ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1477 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 29521 - 29540 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
29521 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนสิงหาคม 2555 | พณ | 25/09/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศ และรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๑๖.๒๘ เทียบกับเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๑๕.๘๒ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๔๐ (เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๓๕) เป็นการสูงขึ้นของราคาสินค้าอุปโภคบริโภค เป็นผลจากดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้นร้อยละ ๐.๓๑ โดยสินค้าประเภทอาหารที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ ปลาและสัตว์น้ำ ไข่ นมและผลิตภัณฑ์นม ผักสด เครื่องประกอบอาหาร ผลไม้สด เครื่องปรุงรส เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และอาหารสำเร็จรูป สำหรับสินค้าที่มีราคาลดลงตามปริมาณผลผลิตและภาวะตลาด ได้แก่ ข้าวสารเจ้า ข้าวสารเหนียว เนื้อสัตว์สด น้ำตาลทราย เป็นต้น สำหรับดัชนีหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๐.๔๔ จากการสูงขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงขายปลีกในประเทศมีการปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันตลาดโลก รวมทั้งสินค้าและบริการอื่น ๆ ที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ ผ้าและเสื้อผ้า ค่าเช่าบ้าน วัสดุก่อสร้าง ค่าน้ำประปา ค่าตรวจรักษาและค่ายา ค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด และเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ เป็นต้น ขณะที่สินค้าประเภทเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำน้ำอุ่นปรับลดราคาลงตามการส่งเสริมการจำหน่าย ๒. พิจารณาเทียบกับดัชนีราคาเดือนสิงหาคม ๒๕๕๔ สูงขึ้นร้อยละ ๒.๖๙ จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๔.๐๒ โดยดัชนีราคาหมวดข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง สูงขึ้นร้อยละ ๒.๐๔ ปลาและสัตว์น้ำ ร้อยละ ๔.๒๖ ผักและผลไม้ ร้อยละ ๑๗.๒๓ เครื่องประกอบอาหาร สูงขึ้นร้อยละ ๔.๑๐ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๓.๑๑ และอาหารสำเร็จรูป ร้อยละ ๓.๘๖ ดัชนีราคาหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๑.๘๔ จากการสูงขึ้นของหมวดเคหสถาน ร้อยละ ๒.๗๐ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า ร้อยละ ๑.๐๕ หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล ร้อยละ ๑.๐๖ หมวดพาหนะ การขนส่งและการสื่อสาร ร้อยละ ๑.๕๘ หมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๒.๔๒ หมวดการบันเทิงการอ่าน การศึกษาและการศาสนา สูงขึ้นร้อยละ ๐.๖๐ ๓. พิจารณาดัชนีเฉลี่ย ๘ เดือนของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เทียบกับระยะเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สูงขึ้นร้อยละ ๒.๘๙ จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๕.๗๐ และดัชนีหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๑.๑๓ ตามการสูงขึ้นของหมวด ข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง ร้อยละ ๒.๔๖ เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ ร้อยละ ๒.๐๒ ไข่ และผลิตภัณฑ์นม ร้อยละ ๐.๘๖ ผักและผลไม้ ร้อยละ ๑๒.๒๒ เครื่องประกอบอาหาร ร้อยละ ๗.๐๕ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๒.๗๑ อาหารสำเร็จรูป ร้อยละ ๖.๖๔ ค่าน้ำประปา ร้อยละ ๕.๕๖ ค่ากระแสไฟฟ้า ร้อยละ ๑๓.๕๒ หมวดยานพาหนะ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๔๐ และน้ำมันเชื้อเพลิง สูงขึ้นร้อยละ ๐.๔๕ เป็นต้น ๔. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๐๘.๕๒ เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๗ (เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๓) จากการเคลื่อนไหวสูงขึ้นและลดลงของราคาสินค้าและบริการ ได้แก่ ผ้าและเสื้อผ้า ค่าน้ำประปา ค่าเช่าบ้าน วัสดุก่อสร้าง ค่าตรวจรักษาและค่ายา ค่าของใช้และบริการส่วนบุคคล ผลิตภัณฑ์ยาสูบและผลิตภัณฑ์สุรา สำหรับสินค้าที่มีราคาลดลง ได้แก่ สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาดบางชนิด (น้ำยาล้างห้องน้ำ น้ำยาปรับผ้านุ่ม ผลิตภัณฑ์ซักผ้า น้ำยาซักแห้ง) เครื่องปรับอากาศ และเครื่องทำน้ำอุ่น เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||
29522 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการอาเซียนด้านการจัดการภัยพิบัติ ครั้งที่ 20 | มท | 25/09/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมคณะกรรมการอาเซียนด้านการจัดการภัยพิบัติ ครั้งที่ ๒๐ (20th Meeting of ASEAN Committee on Disaster Management : ACDM) ระหว่างวันที่ ๒๓ - ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ กรุงเทพมหานคร ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าในการพิจารณาดำเนินการตาม AADMER Work Programme ระยะที่ ๑ โดยมีสาระหลักในการเสนอให้มีการผนวกกิจกรรมภายใต้เสาหลักและกิจกรรมพื้นฐานเข้าด้วยกัน รวมถึงการสนับสนุนให้ประเทศสมาชิกเริ่มดำเนินการในการผลักดันให้มีการนำความตกลงอาเซียนว่าด้วยการจัดการภัยพิบัติและการตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉิน (ASEAN Agreement on Disaster Management and Emergency Response : AADMER) ผนวกเข้ากับกระบวนการในการจัดการภัยพิบัติในระดับประเทศ โดยเน้นที่การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เป็นผู้ประสานงานหลัก (National Disaster Management Organizations : NDMOs) และองค์กรพันธมิตรเครือข่ายในการจัดการภัยพิบัติในประเทศ ซึ่งที่ประชุมเสนอให้มีการจัดกิจกรรมที่เน้นการผลักดันให้มีการนำ AADMER ผนวกเข้ากับกระบวนการในการจัดการภัยพิบัติในระดับประเทศและภูมิภาคอย่างเป็นระบบ และให้มีการจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ สำหรับประเทศสมาชิกอาเซียน ๒. ที่ประชุมรับทราบรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการเกี่ยวกับ AHA Centre : การติดตามผลการดำเนินงานของประเทศสมาชิกเกี่ยวกับ AHA Centre/ร่างความตกลงของประเทศเจ้าภาพระหว่าง AHA Centre และรัฐบาลสาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยให้ประเทศที่ยังไม่ได้ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวดำเนินการโดยด่วน และให้สาธารณรัฐอินโดนีเซียปรับร่างข้อตกลงประเทศเจ้าบ้านระหว่างสาธารณรัฐอินโดนีเซียและ AHA Centre ตามข้อเสนอแนะของประเทศสมาชิกภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ รวมทั้งให้ผู้อำนวยการ AHA Centre เป็นผู้เจรจารายละเอียดในข้อตกลงดังกล่าวกับรัฐบาลสาธารณรัฐอินโดนีเซียต่อไป นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบการรับรองสถานะของ AHA Centre เพื่อใช้ประกอบการเปิดบัญชีธนาคารเป็นของตัวเอง โดยประธาน ACDM ได้ลงนามในเอกสารรับรอง AHA Centre เพื่อใช้ในการดำเนินการแล้ว ๓. ที่ประชุมรับทราบผลการประชุมคณะทำงานร่วม ASEAN East Asia Summit (ASEAN-EAS) เพื่อศึกษาและเชื่อมโยงกิจกรรมระหว่าง AADMER Work Programme และ EAS Work Plan โดยในรายงานการประชุมดังกล่าวผู้แทนเครือรัฐออสเตรเลียได้ระบุว่าไม่ได้เป็นผู้แทนของประเทศ EAS ที่ประชุม ACDM จึงมีมติไม่รับรองผลการประชุมคณะทำงานดังกล่าวจนกว่าผู้แทนเครือรัฐออสเตรเลียจะแสดงเอกสารต่อ ACDM ได้ว่าได้รับมอบหมายจาก EAS ในการเจรจาร่วมกับ ACDM ภายใต้ EAS Work Plan ทำให้กิจกรรมที่ได้กำหนดไว้ในรายงานผลการประชุมต้องเลื่อนการดำเนินการไปอย่างไม่มีกำหนด ๔. ที่ประชุมมีมติรับรองแผนงานเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนระหว่าง ASEAN-EU สำหรับการเสริมสร้างด้านระบบโครงสร้างองค์กรในการจัดการภัยพิบัติและตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงการเชิญผู้แทน EU เข้ามาศึกษาดูงาน ณ AHA Centre ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๕. ที่ประชุมรับรองเอกสารข้อเสนอแนวความคิดในการจัดสัปดาห์รณรงค์ด้านการจัดการภัยพิบัติของประเทศไทย ที่ส่งเสริมการดำเนินการระหว่างเครือข่ายด้านการจัดการภัยพิบัติภายในประเทศสมาชิกและขยายกรอบระยะเวลาเป็น ๑ สัปดาห์ รวมถึงหัวข้อของงานในการรณรงค์เน้นกลุ่มเป้าหมายสตรีและเด็ก ทั้งนี้ ประเทศไทยได้เสนอให้ประเทศสมาชิกจัดกิจกรรมในปีนี้เป็นการจัดการรณรงค์เรื่องการจัดการภัยพิบัติอาเซียนตลอด ๑ สัปดาห์ ก่อนวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวัน ASEAN Day on Disaster Management (ADDM) และ International Day for Disaster Reduction (IDDR) ของปีนี้ โดยหัวข้อหลักในปีนี้จะสอดคล้องกับการรณรงค์ในระดับนานาชาติของ UN (UN Global Campaign) คือ Step up for Disaster Risk Reduction ซึ่งในปีนี้กลุ่มเป้าหมายหลักคือ ผู้หญิงและเด็ก โดยเน้นที่การเพิ่มบทบาทและศักยภาพของบุคคลกลุ่มดังกล่าวในการลดความเสี่ยงของภัยพิบัติ ๖. ที่ประชุมได้มีการพิจารณาจัดทำร่างกรอบยุทธศาสตร์ในการประสานงานและเชื่อมโยงระหว่าง EAS และ ASEAN Regional Forum (ARF) และฝ่ายกลาโหมอาเซียนและเครือข่าย (ASEAN Defense Ministerial Meeting Plus : ADMM Plus) เกี่ยวกับการดำเนินการตามข้อเสนอของสำนักงานประสานงานกิจการด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNOCHA) ในการให้ ASEAN Emergency Rapid Assessment Team (ERAT) เข้าสู่กรอบการดำเนินงานภายใต้กรอบของ UNDAC ซึ่งที่ประชุมได้เน้นให้มีการดำเนินการความร่วมมือกับพันธมิตรภายใต้กรอบ AADMER ตาม Standard Operating Procedure for Regional Standby Arrangements and Coordination of Joint Disaster Relief and Emergency Response Operations (SASOP) เป็นหลัก ในการนี้ประเทศไทยได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงการเป็นเจ้าภาพร่วมกับสาธารณรัฐเกาหลีในการจัดการซ้อมแผนรับมือภัยพิบัติภายใต้กรอบ ASEAN Regional Forum : ARF หรือ ARF DiREx ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๗. ที่ประชุมเสนอให้มีความร่วมมือระหว่าง ACDM และ ASEAN Defense Ministerial Meeting (ADMM) มากยิ่งขึ้น โดยเริ่มจากการเชิญผู้แทนของแต่ละฝ่ายเข้าร่วมการซ้อมแผนรับมือภัยพิบัติ พร้อมทั้งสนับสนุนให้มีการทดสอบกลไกตาม AADMER เช่น SASOP ในการซ้อมแผนเพื่อหาแนวทางความร่วมมือและทดสอบกลไกดังกล่าวก่อนที่จะหารือเพื่อจัดทำแผนงานร่วมกันต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
29523 | การจัดตั้งสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสาขา | มท | 25/09/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานผลการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดตั้งสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสาขา โดยที่ประชุม ก.พ.ร. ครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอที่คณะอนุกรรมการ ก.พ.ร. เกี่ยวกับการทบทวนและปรับปรุงโครงสร้างส่วนราชการด้านสังคมได้ผ่านการพิจารณาแล้ว ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์การจัดตั้งสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสาขา ๒. เห็นชอบให้จัดตั้งสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสาขา จำนวน ๑๖ จังหวัด ๓๐ สาขา โดยกำหนดเงื่อนไขให้มีการติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานว่ามีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และเกิดความคุ้มค่ามากน้อยเพียงใด ก่อนที่จะมีการขยาย หรือยุบเลิก หรือทบทวนการจัดตั้งสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสาขาในรูปแบบที่เหมาะสมต่อไป ๓. หลักเกณฑ์การจัดตั้งสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสาขา ๓.๑ หลักเกณฑ์ชั้นที่ ๑ เกณฑ์ในการคัดเลือกจังหวัดที่เหมาะสมที่จะจัดตั้งสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสาขา โดยมีองค์ประกอบ จำนวน ๒ องค์ประกอบ ดังนี้ ๓.๑.