ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1475 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 29481 - 29500 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
29481 | การแก้ไขปัญหาจราจรในเขตกรุงเทพมหานคร | คค | 02/10/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์) รายงานเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาจราจรในเขตกรุงเทพมหานคร โดยได้ประชุมหารือและตรวจเส้นทางและพื้นที่ซึ่งมีปัญหาจราจรวิกฤติอันเนื่องมาจากฝนตกหนักและน้ำท่วมขังในระยะที่ผ่านมา เพื่อบูรณาการการประสานงาน การอำนวยการ และการสั่งการเพื่อแก้ไขปัญหาจราจรเร่งด่วน ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสังกัดกระทรวงคมนาคม กรุงเทพมหานคร และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งได้จัดทำรายงานการแก้ไขปัญหาจราจรในเขตกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย กลไกการดำเนินการ และแนวทางแก้ไขปัญหาจราจรเร่งด่วนตามบัญชานายกรัฐมนตรี ระยะปานกลาง และระยะยาว สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. กลไกการบริหารทางด้านการจราจรในปัจจุบัน มีคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก ซึ่งเป็นคณะกรรมการระดับนโยบายที่กำหนดแนวทางในการจัดระบบการจราจรทางบก โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรเป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่กำหนดมาตรฐานเกี่ยวกับการจัดระบบการจราจรทางบกเสนอต่อคณะรัฐมนตรี และกำหนดมาตรการเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการจราจรทางบก ตลอดจนกำกับดูแล เร่งรัดการปฏิบัติงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และประสานการปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรการ นโยบาย และแผนหลักที่กำหนด เป็นต้น ๒. การแก้ไขปัญหาการจราจรเร่งด่วนโดยใช้กลไกทางด้านการบริหาร โดยแต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการจราจรเร่งด่วนในเขตกรุงเทพมหานคร มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นประธาน และให้มีหน่วยปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการจราจรเร่งด่วนในเขตกรุงเทพมหานคร ตั้งอยู่ ณ ศูนย์ควบคุมและสั่งการจราจร (บก.๐๒) มีรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลซึ่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาลมอบหมายเป็นหัวหน้าหน่วย กองบัญชาการตำรวจจราจรเป็นฝ่ายเลขานุการ รับผิดชอบการประสานการปฏิบัติและการสั่งการแก้ไขปัญหาการจราจรเร่งด่วนในเขตกรุงเทพมหานครให้เป็นไปโดยรวดเร็วและมีเอกภาพ และรายงานผลการปฏิบัติงานต่อคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาจราจรเร่งด่วนในเขตกรุงเทพมหานครทราบหรือพิจารณา ทั้งนี้ ให้มีผู้แทนหน่วยงานร่วมปฏิบัติงาน ได้แก่ สำนักการจราจรและขนส่ง กรุงเทพมหานคร สำนักการโยธา กรุงเทพมหานคร สำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร กรมการขนส่งทางบก กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ๓. แนวทางในการแก้ไขปัญหาการจราจรเร่งด่วนตามบัญชานายกรัฐมนตรี กระทรวงคมนาคมได้ประสานงานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อหารือในแนวทางในการแก้ไขปัญหาการจราจรในเขตกรุงเทพมหานครอย่างบูรณาการ เบื้องต้นได้มีแนวทางในการดำเนินการ ได้แก่ ๓.๑ ให้มีการตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาการจราจรเร่งด่วนที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นหัวหน้าคณะทำงาน และมีหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท กรมการขนส่งทางบก การทางพิเศษแห่งประเทศไทย การรถไฟแห่งประเทศไทย องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ บริษัท ขนส่ง จำกัด และสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ร่วมเป็นคณะทำงาน โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นฝ่ายเลขานุการ มีจุดมุ่งหมายเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรในระยะเร่งด่วนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จัดทำร่างคำสั่งแต่งตั้งเพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรี ๓.๒ ให้มีการตั้งหน่วยปฏิบัติการที่มีอำนาจสั่งการในการแก้ไขปัญหาการจราจรในแต่ละวัน โดยมีศูนย์ปฏิบัติการอยู่ที่ บก.๐๒ โดยให้รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลที่รับผิดชอบด้านการจราจรเป็นหัวหน้า และมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมปฏิบัติการทุกวัน โดยกำหนดให้หน่วยนี้มีอำนาจในการสั่งการในการแก้ไขปัญหาการจราจรเฉพาะหน้ากับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนด้านเครื่องมือ อุปกรณ์ บุคลากร ๓.๓ ในระยะแรกให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกระทรวงคมนาคมสำรวจปัญหาด้านการจราจรที่เกี่ยวข้อง และดำเนินการแก้ไขในส่วนที่สามารถทำได้โดยทันที สำหรับปัญหาที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ให้จัดทำรายละเอียดเพื่อเสนอคณะทำงานต่อไป ๓.๔ สำหรับการแก้ไขปัญหาในระยะกลางและระยะยาว ให้คณะทำงานทำข้อเสนอเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบกเพื่อพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
