ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1480 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 29581 - 29600 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
29581 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (จำนวน 4 ราย 1. นายรัชนันท์ ธนานันท์ ฯลฯ) | กต | 18/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๔ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. นายรัชนันท์ ธนานันท์ ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮลซิงกิ สาธารณรัฐฟินแลนด์ สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายวรเดช วีระเวคิน ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ๓. นายภาสกร ศิริยะพันธุ์ ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สำนักงานปลัดกระทรวง ๔. นายดำรง ใคร่ครวญ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมเอเชียตะวันออก
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29582 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (พลตำรวจเอก วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี และนายชัชวาลย์ บุญเจริญกิจ) | คค | 18/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรับโอนและแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง สังกัดกระทรวงคมนาคม จำนวน ๒ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. พลตำรวจเอก วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่ง ปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายชัชวาลย์ บุญเจริญกิจ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมทางหลวง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29583 | ร่างบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างสถาบันนิติวิทยาศาสตร์กับหน่วยงานต่างประเทศ | ยธ | 18/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม กับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงบริหารจัดการสาธารณะและความมั่นคง สาธารณรัฐเกาหลี (National Forensic Service-NFS, the government department within the Ministry of Public Administration and Security of the Republic of Korea) มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทางวิชาการทางนิติวิทยาศาสตร์และพัฒนาการทำงานให้มีมาตรฐานสากล โดยให้ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29584 | ขออนุมัติหลักการ เบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 199,866,670 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดหาอุปกรณ์ควบคุมฝูงชน | ตช | 18/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๙๙,๘๖๖,๖๗๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจัดหาอุปกรณ์ควบคุมฝูงชนและปรับปรุงระบบสื่อสารและเทคโนโลยีศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามความจำเป็นเร่งด่วนของการใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ จำนวน ๓๐ กองร้อย ประกอบด้วย อุปกรณ์ควบคุมฝูงชนประจำกาย วงเงิน ๑๗,๔๒๐,๕๐๐ บาท อุปกรณ์ควบคุมฝูงชนประจำกองร้อย วงเงิน ๑๑๑,๖๔๙,๖๐๐ บาท อุปกรณ์ควบคุมฝูงชนประจำหน่วย วงเงิน ๕๒,๕๗๕,๐๐๐ บาท และค่าปรับปรุงระบบสื่อสารและเทคโนโลยีศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ วงเงิน ๑๘,๒๒๑,๕๗๐ บาท โดยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณโดยตรงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. หากสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณในการจัดหาอุปกรณ์ควบคุมฝูงชนและปรับปรุงระบบสื่อสารและเทคโนโลยีศูนย์ปฏิบัติการเพิ่มเติม ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติไปหารือในรายละเอียดร่วมกับสำนักงบประมาณ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29585 | ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. .... | กค | 18/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงแก้ไขระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้ส่วนราชการและจังหวัดต่าง ๆ สามารถดำเนินการในการแก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินและสามารถตรวจสอบติดตามการใช้จ่ายเงินทดรองราชการได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้รับข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรีไปประกอบการพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ การประกาศให้ท้องที่ใดที่เกิดภัยพิบัติเป็นเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน โดยให้อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยหรือผู้ว่าราชการจังหวัดร่วมกับคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัด (ก.ช.ภ.จ.) เป็นผู้ใช้ดุลยพินิจ รวมทั้งให้อำนาจใช้จ่ายเงินทดรองราชการ ภายในวงเงินไม่เกิน ๑๐ ล้านบาท ในเชิงป้องกันหรือยับยั้งภัยพิบัติที่คาดหมายว่าจะเกิดภัยพิบัติขึ้นในเวลาอันใกล้และจำเป็นต้องรีบแก้ไขโดยฉับพลันได้ โดยไม่ต้องประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือ นั้น เห็นควรพิจารณาความเหมาะสมของระดับภัยพิบัติและความเชื่อมโยงกับข้อมูลของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ด้วย ๒.๒ ควรเพิ่มผู้แทนหน่วยงานที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติโดยตรง เช่น ผู้แทนของกระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง กรมเจ้าท่า และการรถไฟแห่งประเทศไทย) ร่วมเป็นกรรมการใน ก.ช.ภ.จ. ด้วย ๒.๓ ให้พิจารณาถึงความเหมาะสมในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพและการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยที่กำหนดให้จ่ายในลักษณะเหมาจ่าย โดยให้คำนึงถึงวงเงินและต้องทำความเข้าใจกับประชาชนเป็นสำคัญ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29586 | แนวทางการแก้ไขปัญหาราคายางพารา | กษ | 18/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติให้องค์การสวนยาง (อ.ส.ย.) กู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในวงเงิน ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๐ เพื่อดำเนินการตามโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกัน ยกเว้นค่าธรรมเนียมในการค้ำประกัน และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้หาแหล่งเงินทุน หรือให้ ธ.ก.ส. เป็นผู้จัดหาแหล่งเงินทุน โดยให้จ่ายค่าชดเชยต้นทุนเงินของ ธ.ก.ส. ในอัตราดอกเบี้ย FDR + ร้อยละ ๑ เช่นเดียวกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การรักษาเสถียรภาพราคายาง) รวมทั้งให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะบรรจุวงเงิน ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท ไว้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ด้วย และให้สำนักงบประมาณตั้งงบประมาณชดเชยผลการขาดทุนในการดำเนินงานโครงการฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง ขออนุมัติให้สำนักงบประมาณตั้งงบประมาณชดเชยผลการขาดทุนการดำเนินงานโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง) โดยครั้งนี้ขออนุมัติเบิกจ่าย ๕,๐๐๐ ล้านบาท และต่อไปทุกครั้งจะขออนุมัติคณะรัฐมนตรีเบิกจ่ายงวดละ ๕,๐๐๐ ล้านบาท ๒. รับทราบผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๕ ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อจัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และแนวทางการนำยางพาราไปใช้ประโยชน์ในการประกอบการต่าง ๆ ให้แพร่หลายขึ้นเพื่อเพิ่มอุปสงค์ของยางพารา โดยมีแนวทางการดำเนินงานต่าง ๆ ดังนี้ ๒.๑ กรณีการขออนุมัติวงเงินสินเชื่อเพื่อเก็บสต๊อค (STOCK CREDIT) คิดอัตราดอกเบี้ยต่ำให้กับผู้ส่งออกยางพารา ให้กระทรวงการคลัง กรมวิชาการเกษตร องค์การสวนยาง และผู้แทนผู้ประกอบการร่วมกันพิจารณาหาหลักเกณฑ์ แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย การเก็บยาง ระยะเวลา ภาระการจัดเก็บ ฯลฯ และนำเสนอคณะกรรมการฯ ในการประชุมครั้งต่อไป โดยให้ อ.ส.ย. เป็นฝ่ายเลขานุการ ๒.๒ กรณีการปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์ เงื่อนไข การปฏิบัติงานของโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง ทั้งนี้ เห็นควรปรับ “ปริมาณผลผลิต ๒ กิโลกรัม/ไร่/วัน เดือนละ ๓๐ วัน” เป็น “ปริมาณผลผลิต ๒ กิโลกรัม/ไร่/วัน เดือนละไม่เกิน ๑๗ วัน” และเพิ่มเติมหลักเกณฑ์ กรณีการขายยางของสถาบันเกษตรกรคือ เมื่อนำยางมาขายให้ อ.