๑ เป็นจังหวัดที่มีระดับความเสี่ยงของภัยสูง (ระดับ ๓) (มีภัยอย่างน้อย ๑ ประเภท จากภัยจำนวน ๓ ประเภท) โดยเลือกภัยประเภทที่นำมาเป็นองค์ประกอบในการพิจารณาจากมูลค่าความเสียหายของภัยที่เกิดขึ้นในรอบ ๓ ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๕๓) โดยเป็นภัยที่มีมูลค่าความเสียหายสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ ภัยจากอุทกภัยและดินโคลนถล่ม ภัยจากการคมนาคมและขนส่ง และภัยจากอัคคีภัย ๓.๑.๒ เป็นจังหวัดที่มีขนาดของจังหวัดตั้งแต่ขนาดใหญ่ - ขนาดใหญ่มาก โดยอ้างอิงฐานข้อมูลจากหลักเกณฑ์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี แบ่งออกเป็น ๔ ระดับ ได้แก่ จังหวัดขนาดเล็ก (S) จังหวัดขนาดกลาง (M) จังหวัดขนาดใหญ่ (L) และจังหวัดขนาดใหญ่มาก (XL) ๓.๒ หลักเกณฑ์ชั้นที่ ๒ เกณฑ์ในการกำหนดพื้นที่ (อำเภอ) ที่ตั้งของสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสาขา โดยมีองค์ประกอบ จำนวน ๒ องค์ประกอบ ดังนี้ ๓.๒.๑ เป็นพื้นที่เสี่ยงภัยระดับ ๓ หรือพื้นที่ที่เป็นศูนย์กลางการคมนาคม/ศูนย์กลางการบริหารจัดการสาธารณภัยในพื้นที่ ๓.๒.๒ มีความยากลำบากในการเข้าถึงพื้นที่ โดยพิจารณาจากระยะห่างจากจังหวัด ๗๐ กิโลเมตรขึ้นไป หรือระยะเวลาการเดินทางจากจังหวัดเข้าถึงพื้นที่ไม่น้อยกว่า ๑.๓๐ ชั่วโมงขึ้นไป ๔. มีจังหวัดและพื้นที่ (อำเภอ) ที่เหมาะสมที่จะจัดตั้งสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสาขาตามหลักเกณฑ์ จำนวน ๑๕ จังหวัด ๒๙ สาขา และจัดตั้งสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสาขาเป็นกรณีพิเศษอีก ๑ จังหวัด ๑ สาขา รวมการจัดตั้งสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสาขา จำนวน ๑๖ จังหวัด ๓๐ สาขา
|
|||||||||||||||||||||
29524 | ร่างข้อมติกรุงเทพฯ ว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมอาเซียน | ทส | 25/09/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบต่อร่างข้อมติกรุงเทพฯ ว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมอาเซียน (Bangkok Resolution on ASEAN Environmental Cooperation) มีสาระสำคัญคือ เป็นการประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันเพื่อจัดการกับความท้าทายจากปัญหาสิ่งแวดล้อม อาทิ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มลพิษจากหมอกควันข้ามแดน และการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ โดยประเทศสมาชิกอาเซียนจะร่วมกันดำเนินการตามพันธสัญญาอาเซียนอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อความสำเร็จตามเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (MDGs) ตลอดจนผลจากการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Rio+20) รวมถึงกระตุ้นให้มีความพยายามอย่างจริงจังที่จะปกป้อง อนุรักษ์และใช้ความหลากหลายทางชีวภาพของอาเซียนอย่างยั่งยืน โดยดำเนินตามแผนกลยุทธ์เพื่อการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๖๓ และเป้าหมายไอจิว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ตลอดจนส่งเสริมการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน และเพิ่มความร่วมมือระหว่างกันให้มากขึ้นเพื่อป้องกันไฟป่าและลดมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน โดยการเฝ้าระวังและการดำเนินกิจกรรมป้องกันอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีการเสริมสร้างความร่วมมือในการฟื้นฟูสภาพป่าและลดการตัดไม้ทำลายป่า เพื่อป้องกันความสูญเสียทางความหลากหลายทางชีวภาพและเพิ่มแหล่งกักเก็บคาร์บอนในภูมิภาค ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างข้อมติกรุงเทพฯ ว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมอาเซียน กับรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม ในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นทางการ ครั้งที่ ๑๒ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการไปได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้ประเทศสมาชิกเร่งรัดกระบวนการให้สัตยาบันต่อพิธีสารนาโงย่าว่าด้วยการเข้าถึงและแบ่งปันผลประโยชน์ที่เกิดจากการใช้ทรัพยากรพันธุกรรมอย่างเท่าเทียมและยุติธรรม และพิธีสารเสริมนาโงย่าว่าด้วยการรับผิดและการชดใช้ด้านความปลอดภัยทางชีวภาพ นั้น เนื่องจากการเข้าร่วมในพิธีสารดังกล่าวจะทำให้ประเทศอื่นเข้าถึงทรัพยากรและภูมิปัญญาท้องถิ่นของประเทศไทยได้ง่ายขึ้น ก่อนที่จะมีการให้สัตยาบันต่อพิธีสารดังกล่าว จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมและพัฒนาศักยภาพภายในประเทศให้เข้มแข็งทั้งด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี การพัฒนากฎระเบียบและมาตรการที่มีประสิทธิภาพในการจัดการทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบและกำกับติดตามเงื่อนไขการแบ่งปันผลประโยชน์ รวมทั้งสร้างความเข้าใจและความพร้อมให้กับชุมชนท้องถิ่นต่อกระบวนการและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และจัดให้มีการฟังความคิดเห็นของประชาชน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องก่อนที่จะมีการให้สัตยาบันต่อพิธีสารดังกล่าวต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
29525 | แนวทางการแก้ไขปัญหาการจราจรในกรุงเทพมหานครในช่วงฝนตกชุก | นร | 25/09/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์) รายงานว่า กระทรวงคมนาคมได้ร่วมหารือกับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๕ เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางและบูรณาการการแก้ไขปัญหาจราจรในเขตกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่มีฝนตกชุกและเกิดน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ให้เป็นรูปธรรม ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย โดยได้มีการจัดตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรฯ แล้วจะนำเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไปภายใน ๗ วัน อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้น ขอความร่วมมือส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐพิจารณาดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรในส่วนที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ๑.