ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1473 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 29441 - 29460 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
29441 | ผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานระดับรัฐมนตรีต่างประเทศกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด | กต | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานระดับรัฐมนตรีต่างประเทศกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (Ministerial Meeting of the Non-Aligned Movement Coordinating Bureau) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๙-๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ณ เมืองชาร์ม เอล เชค สาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมแบ่งเป็น ๒ ระดับ ได้แก่ การประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส (๗-๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕) และการประชุมระดับรัฐมนตรี (๙-๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕) สมาชิกที่เข้าร่วมการประชุม มีจำนวน ๑๐๒ ประเทศ (ผู้แทนระดับรัฐมนตรีในประเทศอาเซียน ได้แก่ อินโดนีเซียและเมียนมาร์ โดยกัมพูชาไม่ส่งคณะผู้แทนเข้าร่วมการประชุม) ประเทศ/องค์การระหว่างประเทศในฐานะผู้สังเกตการณ์ และประเทศ/องค์การระหว่างประเทศที่เป็นแขกรับเชิญ ๒. วัตถุประสงค์ของการประชุม เพื่อรับรองเอกสารสุดท้าย (Final Document) ที่ได้มีการจัดเตรียมและเจรจาโดยคณะกรรมการประสานงาน ณ นครนิวยอร์ก และที่ประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส โดยปรับปรุงและแก้ไขเพิ่มเติมถ้อยคำของวรรคต่าง ๆ ในเอกสารให้สะท้อนสถานการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งเพื่อเตรียมการจัดการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (NAM Summit) ครั้งที่ ๑๖ ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๖-๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๕ ณ กรุงเตหะราน สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ๓. เอกสารผลการประชุม ประกอบด้วย ๓.๑ เอกสารสุดท้ายของการประชุม (Final Document) สะท้อนท่าทีของที่ประชุมต่อบทบาทและความร่วมมือของสมาชิก NAM ในประเด็นระดับโลกและภูมิภาคเกี่ยวกับปัญหาการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ สิทธิมนุษยชน และการพัฒนา ทั้งนี้ เอกสารดังกล่าวจะได้รับการพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมและรับรองอีกครั้งในที่ประชุม NAM Summit ครั้งที่ ๑๖ ๓.๒ ปฏิญญาว่าด้วยปาเลสไตน์ (Declaration on Palestine) ที่ประชุมคณะกรรมการด้านปาเลสไตน์ (Committee on Palestine) แสดงความห่วงกังวลต่อการชะงักงันของกระบวนการสันติภาพ ประณามอิสราเอลในการครอบครองดินแดนปาเลสไตน์และดินแดนอาหรับอื่น ๆ รวมทั้งการคุกคามทางทหารและละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อพลเรือนชาวปาเลสไตน์ เรียกร้องให้อิสราเอลยุติกิจกรรมและการก่อสร้างทั้งปวงบนดินแดนที่ถูกยึดครองตามข้อมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และยอมรับการจัดตั้งรัฐอิสระ ๒ รัฐ โดยใช้การกำหนดเขตแดนของปี ค.ศ. ๑๙๖๗ ๓.๓ ปฏิญญาว่าด้วยนักโทษการเมืองชาวปาเลสไตน์ (Declaration on Palestine Political Prisoners) สะท้อนความห่วงกังวลของสมาชิก NAM ต่อกรณีที่อิสราเอลกักขังและละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานต่าง ๆ ของนักโทษการเมืองและประชาชนชาวปาเลสไตน์ในอิสราเอลและดินแดนที่อิสราเอลยึดครอง ซึ่งรวมถึงเยรูซาเล็มตะวันออก เรียกร้องให้อิสราเอลยุติการจับกุมชาวปาเลสไตน์ในดินแดนที่ถูกยึดครองและปลดปล่อยประชาชนชาวปาเลสไตน์ที่ถูกคุมขังทันที ๓.๔ ปฏิญญาว่าด้วยการครบรอบ ๑๐๐ ปี ของการก่อตั้งพรรคสมัชชาแห่งชาติแอฟริกา (Declaration on the Centenary Year of the African National Congress as a Liberation Movement) แสดงความยินดีต่อประชาชนชาวแอฟริกาใต้และพรรคสมัชชาแห่งชาติแอฟริกาในโอกาสครบรอบ ๑๐๐ ปี ของการก่อตั้งพรรคที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อต่อต้านการแบ่งแยกสีผิว ระบอบอาณานิคม และการกดขี่ข่มเหงประชาชนชาวแอฟริกา ๔. การประชุมในครั้งนี้ไม่มีการกำหนดหัวข้อในการกล่าวถ้อยแถลง แต่ประเทศสมาชิกและผู้สังเกตการณ์ส่วนใหญ่ได้กล่าวถ้อยแถลงย้ำถึงความจำเป็นที่ประเทศกำลังพัฒนาจะต้องมีความร่วมมือระหว่างกันเพื่อรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ และบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกัน นอกจากนี้ ยังแสดงความห่วงกังวลต่อสถานการณ์ความไม่สงบในภูมิภาคต่าง ๆ โดยเฉพาะภูมิภาคตะวันออกกลาง ประเด็นปาเลสไตน์ และประเด็นอาวุธนิวเคลียร์ ทั้งนี้ สมาชิกบางประเทศเรียกร้องให้มีการปฏิรูปคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติให้สะท้อนจำนวนสมาชิกในแต่ละภูมิภาคอย่างเท่าเทียมกัน ตลอดจนปฏิบัติหน้าที่อย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ
|
|||||||||||||||||||||||||||
29442 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยพุงใหญ่ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยพุงใหญ่ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยพุงใหญ่ ในท้องที่ตำบลบึงงาม และตำบลภูเขาทอง อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน เพื่อให้เกิดประโยชน์จากการใช้น้ำจากทางน้ำชลประทานอย่างเต็มที่ และเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งทำให้ทราบถึงปริมาณของน้ำที่ขาดหายไปจากระบบการชลประทาน และเป็นการรองรับการขออนุญาตใช้น้ำจากภาคอุตสาหกรรม การประปา และภาคธุรกิจอื่นที่จะมีขึ้นในอนาคต ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
29443 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง (ระยะที่ 11 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2555 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2556) | กค | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางต่อไป เป็นระยะที่ ๑๑ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางรถโดยสารประจำทาง ดำเนินการผ่านองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถโดยสารประจำทางธรรมดา จำนวน ๘๐๐ คันต่อวัน ใน ๗๓ เส้นทาง ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงิน จำนวน ๑,๕๑๒ ล้านบาท ๑.๒ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยรถไฟชั้น ๓ ดำเนินการผ่านการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถไฟชั้น ๓ เชิงสังคม จำนวน ๑๖๔ ขบวนต่อวัน และรถไฟชั้น ๓ ระยะทางไกลในขบวนรถเชิงพาณิชย์ จำนวน ๘ ขบวนต่อวัน ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงิน จำนวน ๕๕๕ ล้านบาท ทั้งนี้ การดำเนินการขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายตามมาตรการดังกล่าวยังคงยึดหลักการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง) ๒. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง (ระยะที่ ๑๐)] โดยศึกษาแนวทางการสนับสนุนมาตรการลดค่าครองชีพด้านการเดินทางที่มีความเหมาะสม มีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง ตลอดจนตรวจสอบและติดตามการกำหนดเส้นทางและช่วงเวลาการปล่อยขบวนรถของ รฟท. และ ขสมก. ตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางให้สอดคล้องกับจำนวนผู้โดยสารและเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ใช้บริการ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งศึกษาแนวทางการสนับสนุนมาตรการลดค่าครองชีพด้านการเดินทางอย่างเป็นระบบให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยอาจนำประเด็นการปรับเพิ่มค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำมาประกอบการพิจารณา เพื่อให้ภาครัฐสามารถลดภาระค่าครองชีพด้านการเดินทางของประชาชนได้อย่างสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น และมีกลไกการชดเชยการดำเนินงานให้แก่รัฐวิสาหกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดผลกระทบต่อฐานะการเงินและสภาพคล่องของรัฐวิสาหกิจที่ดำเนินนโยบายดังกล่าวในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๔. ส่วนค่าใช้จ่ายเพื่อชดเชยการดำเนินการตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางต่อไป เป็นระยะที่ ๑๑ อนุมัติให้ ขสมก. กู้เงินในวงเงิน ๑,๕๑๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามนัยมาตรา ๗ (๗) แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ พ.ศ. ๒๕๑๙ และเห็นชอบให้ รฟท. กู้เงินในวงเงิน ๕๕๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามนัยมาตรา ๓๙ (๔) แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อชดเชยการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้และให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายเพื่อชดเชยเงินต้น ดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายทางการเงินที่เกิดขึ้นให้กับ ขสมก. และ รฟท. ต่อไป ซึ่งในเบื้องต้นจะเกิดภาระงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๒,๑๐๘.๓๔๐๐ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
29444 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2553 (เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ในพื้นที่น้ำจืด) | กษ | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๕ (เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินการ ๑.๑ กรมประมงได้จัดทำแผนแม่บทการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศไทย ระยะเวลา ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕-พ.ศ. ๒๕๕๙) อยู่ระหว่างการปรับปรุงเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ แผนแม่บทดังกล่าว ภายใต้กลยุทธ์วิจัยและพัฒนาศักยภาพของพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ประกอบด้วย โครงการวิจัยศักยภาพของพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำโดยใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ โครงการวิจัยและพัฒนาพื้นที่ดินเค็มเพื่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และโครงการศึกษาวิจัยผลกระทบจากการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด ๑.๒ กรมประมงและกรมพัฒนาที่ดินได้ร่วมกันร่างหลักเกณฑ์ในการกำหนดเขตพื้นที่ระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืดใหม่ โดยกำหนดค่าความเค็มของดิน น้ำ และลักษณะทางกายภาพของพื้นที่น้ำจืด รวมทั้งให้มีคณะทำงานวิชาการระดับจังหวัดกำหนดพื้นที่ระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืดให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ สำหรับพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำโดยใช้ความเค็มที่มีอยู่ในปัจจุบัน กำหนดให้มีมาตรการในการควบคุม โดยการขึ้นทะเบียนขออนุญาตเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ห้ามมิให้มีการขยายพื้นที่เลี้ยงจากที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งร่างหลักเกณฑ์ดังกล่าวจะนำเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๓ กรมประมงได้จัดทำร่างโครงการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด โดยมีแนวทางให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบกรณีต้องการปรับเปลี่ยนไปเลี้ยงสัตว์น้ำชนิดอื่นในพื้นที่เดิม และกรณีต้องการเลิกอาชีพการเลี้ยงกุ้งขาวแวนนาไมเพื่อไปประกอบอาชีพอื่น นอกจากนี้ ได้เตรียมการจัดทำโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อรับฟังความคิดเห็นต่อมาตรการช่วยเหลือและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด รวมทั้งเตรียมการจัดประชุมสัมมนาผู้เชี่ยวชาญในทุกภาคส่วนในโซ่อุปทานการผลิตกุ้งขาวแวนนาไม (Expert Approach) เพื่อให้ได้ข้อมูลรายละเอียดการศึกษาผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคมที่ชัดเจน ภายในปีงบประมาณ ๒๕๕๕ ๒. อุปสรรคในการดำเนินการมาตรการรองรับผลกระทบและมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากแนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด เช่น การออกคำสั่งระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด ไม่มีข้อมูลทางวิชาการด้านผลกระทบของการใช้ความเค็มต่อสิ่งแวดล้อมมาสนับสนุนอย่างชัดเจน รวมทั้งความไม่ชัดเจนในเรื่องข้อมูลวิชาการเกี่ยวกับผลกระทบของความเค็มจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลี้ยงกุ้งขาวแวนนาไม เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