29482 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง กระทรวงมหาดไทย (จำนวน 24 ราย 1. นายประชา เตรัตน์ ฯลฯ) | มท | 02/10/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงมหาดไทย ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒๔ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้ง เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
๑. นายจรินทร์ จักกะพาก ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายกำธร ถาวรสถิตย์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายประชา เตรัตน์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๔. นายบุญส่ง เตชะมณีสถิตย์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดสกลนคร ๕. นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดขอนแก่น ๖. นายเสนีย์ จิตตเกษม ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดอุดรธานี ๗. นายวิชิต ชาตไพสิฐ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดระยอง ๘. นายสุรชัย ขันอาสา ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดจันทบุรี ๙. นายพรศักดิ์ เจียรณัย ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดชัยภูมิ ๑๐. นายพีระศักดิ์ หินเมืองเก่า ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดชุมพร ๑๑. นายธานินทร์ สุภาแสน ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดเชียงใหม่ ๑๒. นายพงษ์ศักดิ์ วังเสมอ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดเชียงราย ๑๓. นายวันชาติ วงษ์ชัยชนะ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดนครปฐม ๑๔. นายสมศักดิ์ ขำทวีพรหม ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดร้อยเอ็ด ๑๕. นายวินัย บัวประดิษฐ์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดนครราชสีมา ๑๖. นายปรีชา เรืองจันทร์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดพิษณุโลก ๑๗. นายชัยโรจน์ มีแดง ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดนครสวรรค์ ๑๘. นายศิริพงษ์ ห่านตระกูล ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดปทุมธานี ๑๙. นายประมุข ลมุล ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดปัตตานี ๒๐. นายจักริน เปลี่ยนวงษ์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดพิจิตร ๒๑. นายไมตรี อินทุสุต ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดภูเก็ต ๒๒. นายพิเชษฐ ไพบูลย์ศิริ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดลพบุรี ๒๓. นายคณิต เอี่ยมระหงษ์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดสมุทรปราการ ๒๔. นายวันชัย สุทธิวรชัย ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดอุบลราชธานี
|
||||||||||||||||||||||||
29483 | รายงานผลการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 และพิจารณาปริมาณและวงเงินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 | พณ | 02/10/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และนาปรัง ปี ๒๕๕๕ ตามรายงานของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอเพิ่มเติมว่า การดำเนินการระบายข้าวของรัฐบาลได้มีการระบายข้าวไปแล้ว จำนวน ๘.๓๘ ล้านตัน และมีเงินสดที่ได้รับแล้วประมาณ ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท คาดว่าจะได้รับเงินจากการขายข้าวสารก่อนสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๕ อีกจำนวนประมาณ ๔๕,๐๐๐ ล้านบาท รวมทั้งจะได้รับเงินจากการจำหน่ายข้าวสารในช่วงเดือนมกราคมถึงสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ อีกจำนวนประมาณ ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งจะทำให้มีกระแสเงินสดที่จะได้รับจากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกทั้งหมดจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ รวมเป็นเงินประมาณ ๑๒๕,๐๐๐ ล้านบาท และคาดว่าจะมีเงินที่ได้รับคืนจากการขายข้าวสารของโครงการดังกล่าวจนถึงสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๖ รวมเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ ๒๖๐,๐๐๐ ล้านบาท ๒. อนุมัติให้ดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ เฉพาะในส่วนของข้าวเปลือกนาปี จำนวน ๑๕ ล้านตัน โดยเริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป และอนุมัติวงเงินเพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นเงิน จำนวน ๒๔๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยเป็นส่วนของวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติม จำนวนไม่เกิน ๑๕๐,๐๐๐ ล้านบาท และให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงบประมาณจัดทำบัญชีหมุนเวียนและกรอบวงเงินสินเชื่อที่เหมาะสมสำหรับการดำเนินโครงการดังกล่าว โดยให้นำเงินที่ได้จากการระบายข้าวดังกล่าวไปประกอบการจัดทำบัญชีหมุนเวียนด้วย ทั้งนี้ วงเงินสินเชื่อเพื่อการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกในครั้งนี้ จำนวน ๑๕๐,๐๐๐ ล้านบาท เมื่อรวมกับวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ (เรื่อง การจัดหาเงินทุนเพื่อดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) ที่อนุมัติไปแล้ว