๑ ให้หน่วยงานที่มีที่ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร และมีพื้นที่ที่สามารถรองรับน้ำ หรือช่วยพร่องน้ำได้ เช่น บึง บ่อ คู เป็นต้น ขอให้กักเก็บน้ำไว้ในพื้นที่ที่สามารถรองรับน้ำดังกล่าวไว้ให้เต็มศักยภาพก่อน และหลีกเลี่ยงการสูบหรือระบายน้ำออกมาสู่ลำรางสาธารณะที่อยู่ใกล้กับถนนหรือผิวการจราจรใกล้เคียงในช่วงที่เกิดฝนตก เนื่องจากจะทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมผิวการจราจรมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแนวถนนที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดน้ำท่วมจากฝนตกชุกอยู่แล้ว เช่น ถนนวิภาวดีรังสิต เป็นต้น ทั้งนี้ ขอให้ชะลอเวลาการสูบหรือระบายน้ำออกจากพื้นที่ของหน่วยงานไปเป็นช่วงภายหลังจากที่ฝนหยุดตกแล้วประมาณ ๑-๒ ชั่วโมง ๑.๒ ให้ทุกหน่วยงานพิจารณาทบทวนมาตรการสลับเวลาทำงานของหน่วยงานของรัฐเพื่อแก้ไขปัญหาจราจร ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๐ (เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับเรื่อง มาตรการสลับเวลาทำงานของหน่วยงานของรัฐเพื่อแก้ไขปัญหาจราจร) เพื่อนำมาใช้ในช่วงวันที่มีฝนตกชุกและอาจเกิดปัญหาน้ำท่วมผิวการจราจรและการจราจรติดขัดตามความจำเป็นเหมาะสมกับสถานการณ์ ที่ตั้งของหน่วยงาน ตลอดจนภารกิจและการปฏิบัติงานของหน่วยงาน ทั้งนี้ โดยต้องไม่เกิดความเสียหายต่องานราชการโดยรวมและการให้บริการประชาชน ๑.๓ ให้ทุกหน่วยงาน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ติดตามข้อมูลและการพยากรณ์สภาพอากาศอย่างต่อเนื่อง เพื่อวางแผนและบริหารจัดการการเดินทางไป-กลับ ให้เหมาะสมและหลีกเลี่ยงการเดินทางในช่วงเวลาที่คาดว่าจะเกิดภาวะฝนตก อันจะช่วยให้เกิดความคล่องตัวและบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัดได้ ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามความเหมาะสมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
29526 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร04 | 25/09/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันจันทร์ที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๕ ซึ่งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๔ ปีที่ ๒ ครั้งที่ ๑๖ (สมัยสามัญทั่วไป) วันพุธที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๕ และครั้งที่ ๑๗ (สมัยสามัญทั่วไป) วันพฤหัสบดีที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ ๒. เห็นชอบให้สำนักงานรัฐมนตรีแต่ละกระทรวงแจ้งวาระงานของรัฐมนตรีที่มิอาจหลีกเลี่ยงและไม่สามารถเข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันพฤหัสบดีเพื่อตอบกระทู้ถามได้ ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีทราบล่วงหน้าภายในวันอังคาร (ช่วงเช้า) และตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) เสนอเพิ่มเติมว่า ในกรณีที่รัฐมนตรีท่านใดมีภารกิจจำเป็นและสำคัญอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ทำให้ไม่สามารถไปตอบกระทู้ถามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ในวันพฤหัสบดี หากกระทู้ถามดังกล่าวไม่ใช่เรื่องที่มีรายละเอียดเฉพาะด้านและประสงค์จะมอบให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) ตอบกระทู้ถามแทน ขอให้แจ้งความประสงค์พร้อมทั้งส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกระทู้ถามดังกล่าวให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) ทราบเพื่อจะได้ดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
29527 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานของอาคารนิทรรศการศาลาไทยในงาน Yeosu International Exposition 2012 ณ สาธารณรัฐเกาหลี | ทส | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานของอาคารนิทรรศการศาลาไทยในงาน Yeosu International Exposition 2012 ระหว่างวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๕ - ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ ณ เมืองยอซู สาธารณรัฐเกาหลี ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. อาคารนิทรรศการศาลาไทยได้จัดแสดงนิทรรศการบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์สวยงามของท้องทะเลไทย การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยน้อมนำพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มาเป็นแนวทางในการดำเนินงาน รวมทั้งแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐเกาหลีที่มีมาอย่างช้านาน และศิลปวัฒนธรรมอันดีงามของไทย โดยเริ่มทดลองเปิดดำเนินการช่วงก่อนการเปิดงานอย่างเป็นทางการ เป็นเวลา ๔ วัน มีผู้เข้าชมในช่วงเวลาดังกล่าว จำนวน ๒๘,๗๔๐ คน และหลังจากพิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๕ - ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ รวมเวลา ๙๓ วัน อาคารนิทรรศการศาลาไทยได้รับการเยี่ยมเยียนจากผู้เข้าชมทั้งสิ้น ๙๙๕,๑๗๕ คน รวมจำนวนผู้เข้าชมอาคารนิทรรศการศาลาไทยตลอดระยะเวลาที่ดำเนินการมีจำนวนทั้งสิ้น ๑,๐๒๓,๙๑๕ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๒.๓ ของผู้เข้าชมงานซึ่งเกินกว่าจำนวนที่ทางผู้ดำเนินงานคาดไว้ จำนวน ๙๐๐,๐๐๐ คน ๒. อาคารนิทรรศการศาลาไทยยังมีจุดเด่นในเรื่องของการแสดงบนเวทีบริเวณหน้าอาคารนิทรรศการ ซึ่งจัดการแสดงวันละ ๔ รอบ และในวันศุกร์ - เสาร์ วันละ ๖ รอบ สามารถดึงดูดผู้เข้าชมได้ไม่ต่ำกว่าวันละ ๗๐๐ คน รวมจำนวนผู้เข้าชมตลอดการจัดแสดงทั้งสิ้น ๘๔,๑๕๐ คน นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจกรรมพิเศษ ได้แก่ วันเสมือนวันชาติไทย วันลอยกระทง วันเสมือนวันสถาปนาความสัมพันธ์ไทย - เกาหลี และวันสงกรานต์ เพื่อให้ผู้เข้าชมงานได้รู้จักและสัมผัสศิลปวัฒนธรรมประเพณีไทยมากยิ่งขึ้น ๓. อาคารนิทรรศการศาลาไทยได้รับรางวัลประเภท “Honorable Mention of Editor” จากนิตยสาร Exhibitor ของประเทศสหรัฐอเมริกา และหลังจากพิธีปิดงานเมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ ทางกิจการร่วมค้าอินเด็กซ์ ดี ๑๐๓ มาร์โก้ ได้ดำเนินการรื้อถอนวัสดุอุปกรณ์ โดยมีวัสดุอุปกรณ์บางส่วนจะนำไปติดตั้งที่สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำภูเก็ต ได้แก่ หุ่นยนต์นางเงือกและชิ้นส่วนประดับตกแต่งห้องจัดแสดงที่ ๑ ซึ่งจะมีการขนย้ายเพื่อจัดส่งกลับประเทศไทยและติดตั้งต่อไป โดยจะแล้วเสร็จภายในวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๖