29445 | รายงานการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยของกระทรวงกลาโหม ตั้งแต่วันที่ 17 ถึง 24 กันยายน 2555 | กห | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงกลาโหมรายงานการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัยและได้ประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติฉุกเฉิน (อุทกภัย) ๑๖ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสระแก้ว ปราจีนบุรี ตาก สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ ชัยนาท สุพรรณบุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา นครปฐม ชลบุรี ระยอง นครนายก และชัยภูมิ มีประชาชนได้รับความเดือดร้อน ๖๔,๐๑๖ ครัวเรือน ๑๖๓,๗๙๘ คน ในห้วงวันที่ ๑๗ ถึง ๒๔ กันยายน ๒๕๕๕ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กระทรวงกลาโหม โดยศูนย์บรรเทาสาธารณภัยสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองบัญชาการกองทัพไทย และศูนย์บรรเทาสาธารณภัยเหล่าทัพ ได้จัดกำลังพล ๒,๒๕๖ นาย รถบรรทุก ๑๖๒ คัน รถขุดตัก ๖ คัน รถตักหน้าขุดหลัง ๑ คัน รถลากจูง ๓ คัน รถเครน ๑ คัน รถปั้นจั่น ๑ คัน เรือท้องแบน ๕๐ ลำ และเฮลิคอปเตอร์ ๒ เครื่อง ให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยและสนับสนุนส่วนราชการในพื้นที่ดังกล่าว โดยการสร้างแนวคันกั้นน้ำด้วยกระสอบทรายและกล่องเกเบี้ยน เปิดเส้นทางถนน ซ่อมแซมคอสะพาน ให้การรักษาพยาบาล มอบยาเวชภัณฑ์และถุงยังชีพให้กับประชาชนที่ประสบอุทกภัย รวมทั้งการเคลื่อนย้ายประชาชนและขนย้ายสิ่งของไปยังพื้นที่ปลอดภัย
|
|||||||||||||||||||||||||||
29446 | รายงานประจำปี 2554 ของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) | สธ | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข เสนอรายงานประจำปี ๒๕๕๔ ของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปภาพรวมผลการดำเนินงาน ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์การสร้างความเป็นธรรมในระบบประกันสุขภาพ ยุทธศาสตร์การพัฒนานโยบายสุขภาพที่ส่งเสริมความเป็นธรรม ยุทธศาสตร์การพัฒนาความเข้มแข็งของระบบสุขภาพชุมชน ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบอภิบาลสุขภาพ และยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบวิจัยสุขภาพ ๒. ภูมิหลังและข้อมูลพื้นฐาน ประกอบด้วย ความเป็นมา วัตถุประสงค์ของการจัดตั้ง สวรส. โครงสร้างองค์กร การบริหารจัดการความรู้ แผนยุทธศาสตร์ของ สวรส. พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๘ และรายงานผลการใช้จ่ายเงินงบประมาณจาก สวรส. ปีงบประมาณ ๒๕๕๔ ๓. ผลการปฏิบัติงาน ประกอบด้วย ผลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์เชิงวิธีการ ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ การสร้างและจัดการความรู้ผ่านการบริหารทุนที่มีในระบบวิจัยสุขภาพ การสร้างและจัดการความรู้ผ่านการขยายทุนการวิจัยระบบสุขภาพ การจัดการความรู้เพื่อสนับสนุนการพัฒนานโยบาย และการเสริมสร้างศักยภาพของระบบวิจัยสุขภาพ ๔. รายงานทางการเงิน ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน และงบกระแสเงินสด
|
|||||||||||||||||||||||||||
29447 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... จำนวน 2 ฉบับ | กษ | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำดอยงู เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำดอยงู จากศูนย์กลางเขื่อนดินอ่างเก็บน้ำดอยงู ในท้องที่ตำบลแม่เจดีย์ และตำบลแม่เจดีย์ใหม่ อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยแสนตอ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยแสนตอ จากศูนย์กลางเขื่อนดินอ่างเก็บน้ำห้วยแสนตอในท้องที่ตำบลธารทอง อำเภอพาน และตำบลแม่สรวย อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน
|
|||||||||||||||||||||||||||
29448 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติคันและคูน้ำ พ.ศ. 2505 บังคับในท้องที่อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี พ.ศ. .... | กษ | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติคันและคูน้ำ พ.ศ. ๒๕๐๕ บังคับในท้องที่อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้พระราชบัญญัติคันและคูน้ำ พ.ศ. ๒๕๐๕ บังคับในท้องที่อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี เพื่อให้มีการจัดทำคันและคูน้ำอันจะเป็นประโยชน์ในการเกษตรและทำให้การใช้น้ำเป็นไปโดยประหยัด ตามที่กระทวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
29449 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติคันและคูน้ำ พ.ศ. 2505 บังคับในท้องที่อำเภอสระโบสถ์ จังหวัดลพบุรี พ.ศ. .... | กษ | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติคันและคูน้ำ พ.ศ. ๒๕๐๕ บังคับในท้องที่อำเภอสระโบสถ์ จังหวัดลพบุรี .... มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้พระราชบัญญัติคันและคูน้ำ พ.ศ. ๒๕๐๕ บังคับในท้องที่อำเภอสระโบสถ์ จังหวัดลพบุรี เพื่อให้มีการจัดทำคันและคูน้ำอันจะเป็นประโยชน์ในการเกษตรและทำให้การใช้น้ำเป็นไปโดยประหยัด ตามที่กระทวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
29450 | ข้อสังเกตของที่ประชุมวุฒิสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจดหมายเหตุแห่งชาติ พ.ศ. .... | สว | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของที่ประชุมวุฒิสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจดหมายเหตุแห่งชาติ พ.ศ. .... และผลการพิจารณาของกระทรวงวัฒนธรรมตามข้อสังเกตดังกล่าว และให้แจ้งสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยในส่วนของข้อสังเกตของที่ประชุมวุฒิสภาฯ มีดังนี้
๑. การทำให้เอกสารจดหมายเหตุเกิดความชัดเจน สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินความถูกต้องของเอกสารที่อ้างอิง ตลอดจนกระบวนการบันทึกเอกสารจดหมายเหตุมีความเป็นระบบและเกิดระเบียบในการดำเนินการนั้น ควรเพิ่มเติมรายละเอียดเกี่ยวกับแนวปฏิบัติในการเก็บรักษาเอกสารราชการ นอกเหนือจากการบัญญัติให้หน่วยงานของรัฐต้องจัดทำรายการหรือตารางการเก็บรักษาเอกสารราชการ (ร่างมาตรา ๗ วรรคสอง) กล่าวคือ ควรกำหนดให้มีการระบุชื่อบุคคลผู้บันทึกข้อความในเอกสารจดหมายเหตุ และมีผู้รับรองความถูกต้องของข้อความ ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นหลักเกณฑ์และวิธีการสำหรับการปฏิบัติงานต่อไป ๒. กรณีมีการโต้แย้งความถูกต้องของเอกสารจดหมายเหตุ ให้หอจดหมายเหตุแห่งชาติรับข้อโต้แย้งดังกล่าว เพื่อส่งให้คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทยดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