ส.ย. ทุกครั้งต้องแสดงเอกสารบัญชีซื้อยางจากสมาชิก รวมทั้งกรณีที่สถาบันเกษตรกรที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการพัฒนาสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางไม่จัดทำรายงานการซื้อและการขายยางส่งให้เลขานุการคณะอนุกรรมการบริหารโครงการระดับจังหวัดกำหนดทุก ๑๕ วัน ให้ตัดสิทธิ์การซื้อขายไว้ก่อนจนกว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จ ๒.๓ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็น/ข้อเท็จจริงของที่ประชุมไปพิจารณา เพื่อหาแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสมต่อไป เกี่ยวกับข้อเสนอให้มีการหยุดกรีดยาง ปัญหากฎหมายที่กำหนดการลงโทษในเรื่องมาตรฐานถุงมือยาง และอัตราการจัดเก็บเงิน Cess |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29587 | แผนปฏิบัติการตามแผนแม่บทการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง | นร. | 18/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีมติ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนปฏิบัติการตามแผนแม่บทการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง ตามที่องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) เสนอ โดยสาระสำคัญของแผนปฏิบัติการฯ ประกอบด้วย ๑.๑.๑ วิสัยทัศน์ พัทยา : เมืองน่าอยู่ น่าท่องเที่ยวระดับโลก ด้วยภาพลักษณ์ใหม่เมืองแห่งนวัตกรรมสีเขียว (New Pattaya : The World Class Greenovative Tourism City) ๑.๑.๒ เป้าหมายการพัฒนา ได้แก่ พื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยงมีแหล่งท่องเที่ยวและบริการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นักท่องเที่ยวคุณภาพมาท่องเที่ยวเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยงเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งชุมชนและผู้ประกอบการในพื้นที่ได้รับประโยชน์ทั้งในด้านเศรษฐกิจคุณภาพชีวิตและสภาพสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ๑.๑.๓ ยุทธศาสตร์การพัฒนา ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ พัฒนาสภาพแวดล้อมสะอาด ความปลอดภัย และภูมิทัศน์สีเขียว ยุทธศาสตร์ที่ ๒ พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมท่องเที่ยวที่จะเป็น Green Landmark ของพื้นที่พัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง ยุทธศาสตร์ที่ ๓ ส่งเสริมกิจกรรมท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตชุมชน และยุทธศาสตร์ที่ ๔ พัฒนาระบบคมนาคมขนส่งและระบบสาธารณูปโภคที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ๑.๑.๔ กลุ่มพื้นที่ในการพัฒนา ได้แก่ กลุ่มที่ ๑ เมืองท่องเที่ยวชายทะเล ได้แก่ เมืองพัทยา เกาะล้าน หมู่เกาะไผ่ เทศบาลตำบลนาจอมเทียน เทศบาลตำบลบางละมุง กลุ่มที่ ๒ พื้นที่รองรับการขยายตัวของที่อยู่อาศัยและการลงทุน ได้แก่ เทศบาลเมืองหนองปรือ เทศบาลตำบลตะเคียนเตี้ย เทศบาลตำบลโป่ง และกลุ่มที่ ๓ พื้นที่สีเขียว ท่องเที่ยวธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม ได้แก่ เทศบาลตำบลห้วยใหญ่ องค์การบริหารส่วนตำบลหนองปลาไหล องค์การบริหารส่วนตำบลเขาไม้แก้ว และเทศบาลตำบลเขาชีจรรย์ ๑.๑.๕ งบประมาณดำเนินการตามแผนงาน/โครงการตามแผนปฏิบัติการฯ ระยะ ๘ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๖๒) มีโครงการพัฒนา จำนวน ๗๖ โครงการ วงเงิน ๙,๒๒๙.๔๖๕ ล้านบาท แบ่งเป็นเมืองพัทยา ๑๙ โครงการ วงเงิน ๖,๗๒๐.๕๑๗ ล้านบาท พื้นที่เชื่อมโยงทั้ง ๙ แห่ง จำนวน ๔๐ โครงการ วงเงิน ๑,๔๕๑.๗๔๘ ล้านบาท หน่วยงานส่วนกลาง จำนวน ๑๖ โครงการ วงเงิน ๑,๐๒๗.๒ ล้านบาท และ อพท. จำนวน ๑ โครงการ วงเงิน ๓๐.