จำนวน ๒๖๙,๑๖๐ ล้านบาท จะต้องไม่เกินกรอบวงเงิน จำนวน ๔๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๔ (เรื่อง โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕) อนุมัติไว้ สำหรับการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และให้กระทรวงพาณิชย์รายงานข้อมูลการเงินและการระบายข้าวให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นรายไตรมาสด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณารายละเอียดของวงเงินงบประมาณที่จะใช้ดำเนินการ ให้คำนึงถึงรายได้ที่จะได้รับจากการระบายข้าวจากโครงการรับจำนำข้าวของฤดูกาลที่ผ่านมา เพื่อลดยอดวงเงินกู้ในการดำเนินโครงการ และคำนึงถึงกรอบวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ในส่วนของวงเงินจ่ายขาดของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อนุมัติให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่ได้รับจัดสรรภายใต้โครงการรับจำนำผลผลิตการเกษตรตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง โดยให้ใช้ค่าใช้จ่ายต่อหน่วย (Unit Cost) ในอัตราเดิมเช่นเดียวกับการดำเนินโครงการรับจำนำผลผลิตการเกษตรที่ผ่านมา สำหรับค่าบริหารสินเชื่อของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ให้คิดในอัตราต่ำกว่าร้อยละ ๒.๕ เนื่องจากเป็นการดำเนินการต่อเนื่องในลักษณะเดียวกับโครงการรับจำนำผลผลิตการเกษตร ปีการผลิต ๒๕๕๔/๒๕๕๕ และโครงการรับจำนำผลผลิตการเกษตรในอดีต และในกรณีที่ต้องใช้เงินทุน ธ.ก.ส. ดำเนินการก่อน ให้ชดเชยต้นทุนเงินในอัตรา FDR+1 ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกษตรกรและผู้สนใจโดยทั่วไปได้รับทราบข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างทั่วถึงและถูกต้องตรงกัน |
||||||||||||||||||||||||
29484 | การลงนามใน Financial Agreement (FA) on ASEAN Pesticide Residue Data Generation Project for Establishment of Codex MRLs | กษ | 02/10/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างความตกลงด้านการสนับสนุนงบประมาณโครงการ Financing Agreement (FA) สำหรับโครงการ ASEAN Pesticide Residue Data Generation Project for Establishment of Codex MRLs โดยร่างความตกลง FA เป็นการจัดทำความตกลงระหว่างอาเซียนในฐานะที่เป็นองค์การระหว่างประเทศกับองค์การการค้าโลก (World Trade Organization: WTO) โดยมีสารัตถะเป็นความตกลงรับเงินสนับสนุนจาก WTO เพื่อจัดทำโครงการเพื่อพัฒนาศักยภาพในการศึกษาข้อมูลสารพิษตกค้างในพืชผักตามมาตรฐานระหว่างประเทศ ๒. อนุมัติให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในความตกลง FA ดังกล่าว ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งสำนักเลขาธิการอาเซียนผ่านคณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ว่ารัฐบาลไทยเห็นชอบร่างความตกลง FA และให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนลงนามในร่างความตกลง FA ดังกล่าว |
||||||||||||||||||||||||
29485 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร | 02/10/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันจันทร์ที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ซึ่งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ ๑ (สมัยสามัญทั่วไป) วันอังคารที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ และพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๔ ปีที่ ๒ ครั้งที่ ๑๘ (สมัยสามัญทั่วไป) วันพุธที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๕ และครั้งที่ ๑๙ (สมัยสามัญทั่วไป) วันพฤหัสบดีที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
29486 | การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินราชพัสดุคืนให้แก่ผู้ยกให้ ราย นางสาวกองแก้ว รัตนาภิบาล | กค | 02/10/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ ฉช.๕๙๔ โฉนดเลขที่ ๔๐๓๖๗ ตำบลบึงน้ำรักษ์ อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา เนื้อที่ ๒๕-๐-๐๐ ไร่ คืนให้แก่นางสาวกองแก้ว รัตนาภิบาล ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
29487 | ขอความเห็นชอบ (ร่าง) แผนแม่บทโครงการ "รักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน" ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2556 - 2559) | กษ | 02/10/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการ (ร่าง) แผนแม่บทโครงการ “รักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน” ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานโครงการ “รักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน” จัดทำแผนงาน/โครงการภายใต้กรอบแผนแม่บทฯ ระยะที่ ๒ เพื่อขอสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานต่อไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กรอบการพัฒนาในช่วงแผนแม่บทฯ ระยะที่ ๒ เพื่อสนองพระราชดำริสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะพื้นที่ป่าต้นน้ำและพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนตามแนวทางการอยู่ร่วมกันของคนกับป่า และเพื่อพัฒนาคนในพื้นที่ลุ่มน้ำ มุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและสมดุลกับการอนุรักษ์ ตามแนวพระราชดำริการพัฒนาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๑.