ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1478 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 29541 - 29560 จากข้อมูลทั้งหมด 124231 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
29541 | ขออนุมัติร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ รวม 3 ฉบับ | พณ | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศ รวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา ดังนี้ ๑.๑ ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้หอมแดงเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๑.๑ กำหนดให้หอมแดงเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองสุขอนามัยพืช (Phytosanitary Certificate) ที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐของประเทศผู้ส่งออก หรือออกให้โดยหน่วยงานหรือสถาบันที่หน่วยงานของรัฐของประเทศผู้ส่งออกให้การรับรอง (Competent Authority : CA) แสดงต่อกรมศุลกากรประกอบการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ๑.๑.๒ ให้หอมแดงเป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการเพื่อประโยชน์ในการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักรตามที่กำหนด ๑.๒ ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ส้มเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... ๑.๒.๑ กำหนดให้ส้มเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองสุขอนามัยพืช (Phytosanitary Certificate) ที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐของประเทศผู้ส่งออก หรือออกให้โดยหน่วยงานหรือสถาบันที่หน่วยงานของรัฐของประเทศผู้ส่งออกให้การรับรอง (Competent Authority : CA) แสดงต่อกรมศุลกากรประกอบการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ๑.๒.๒ ให้ส้มเป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการเพื่อประโยชน์ในการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักรตามที่กำหนด ๑.๓ ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้เครื่องในสุกรเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๓.๑ กำหนดให้เครื่องในสุกรเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองสุขอนามัย (Health Certificate) ที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐของประเทศผู้ส่งออก หรือออกให้โดยหน่วยงานหรือสถาบันที่หน่วยงานของรัฐของประเทศผู้ส่งออกให้การรับรอง (Competent Authority : CA) แสดงต่อกรมศุลกากรประกอบการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ๑.๓.๒ ให้เครื่องในสุกรเป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการเพื่อประโยชน์ในการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักรตามที่กำหนด ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เกี่ยวกับการกำหนดช่วงระยะเวลาการนำเข้า เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้สินค้าเข้ามาในช่วงที่ผลผลิตของไทยออกสู่ตลาด ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการการนำเข้าสินค้าหอมแดง ส้ม และเครื่องในสุกร เพื่อลดปัญหาที่รัฐบาลต้องเข้าไปแทรกแซงราคาสินค้าเกษตรในช่วงที่ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ รวมทั้งให้ความสำคัญกับความเข้มงวดในการตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัยเป็นหลักทั้งศัตรูพืช โรคพืชและสัตว์ สารปนเปื้อนต่าง ๆ และความปลอดภัยด้านอาหารภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยการบังคับใช้กฎหมายที่ด่านศุลกากรและตามแนวชายแดนต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันมิให้มีการลักลอบนำเข้าสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
29542 | การส่งเสริมและสนับสนุนให้สหกรณ์เป็นวาระแห่งชาติในโอกาสทศวรรษครบ 100 ปี ของการสหกรณ์ไทย | กษ | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการยุทธศาสตร์และแนวทางในการดำเนินงานตามข้อเสนอวาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามยุทธศาสตร์และแนวทางในการดำเนินงาน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สำหรับแนวทางในการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์วาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์ ประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ (๑๓ กลยุทธ์) สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ สร้างและพัฒนาการเรียนรู้และทักษะการสหกรณ์สู่วิถีชีวิตประชาชนในชาติ ประกอบด้วย ๒ กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์ที่ ๑ ผลักดันการจัดการเรียนรู้และทักษะการสหกรณ์สู่วิถีชีวิตประชาชนในระบบการศึกษา และกลยุทธ์ที่ ๒ สร้างและผลักดันการจัดการเรียนรู้และทักษะการสหกรณ์สู่วิถีชีวิตประชาชนนอกระบบการศึกษา ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ สนับสนุนและพัฒนาการรวมกลุ่มของประชาชนด้วยวิธีการสหกรณ์ให้เป็นฐานรากสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ประกอบด้วย ๒ กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์ที่ ๑ สร้างความเข้มแข็งให้กลุ่มเศรษฐกิจและสังคมในชุมชนโดยใช้วิธีการสหกรณ์เป็นแนวทางในการดำเนินงาน