|
|||||||||||||||||||||
29528 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 530) พ.ศ. 2554] | กค | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้ลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลและคงจัดเก็บในอัตรา ดังต่อไปนี้ ๑.๑ ร้อยละ ๒๓ ของกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕ แต่ไม่เกินวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๒ ร้อยละ ๒๐ ของกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๖ แต่ไม่เกินวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ๒. กำหนดให้ลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน ๕ ล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการในรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน ๓๐ ล้านบาท สำหรับกำไรสุทธิในส่วนที่เกิน ๑ ล้านบาท ดังต่อไปนี้ ๒.๑ ร้อยละ ๒๓ ของกำไรสุทธิ สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕ แต่ไม่เกิน ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒.๒ ร้อยละ ๒๐ ของกำไรสุทธิ สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ทั้งนี้ ให้ใช้บังคับสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นต้นไป |
|||||||||||||||||||||
29529 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยสิทธิขององค์กรชุมชนและองค์กรเอกชนในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในศูนย์การเรียน พ.ศ. .... | ศธ | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงว่าด้วยสิทธิขององค์กรชุมชนและองค์กรเอกชนในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในศูนย์การเรียน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้องค์กรชุมชนและองค์กรเอกชนอาจจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในรูปแบบการศึกษานอกระบบหรือการศึกษาตามอัธยาศัยได้ตามที่กำหนด ๒. กำหนดแบบคำขอ การยื่นคำขอ และแผนการจัดการศึกษาและการเปลี่ยนแปลงแก้ไขแผนการจัดการศึกษาในการจัดตั้งศูนย์การเรียนขององค์กรชุมชนและองค์กรเอกชน ๓. กำหนดให้คุณสมบัติของผู้เรียนในศูนย์การเรียนขององค์กรเอกชนที่เป็นนิติบุคคลซึ่งไม่ได้จดทะเบียนในประเทศไทยเป็นไปตามที่กำหนด ๔. กำหนดให้ข้อกำหนดเกี่ยวกับคณะกรรมการศูนย์การเรียนเป็นไปตามที่กำหนด และกำหนดหน้าที่ของคณะกรรมการศูนย์การเรียน ๕. กำหนดหลักเกณฑ์การวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้และการออกหลักฐานทางการศึกษา ๖. กำหนดให้ศูนย์การเรียนอาจได้รับสิทธิประโยชน์ด้านเงินอุดหนุนจากรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรเอกชนอื่นสำหรับการจัดการศึกษา ๗. กำหนดหลักเกณฑ์การเลิกศูนย์การเรียน และการเรียกเงินอุดหนุนคืน
|
|||||||||||||||||||||
29530 | โครงการบรรพชาอุปสมบทหมู่เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จำนวน 80 รูป น้อมถวายเป็นพระราชกุศลเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ | กค | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้พนักงานของรัฐและพนักงานรัฐวิสาหกิจที่เข้าร่วมอุปสมบทในโครงการบรรพชาอุปสมบทหมู่เฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา จำนวน ๘๐ รูป น้อมถวายเป็นพระราชกุศลเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ไม่ถือเป็นวันลา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
29531 | รายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม - ธันวาคม 2554) ธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม - ธันวาคม ๒๕๕๔) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยรายงานดังกล่าวประกอบด้วย
๑. ส่วนที่ ๑ ภาวะเศรษฐกิจ ๒. ส่วนที่ ๒ การดำเนินงานของ ธปท. ประกอบด้วย ๒.๑ แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายการเงิน ๒.๒ แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายสถาบันการเงิน ได้แก่ ๒.๒.๑ ภาพรวมการดำเนินนโยบายด้านสถาบันการเงินในช่วงหลังของปี ๒๕๕๔ ๒.๒.๒ การดำเนินนโยบายเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงให้กับระบบสถาบันการเงิน ๒.๒.๓ การเตรียมความพร้อมสถาบันการเงินเพื่อรองรับการปฏิบัติตามมาตรฐานสากล ๒.๒.๔ การดำเนินนโยบายเพื่อแก้ไขและบรรเทาปัญหาเร่งด่วนเพื่อบรรเทาภาระของธนาคารพาณิชย์ ผู้ประกอบธุรกิจ และประชาชน จากเหตุอุทกภัย ๒.๒.๕ การดำเนินนโยบายการพัฒนาระบบสถาบันการเงินเพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพในระบบการเงิน ๒.๒.๖ การดำเนินนโยบายสถาบันการเงินในเวทีระหว่างประเทศ ๒.๒.๗ การกำกับตรวจสอบสถาบันการเงินในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๔ ๒.๒.๘ การทำหน้าที่เป็นนายธนาคารของสถาบันการเงินของ ธปท. ๒.๓ แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายระบบการชำระเงินที่สำคัญ ได้แก่ ๒.๓.๑ การดำเนินนโยบายด้านระบบการชำระเงิน ๒.๓.๒ การพัฒนาระบบการหักบัญชีเช็คด้วยภาพเช็ค ๒.๓.๓ การกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
|
|||||||||||||||||||||
29532 | ญัตติ เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาการยกเลิกเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่มีสภาพเสื่อมโทรม ซึ่งราษฎรเข้าทำกินเกินกว่า 10 ปี เพื่อเร่งรัดออกโฉนดที่ดิน | สผ | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบญัตติ เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาการยกเลิกเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่มีสภาพเสื่อมโทรม ซึ่งราษฎรเข้าทำกินเกินกว่า ๑๐ ปี เพื่อเร่งรัดออกโฉนดที่ดิน พร้อมผลการดำเนินการตามญัตติดังกล่าว ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