29451 | ขออนุมัติการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และองค์การอาหารและเกษตร แห่งสหประชาชาติว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านการเกษตรและป่าไม้ | กษ | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านการเกษตรและป่าไม้ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนกับ FAO ในการเข้าถึงและแลกเปลี่ยนข้อมูล แนวปฏิบัติที่ดี และความช่วยเหลือด้านวิชาการในสาขาการเกษตร ป่าไม้ และความมั่นคงทางอาหาร เพื่อประโยชน์แก่ประเทศสมาชิกอาเซียน ๒. อนุมัติในหลักการว่า ก่อนที่จะมีการลงนามหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขบันทึกความเข้าใจในประเด็นที่ไม่ใช่หลักการสำคัญ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๓. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ |
|||||||||||||||||||||||||||
29452 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 เพิ่มเติม จากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | ศป | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานศาลปกครองเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๔๘,๗๐๙,๕๗๕ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรของข้าราชการฝ่ายปกครอง ลูกจ้างประจำ พนักงานราชการศาลปกครอง และลูกจ้างชั่วคราว ในส่วนที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้น ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การปรับปรุงค่าตอบแทนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ) ที่เห็นชอบให้ปรับเงินเดือนแรกบรรจุตามคุณวุฒิการศึกษาของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดอัตราเงินเดือนสำหรับคุณวุฒิที่ ก.พ. รับรอง เพื่อการบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการพลเรือน ที่สำนักงาน ก.พ. กำหนด สำหรับค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการใช้จ่ายในเดือนสิงหาคมและเดือนกันยายน ๒๕๕๕ จำนวน ๕๖,๒๙๐,๔๒๕ บาท ให้สำนักงานศาลปกครองปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักงานศาลปกครองรับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังไปพิจารณาดำเนินการด้วยว่า ตามที่สำนักงานศาลปกครองได้ออกระเบียบเกี่ยวกับการจ่ายเงินเพิ่มที่นอกเหนือจากเงินเดือนให้แก่บุคลากรของสำนักงานศาลปกครองก่อนที่จะมีการปรับเงินเดือนแรกบรรจุตามคุณวุฒิการศึกษาดังกล่าว เมื่อมีการปรับเงินเดือนแรกบรรจุตามคุณวุฒิการศึกษาซึ่งทำให้บุคลากรมีรายได้เพิ่มขึ้นแล้ว ก็ควรจะมีการพิจารณาทบทวนการกำหนดอัตราเงินเพิ่มอื่นที่นอกเหนือจากเงินเดือนให้แก่บุคลากรของสำนักงานศาลปกครองที่มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ อีกครั้ง เพื่อให้เกิดความเหมาะสมและมิให้เกิดผลกระทบต่อการบริหารจัดการงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรที่ได้รับจัดสรรในแต่ละปี |
|||||||||||||||||||||||||||
29453 | การพิจารณาบำเหน็จความชอบประจำปี 2555 (กรณีพิเศษ) ให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติด | ยธ | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการการพิจารณาบำเหน็จความชอบประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นกรณีพิเศษ ให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดดีเด่น ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติเสนอ โดย ๑.๑ ให้มีการพิจารณาบำเหน็จความชอบประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นกรณีพิเศษ ให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้มีผลการปฏิบัติงานด้านยาเสพติดดีเด่นไม่เกินร้อยละ ๒.๕ ของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดโดยตรง จำนวน ๓๙๔,๘๒๑ คน คิดเป็นอัตราไม่เกิน ๙,๘๗๐ คน ๑.๒ ให้มีการพิจารณาบำเหน็จความชอบประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นกรณีพิเศษ ให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้มีผลการปฏิบัติงานด้านยาเสพติดดีเด่นไม่เกินร้อยละ ๐.๕ ของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเกื้อกูลต่อการแก้ไขปัญหายาเสพติด จำนวน ๓๖๒,๗๔๔ คน คิดเป็นอัตราไม่เกิน ๑,๘๑๓ คน ๑.๓ ในกรณีของผู้ที่เงินเดือนเต็มขั้นให้ได้รับค่าตอบแทนเป็นไปตามระเบียบที่กระทรวงการคลังกำหนด ๒. ส่วนงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของส่วนราชการต้นสังกัดในโอกาสแรกก่อน หากไม่สามารถดำเนินการได้ให้เบิกจ่ายจากงบกลาง รายการเงินเลื่อนเงินเดือนและเงินปรับวุฒิข้าราชการ เป็นลำดับต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
29454 | ขออนุมัติโอนเปลี่ยนแปลงรายการผูกพันงบประมาณข้ามปี งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | ทส | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กรมทรัพยากรน้ำโอนเปลี่ยนแปลงรายการผูกพันงบประมาณข้ามปีงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ แผนงานจัดการทรัพยากรน้ำ ผลผลิตการอนุรักษ์ ฟื้นฟู พัฒนาแหล่งน้ำ และบริหารจัดการน้ำ งบลงทุน ค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง จากรายการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำที่เป็นงบประมาณผูกพันข้ามปี จำนวน ๑๔ รายการ จำนวน ๑๐๒,๐๒๒,๓๐๐ บาท เป็นรายการสิ่งก่อสร้างที่มีราคาต่อหน่วยต่ำกว่า ๑๐ ล้านบาท รายการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำ จำนวน ๔๑ รายการ จำนวนเงิน ๑๐๒,๐๒๒,๓๐๐ บาท ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมควรประสานงานกับหน่วยงาน ทั้งในส่วนกลางและในระดับพื้นที่ เพื่อป้องกันปัญหาความซ้ำซ้อน พร้อมทั้งตรวจสอบความพร้อมของพื้นที่ดำเนินการเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาดังเช่นที่ผ่านมา คือ อยู่ในเขตพื้นที่ป่าไม้หรือพื้นที่อนุรักษ์ หรือราษฎรยังไม่ได้ให้ความยินยอม นอกจากนั้นควรกำหนดระยะเวลาการดำเนินงานมิให้กระทบกับช่วงเวลาการกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งของแหล่งน้ำต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