๒ ประเด็นการพัฒนา ๑.๒.๑ จัดตั้งถิ่นฐานถาวรในพื้นที่ลุ่มน้ำตามแนวพระราชดำริ สร้างความเข้มแข็งของชุมชน เสริมสร้างการเรียนรู้ และพัฒนาส่งเสริมอาชีพ ๑.๒.๒ บริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม น้ำ ดิน และป่า ในลักษณะองค์รวม มุ่งพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำและสนับสนุนความมั่นคงด้านอาหาร ๑.๒.๓ สร้างความมั่นคงในการดำเนินชีวิตของประชาชน สร้างโอกาสการเข้าถึงบริการ และใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ และสร้างความมั่นคงในอาชีพ ๑.๒.๔ เตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทุกด้าน ๑.๓ ยุทธศาสตร์การพัฒนา ๑.๓.๑ การพัฒนาและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๑.๓.๒ การพัฒนาและส่งเสริมอาชีพเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ ๑.๓.๓ การพัฒนาคุณภาพชีวิตของคน ๑.๓.๔ การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ ๑.๔ องค์กรบริหารงาน ๑.๔.๑ ระดับนโยบาย ได้แก่ คณะกรรมการอำนวยการโครงการรักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานกรรมการ ที่ปรึกษาโครงการพระราชดำริ สำนักราชเลขาธิการ (พลเอก นิพนธ์ ภารัญนิตย์) เป็นรองประธานกรรมการ และมีรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ที่ได้รับมอบหมาย) เป็นกรรมการและเลขานุการ ๑.๔.๒ ระดับบริหารและอำนวยการ ได้แก่ คณะกรรมการบริหารและกำกับดูแลโครงการรักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน มีปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการ เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กรมชลประทาน กรมพัฒนาที่ดิน กรมส่งเสริมการเกษตร กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และกรมป่าไม้ โดยมีหัวหน้าศูนย์ประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นกรรมการและเลขานุการ ทั้งนี้ โดยมีศูนย์ประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นศูนย์กลางการดำเนินงานโครงการรักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน ๑.๔.๓ ระดับปฏิบัติ ได้แก่ คณะทำงานโครงการรักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน จังหวัด...... รับผิดชอบดำเนินงานในระดับจังหวัดแต่ละจังหวัด โดยมีเกษตรและสหกรณ์จังหวัดและหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายในแต่ละจังหวัดร่วมเป็นฝ่ายเลขานุการคณะทำงานฯ และเป็นแกนกลางดำเนินงานระดับจังหวัด ๒. ให้ประธานกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูงหรือผู้แทน ร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการอำนวยการโครงการรักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน และให้ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) หรือผู้แทน ร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการบริหารและกำกับดูแลโครงการรักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน ๓. สำหรับการดำเนินการตามแผนแม่บทโครงการรักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน ให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) รับไปพิจารณาในคณะกรรมการโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินีเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ ร่วมกับคณะกรรมการและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาในรายละเอียดและค่าใช้จ่ายของโครงการต่าง ๆ และบูรณาการการดำเนินโครงการเกี่ยวกับการปลูกป่าของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้เป็นระบบ มีเอกภาพ และไม่เกิดความซ้ำซ้อน และดำเนินการต่อไปได้ ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับแนวทางการขับเคลื่อนแผนแม่บทฯ ระยะที่ ๒ ในระดับนโยบาย/ระดับบริหารและอำนวยการ ควรมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมบริหารจัดการและผลักดันการดำเนินงานตามแผนแม่บทฯ ระยะที่ ๒ ให้ครอบคลุมประเด็นทั้งด้านสุขภาพอนามัย ด้านการศึกษาในท้องถิ่นทุรกันดาร และการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และควรมีกลไกทำงานเชิงรุก ประสานและบูรณาการร่วมกับแผนแม่บท/แผนปฏิบัติการ/กิจกรรมในพื้นที่เป้าหมายที่หน่วยงานทั้งภายในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงต่าง ๆ ที่มีอยู่เพื่อดำเนินการให้บรรลุตามเป้าหมายของแผนแม่บทฯ ระยะที่ ๒ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการถ่ายทอดข้อมูลและความรู้ในการประกอบอาชีพให้กับเกษตรกรเพื่อสร้างศักยภาพในการพึ่งพาตนเอง และพัฒนาผู้นำกลุ่มและเครือข่ายการผลิตให้มีความเข้มแข็ง สามารถเข้าใจและเชื่อมโยงกับหน่วยงานรัฐในกระบวนการผลิตที่สอดคล้องกับสภาพนิเวศน์บนพื้นที่สูง ส่งเสริมและสนับสนุนการทำเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่บริเวณต้นน้ำเพื่อแก้ปัญหาดินขาดอินทรีย์วัตถุและป้องกันการปนเปื้อนสารเคมีไปยังปลายน้ำ และการนำวัตถุดิบที่เหลือใช้จากการเกษตรมาผลิตพลังงานทดแทนสำหรับใช้ในระดับครัวเรือนและชุมชน รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้ชุมชนท้องถิ่นสามารถมีส่วนร่วมในการดำเนินการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับภาครัฐมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยในส่วนของกระทรวงพลังงานให้เน้นการส่งเสริมการปลูกป่าที่เป็นพืชพลังงานทดแทน ๕. ให้คณะกรรมการโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษาฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงข้อมูลการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในความรับผิดชอบกับคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ กบอ. ให้เหมาะสมสอดคล้องกันต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