และกลยุทธ์ที่ ๒ ส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ใช้ระบบสหกรณ์เป็นกลไกในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ เพิ่มศักยภาพการเชื่อมโยงเครือข่ายระบบการผลิตการตลาดและการเงินของสหกรณ์ ประกอบด้วย ๓ กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์ที่ ๑ การสร้างเครือข่ายกลุ่มผู้ผลิตสินค้าคุณภาพเพื่อยกระดับสินค้าสหกรณ์ให้ได้มาตรฐาน กลยุทธ์ที่ ๒ การสร้างเครือข่ายการตลาดสินค้าสหกรณ์ และกลยุทธ์ที่ ๓ เชื่อมโยงเครือข่ายการเงินสหกรณ์ ๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ สนับสนุนแผนพัฒนาการสหกรณ์ให้เป็นเครื่องมือในการสร้างความเข้มแข็งของขบวนการสหกรณ์ มี ๑ กลยุทธ์ คือ ผลักดันแผนพัฒนาการสหกรณ์สู่การปฏิบัติ ๑.๕ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ ปฏิรูปโครงสร้างหน่วยงานภาครัฐ ขบวนการสหกรณ์ และปรับปรุงกฎหมายสหกรณ์ให้เอื้อต่อการพัฒนา ประกอบด้วย ๔ กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์ที่ ๑ การปฏิรูปโครงสร้างหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวกับงานส่งเสริมสหกรณ์ กลยุทธ์ที่ ๒ ปฏิรูปโครงสร้างสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย กลยุทธ์ที่ ๓ ปรับปรุงโครงสร้างชุมนุมสหกรณ์ และสหกรณ์ และกลยุทธ์ที่ ๔ ปรับปรุงกฎหมายสหกรณ์ให้เอื้อต่อการส่งเสริมและพัฒนาสหกรณ์ ภายใต้หลักการอุดมการณ์ และวิธีการสหกรณ์ให้เหมาะสมกับสหกรณ์แต่ละประเภท ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาทบทวนแนวทางการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์วาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมประเด็นการพัฒนา ให้สหกรณ์ดำเนินการได้อย่างเป็นมืออาชีพ โปร่งใส และตรวจสอบได้ และยุทธศาสตร์ที่ ๕ ในส่วนที่เกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างหน่วยงาน อำนาจหน้าที่ อัตรากำลัง รวมทั้งการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอน ข้อกฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรร่วมกันจัดทำแผนปฏิบัติการตามยุทธศาสตร์ในวาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์ที่มีรายละเอียดของแผนงาน/โครงการ งบประมาณ และหน่วยงานรับผิดชอบในแต่ละประเด็นยุทธศาสตร์อย่างชัดเจน และให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้สหกรณ์ ชุมนุมสหกรณ์ และสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย รวมทั้งเครือข่ายการพัฒนาที่เกี่ยวข้องให้มีการดำเนินการที่เอื้อและส่งเสริมกันและกันอย่างมีเอกภาพ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับสหกรณ์แต่ละประเภทในทุกระดับ มีความเป็นอิสระ มีความคล่องตัวในการดำเนินงาน และมีความสามารถในการพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ๔. สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณมาดำเนินการ ส่วนในปีต่อ ๆ ไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||
29543 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลเหมืองง่า ตำบลในเมือง ตำบลต้นธง และตำบลบ้านแป้น อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | มท | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลเหมืองง่า ตำบลในเมือง ตำบลต้นธง และตำบลบ้านแป้น อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างและขยายถนนสายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๐๖ กับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๐๓๓ ในท้องที่ตำบลเหมืองง่า ตำบลในเมือง ตำบลต้นธง และตำบลบ้านแป้น อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์นั้น ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
29544 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษารังสิตเหนือ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษารังสิตเหนือ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองซอย ๓ จากกิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลคลองสาม อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ถึงกิโลเมตรที่ ๑๘.๘๕๐ ในท้องที่ตำบลบึงยี่โถ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี และทางน้ำชลประทานคลองซอย ๒๖ จากกิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลลำไทร ตำบลพยอม อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ถึงกิโลเมตรที่ ๑๓.๕๐๐ ตำบลวังน้อย ตำบลตาเสา อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