29455 | การบริหารโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 และเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๕ ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง พ.ศ. ๒๕๕๕ หลังจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงินประมาณ ๑๒,๕๗๕.๗๘๕๓ ล้านบาท สำหรับโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยสามารถเบิกจ่ายเงินกู้ DPL ได้จนบรรลุวัตถุประสงค์ แต่ไม่ควรเกินเดือนกันยายน ๒๕๕๖ ส่วนโครงการเงินกู้ DPL ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข วงเงิน ๓,๔๒๖.๓๔๙๑ ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการทบทวนเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ต่อไป ๑.๒ รับทราบและอนุมัติการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายเพื่อแก้ไขปัญหาทุนการศึกษาต่อระดับปริญญาโทของครูและบุคลากรอาชีวศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กระทรวงศึกษาธิการ โดย ๑.๒.๑ รับทราบวงเงินเหลือจ่ายของ สอศ. วงเงิน ๑๔.๑๐ ล้านบาท ๑.๒.๒ อนุมัติการดำเนินโครงการและอนุมัติการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายตามพระราชกำหนดกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๕ สำหรับโครงการยกระดับคุณภาพอาชีวศึกษาสู่ความทันสมัย รายการอุดหนุนทุนการศึกษาต่อระดับปริญญาโท หลักสูตรต่อเนื่อง ๒ ปี เพื่อแก้ไขปัญหาทุนการศึกษาต่อระดับปริญญาโทของครูและบุคลากรอาชีวศึกษา จำนวน ๔๖ ทุน (ทุนละ ๓๐๐,๐๐๐ บาท) ของ สอศ. วงเงิน ๑๓.๘๐ ล้านบาท รวมทั้งอนุมัติให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง การบริหารโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ และโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน) ๑.๒.๓ อนุมัติให้ สอศ. ก่อหนี้ผูกพันหรือดำเนินโครงการก่อนการจัดสรรเงินกู้สำหรับโครงการยกระดับคุณภาพอาชีวศึกษาสู่ความทันสมัย รายการอุดหนุนทุนการศึกษาต่อระดับปริญญาโท หลักสูตรต่อเนื่อง ๒ ปี จำนวน ๔๖ ทุน (ทุนละ ๓๐๐,๐๐๐ บาท) วงเงิน ๑๓.๘๐ ล้านบาท ๑.๓ รับทราบและอนุมัติการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๕ และเงินกู้ DPL ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดย ๑.๓.๑ รับทราบวงเงินเหลือจ่ายของ สอศ. วงเงิน ๕๑๒.๕๓๘ ล้านบาท และอนุมัติการดำเนินโครงการและอนุมัติการจัดสรรวงเงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๕ สำหรับโครงการก่อสร้างอาคารศูนย์วิทยบริการ ของ สอศ. กระทรวงศึกษาธิการ จำนวน ๕๖ หลัง วงเงิน ๕๐๙.๖๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ สอศ. จะต้องเร่งรัดการดำเนินโครงการ โดยลงนามในสัญญาก่อสร้างภายในสิ้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ และเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๖ ๑.๓.๒ รับทราบวงเงินเหลือจ่ายของมหาวิทยาลัยมหิดล วงเงิน ๓๘๙,๓๒๘,๑๗๑.๕๑ บาท อนุมัติดำเนินโครงการและอนุมัติจัดสรรเงินกู้ DPL ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เหลือจ่ายให้แก่มหาวิทยาลัยมหิดลสำหรับสาขาสาธารณสุขค่าครุภัณฑ์ทางการแพทย์ จำนวน ๒๘ รายการ วงเงิน ๓๘๑,๓๖๙,๓๐๐ บาท และสาขาศึกษาสำหรับครุภัณฑ์ประจำอาคารเสริมสร้างอุตสาหกรรมชีวภาพจากนวัตกรรม จำนวน ๕ รายการ วงเงิน ๗,๘๓๘,๐๐๐ บาท รวมทั้งสิ้น ๓๓ รายการ วงเงิน ๓๘๙,๒๐๗,๓๐๐ บาท ๑.๓.๓ รับทราบวงเงินเหลือจ่ายของสภากาชาดไทย จำนวน ๑๒๐,๕๔๓,๑๐๐ บาท อนุมัติดำเนินโครงการและอนุมัติจัดสรรเงินกู้ DPL ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เหลือจ่ายให้แก่สภากาชาดไทยสำหรับค่าครุภัณฑ์เครื่องตรวจด้วยคลื่นสะท้อนในสนามแม่เหล็ก (Magnetic Resonance Imaging) วงเงิน ๘๙,๘๘๐,๐๐๐ บาท และครุภัณฑ์เครื่องเอ็กซเรย์เคลื่อนที่ระบบดิจิตอล (Mobile Digital Radiography) วงเงิน ๒๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท และให้สภากาชาดไทยเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายของภาษีมูลค่าเพิ่มวงเงิน ๗,๗๗๗,๑๙๖ บาท โดยใช้เงินรายได้หรือแหล่งเงินอื่นของสภากาชาดไทยตามความเหมาะสม ๑.๔ อนุมัติจัดสรรเงินสำรองจ่ายสำหรับสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข วงเงิน ๒,๖๕๗,๔๙๐.๐๐ บาท กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข วงเงิน ๑๘๑,๑๕๑.๓๔ บาท กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน ๑๓,๒๖๘,๙๗๘.๑๔ บาท กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม วงเงิน ๑,๖๕๖,๙๒๙.๐๐ บาท มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กระทรวงศึกษาธิการ วงเงิน ๕๒,๔๗๕,๗๑๘.๐๐ บาท และกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน ๒๔,๖๔๑,๕๐๐.๐๐ บาท ๑.๕ อนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยหน่วยงานจะต้องส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการ ๑.๖ อนุมัติการยกเลิกการจัดสรรวงเงินกู้สำหรับค่าก่อสร้างโครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมและนิทรรศการนานาชาติภูเก็ต ของกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง วงเงิน ๒,๔๒๘ ล้านบาท และนำวงเงินกู้ดังกล่าวมารวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายในสาขาเศรษฐกิจต่อไป ๒. ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยเฉพาะหน่วยงานที่ได้รับอนุมัติการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายฯ เร่งดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รวมทั้งให้คณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เร่งพิจารณาจัดสรรวงเงินกู้ที่เหลือของโครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมและนิทรรศการนานาชาติภูเก็ต ซึ่งกระทรวงการคลังได้เสนอขอยกเลิกโครงการดังกล่าว โดยอาจพิจารณาการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานทางรางที่มีความพร้อมในการดำเนินงานเป็นลำดับแรก เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการขนส่งจากถนนสู่ระบบรางให้เป็นไปตามเป้าหมาย ตามความเห็นสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