29533 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนที่วัด วัดหนองกะพ้อ ตำบลทุ่งควายกิน อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ให้แก่กรมทางหลวง พ.ศ. .... | พศ | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาโอนที่วัด วัดหนองกะพ้อ ตำบลทุ่งควายกิน อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ให้แก่กรมทางหลวง พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ โอนที่วัด วัดหนองกะพ้อ ตำบลทุ่งควายกิน อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ให้แก่กรมทางหลวง เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓ สายกรุงเทพมหานคร - ตราด ตอนอำเภอแกลง - จันทบุรี ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
29534 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่วัด วัดโพธิ์ศรีบ้านจาน ตำบลเสือเฒ่า อำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม ให้แก่กรมทางหลวง พ.ศ. .... | พศ | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาโอนที่วัด วัดโพธิ์ศรีบ้านจาน ตำบลเสือเฒ่า อำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม ให้แก่กรมทางหลวง พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ โอนกรรมสิทธิ์ที่วัด วัดโพธิ์ศรีบ้านจาน ตำบลเสือเฒ่า อำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม ให้แก่กรมทางหลวง เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๑๕๒ สายแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๐๙ (เชียงยืน) - ท่าคันโท ตอนอำเภอเชียงยืน - อำเภอกระนวน ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
29535 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดพิษณุโลก พ.ศ. .... | นร09 | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดพิษณุโลก พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ จังหวัดพิษณุโลก เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
29536 | รัฐบาลแคนาดาเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นายฟิลิป คาลเวิร์ต (Mr. Philip Calvert)] | กต | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายฟิลิป คาลเวิร์ต (Mr. Philip Calvert) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งแคนาดาประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายรอน ฮอฟฟ์มันน์ (Mr. Ron Hoffmann) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
29537 | ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับประเทศหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา (ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี และสหรัฐอเมริกา) | กต | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับประเทศหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา (ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี และสหรัฐอเมริกา) ได้แก่ ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๕ ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๒ ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศข้อริเริ่มลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๕ ผลการประชุมรัฐมนตรีมิตรของประเทศลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๒ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๐ - ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ในช่วงการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ ๔๕ ณ กรุงพนมเปญ และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปสาระสำคัญของผลการประชุมต่าง ๆ ได้ ดังนี้ ๑.๑ การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๕ ที่ประชุมหารือเรื่องความก้าวหน้าและทิศทางของกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น และประเด็นภูมิภาคและระหว่างประเทศ รวมทั้งรับรองแถลงการณ์ของประธานร่วมของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๕ และรับรองเอกสารแผนปฏิบัติการกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น เพื่อดำเนินการตามยุทธศาสตร์กรุงโตเกียว ค.ศ. ๒๐๑๒ เพื่อกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่นสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๘ นอกจากนี้ ญี่ปุ่นจะจัดสรรงบประมาณ ๖๐๐,๐๐๐ ล้านเยน (ประมาณ ๒๓๐,๐๐๐ ล้านบาท) ทั้งในรูปแบบของการให้กู้เงินเยน การให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่า และความช่วยเหลือทางวิชาการ เพื่อให้โครงการต่าง ๆ ตามแผนปฏิบัติการฯ ประสบผลสำเร็จ รวมถึงจะดำเนินโครงการนำร่อง ๕๗ โครงการ ซึ่งญี่ปุ่นได้ประกาศไว้ในการประชุมผู้นำฯ ครั้งที่ ๔ โดยใช้ประโยชน์จากแนวคิดหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐกับเอกชน ๑.๒ การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๒ ที่ประชุมได้หารือในสองประเด็นการดำเนินการที่ผ่านมาและทิศทางความร่วมมือในอนาคต และประเด็นของภูมิภาคและของโลก โดยได้รับรองแถลงการณ์ของประธานร่วมของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศดังกล่าว ซึ่งมีสาระสำคัญคือ การสนับสนุนการตั้งกองทุนความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี การจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อประกาศใช้ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ และการพิจารณาจัดทำโครงการนำร่องในช่วงที่ยังไม่มีแผนปฏิบัติการ ๑.