29545 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 18 แผนงาน IMT-GT | นร11 | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๑๘ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT-GT) เมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๕ ณ รัฐเนกรีเซมบิลัน ประเทศมาเลเซีย ๑.๒ เห็นชอบในการมอบหมายหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๑๘ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดประชุมและกำกับติดตามการดำเนินการและบูรณาการด้านการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ พร้อมทั้งติดตามการประสานงานระหว่างหน่วยงานส่วนกลาง ๑๔ จังหวัดภาคใต้ และสภาธุรกิจ IMT-GT (ประเทศไทย) เพื่อให้มีความก้าวหน้าและสามารถรายงานผลต่อที่ประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๗ แผนงาน IMT-GT ในเดือนเมษายน ๒๕๕๖ ณ ประเทศบรูไนดารุสซาลาม ๑.๓ เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยหารือในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณในการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนการดำเนินภารกิจของผู้ว่าราชการจังหวัด ๑๔ จังหวัดภาคใต้ ในการเข้าร่วมกิจกรรมในกรอบการประชุมระดับมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด และการเข้าร่วมการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในกรอบแผนงาน IMT-GT รวมทั้งภารกิจในการจัดตั้งสำนักงานฝ่ายเลขานุการของกรอบมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางที่ได้รับมอบจากการประชุมระดับรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ ๑ ๑.๔ เห็นชอบในการมอบหมายสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานกลางร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการประสานขอรับการสนับสนุนทางวิชาการจากธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) สถาบันวิจัยทางเศรษฐกิจสำหรับอาเซียนและเอเชียตะวันออก (ERIA) และองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) ในการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับโครงการภายใต้กรอบแผนงาน IMT-GT รวมทั้งการร่วมมือกับศูนย์ประสานความร่วมมืออนุภูมิภาค IMT-GT ในการแสวงหาความร่วมมือกับหุ้นส่วนการพัฒนาในปัจจุบัน ได้แก่ รัฐบาลญี่ปุ่น และหุ้นส่วนการพัฒนาที่มีศักยภาพในภูมิภาคเอเชียใต้และแปซิฟิก ๒. สำหรับงบประมาณสนับสนุนการดำเนินภารกิจของผู้ว่าราชการจังหวัด ๑๔ จังหวัดภาคใต้ ในการเข้าร่วมกิจกรรมในกรอบการประชุมระดับมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด และการเข้าร่วมการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในกรอบแผนงาน IMT-GT รวมทั้งภารกิจในการจัดตั้งสำนักงานฝ่ายเลขานุการของกรอบมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด ที่ต้องดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเจียดจ่ายหรือปรับแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ส่วนภารกิจที่ต้องดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และปีต่อ ๆ ไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||
29546 | ขอความเห็นชอบในการรับรองแถลงการณ์ร่วมการประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรี ในการประชุม 19th World Congress on Intelligent Transport Systems ณ กรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย | คค | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการรับรองแถลงการณ์ร่วมการประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีในการประชุม 19th World Congress on Intelligent Transport Systems ณ กรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยแถลงการณ์ร่วมฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. จะให้การสนับสนุนเพื่อให้คำมั่นทางการเมืองที่มากขึ้น ในการนำเอาเทคโนโลยีและบริการด้านระบบขนส่งอัจฉริยะที่เหมาะสมมาบูรณาการเข้ากับนโยบายด้านการขนส่งระดับชาติ ๒. ขอให้ชุมชนระบบขนส่งอัจฉริยะระดับโลก ระบุความท้าทายใหม่ ๆ โอกาสและเรื่องราวความสำเร็จ เพื่อสนับสนุนให้นำเอาระบบขนส่งอัจฉริยะไปใช้ในระดับโลก ๓. ในการประชุมระดับรัฐมนตรีในงาน ITS World Congress ครั้งต่อ ๆ ไป ขอให้มีการหารือถึงความคืบหน้าของโครงการความร่วมมือ และระบุประเด็นปัญหาสำคัญเพื่อบรรจุเป็นวาระระดับนานาชาติ และเชิญองค์กรระดับชาติที่เกี่ยวข้องและองค์กรทางกฎหมายเพื่อลงมือปฏิบัติ |
||||||||||||||||||
29547 | การปรับปรุงค่าตอบแทนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ (ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา) | ศธ | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๑๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุตามคุณวุฒิการศึกษาของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ๒. เห็นชอบการปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุใหม่ โดยให้มีผลใช้บังคับพร้อมกับการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุด้วย ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ๓. เห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดอัตราเงินเดือนสำหรับคุณวุฒิที่คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) รับรอง เพื่อการบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา |
||||||||||||||||||