29488 | ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ 10/2555 | วท | 02/10/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า การพิจารณาความเหมาะสมและจำเป็นเร่งด่วนของโครงการต่าง ๆ เพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยนั้น ควรยึดหลักการในการพิจารณาด้วยว่า
๑. เป็นโครงการต่อเนื่องหรือเชื่อมโยงกับโครงการ/งานเดิมที่ได้รับอนุมัติ และเริ่มดำเนินการไปแล้ว และจำเป็นที่จะต้องได้รับอนุมัติโครงการเพิ่มเติมเพื่อให้การป้องกันหรือแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ของโครงการแล้วเสร็จ ครบถ้วน เป็นระบบ โดยหากไม่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินโครงการดังกล่าวเพิ่มเติมจะมีผลทำให้โครงการที่ได้ดำเนินการไปก่อนแล้ว ไม่เกิดประโยชน์หรือไม่สามารถป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร หรือ ๒. เป็นโครงการใหม่ที่จำเป็นเร่งด่วนจะต้องดำเนินการเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย และมิได้เป็นโครงการซึ่งอยู่ในกรอบแนวคิด (Conceptual Plan) เพื่อออกแบบก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย โดยหากเป็นโครงการที่อยู่ในกรอบแนวคิดฯ อยู่แล้ว ก็สมควรรอไว้ดำเนินการตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกกรอบแนวคิดเพื่อออกแบบก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทยต่อไป โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยรับไปพิจารณาทบทวนในคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย โดยยึดตามหลักการข้างต้นให้ครอบคลุมถึงโครงการติดตั้งสถานีสูบน้ำคลองพระพิมล ๒ โครงการปรับปรุงคันคลองชัยนาท-ป่าสักฝั่งซ้าย กม. ๙๑+๑๐๐ ถึง กม. ๑๒๑+๓๘๓ โครงการอาคารประกอบประตูระบายน้ำคลองบางกรวย อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี และโครงการปรับปรุงคันคลองเชียงรากน้อยด้านทิศใต้ ช่วงหนึ่งและช่วงสอง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||||||||
29489 | การโอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุคืนให้แก่ผู้ยกให้ ราย นายรณชัย จิตรวิเศษ | กค | 02/10/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ อน.๕๔๐ โฉนดที่ดินเลขที่ ๒๑๔๘๔ ตำบลดอนขวาง อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี เนื้อที่ประมาณ ๓ ไร่ คืนให้แก่นายรณชัย จิตรวิเศษ ผู้ยกให้กระทรวงการคลังเพื่อใช้ประโยชน์ในราชการของสำนักงานบังคับคดีและวางทรัพย์จังหวัดอุทัยธานี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
29490 | ขอให้คณะรัฐมนตรีมีมติสนับสนุนให้ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจและองค์การมหาชน รวมทั้งเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐเข้าศึกษาในหลักสูตร ประกาศนียบัตร ไทยกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยไม่ถือเป็นวันลา และเบิกค่าใช้จ่ายจากต้นสังกัดได้ | พป | 02/10/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการสนับสนุนให้ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจและองค์การมหาชน รวมทั้งเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐเข้าศึกษาในหลักสูตรประกาศนียบัตร ไทยกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เพื่อเป็นการเตรียมตัวเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน สร้างความตระหนักและความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโอกาสที่ประเทศไทยจะได้รับจากการเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ตลอดจนเป็นการวิเคราะห์ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างรอบด้านและเป็นระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ระยะเวลาในการศึกษาอบรมโดยรวมประมาณ ๖ เดือน โดยไม่ถือเป็นวันลา และเบิกค่าใช้จ่ายจากต้นสังกัดได้ ตามที่สถาบันพระปกเกล้าเสนอ โดยให้เป็นไปตามดุลพินิจของหัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน รวมทั้งหน่วยงานอื่นของรัฐที่จะพิจารณาโดยคำนึงถึงประโยชน์ของหน่วยงานภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับการจัดสรร ๒. ให้หน่วยงานต่าง ๆ รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้ผู้ที่เข้ารับการศึกษาในหลักสูตรประกาศนียบัตร ไทยกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนมีการเผยแพร่ความรู้ดังกล่าวภายในหน่วยงานที่สังกัด เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่บุคลากรภายในหน่วยงาน ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