๓ การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศข้อริเริ่มลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๕ ที่ประชุมได้หารือเรื่องการดำเนินการที่ผ่านมาและทิศทางความร่วมมือในอนาคต และได้รับรองแถลงการณ์การประชุมรัฐมนตรีดังกล่าว ซึ่งมีสาระสำคัญคือ การรับเมียนมาร์เข้าเป็นสมาชิกใหม่ของกรอบความร่วมมือนี้ และได้ให้เมียนมาร์เป็นผู้นำร่วมกับสหรัฐอเมริกาในสาขาการเกษตรและความมั่นคงทางอาหารซึ่งเป็นสาขาที่เพิ่มใหม่ และรับทราบสหรัฐอเมริกาจะให้ความช่วยเหลือทางการเงิน จำนวน ๕๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงสามปีข้างหน้าภายใต้วิสัยทัศน์ “LMI 2020” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย Strategic Rebalancing โดยเน้นการเพิ่มขีดความสามารถในอนุภูมิภาคเพื่อจัดการกับความท้าทายข้ามพรมแดนและสนับสนุนการเชื่อมโยงในเรื่องกฎระเบียบและประชาชนต่อประชาชนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง รวมทั้งตกลงที่จะให้มีการหารือเรื่องการพัฒนาเครือข่ายประสานงานข้อริ่เริ่มลุ่มน้ำโขงระดับภูมิภาค ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของกรอบความร่วมมือนี้ต่อไป ๑.๔ การประชุมรัฐมนตรีมิตรของประเทศลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ ๒ ที่ประชุมได้รับรองแถลงการณ์การประชุมรัฐมนตรี ซึ่งมีสาระสำคัญคือ เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานของเวทีมิตรของประเทศลุ่มน้ำโขงตอนล่างในอนาคตว่า จะเป็นไปในสองระดับ ได้แก่ การหารือระหว่างหน่วยงานผู้ให้ความช่วยเหลือเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและเสริมสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของโครงการต่าง ๆ และการหารือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศของประเทศหุ้นส่วนและประเทศลุ่มน้ำโขงเพื่อกำหนดนโยบาย และเห็นว่าในอนาคตเวทีมิตรประเทศลุ่มน้ำโขงอาจหารือประเด็นที่มีลักษณะข้ามพรมแดนและกระทบต่อความมั่นคงของประเทศลุ่มน้ำโขง อาทิ การโยกย้ายถิ่นฐาน การค้ามนุษย์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม และประเด็นที่เกี่ยวกับความมั่นคงของมนุษย์ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าการจัดทำกรอบความร่วมมือเพิ่มขึ้นกับหุ้นส่วนการพัฒนา ควรหลีกเลี่ยงความซ้ำซ้อนกับกรอบความร่วมมือต่าง ๆ ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงที่มีอยู่แล้ว เพื่อเสริมให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาประเทศไทยและอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย
|
|||||||||||||||||||||
29538 | รัฐบาลราชอาณาจักรสเปนเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นางสาวมาเรีย เดล การ์เมน โมเรโน ไรย์มุนโด (Ms. Maria del Carmen Moreno Raymundo)] | กต | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวมาเรีย เดล การ์เมน โมเรโน ไรย์มุนโด (Ms. Maria del Carmen Moreno Raymundo) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งราชอาณาจักรสเปนประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายอิกนาเซียว ซากัซ เตมปราโน (Mr. Ignacio Sagaz Temprano) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
29539 | พิธีสารฉบับที่ 3 เพื่อแก้ไขกรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสาธารณรัฐประชาชนจีน และพิธีสารเพื่อผนวกข้อบทอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า และมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช เพื่อเป็นส่วนหนึ่ง ของความตกลงการค้าสินค้า ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสาธารณรัฐประชาชนจีน | พณ | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบพิธีสาร รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ พิธีสารฉบับที่ ๓ เพื่อแก้ไขกรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสาธารณรัฐประชาชนจีน มีสาระสำคัญเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการร่วมกำกับการดำเนินงานภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน ได้แก่ (๑) การทบทวน ตรวจสอบ และดูแลการปฏิบัติตามและการดำเนินงานของความตกลง (๒) การพิจารณาและให้ข้อเสนอแนะแก่รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-จีน เกี่ยวกับการแก้ไขความตกลง (๓) การเจรจาแก้ไขการดำเนินงาน หรือเรื่องอื่นใดอันเกิดขึ้นจากการดำเนินงานตามความตกลง (๔) การกำกับดูแลและประสานความร่วมมือกับองค์กรย่อยต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นภายใต้ความตกลง รวมทั้งให้ความเห็นชอบตามที่เห็นสมควรต่อการตัดสินใจหรือคำแนะนำขององค์กรย่อยที่ได้ถูกจัดตั้งขึ้น (๕) การพิจารณาเรื่องอื่น ๆ ที่อาจมีผลกระทบต่อการดำเนินงานตามความตกลง หรือเรื่องที่ภาคีทั้งสองฝ่ายได้มอบหมายแก่คณะกรรมการร่วมกำกับการดำเนินงานภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน และ (๖) การทำหน้าที่อื่น ๆ ตามที่ภาคีทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมกัน ทั้งนี้ คณะกรรมการร่วมกำกับการดำเนินงานภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน จะต้องจัดประชุมอย่างน้อยปีละ ๒ ครั้ง หรือตามที่เห็นว่าจำเป็น ๑.๒ พิธีสารเพื่อผนวกข้อบทอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า และมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของความตกลงการค้าสินค้า ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสาธารณรัฐประชาชนจีน มีสาระสำคัญประกอบด้วย ๑.๒.๑ ส่วนที่ ๑ อุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า มีวัตถุประสงค์เพื่อ (๑) อำนวยความสะดวกและส่งเสริมการค้าสินค้าระหว่างประเทศสมาชิก โดยที่กฎระเบียบทางเทคนิค มาตรฐาน และกระบวนการตรวจสอบและรับรอง จะต้องไม่ก่อให้เกิดอุปสรรคทางการค้าที่ไม่จำเป็น (๒) เสริมสร้างความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับมาตรฐาน กฎระเบียบทางเทคนิค และกระบวนการตรวจสอบและรับรองของประเทศภาคี (๓) เสริมสร้างความร่วมมือต่าง ๆ รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เกี่ยวกับการเตรียมการ การจัดทำ และการใช้มาตรฐาน กฎระเบียบทางเทคนิค และกระบวนการตรวจสอบและรับรอง และ (๔) เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการค้าระหว่างประเทศภาคีอย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๒.