29548 | ขอโอนเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) โอนเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จากแผนงานการจัดการหนี้ภาครัฐ โครงการชำระหนี้เงินกู้เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน เป็นแผนงานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โครงการเงินอุดหนุนเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน จำนวน ๒,๘๓๐.๔๘๖๔ ล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ และให้ ขสมก. เร่งรัดคณะผู้ตรวจประเมินดำเนินการตรวจสอบค่าใช้จ่ายจากการดำเนินมาตรการฯ ส่วนที่เหลือ คือ ตั้งแต่ช่วงวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณในการขอรับเงินงบประมาณสนับสนุนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ |
||||||||||||||||||
29549 | ขออนุมัติการลงนามในแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) ของการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมไทย - เวียดนามอย่างไม่เป็นทางการ (Joint Cabinet Retreat) ครั้งที่ 2 | กต | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ โดย
๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) ของการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมไทย-เวียดนามอย่างไม่เป็นทางการ (Joint Cabinet Retreat) ครั้งที่ ๒ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ แสดงความยินดีกับพัฒนาการความสัมพันธ์ไทย-เวียดนาม ซึ่งมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องในทุกสาขา ๑.๒ นายกรัฐมนตรีของทั้งสองฝ่ายยินดีกับผลการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วม และเห็นชอบสนับสนุนความร่วมมือใน ๓ ด้าน ได้แก่ ด้านการเมืองและความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ และด้านสังคมและวัฒนธรรม ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศของแต่ละประเทศเป็นผู้ประสานงานหลักในการยกระดับความสัมพันธ์ไปสู่หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ โดยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๔ ทั้งสองประเทศจะร่วมมือกันสนับสนุนการสร้างประชาคมอาเซียนให้สำเร็จในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ย้ำว่าจะทำงานร่วมกันกับประเทศอาเซียนอื่น ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการเป็นประชาคมอาเซียนภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และย้ำความตั้งใจที่จะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับประเทศต่าง ๆ ที่แม่น้ำโขงไหลผ่านเพื่อรักษาการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน ๑.๕ ทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับพัฒนาการในทะเลจีนใต้ พร้อมทั้งเน้นย้ำความสำคัญของสันติภาพ เสถียรภาพ ความมั่นคงและความปลอดภัยทางทะเลในทะเลจีนใต้ และร่วมกันแก้ไขปัญหาความขัดแย้งโดยสันติวิธีบนพื้นฐานของการปฏิบัติตามกฎหมาย และอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทางทะเล ค.ศ. ๑๙๘๒ (UNCLOS) รวมถึงการนำปฏิญญาว่าด้วยแนวปฏิบัติของภาคีในทะเลจีนใต้ (Declaration on the Conduct of Parties in the South China Sea-DOC) แถลงการณ์รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนเรื่องหลักการพื้นฐาน ๖ ข้อของอาเซียนว่าด้วยทะเลจีนใต้ (ASEAN’s Six-Point Principles on the South China Sea) และการหารือเพื่อให้มีการรับรองแนวปฏิบัติในทะเลจีนใต้ (Code of Conduct in the South China Sea-COC) ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ๓. หากมีความจำเป็นที่ต้องแก้ไขปรับปรุงร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนมีการลงนาม ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง |
||||||||||||||||||
29550 | ขออนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร) (นายจำนง แก้วชะฎา) | ทก | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายจำนง แก้วชะฎา ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ
|
||||||||||||||||||
29551 | แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 | อก | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายอาทิตย์ วุฒิคะโร รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นกรรมการผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรมในคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ แทนนายประเสริฐ ตปนียางกูร เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||
29552 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการสนับสนุนการวิจัยชุดใหม่ (จำนวน 10 คน 1. ศาสตราจารย์ปรัชญา เวสารัชช์ ฯลฯ) | นร62 | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการสนับสนุนการวิจัยชุดใหม่ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) จำนวน ๑๐ คน แทนชุดเดิมที่ครบกำหนดสามปีตามวาระ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางนลินี ทวีสิน) เสนอ ดังนี้
๑. ศาสตราจารย์ปรัชญา เวสารัชช์ ประธานกรรมการ ๒. นายสุธรรม วาณิชเสนี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๓. นายประจักษ์ พุ่มวิเศษ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๔. นายวิชัย โชควิวัฒน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๕. นายศิริพงศ์ หังสพฤกษ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๖. ศาสตราจารย์สุทัศน์ ยกส้าน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๗. นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสังคมศาสตร์ ๘. ศาสตราจารย์จรรจา สุวรรณทัต กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสังคมศาสตร์ ๙. ศาสตราจารย์ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านมนุษย์ศาสตร์ ๑๐. นายบุญชู ปโกฏิประภา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ภาคเอกชน) ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