29456 | สรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำท่วมของประเทศไทยประจำสัปดาห์ (ครั้งที่ 6/2555 ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2555) | นร | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยสรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำท่วมของประเทศไทย ครั้งที่ ๖/๒๕๕๕ ณ วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. สถานการณ์ภูมิอากาศ พายุไต้ฝุ่น "เจอลาวัต" (JELAWAT) ได้เคลื่อนตัวผ่านประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ และมีแนวโน้มว่าจะแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อนในระยะต่อไป โดยคาดว่าจะขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามใกล้เมืองดานัง และจะเคลื่อนตัวผ่านประเทศกัมพูชาเข้าสู่ประเทศไทยในช่วงวันที่ ๖-๘ ตุลาคม ๒๕๕๕ สำหรับในช่วงวันที่ ๑-๖ ตุลาคม ๒๕๕๕ ร่องมรสุมเลื่อนลงไปพาดผ่านภาคใต้ตอนบน ทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก มีฝนลดลง และจะมีฝนเพิ่มมากขึ้นในช่วงวันที่ ๗-๘ ตุลาคม ๒๕๕๕ ทั้งปริมาณและการกระจายโดยเฉพาะพื้นที่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก ภาคกลาง แลภาคใต้ จากอิทธิพลของพายุที่จะเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามและเคลื่อนตัวผ่านประเทศกัมพูชาเข้าสู่ประเทศไทยในบริเวณภาคตะวันออก สำหรับปริมาณน้ำฝนในภาพรวมพบว่า ฝนสะสมในทุกภาคสูงกว่าค่าปกติ เว้นแต่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนน้อยกว่าค่าปกติ ๒. สถานการณ์น้ำและน้ำท่วม ดังนี้ ๒.๑ ปริมาณน้ำท่าในบริเวณจุดสำคัญ ได้แก่ ๒.๑.๑ สถานี C.2 จังหวัดนครสวรรค์ ๑,๒๗๓ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ที่ความจุลำน้ำ ๓,๕๙๐ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ๒.๑.๒ สถานี C.13 เขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท ๑,๓๔๔ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ที่ความจุลำน้ำ ๒,๔๘๐ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ๒.๑.๓ สถานี C.29A ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๑,๕๗๖ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ที่ความจุลำน้ำ ๓,๕๐๐ ลูกบาศก์เมตร/วินาที คาดการณ์น้ำท่า ณ วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ แม่น้ำปราจีนบุรี สถานี KGT.3 อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ระดับและปริมาณน้ำล้นตลิ่งและมีแนวโน้มทรงตัว และสถานีด้านท้ายน้ำที่สถานี KGT.1 อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี แนวโน้มทรงตัว ลุ่มน้ำอื่น ๆ อยู่ในเกณฑ์ปกติ ๒.๒ ระดับความสูงของน้ำในแม่น้ำสายหลัก ได้แก่ ๒..๒.๑ แม่น้ำปิง ที่สถานี P.1 จังหวัดเชียงใหม่ +๓๐๒.๐๙ เมตรระดับน้ำทะเลปานกลาง (ม.รทก.) ต่ำกว่าตลิ่ง ๒.๑๑ เมตร ๒.๒.๒ แม่น้ำวัง ที่สถานี W.10A จังหวัดลำปาง +๒๕๙.๕๖ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๖.๐๔ เมตร ๒.๒.๓ แม่น้ำยม ที่สถานี Y.4 จังหวัดสุโขทัย +๔๗.๗๖ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๓.๑๑ เมตร ๒.๒.๔ แม่น้ำน่าน ที่สถานี N.1 จังหวัดน่าน +๑๙๓.๑๐ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๖.๑๐ เมตร ๒.๒.๕ แม่น้ำเจ้าพระยา ที่สถานี C.2 จังหวัดนครสวรรค์ +๒๒.๐๒ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๔.๑๘ เมตร และที่สถานี C.13 จังหวัดชัยนาท ระดับน้ำท้ายเขื่อน +๑๒.๗๔ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๓.๖๐ เมตร ๒.๓ น้ำในเขื่อน/อ่างเก็บน้ำ ได้แก่ ๒.๓.๑ เขื่อนภูมิพล น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ ๓๔.๓๖ ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำ ๘,๐๑๑ ล้านลูกบาศก์เมตร และใช้การได้จริง ๔,๒๑๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒.๓.๒ เขื่อนสิริกิติ์ น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ ๑๗.๔๖ ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำ ๖,๓๔๖ ล้านลูกบาศก์เมตร และใช้การได้จริง ๓,๔๙๖ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒.๓.๓ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ ๒๐.๖๐ ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำ ๖๒๑ ล้านลูกบาศก์เมตร และใช้การได้จริง ๖๑๘ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒.๓.๔ น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่รวม ๓๓ อ่างทั่วประเทศ ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำ รวม ๕๐,๓๔๗ ล้านลูกบาศก์เมตร ปริมาณน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ สะสมตั้งแต่ต้นปี ๓๒,๓๓๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ปริมาณน้ำระบายจากอ่างเก็บน้ำ สะสมตั้งแต่ต้นปี ๓๙,๙๑๗ ล้านลูกบาศก์เมตร และความสามารถในการรับน้ำได้อีก ๑๙,๘๓๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ๓. การบริหารน้ำในเขื่อน ดังนี้ ๓.๑ เขื่อนลำปาว มีปริมาณน้ำกักเก็บเพียง ๒๕% ต่ำที่สุดในรอบหลายสิบปี และคาดการณ์ว่าสิ้นฤดูฝน ๒๕๕๕ จะเหลือปริมาณน้ำกักเก็บเพียง ๑๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ในระยะสั้นให้ปรับลดการระบายเพื่อประหยัดน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง สำหรับระยะยาวให้กรมชลประทาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกลุ่มผู้ใช้น้ำ ร่วมกันวางแผนทำการเกษตรในช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๖ ให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุน ๓.๒ เขื่อนปากมูล ให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยประสานไปยังคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำเขื่อนปากมูล ในการพิจารณาปิดบานระบายน้ำที่เขื่อนปากมูลเร็วกว่ากำหนดประมาณ ๑ เดือน เพื่อรักษาปริมาณน้ำในพื้นที่ต้นน้ำของเขื่อนปากมูลไว้สำหรับฤดูแล้งปี ๒๕๕๖ ๓.๓ เขื่อนประแสร์และเขื่อนคลองสียัด ให้เฝ้าระวังและติดตามปริมาณน้ำที่จะไหลลงอ่างเพิ่มเติมรวมทั้งผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่เหนือน้ำและท้ายน้ำของเขื่อนทั้งสอง ๓.๔ เขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ให้ปรับลดการระบายน้ำที่เขื่อนภูมิพลลงเหลือไม่เกินวันละ ๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ส่วนเขื่อนสิริกิติ์ปรับเพิ่มการระบายน้ำเป็นไม่เกินวันละ ๔ ล้านลูกบาศก์เมตร จนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ และอาจปรับการระบายเพิ่มขึ้นอีกเป็นไม่เกินวันละ ๖ ล้านลูกบาศก์เมตร เนื่องจากจังหวัดอุตรดิตถ์แจ้งว่าอัตราการระบายน้ำที่วันละ ๔ ล้านลูกบาศก์เมตร น้ำยังคงขุ่นและส่งผลกระทบต่อเกษตรกรที่เลี้ยงปลาในกระชัง ทั้งนี้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ กรมชลประทาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงปลา ร่วมกันวางแผนแก้ปัญหาในระยะยาวอย่างจริงจัง และให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยติดตามความก้าวหน้าแผนการแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ๔. สถานการณ์อุทกภัย ฝนทิ้งช่วง และน้ำป่า ดังนี้ ๔.๑ จังหวัดระยอง ฝนตกหนักต่อเนื่อง ทำให้น้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมในพื้นที่อำเภอแกลง ตำบลทุ่งควายกิน ๔.