29491 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวน ที่ตั้ง เขตศาล และวันเปิดทำการ ของศาลอุทธรณ์ภาค (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศย | 02/10/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวน ที่ตั้ง เขตศาล และวันเปิดทำการของศาลอุทธรณ์ภาค (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ย้ายที่ตั้งของศาลอุทธรณ์ภาค ๓ จากกรุงเทพมหานครไปยังจังหวัดนครราชสีมา ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ จากกรุงเทพมหานครไปยังจังหวัดขอนแก่น และศาลอุทธรณ์ภาค ๖ จากกรุงเทพมหานครไปยังจังหวัดนครสวรรค์ โดยให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการย้ายที่ตั้งศาลอุทธรณ์ภาค ๓ จากกรุงเทพมหานครไปยังจังหวัดนครราชสีมา ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ จากกรุงเทพมหานครไปยังจังหวัดขอนแก่น และศาลอุทธรณ์ภาค ๖ จากกรุงเทพมหานครไปยังจังหวัดนครสวรรค์ ให้สำนักงานศาลยุติธรรมปรับแผนการใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ หรือใช้จ่ายจากเงินรายได้ของสำนักงานศาลยุติธรรมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
29492 | ขออนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร) (นายสมบูรณ์ เมฆไพบูลย์วัฒนา) | ทก | 25/09/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายสมบูรณ์ เมฆไพบูลย์วัฒนา ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการสื่อสาร (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ตั้งแต่วันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
29493 | รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาสที่ 2 ปี 2555 และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนสิงหาคม 2555 | อก | 25/09/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาสที่ ๒ (เมษายน - มิถุนายน) พ.ศ. ๒๕๕๕ และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาสที่ ๒ (เมษายน - มิถุนายน) พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๑ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ในไตรมาสที่ ๑ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ขยายตัวร้อยละ ๐.๓ ขยายตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ ๔ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งหดตัวที่ร้อยละ ๘.๙ แต่ชะลอตัวลงจากไตรมาสที่ ๑ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ขยายตัวร้อยละ ๓.๒ โดยปัจจัยที่ทำให้อัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ ๔ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ คือ อุปสงค์ในประเทศโดยรวมเริ่มดีขึ้น ในขณะที่อุปสงค์ต่างประเทศยังคงหดตัวแต่เริ่มปรับตัวดีขึ้น การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของครัวเรือนขยายตัว เป็นผลมาจากการใช้จ่ายในหมวดสินค้าไม่คงทนและสินค้ากึ่งคงทนที่ขยายตัว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกำลังซื้อภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นจากการชดเชยผลกระทบของอุทกภัยจากรัฐบาล ส่วนสินค้าคงทนยังคงหดตัว อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวเล็กน้อย อัตราการว่างงานสูงขึ้นเล็กน้อยแต่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและไฟฟ้าเริ่มขยับตัวสูงขึ้น การลงทุนรวมขยายตัว โดยการลงทุนภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน การลงทุนภาครัฐยังคงหดตัว การส่งออกสินค้าและบริการยังคงหดตัวแต่ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่การนำเข้าสินค้าและบริการขยายตัว ๑.๒ GDP สาขาอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ ๑ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ หดตัวร้อยละ ๔.๒ ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสที่ ๔ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่หดตัวร้อยละ ๒๑.๖ แต่หดตัวจากไตรมาสที่ ๑ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ขยายตัวร้อยละ ๑.๗ เป็นผลมาจากโรงงานที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยเริ่มฟื้นตัวกลับมาผลิตใหม่ ปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนในบางอุตสาหกรรมการผลิตคลี่คลาย โดยอุตสาหกรรมสิ่งทอเสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่ม หนังและผลิตภัณฑ์จากหนังหดตัว เนื่องจากปัญหาความผันผวนของราคาวัตถุดิบ อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ยังคงหดตัว เนื่องจากนิคมอุตสาหกรรมหลายแหล่งที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยอยู่ระหว่างฟื้นฟูโรงงานทำให้ยังไม่สามารถดำเนินการผลิตได้เต็มประสิทธิภาพ ๑.๓ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จะขยายตัวร้อยละ ๕.๕ - ๖.๕ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ขยายตัวร้อยละ ๐.๑ ๑.๔ ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ ๒ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ พบว่า บางตัวมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เช่น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม โดยอุตสาหกรรมที่มีการผลิตลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้แก่ Hard Disk Drive ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป เป็นต้น ส่วนมูลค่าการส่งออกในภาพรวมขยายตัวเล็กน้อยร้อยละ ๐.