|
||||||||||||||||||
29553 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า (จำนวน 12 คน 1. นายสมยศ เชื้อไทย ฯลฯ) | พณ | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า จำนวน ๑๒ คน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายสมยศ เชื้อไทย ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน ๒. พลตำรวจตรี รัฐวิทย์ แสนทวีสุข ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน ๓. นายจักกพงศ์ ณ บางช้าง ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน ๔. นายปอ อนาวิล ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน ๕. นายบุญมา เตชะวณิช ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน ๖. นายเทียนชัย ปิ่นวิเศษ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน ๗. นายศุทธา ปริยวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน ๘. นายเจษฎา ธรรมวณิช ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน ๙. นายสมศักดิ์ พณิชยกุล ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ ๑๐. นางภาณุมาศ สิทธิเวคิน ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ ๑๑. นายวรารักษ์ ชั้นสามารถ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ ๑๒. นางสาวอรพรรณ พนัสพัฒนา ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ
|
||||||||||||||||||
29554 | ร่างกฎกระทรวงซึ่งออกตามความพระราชบัญญัติการอาชีวศึกษา พ.ศ. 2551 | ศธ | 15/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการรวมสถานที่ศึกษาอาชีวศึกษาเพื่อจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตร พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้รวมสถานศึกษาอาชีวศึกษาจัดตั้งเป็นสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตร ดังนี้ ๑.๑ สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคเหนือ ประกอบด้วยวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีในภาคเหนือ รวม ๙ แห่ง ๑.๒ สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบด้วยวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม ๑๐ แห่ง ๑.๓ สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคกลาง ประกอบด้วยวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีในภาคกลาง รวม ๑๐ แห่ง ๑.๔ สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้ ประกอบด้วยวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีและวิทยาลัยประมงในภาคใต้ รวม ๑๒ แห่ง ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับการจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรโดยการรวมวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีในภูมิภาคเดียวกันขึ้นเป็นสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตร ควรคำนึงถึงความซ้ำซ้อนกับภารกิจของหน่วยงานที่มีลักษณะเดียวกัน และเมื่อมีการจัดตั้งเป็นสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรแล้ว ให้ดำเนินการเปิดรับนักศึกษาและจัดการเรียนการสอนเฉพาะด้านการเกษตร เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งสถาบัน รวมทั้งให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมในการจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษาให้เป็นไปตามกฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์หรือข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจังและมีกรอบเวลาที่ชัดเจนทั้งในเรื่องการสรรหาคณะกรรมการสภาสถาบัน ผู้บริหารสถาบัน คณาจารย์ประจำซึ่งสอนชั้นปริญญาในสถาบัน และมาตรฐานหลักสูตรที่เป็นฐานสมรรถนะ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
29555 | การจ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการเก็บกักน้ำของเขื่อนภูมิพล ปี 2554 | พน | 15/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอมติคณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๕ ซึ่งเห็นชอบในหลักการให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการเก็บกักน้ำของเขื่อนภูมิพล ปี ๒๕๕๔ ทั้งในที่ดินที่มีเอกสารสิทธิและไม่มีเอกสารสิทธิในเขตนิคมสร้างตนเองเขื่อนภูมิพลและสหกรณ์นิคมแม่แจ่ม ที่อยู่นอกเขตหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (นสล.) และอยู่ต่ำกว่าระดับ + ๒๖๐.๐๐ ม.รทก. โดยจ่ายเงินช่วยเหลือค่าต้นไม้และพืชผลที่เสียหายในอัตราต่อต้น ตามชนิด และขนาดของต้นไม้ที่เสียหายจริง ซึ่งได้ดำเนินการสำรวจไว้แล้ว ในหลักเกณฑ์และอัตราตามบัญชีค่าทดแทนต้นไม้ของ กฟผ. ที่ใช้ในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ โดยลดลงร้อยละ ๒๕ ใช้งบทำการของ กฟผ. วงเงินประมาณ ๔๓๐ ล้านบาท โดยมีเงื่อนไข ดังนี้ ๑.