๒ ส่วนที่ ๒ มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช มีวัตถุประสงค์เพื่อ (๑) อำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างประเทศสมาชิก ในการที่จะคุ้มครองชีวิตหรือสุขภาพของมนุษย์ สัตว์ หรือพืช ในอาณาเขตของตน (๒) สร้างความโปร่งใสและความเข้าใจที่ดียิ่งขึ้น ในการใช้บังคับระเบียบข้อบังคับและกระบวนการเกี่ยวกับมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชของประเทศภาคีแต่ละฝ่าย (๓) เสริมสร้างความแข็งแกร่งของความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรับผิดชอบหลักของแต่ละประเทศสมาชิก และ (๔) เสริมสร้างการนำเอาหลักการและระเบียบที่ระบุไว้ไปปฏิบัติ ๑.๒.๓ ส่วนที่ ๓ บทญัตติสุดท้าย ระบุเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติม การระงับข้อพิพาท การเก็บรักษา และการมีผลใช้บังคับ ๑.๓ ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงสาธารณสุขพิจารณาร่วมกันในพิธีสารเพื่อผนวกข้อบทอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้าฯ หากไม่จำเป็นต้องแก้ไขพิธีสาร ในส่วนที่ ๒ มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช เกี่ยวกับสุขภาพของมนุษย์ โดยขอให้ดำเนินการภายใต้กรอบของกฎอนามัยระหว่างประเทศ ฉบับปี ๒๐๐๕ ขององค์การอนามัยโลก ซึ่งจะครอบคลุมประเด็นสินค้าเข้า-ออกระหว่างประเทศ ทั้งในเรื่อง Food safety ที่ต้องมีการเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารในระบบ INFOSAN ตามมติสมัชชาอนามัยโลก และ CODEX ตามความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข ก็ให้แจ้งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อจะได้เสนอพิธีสารดังกล่าวต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยโดยด่วนต่อไป ๒. อนุมัติการลงนามในพิธีสารทั้งสองฉบับ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้ได้รับมอบหมายอื่น เป็นผู้ลงนามในพิธีสาร และหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญในพิธีสารทั้งสองฉบับดังกล่าว ให้ผู้ลงนามใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ ได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้ได้รับมอบหมายอื่นเป็นผู้ลงนาม ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือแจ้งการมีผลใช้บังคับของพิธีสารทั้งสองฉบับเมื่อประเทศไทยลงนามและดำเนินการตามกระบวนการภายในเสร็จสิ้นแล้ว ๕. ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการต่างประเทศเร่งดำเนินการตามกระบวนการให้แล้วเสร็จโดยด่วนเพื่อให้ทันการลงนามพิธีสารในการประชุมผู้นำอาเซียน-จีน ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ |
|||||||||||||||||||||
29540 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 | กค | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ภายใต้โครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๕ รุ่น วงเงินรวม ๗๑,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ได้แก่ ๑.๑ พันธบัตรรัฐบาลประเภทอัตราดอกเบี้ยแปรผันตามการเปลี่ยนแปลงของเงินเฟ้อในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๒ (ILB217A) จำนวน ๓๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๒ พันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ พ.ศ. ๒๕๕๒) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๒ (LB326A) จำนวน ๗,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๓ พันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ พ.ศ. ๒๕๕๒) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๓ (LB176A) จำนวน ๑๖,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๔ พันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ พ.ศ. ๒๕๕๒) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๔ (LB193A) จำนวน ๑๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๕ พันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ ประเภทอัตราดอกเบี้ยลอยตัว (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ พ.ศ. ๒๕๕๒) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๑ (LB165A) จำนวน ๘,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ๒. พันธบัตรรัฐบาลฯ ทั้ง ๕ รุ่น เริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๕ สิ้นสุดวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๕ โดยมีพันธบัตรรัฐบาลฯ จำนวน ๒ รุ่นที่จำหน่ายได้ไม่ครบตามวงเงินที่ประกาศ ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ประเภทอัตราดอกเบี้ยลอยตัว (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ พ.ศ. ๒๕๕๒) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๑ (LB165A) ได้รับจัดสรรวงเงิน จำนวน ๔,๔๐๐.๐๐ ล้านบาท จากวงเงินที่ประกาศจำหน่าย จำนวน ๘,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท และพันธบัตรรัฐบาลประเภทอัตราดอกเบี้ยแปรผันตามการเปลี่ยนแปลงของเงินเฟ้อในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๒ (ILB217A) ได้รับจัดสรรวงเงิน จำนวน ๒๒,๑๘๐.๐๐ ล้านบาท จากวงเงินที่ประกาศจำหน่าย จำนวน ๓๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ทำให้วงเงินจำหน่ายปรับลดจากจำนวน ๗๑,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท เป็นจำนวน ๕๙,๕๘๐.๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ การจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลทั้ง ๕ รุ่น และประกาศปรับลดวงเงินการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลฯ จำนวน ๒ รุ่น ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ๓. ภายหลังการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลฯ ในแต่ละครั้ง กระทรวงการคลังได้นำเงินที่ได้จากการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลฯ ไปชำระคืนเงินกู้สำหรับโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง จำนวน ๕๙,๕๘๐.๐๐ ล้านบาท
|
.....