๓๔ (มกราคม - มิถุนายน ๒๕๕๕) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป เป็นต้น ๑.๕ การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาแต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ ๒.๑ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม แนวโน้มการผลิตในภาพรวมและการส่งออก คาดว่าจะชะลอตัวต่อไป เนื่องจากความยืดเยื้อของปัญหาวิกฤตสหภาพยุโรป ด้านการส่งออกคาดว่าจะชะลอตัวลงสอดคล้องกับการผลิต สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวัง คือ ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ประกอบกับราคาฝ้ายในตลาดล่วงหน้าที่เป็นแนวโน้มขาขึ้น ๒.๒ อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ แนวโน้มภาวะอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ในประเทศ คาดว่าจะขยายตัวได้ แม้จะอยู่ในช่วงฤดูฝน โดยปัจจัยสำคัญที่จะมีส่วนสนับสนุน คือ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และการใช้ปูนซีเมนต์ในการผลิตวัสดุก่อสร้าง และวัสดุทดแทนไม้ซึ่งได้รับความนิยมมากจากตลาดทั้งในและต่างประเทศ สำหรับการส่งออกคาดว่ายังขยายตัวได้ เนื่องจากประเทศที่เป็นตลาดหลักของไทย (กัมพูชา เมียนมาร์ ลาว เวียดนาม บังคลาเทศ และศรีลังกา) ยังมีแนวโน้มในการขยายตัวทางเศรษฐกิจในทิศทางที่ดี จึงมีความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ และวัสดุทดแทนไม้ เพื่อการก่อสร้างเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในช่วงปลายปี ซึ่งเริ่มเข้าสู่ฤดูก่อสร้าง
|
||||||||||||||||||||||||
29494 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 60 ปี กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. .... | กค | 25/09/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก ๖๐ ปี กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดชนิด ราคา โลหะ อัตราเนื้อโลหะ น้ำหนัก ขนาด อัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด ลวดลาย และลักษณะอื่น ๆ ของเหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ราคายี่สิบบาทหนึ่งชนิด ออกใช้เพื่อเป็นที่ระลึกเนื่องในโอกาสครบ ๖๐ ปี กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ในวันที่ ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
29495 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมกรรมการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 25/09/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมกรรมการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้ “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้ง และกำหนดองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ไว้โดยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ประกาศพระบรมราชโองการ หรือระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งออกตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน หรือโดยประธานรัฐสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา คณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาล หรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัดซึ่งได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ๑.๒ กำหนดให้กรรมการได้รับเบี้ยประชุมรายเดือน สำหรับกรรมการในคณะกรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งและกำหนดองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ไว้โดยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ประกาศพระบรมราชโองการ หรือระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งออกตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งมีภาระหน้าที่และความรับผิดชอบสูง ปฏิบัติงานในด้านการกำหนดนโยบายอันมีผลกระทบต่อการบริหาร เศรษฐกิจ หรือสังคมในภาพรวมของประเทศ ทั้งนี้ ตามรายชื่อคณะกรรมการและอัตราเบี้ยประชุมที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ๒. ให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ไปพิจารณาดำเนินการด้วยว่า การเบิกจ่ายเบี้ยประชุมกรรมการตามพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมกรรมการ พ.ศ. ๒๕๔๗ ที่ผ่านมา ส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ ยังมีความเข้าใจที่ไม่สอดคล้องกัน โดยเฉพาะกรณีของคณะกรรมการที่จะได้รับเบี้ยประชุมตามพระราชกฤษฎีกาฯ สมควรที่จะได้จัดทำคำอธิบายสาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ให้แก่ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