๑ การรับเงินช่วยเหลือจะต้องมีเงื่อนไขข้อตกลงที่ผูกพันตามกฎหมายว่าผู้รับเงินช่วยเหลือจะไม่เรียกร้องค่าเสียหายจากการเก็บกักน้ำของเขื่อนภูมิพลอีกต่อไป และผู้มีเอกสารสิทธิในที่ดินจะยินยอมขายที่ดินให้แก่ กฟผ. ในราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิ ๑.๒ เกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบที่เป็นเจ้าของต้นไม้และพืชผลที่เสียหาย ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินที่ครอบครองอยู่โดยไม่มีเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดินในเขตนิคมสร้างตนเองเขื่อนภูมิพลและสหกรณ์นิคมแม่แจ่ม เนื้อที่ประมาณ ๑,๐๐๐ ไร่ เมื่อรับเงินช่วยเหลือแล้ว ผู้ครอบครองที่ดินจะต้องสละสิทธิการครอบครองเพื่อเพิกถอนสิทธิครอบครองที่ดินคืนให้แก่รัฐสำหรับใช้เป็นเขตน้ำท่วมถึง โดยผู้ครอบครองที่ดินจะต้องทำบันทึกส่งมอบการครอบครองที่ดินให้แก่รัฐในวันที่รับเงินช่วยเหลือจาก กฟผ. ๒. ให้ กฟผ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า กฟผ. ควรดำเนินการตามแนวทางการแก้ไขปัญหาและปฏิบัติตามเงื่อนไขในการจ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบได้รับความช่วยเหลือโดยเร็วและเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไปดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
29556 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "บทบาทของภาคประชาสังคมในการส่งเสริมการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม" | สสป | 15/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "บทบาทของภาคประชาสังคมในการส่งเสริมการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม" โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ความเห็นและข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี ๑.๑ รัฐบาลควรมียุทธศาสตร์การปลูกฝังจิตสำนึกของคนไทยในเรื่องประชาสังคมให้คนไทยทุกคนมีจิตสำนึกว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของสังคม จะต้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมและสร้างสรรค์สังคมให้สังคมของเรามีความสงบเรียบร้อย เป็นสังคมคุณธรรม มีความเมตตาเอื้ออาทรต่อกัน ๑.๒ รัฐบาลควรมียุทธศาสตร์การรวมกลุ่มที่หลากหลายโดยความสมัครใจ เป็นองค์การประชาสังคมซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อประชาชนและสังคมอย่างชัดเจนและแท้จริง มีการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ มีการจัดการที่มีประสิทธิผล มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ และเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของประชาชน ๑.๓ รัฐบาลควรมียุทธศาสตร์ส่งเสริมความเข้มแข็งขององค์การประชาสังคม โดยให้การส่งเสริมทั้งในด้านการเงิน วัสดุอุปกรณ์ วิชาการ ขวัญและกำลังใจ เพื่อให้องค์การประชาสังคมสามารถบริหารและดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ประสิทธิผล ๑.๔ รัฐบาลควรมียุทธศาสตร์ส่งเสริมและพัฒนาเครือข่ายประชาสังคม ควรมีการตราพระราชบัญญัติจัดตั้งองค์การประชาสังคม ทั้งในระดับชาติ และในระดับจังหวัด ให้มีกลไกขององค์การประชาสังคมเป็นองค์การประชาสังคมทั้งในระดับชาติและระดับจังหวัด โดยมีกฎหมายรับรองและมีงบประมาณสนับสนุน ๑.๕ รัฐบาลควรมียุทธศาสตร์ส่งเสริมอาสาสมัครเพื่อสังคม ซึ่งเป็นบุคคลซึ่งอาสาเข้ามาช่วยเหลือสังคมด้วยความสมัครใจ เสียสละ โดยการพัฒนาอาสาสมัครให้มีความรู้ ความสามารถ อุดมการณ์และคุณธรรม เพื่อจะได้เป็นกำลังสำคัญของสังคมในการป้องกันแก้ไขปัญหาสังคม การพัฒนาสังคม การส่งเสริมความมั่นคงของชาติ ๑.๖ รัฐบาลควรมียุทธศาสตร์การส่งเสริมธุรกิจเพื่อสังคม เพื่อส่งเสริมสนับสนุนธุรกิจเอกชนให้มีความรับผิดชอบต่อสังคม Corporate Social Responsibility หรือ CSR มีส่วนร่วมในการป้องกันแก้ไขปัญหาสังคม การพัฒนาสังคม การส่งเสริมความมั่นคงของชาติ เพื่อร่วมกันสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมคุณธรรม สังคมที่ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข ๑.๗ รัฐบาลควรมียุทธศาสตร์ระบบพัฒนาการประสานงาน ระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ที่ส่งเสริมประชาสังคม คือ ภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคประชาชน เพื่อการผนึกกำลังของภาคส่วนที่สำคัญของสังคมทั้ง ๔ ภาคส่วน ให้มีการประสานงาน ร่วมมือและร่วมใจกันอย่างใกล้ชิด ๒. ความเห็นและข้อเสนอแนะต่อองค์การประชาสังคม ๒.๑ องค์การเอกชนควรจะมีการพัฒนาให้เป็นองค์การประชาสังคมที่สร้างสรรค์และพึงประสงค์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประชาชนและสังคมอย่างชัดเจนและแท้จริง การบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ มีการจัดการที่มีประสิทธิผล มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ และเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของประชาชน ๒.๒ องค์การประชาสังคมจะต้องพัฒนาองค์การให้มีความเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพในการบริหารและการจัดการ เป็นธรรมาภิบาล โปร่งใส ตรวจสอบได้ คณะกรรมการขององค์การจะต้องเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ ความเสียสละ ความซื่อสัตย์สุจริต ๒.