่อีกหนึ่งวาระ (พลตำรวจโท วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ และนายจุลพงษ์ โนนศรีชัย) | นร04 | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีซึ่งจะครบวาระ ๑ ปี คงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่ออีกหนึ่งวาระ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. พลตำรวจโท วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพลังงาน ๒. นายจุลพงษ์ โนนศรีชัย ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29580 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง (จำนวน 8 ราย 1. นายสุพรรณ ศรีธรรมมา ฯลฯ) | สธ | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๘ ราย ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นายสุพรรณ ศรีธรรมมา ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายบุญชัย สมบูรณ์สุข ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ๓. นายอภิชัย มงคล ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๔. นายสมชัย นิจพานิช ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ๕. นายวชิระ เพ็งจันทร์ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมสุขภาพจิต ๖. นายเจษฎา โชคดำรงสุข ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมอนามัย ๗. นาวาอากาศตรี บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ๘. นายชาญวิทย์ ทระเทพ ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
.....