๒ จังหวัดชลบุรี ฝนตกหนักต่อเนื่อง ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันในพื้นที่อำเภอบางละมุง ตำบลบางละมุง ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ๕๐ หลังคาเรือน อพยพประชาชนไปอยู่ที่เทศบาลเมืองบางละมุง ๒๐๐ คน ๔.๓ สถานการณ์ปัจจุบันยังคงมีพื้นที่ประสบอุทกภัย ๑๑ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี นครปฐม และกาญจนบุรี รวม ๔๒ อำเภอ ๒๙๐ ตำบล ๑,๗๖๓ หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ๗๕,๕๒๓ ครัวเรือน ๑๗๙,๐๗๔ คน สำหรับสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดราชบุรี สตูล สุราษฎร์ธานี พังงา และระนอง ปัจจุบันสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ๔.๔ พื้นที่ภาคตะวันออก จังหวัดปราจีนบุรี เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องทำให้น้ำในแม่น้ำปราจีนบุรีเอ่อล้นเข้าท่วม ในพื้นที่ ๗ อำเภอ ๕๕ ตำบล ปัจจุบันยังคงมีน้ำท่วม ๕ อำเภอ ได้แก่ อำเภอกบินทร์บุรี อำเภอศรีมหาโพธิ อำเภอเมืองปราจีนบุรี อำเภอบ้านสร้าง และอำเภอศรีมโหสถ สำหรับจังหวัดสระแก้ว ฝนตกหนักทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก มีพื้นที่ประสบภัย ๙ อำเภอ ๖๒ ตำบล ๕๖๗ หมู่บ้าน ๑๕,๘๔๘ ครัวเรือน ๔๒,๘๐๕ คน ปัจจุบันสถานการณ์ยังคงมีน้ำท่วมขังพื้นที่ลุ่มต่ำอำเภออรัญประเทศ อำเภอโคกสูง และอำเภอเมืองสระแก้ว แนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์คลี่คลายแล้วอยู่ระหว่างฟื้นฟู และจังหวัดฉะเชิงเทรา เกิดฝนตกหนักและน้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วม ในพื้นที่ ๖ อำเภอ ๒๖ ตำบล ๑๕๒ หมู่บ้าน ปัจจุบันสถานการณ์ระดับตลิ่ง ๒.๓๐ เมตร สูงกว่าตลิ่ง ๐.๐๓ เมตร ๔.๕ กรมทรัพยากรน้ำได้เตือนภัยสถานการณ์น้ำป่า ณ วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๕ เตือนภัยสีเหลือง (เตือนภัย) ๓ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุตรดิตถ์ แพร่ และพังงา และเตือนภัยสีเขียว (เฝ้าระวัง) ๒ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครศรีธรรมราช และพังงา ๕. สรุปผลการตรวจติดตามสถานการณ์น้ำและระบบป้องกันและการแก้ไขปัญหาการสไลด์ของเขื่อนดินในนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง ในวันอาทิตย์ที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ พบปัญหาฝนตกเป็นปริมาณมากในพื้นที่เหนือนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง ส่งผลให้เขื่อนดินของคลองลำแตงโมที่สร้างมาแล้วปริมาณ ๓๐ ปี และมีเส้นทางผ่ากลางพื้นที่ของนิคมฯ เกิดสไลด์ทำให้มีน้ำไหลเข้าพื้นที่นิคมฯ น้ำท่วมผิวจราจรสูงสุดประมาณ ๒๐ เซนติเมตร แต่ไม่มีน้ำท่วมในบริเวณโรงงานอุตสาหกรรม ในการนี้นายกรัฐมนตรีสั่งการให้ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเข้าแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งได้มีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าโดยการปิดคลองลำแตงโม และดำเนินการซ่อมแซมเขื่อนดินที่สไลด์และเร่งสูบน้ำออก ปัจจุบันสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว และเพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างมีระบบในช่วงที่ยังมีน้ำฝนในปริมาณมากต่อไปอีกระยะหนึ่ง ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยสั่งการให้กรมชลประทานรับผิดชอบพื้นที่นิคมฯ โดยให้เน้นไม่ให้มีน้ำเข้ามาเพิ่มเติม การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยรับผิดชอบพื้นที่ในนิคมฯ และประชาชนโดยรอบ และกรุงเทพมหานครรับผิดชอบพื้นที่ด้านล่างของนิคมฯ ในเรื่องการระบายน้ำ
|
|||||||||||||||||||||||||||
29457 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตำแหน่งรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (นายกมล สุขสมบูรณ์) | นร01 | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายกมล สุขสมบูรณ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งวันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้ง เป็นต้นไป ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
29458 | การกู้เงินเพื่อใช้ในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2555 ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร | กค | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ใช้เงินกู้โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ วงเงิน ๑๐๕,๙๑๐ ล้านบาทเดิม เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปีการผลิต ๒๕๕๕ เพิ่มเติม จากเดิมวงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๘ ล้านตัน เป็นวงเงิน ๑๖๑,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๑๑.๑๑ ล้านตัน ๑.๒ ให้ ธ.ก.ส. กู้เงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปีการผลิต ๒๕๕๕ เพิ่มเติม จากเดิมวงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๘ ล้านตัน เป็นวงเงิน ๑๖๑,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๑๑.๑๑ ล้านตัน จากสถาบันการเงินต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งให้ ธ.ก.ส. กู้เงินเพื่อบริหารจัดการหนี้เงินกู้ด้วยการ Refinance หรือ Roll over หรือ Prepayment โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินกู้และดอกเบี้ย รัฐบาลรับภาระชำระคืนต้นเงินและดอกเบี้ยจากการกู้เงิน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริงจากการดำเนินโครงการทั้งหมด ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันเงินกู้ของ ธ.ก.ส. ที่เกิดจากการกู้เงินและการบริหารจัดการหนี้ของ ธ.ก.ส. โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ในแต่ละครั้งตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ วงเงินกู้ไม่เกิน ๑๖๑,๐๐๐ ล้านบาท ได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น รวมทั้งการบริหารจัดการหนี้ร่วมกับ ธ.ก.ส. ด้วยการ Refinance หรือ Roll over หรือ Prepayment โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันจนกว่าจะมีการชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้น รัฐบาลรับภาระชำระคืนต้นเงินและดอกเบี้ยจากการกู้เงินและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริง รวมทั้งผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจากโครงการทั้งหมด ๑.๔ การชดเชยต้นทุนเงินให้ ธ.ก.ส. ในส่วนที่ ธ.ก.