๓ องค์การประชาสังคมจะต้องดำเนินงานให้เป็นประโยชน์แก่ประชาชน สังคม และประเทศชาติ มีบทบาทที่สำคัญในการป้องกันแก้ไขปัญหาสังคม การพัฒนาสังคม การส่งเสริมการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญในการพัฒนาประเทศ ๒.๔ องค์การประชาสังคมควรส่งเสริมสนับสนุนอาสาสมัครเพื่อสังคม เพื่อให้มีความรู้ ความสามารถ มีอุดมการณ์ มีความเสียสละ ยกย่อง ให้ขวัญและกำลังใจแก่อาสาสมัครเพื่อสังคมที่มีผลงานดีเด่น ที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน สังคม และประเทศชาติ ๒.๕ องค์การประชาสังคมควรส่งเสริมการปลูกจิตสำนึกและค่านิยมเกี่ยวกับการให้ การมีความสุขด้วยการให้ ตามพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่พระราชทานเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๔๕ โดยควรส่งเสริมสนับสนุนการเผยแพร่และการปฏิบัติตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริ ๒.๖ องค์การประชาสังคมควรส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันชาติ สถาบันศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ เผยแพร่ความสำคัญ รวมทั้งแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อสถาบันทั้งสาม ๒.๗ องค์การประชาสังคมควรมีบทบาทและส่วนร่วมในการส่งเสริมการศึกษา เพื่อให้การจัดการศึกษาของไทยมีคุณภาพ ๒.๘ องค์การประชาสังคมควรมีบทบาทและส่วนร่วมในการส่งเสริมศาสนาโดยเฉพาะพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติ ๒.๙ องค์การประชาสังคมควรมีบทบาทและส่วนร่วมในการส่งเสริมวัฒนธรรมรณรงค์และร่วมกันอนุรักษ์และพัฒนาวัฒนธรรมอันดีงามของชาติ ส่งเสริมค่านิยมที่ถูกต้องและพึงประสงค์
|
||||||||||||||||||
29557 | ร่างแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมอาเซียนต่อการประชุมระดับสูง ระหว่างสมัยการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ครั้งที่ 11 | ทส | 15/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมอาเซียนต่อการประชุมระดับสูง ระหว่างสมัยการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ครั้งที่ ๑๑ [DRAFT JOINT STATEMENT OF ASEAN ENVIRONMENT MINISTERS FOR THE ELEVENTH MEETING OF THE CONFERENCE OF THE PARTIES TO THE CONVENTION ON BIOLOGICAL DIVERSITY (CBD-COP11)] โดยสาระสำคัญของร่างแถลงการณ์ร่วมฯ เป็นการเน้นย้ำถึงพันธะกิจและเจตนารมณ์ซึ่งสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในฐานะภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ในการดำเนินการเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งในภูมิภาคในการดำเนินการเพื่อบรรลุตามวัตถุประสงค์ของอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ และแผนงานการจัดตั้งประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Blueprint) สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๘ การให้การรับรองพิธีสารนาโงยาว่าด้วยการเข้าถึงและแบ่งปันผลประโยชน์จากทรัพยากรพันธุกรรม เสริมสร้างความตระหนักในคุณค่าและความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพ ตลอดจนการบริการทางระบบนิเวศ และการบูรณาการเรื่องการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพเข้าสู่การลดระดับความยากจน กระตุ้นให้มีความพยายามอย่างจริงจังที่จะปกป้อง อนุรักษ์ และใช้ความหลากหลายทางชีวภาพของอาเซียนอย่างยั่งยืน โดยดำเนินตามแผนกลยุทธ์เพื่อการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๖๓ และเป้าหมายไอจิว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ตระหนักว่าทศวรรษแห่งความหลากหลายทางชีวภาพเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยส่งเสริมการดำเนินงานของภาคีอนุสัญญาฯ ให้บรรลุตามแผนกลยุทธ์เพื่อความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการไปได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารในข้อ ๑ กับรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมในระหว่างการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ครั้งที่ ๑๑ ในระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ ณ เมืองไฮเดอราบาด สาธารณรัฐอินเดีย |
||||||||||||||||||
29558 | การทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษา (MOU) ระหว่างศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) กับองค์กร Muhammadiyah ของสาธารณรัฐอินโดนีเซีย | นร52 | 15/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษา (MOU) ระหว่างศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) กับองค์กร Muhammadiyah ของสาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยให้เลขาธิการ ศอ.บต. เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ตามที่ ศอ.บต. เสนอ ทั้งนี้ ร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ เป้าหมายของการร่วมมือ คือ การส่งเสริมไมตรีจิต มิตรภาพที่ดี และความเข้าใจซึ่งกันและกัน รวมทั้งความร่วมมืออันแน่นแฟ้น โดยการมอบทุนการศึกษาให้นักศึกษาไทยเพื่อการยอมรับในคุณภาพและการอยู่ร่วมกัน ๑.