29496 | ข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 12) เกี่ยวกับนโยบายการบูรณาการสิทธิของผู้ป่วยที่พึงได้รับจากระบบประกันสุขภาพต่าง ๆ ในปัจจุบัน [ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ] | นร | 25/09/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๑๒) เกี่ยวกับนโยบายการบูรณาการสิทธิของผู้ป่วยที่พึงได้รับจากระบบประกันสุขภาพต่าง ๆ ในปัจจุบันว่า ระบบดูแลสุขภาพที่รัฐจัดเป็นสวัสดิการขั้นพื้นฐานให้แก่พลเมืองสมควรดำเนินการอย่างทั่วถึงตามกำลังงบประมาณของประเทศมากกว่าการมุ่งที่จะให้พลเมืองทุกคนได้รับสิทธิต่าง ๆ อย่างเท่าเทียมกัน เนื่องจากลักษณะของผู้มีสิทธิในแต่ละระบบสวัสดิการยังมีความแตกต่างกัน การที่จะกำหนดให้ผู้มีสิทธิได้รับสิทธิเท่าเทียมกันอาจก่อให้เกิดปัญหาในเชิงระบบและเป็นภาระแก่งบประมาณของประเทศจำนวนมาก อีกทั้งการจัดระบบสวัสดิการนั้นควรเป็นไปในลักษณะที่ฝ่ายผู้รับบริการต้องมีส่วนร่วมในค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นด้วย เพื่อมิให้มีการใช้บริการเกินความจำเป็นและเป็นภาระแก่งบประมาณของประเทศจนเกินสมควร ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
29497 | การยุติการดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง | อส | 25/09/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการพิจารณาชี้ขาดการยุติในการดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ ๓/๒๕๕๔ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๔ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๔ ครั้งที่ ๖/๒๕๕๔ และครั้งที่ ๗/๒๕๕๔ โดยคณะกรรมการฯ ได้พิจารณาตัดสินชี้ขาดการดำเนินคดีระหว่างส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ กับเอกชน และข้อพิพาทระหว่างส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจด้วยกันเอง รวม ๙๘ เรื่อง ประกอบด้วย การดำเนินคดีระหว่างส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจกับเอกชน พิจารณาคดีเสร็จสิ้น จำนวน ๖๙ เรื่อง และข้อพิพาทระหว่างส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจด้วยกันเอง พิจารณาคดีเสร็จสิ้น จำนวน ๒๙ เรื่อง ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
29498 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลพระธาตุบังพวน อำเภอเมืองหนองคาย และตำบลหนองนาง อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 25/09/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลพระธาตุบังพวน อำเภอเมืองหนองคาย และตำบลหนองนาง อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลพระธาตุบังพวน อำเภอเมืองหนองคาย และตำบลหนองนาง อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
29499 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลหนองโดน อำเภอหนองโดน และตำบลสร่างโศก ตำบลตลาดน้อย อำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 25/09/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลหนองโดน อำเภอหนองโดน และตำบลสร่างโศก ตำบลตลาดน้อย อำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลหนองโดน อำเภอหนองโดน และตำบลสร่างโศก ตำบลตลาดน้อย อำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
29500 | การขอความเห็นต่อร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศระหว่างกระทรวงกลาโหมไทยและกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (Agreement on Defence Cooperation between the Ministry of Defence of the Kingdom of Thailand and the Ministry of National Defence of the Socialist Republic of Vietnam) | กห | 25/09/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงกลาโหมจัดทำความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศระหว่างกระทรวงกลาโหมไทยและกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (Agreement on Defence Cooperation between the Ministry of Defence of the Kingdom of Thailand and the Ministry of National Defence of the Socialist Republic of Vietnam) โดยสาระสำคัญของร่างความตกลงฯ ภายใต้กรอบของกฎหมายคู่ภาคีจะผลักดันและเสริมสร้างความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศที่อาจรวมถึง แต่ไม่จำกัดอยู่ภายใต้สาขาต่าง ๆ ได้แก่ การหารือด้านนโยบายความมั่นคง และการป้องกันประเทศ การฝึกศึกษา และการฝึกร่วม การลาดตระเวนร่วม การข่าวด้านการป้องกันประเทศ การพัฒนาทรัพยากรบุคคล วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี การส่งกำลังบำรุง อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ การปฏิบัติการรักษาสันติภาพ และการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม การต่อต้านการก่อการร้าย การบริการทางการแพทย์ทหาร และการฝึกการต่อต้านความท้าทายความมั่นคงรูปแบบใหม่ ซึ่งสาระและรูปแบบของความร่วมมือดังกล่าวจะให้หน่วยงานที่ได้รับมอบอำนาจของคู่ภาคีกำหนดรายละเอียดของความร่วมมือในความตกลงอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสอดคล้องกับความตกลงฯ ต่อไป ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในร่างความตกลงฯ ๑.๓ หากมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของร่างความตกลงฯ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญ ให้กระทรวงกลาโหมพิจารณาดำเนินการได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหมได้ปรับแก้ไขถ้อยคำและเนื้อหาในร่างความตกลงฯ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว ๒. ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการปรับแก้ในส่วนของถ้อยคำของร่างความตกลงฯ ฉบับภาษาอังกฤษ และปรับแก้คำแปลภาษาไทยให้ตรงตามร่างฉบับภาษาอังกฤษ ไปดำเนินการด้วย |
.....