ส. สำรองจ่ายให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีที่ได้อนุมัติไว้เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ (เรื่อง การจัดหาเงินทุนเพื่อดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) และวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (เรื่อง มาตรการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕) สำหรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ ๑.๕ ให้ ธ.ก.ส. กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติเมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การกู้เงินเพื่อใช้ในโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) สำหรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ เกี่ยวกับการแยกบัญชีดำเนินงาน การนำส่งเงินที่ได้จากการชำระค่าสินค้า การดูแลสินค้า (Stock) การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการปิดบัญชี การกำกับ ติดตาม ควบคุม รวมทั้งการรายงานความก้าวหน้า ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวที่เกษตรกรนำมาจำนำ เพื่อป้องกันการทุจริตในการรับจำนำข้าว การติดตามและตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวเก่าที่เก็บรักษาไว้ในคลังสินค้าอย่างเข้มงวด โดยรายงานให้กระทรวงการคลังลำนักงบประมาณทราบทุกรายไตรมาส การจัดทำแผนบริหารจัดการระบายข้าวในสต็อกและช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสมให้ชัดเจน มีอัตราการขาดทุนที่ยอมรับได้ และร่วมมือกับเอกชนเพื่อสร้างทีมในการพัฒนาตลาดส่งออกข้าว การจัดให้มีการประมูลข้าวจากสต็อคของรัฐโดยกระบวนการที่โปร่งใส และมีแผนการบริหารเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินโครงการ โดยไม่ต้องขอรับสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม การสนับสนุนการพัฒนากลไกตลาดกลางสินค้าเกษตรในแหล่งผลิตสำคัญเพื่อใช้เป็นแหล่งอ้างอิงราคาสินค้า การจัดเกรดและมาตรฐาน และสร้างอำนาจต่อรองให้แก่เกษตรกร นอกจากนี้ ในระยะยาว ควรสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคเกษตรและความสามารถในการแข่งขันสินค้าเกษตร เพื่อเตรียมรับการเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยสร้างทางเลือกให้เกษตรกรและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มผลิตภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตรอย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
29459 | แต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (จำนวน 3 ราย 1. นายปิ่นชาย ปิ่นแก้ว ฯลฯ) | พม | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้
๑. นายปิ่นชาย ปิ่นแก้ว ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นางญาณี เลิศไกร ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงาน สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส และผู้สูงอายุ ๓. นายสามารถชาย จอมวิญญา ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
|||||||||||||||||||||||||||
29460 | ประกาศคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกกรอบแนวคิดเพื่อออกแบบก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย เรื่อง ผลการพิจารณาคุณสมบัติ (Pre-Qualification) ของผู้เสนอกรอบแนวคิด (Conceptual Plan) ลงวันที่ 24 กันยายน 2555 | วท | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยรายงานผลการพิจารณาคุณสมบัติ (Pre - Qualification) ของผู้เสนอกรอบแนวคิด (Conceptual Plan) เพื่อออกแบบก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย ตามประกาศคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกกรอบแนวคิดเพื่อออกแบบก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย ลงวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๕ โดยผลการพิจารณาคุณสมบัติของผู้เสนอกรอบแนวคิดฯ มีกลุ่มบริษัท/บริษัท ที่ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติ รวมทั้งสิ้น ๘ ราย ดังนี้
๑. Korea Water Resources Corporation (K Water) ๒. ITD - POWERCHINA JV ประกอบด้วย ๕ บริษัท ได้แก่ (๑) บริษัท อิตาเลี่ยนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) (๒) บริษัท พาวเวอร์ คอนสตรัคชั่น คอร์เปอเรชั่น ออฟ ไชน่า (๓) บริษัท ไชน่า เก๋อโจวบ๋า กรุ๊ป จำกัด (๔) บริษัท ไชน่า อินเตอร์เนชั่นแนล วอเตอร์ แอนด์ พาวเวอร์ คอร์เปอเรชั่น และ (๕) บริษัท ปัญญา คอนซัลแตนท์ จำกัด ๓. กิจการร่วมค้า ซัมมิท เอสยูที ประกอบด้วย ๔ บริษัท ได้แก่ (๑) ห้างหุ้นส่วนจำกัด สามประสิทธิ์ (๒) บริษัท เอส.เค.วาย คอนสตรัคชั่น จำกัด (๓) บริษัท ยูเนี่ยน อินฟาร์เทค จำกัด และ (๔) ห้างหุ้นส่วนจำกัด เทพมงคลสุโขทัย ๒๕๓๑ ๔. กิจการร่วมค้า ทีมไทยแลนด์ ประกอบด้วย ๘ บริษัท ได้แก่ (๑) บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) (๒) บริษัท ช.การช่าง (ลาว) จำกัด (๓) บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด (๔) บริษัท คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) จำกัด (มหาชน) (๕) บริษัท ช.ทวีก่อสร้าง จำกัด (๖) เสริมสงวนก่อสร้าง จำกัด (๗) บริษัท ทิพากร จำกัด และ (๘) บริษัท โรจน์สินก่อสร้าง จำกัด ๕. China CAMC Engineering Co.,Ltd. ๖. กิจการค้าร่วม ญี่ปุ่น-ไทย ประกอบด้วย ๑๑ บริษัท ได้แก่ (๑) บริษัท ซีทีไอ เอ็นจิเนียริ่ง อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (๒) บริษัท โอบายาชิ คอร์ปอเรชั่น (๓) บริษัท ไทเซอิ คอร์ปอเรชั่น (๔) บริษัท คาจิมา คอร์ปอเรชั่น (๕) บริษัท ชิมิซึ คอร์ปอเรชั่น (๖) บริษัท ซีทีไอ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (๗) บริษัท ซันยู คอนซัลแตนท์ส อินคอร์ปอเรชั่น (๘) บริษัท แปซิฟิค คอนซัลแตนท์ส จำกัด (๙) บริษัท ยาชิโย เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (๑๐) องค์กรบริหารน้ำประเทศญี่ปุ่น และ (๑๑) บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ๗. Consortium TKC Global ประกอบด้วย ๑๐ บริษัท ได้แก่ (๑) Pyunghwa Engineering Consultants Co.,Ltd. (๒) Dongho Co.,Ltd. (๓) Soosung Engineering Co.,Ltd. (๔) Sunjin Engineering&Architecture Co.,Ltd. (๕) Hyundai Architects&Engineers Associates Co.,Ltd. (๖) Woongjin Coway Co.,Ltd. (๗) Thai Engineering Consultants Co.,Ltd. (๘) Roge and Associates Co.,Ltd. (๙) Professional Project Management Co.,Ltd. และ (๑๐) Lotus Park Corporation Co.,Ltd. ๘. กลุ่มบริษัทค้าร่วม ล็อกซเล่ย์ ประกอบด้วย ๒ บริษัท ได้แก่ (๑) บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) และ (๒) เอจีที อินเตอร์เนชั่นแนล จีเอ็มบีเอช
|
.....