๒ ทุนการศึกษา องค์กร Muhammadiyah มอบทุนการศึกษา (๙ ภาคการศึกษา) ให้แก่นักเรียนไทยในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาในสาขาวิชาต่าง ๆ (ยกเว้นบางคณะ) จำนวน ๒๕๗ ทุน โดยยกเว้นค่าเล่าเรียน (๓ ปีครึ่ง) และค่าเรียนภาษาอินโดนีเซียเป็นเวลา ๔ เดือน ก่อนเดินทางไปศึกษาที่ประเทศอินโดนีเซีย และจัดให้เรียนภาษาอินโดนีเซีย ๓ เดือน ณ ประเทศอินโดนีเซีย แต่ไม่ให้ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าใช้จ่ายส่วนตัว และค่าเครื่องบินไป-กลับ ๑.๓ การคัดเลือก ศอ.บต. ระบุคุณสมบัติของผู้สมัครรับทุน โดยใช้คะแนน O-NET และ A-NET และองค์กร Muhammadiyah จะส่งผู้แทนมาสัมภาษณ์และคัดเลือกผู้สมัคร ณ ศอ.บต. จังหวัดยะลา กองการต่างประเทศ ๑.๔ บันทึกความเข้าใจฯ จะเขียนขึ้นใหม่ในระยะเวลา ๕ ปีข้างหน้า โดยผ่านการลงมติภายใน ๖ เดือนก่อนวันหมดอายุ ๒. ให้ ศอ.บต. รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับการจัดทำบันทึกความเข้าใจฯ ควรระบุพันธะผูกพันภายหลังจากนักศึกษาผู้รับทุนสำเร็จการศึกษาแล้ว เช่น ให้กลับมาประกอบอาชีพ ณ ภูมิลำเนาของตน เป็นต้น และให้ความสำคัญกับการให้ข้อมูลผู้รับทุนที่จะเลือกศึกษาในสาขาวิชาที่ต้องกลับมาสอบใบประกอบวิชาชีพในประเทศไทยหลังสำเร็จการศึกษาว่าจะต้องเลือกสถานศึกษาที่ได้รับการรับรองวิทยฐานะ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาภายหลังสำเร็จการศึกษาแล้ว ไปประกอบการพิจารณาด้วย |
||||||||||||||||||
29559 | การขยายเวลาพำนักในราชอาณาจักรไทย รวม 90 วัน สำหรับกรณีเดินทางเข้ามารับการรักษาพยาบาล | นร09 | 15/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมร่วมระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ และธนาคารแห่งประเทศไทย ในการให้คนต่างด้าวซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อรับการรักษาพยาบาลสามารถเปิดบัญชีเงินฝากกับสถาบันการเงินในประเทศไทย ผลการประชุมปรากฏว่า เมื่อพิจารณาหลักเกณฑ์การให้คนต่างด้าวซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการรักษาพยาบาลและส่งเสริมการท่องเที่ยวของธนาคารแห่งประเทศไทย ประกอบกับกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องแล้ว คนต่างด้าวซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อรับการรักษาพยาบาลสามารถเปิดบัญชีเงินฝากกับสถาบันการเงินในประเทศไทยได้ โดยไม่มีข้อจำกัดหรือเงื่อนไขในเรื่องระยะเวลาในการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
|
||||||||||||||||||
29560 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร07 | 15/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อหนี้ผูกพันรายการใหม่ที่มีวงเงินรวมไม่เกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๑,๐๒๙ รายการ เป็นเงินงบประมาณรายจ่ายของงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๑๗,๘๙๐.๘ ล้านบาท จากวงเงินภาระผูกพันรวมทั้งสิ้นจำนวน ๙๗,๘๑๙.๔ ล้านบาท สำหรับรายการก่อหนี้ผูกพันรายการใหม่ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป จำนวน ๑๘ รายการ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นเจ้าของเรื่องดำเนินการตามระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติเป็นกรณี ๆ ไปอีกครั้งหนึ่ง ๒. อนุมัติให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นที่ไม่สามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) ข้อ ๑.๖ กำหนดให้รายการรายจ่ายลงทุนที่จะขอผูกพันข้ามปีงบประมาณทุกรายการต้องได้รับจัดสรรงบประมาณในปีแรกเป็นจำนวนเงินไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒๐ ของวงเงินรายจ่ายส่วนที่เป็นเงินงบประมาณทั้งสิ้นของรายการนั้น ๆ โดยไม่รวมเงินเผื่อเหลือเผื่อขาด สามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณได้ ๓. อนุมัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักพระราชวัง และสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เปลี่ยนแปลงรายละเอียดของรายการและวงเงินที่กำหนดไว้ในเอกสารงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๔. รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่เสนอในครั้งนี้ หากเป็นรายการที่จะต้องจ่ายในรูปของเงินตราต่างประเทศ เช่น รายการค่าเช่าบ้าน ค่าเช่าอาคารสำนักงาน และค่าเช่าทรัพย์สินในต่างประเทศ ฯลฯ ให้สำนักงบประมาณสามารถพิจารณาอนุมัติวงเงินผูกพันที่เปลี่ยนแปลงไปจากที่ได้รับอนุมัติเนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยน ในกรณีที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นนั้น ๆ สามารถปรับแผนการใช้จ่ายจากงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีก ๕. เนื่องจากพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ มีผลบังคับใช้แล้ว จึงเห็นควรให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นเร่งรัดดำเนินการให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยเฉพาะรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ โดยให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับดูแลและเร่งรัดการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนฯ และมีการติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องต่อไปด้วย
|
.....