๐ ล้านบาท ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามแผนปฏิบัติการฯ ดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ กรณีขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีจากคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ หากโครงการใดไม่ได้รับการพิจารณาสนับสนุนงบประมาณและจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการโดยรวม เห็นควรให้หน่วยงานส่วนกลางที่มีภารกิจรับผิดชอบโดยตรงพิจารณาเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีเพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวแทน ๒. ให้ อพท. กำกับ ติดตาม และเร่งรัดการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการฯ โดยร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาจัดลำดับความสำคัญและความจำเป็นเหมาะสมของโครงการในภาพรวมเป็น ๓ ระดับ (tier) คือ เป็นโครงการเพื่อตอบสนองความจำเป็นพื้นฐาน เพื่อแก้ไขปัญหาและลดความเหลื่อมล้ำของประชาชน เป็นโครงการเฉพาะของท้องถิ่นหรือของจังหวัดที่ส่งผลตอบแทนในเชิงเศรษฐกิจ และเป็นโครงการเพื่อตอบสนองนโยบายรัฐบาลในระยะยาว โดยครอบคลุมถึงการพัฒนาการท่องเที่ยวในแต่ละพื้นที่ ๓. สำหรับโครงการใดหากไม่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการ ให้ อพท. ประสานงานกับ กกถ. เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29588 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (พลโท ภราดร พัฒนถาบุตร) | นร08 | 18/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง พลโท ภราดร พัฒนถาบุตร ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29589 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง (นางสาวศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ และนางพนิตา กำภู ณ อยุธยา) | ศธ | 18/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรับโอนและแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ จำนวน ๒ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้
๑. นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นางสาวศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาการศึกษา สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29590 | การประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (21 - 22 ตุลาคม 2555) | นร | 18/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอว่า การประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ในครั้งต่อไป ซึ่งกำหนดเป็นวันที่ ๒๑-๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ นั้น รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องได้หารือร่วมกับเลขาธิการนายกรัฐมนตรีแล้วเห็นชอบให้จัดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ดังกล่าว ณ อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยจะมีการจัดกิจกรรมการลงพื้นที่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช และครอบคลุมพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย รวม ๔ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และพัทลุง ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรับไปประสานในรายละเอียดกับรัฐมนตรีและผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29591 | โครงการแนวร่วมดูแลคูคลอง "รวมแรงไทยรักษาน้ำใสทุกคูคลอง" | นร04 | 18/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมปีที่ผ่านมา ปัญหาส่วนหนึ่งเกิดจากคูคลองส่วนใหญ่มีวัชพืช และขยะอุดตันอยู่มาก จึงมอบให้กระทรวงการคลังดำเนินโครงการแนวร่วมดูแลคูคลอง “รวมแรงไทยรักษาน้ำใสทุกคูคลอง” ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน ๓๐๗ คลอง เพื่อรณรงค์และดำเนินการดูแลคูคลองให้สะอาดและสามารถระบายน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการร่วมมือกันระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้อง ๓ ฝ่าย ประกอบด้วย หน่วยงานภาครัฐทำหน้าที่ในการจัดหาเครื่องจักร เครื่องมือ และดำเนินการขุดลอกคูคลอง หน่วยงานภาคเอกชนให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม โดยถือเป็นความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility : CSR) ของหน่วยงานภาคเอกชนแต่ละแห่ง และชุมชนที่อยู่ใกล้คูคลองที่คอยดูแลรักษาคูคลองให้สะอาดและไม่ให้มีสิ่งกีดขวางทางน้ำ ทั้งนี้ หากกระทรวงต่าง ๆ มีข้อมูลหรือเห็นควรให้หน่วยงานภาคเอกชนรายใดเข้าร่วมดำเนินโครงการดังกล่าวเพิ่มเติม ให้แจ้งข้อมูลไปยังรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย) รวมทั้งให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นำแนวทางการดำเนินโครงการนี้ไปปรับใช้กับการดูแลรักษาคูคลองในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศด้วย ๒. รับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย) รายงานเพิ่มเติมว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และสถาบันไทยพัฒน์เป็นผู้รับผิดชอบการบริหารจัดการ ตลอดจนการอบรมและสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ประชาชนเกี่ยวกับโครงการดังกล่าว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29592 | การแก้ไขปัญหาสถานการณ์อุทกภัย | นร04 | 18/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่ได้เกิดสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง นั้น ขอขอบคุณหน่วยงานต่าง ๆ ที่ได้เข้าไปให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในพื้นที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะพื้นที่จังหวัดสุโขทัยที่มีรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย รวมทั้งคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ที่ได้ติดตามสถานการณ์น้ำและดำเนินการแก้ไขสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นให้ลุล่วงโดยเร็ว ๒. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยรายงานสภาพภูมิอากาศ ปริมาณน้ำในแม่น้ำสายหลัก สถานการณ์น้ำในเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ รวมทั้งการตรวจพื้นที่ที่เกิดอุทกภัย ได้แก่ พื้นที่จังหวัดสุโขทัย เกิดฝนตกหนักในพื้นที่ลุ่มน้ำยมตอนบนทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำยมเพิ่มสูงขึ้น และได้กัดเซาะใต้กำแพงป้องกันน้ำท่วมริมฝั่งแม่น้ำยมเข้าท่วมบริเวณเขตเทศบาลเมืองสุโขทัย ในวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๕ และเขตเทศบาลอำเภอเมืองศรีสำโรง ในวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๕ ขณะนี้ระดับน้ำต่ำกว่าพนังกั้นน้ำ ๓๗ เซนติเมตร และมีแนวโน้มลดลง สำหรับพื้นที่ในเขตจังหวัดนครสวรรค์ สิงห์บุรี และอ่างทอง พบว่า พนังกั้นน้ำยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ ได้สั่งการให้สร้างเขื่อนดินแทนชั่วคราว จะสร้างให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วัน ๓. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรายงานการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประเมินสถานการณ์และตัดสินใจในการบริหารจัดการน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาและรับมือกับสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในจังหวัดสุโขทัยโดยผ่านศูนย์ปฏิบัติการ (single command center) ปรากฏว่าได้ผลดีมาก สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ๔. รับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) รายงานว่า พื้นที่ในภาคเหนือซึ่งเป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำ มีบางพื้นที่เกิดเหตุน้ำท่วมซ้ำอยู่เป็นประจำทุกปี อันเนื่องมาจากเกิดน้ำป่า จึงเห็นควรที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ป่าต้นน้ำดังกล่าว เช่น การสร้างพนังกั้นน้ำหรือฝายชะลอน้ำ เป็นต้น ๕. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานว่า ในพื้นที่ที่เกิดปัญหาน้ำท่วมบริเวณภาคเหนือได้มอบให้อธิบดีกรมป่าไม้ และอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืชรับไปดำเนินการแก้ไขปัญหาและพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมในการสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำในระยะต่อไป เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและชะลอการไหลของน้ำ รวมทั้งสร้างความชุ่มชื้นให้กับพื้นที่ป่าบริเวณต้นน้ำ ๖. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานว่า หมายเลขโทรศัพท์ (call center) ๑๑๑๑ กด ๕ ได้มีการเพิ่มข้อมูลเรื่องของน้ำ และดินฟ้าอากาศ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลอย่างกว้างขวางและครอบคลุมมากยิ่งขึ้นแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29593 | ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. .... | นร04 | 18/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันจันทร์ที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๕ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. .... ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29594 | ร่างพระราชบัญญัติความลับทางการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 18/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันจันทร์ที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๕ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติความลับทางการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29595 | การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 20 | นร04 | 11/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอผลการเข้าร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๐ เมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๕๕ ณ นครวลาดิวอสต็อก สหพันธรัฐรัสเซีย โดยมีผู้นำจากเขตเศรษฐกิจต่าง ๆ ของโลก จำนวน ๒๑ เขตเศรษฐกิจเข้าร่วมการประชุม มีประเด็นสำคัญโดยสรุป ดังนี้
๑. การเปิดเขตการค้าเสรี ประเทศต่าง ๆ มีความเห็นสอดคล้องกันว่า ความผันผวนทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในภูมิภาคต่าง ๆ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเขตเศรษฐกิจเอเปค เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทุกประเทศควรร่วมมือกันในการเปิดเสรีทางการค้า โดยประเทศไทยเสนอให้มีการเจรจาเพื่อเปิดเสรีการค้าในสินค้าหลายชนิด ๒. ความมั่นคงทางอาหาร ภัยพิบัติต่าง ๆ รวมถึงอุทกภัยได้ส่งผลกระทบต่อการผลิตอาหารเป็นอย่างมาก ในขณะที่ประชากรของโลกเพิ่มขึ้นและมีความต้องการอาหารมากขึ้น แต่ผลผลิตอาหารของแต่ละภูมิภาคมีปริมาณแตกต่างกัน และในบางพื้นที่มีไม่เพียงพอ ทำให้เกิดความไม่สมดุล ประเทศไทยจึงได้เสนอตัวเป็นแหล่งความมั่นคงทางอาหารของโลก ซึ่งได้รับความสนใจและตอบรับจากผู้นำเขตเศรษฐกิจต่างๆที่เข้าร่วมประชุมเป็นอย่างดี พร้อมนี้ประเทศไทยได้เสนอจะนำผลงานทางด้านการวิจัยและพัฒนา (R & D) ตลอดจนเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการเพิ่มผลผลิต ถนอมอาหาร แปรรูปและเก็บรักษา รวมถึงกระบวนการโลจิสติกส์ (logistics) ในการขนส่งและกระจายสินค้าที่เป็นผลผลิตอาหารไปยังแหล่งขาดแคลนอย่างทั่วถึงให้มากยิ่งขึ้น จึงขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อเสริมสร้างและพัฒนาความมั่นคงทางอาหารของประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพสูงสุดและสอดคล้องกับทิศทางความต้องการของโลกต่อไป ๓. การสร้างห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อถือได้ กระบวนการผลิตสินค้าและบริการต่าง ๆ ในระดับนานาชาติ แต่ละประเทศล้วนเป็นห่วงโซ่อุปทานซึ่งกันและกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับสินค้าและบริการของประเทศใดจะมีคุณภาพและได้รับความเชื่อถือ ทั้งนี้ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ต่าง ๆ ถือเป็นห่วงโซ่อุปทานที่สำคัญทั้งในระดับต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ หากมีการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่าง ๆ มาช่วยในการปรับปรุงพัฒนา SMEs ต่าง ๆ ของไทยให้มากยิ่งขึ้น และมีการเชื่อมโยงถึงการส่งเสริมและพัฒนาบทบาทสตรี ก็จะช่วยให้ SMEs เหล่านี้มีศักยภาพ และสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้มากยิ่งขึ้น จึงให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการจัดทำ Part Value Chain เพื่อสนับสนุนส่งเสริมการประกอบการของ SMEs ของไทยให้แข็งแกร่งเป็นที่น่าเชื่อถือและแข่งขันกับต่างประเทศได้ โดยพิจารณาดำเนินการให้ครอบคลุมถึงการดูแลสิทธิประโยชน์ด้านการค้าให้แก่ SMEs ด้วย ๔. ประเทศไทยเสนอเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคในอีก ๑๐ ปี ข้างหน้า คือ ปี ค.ศ. ๒๐๒๒ ต่อจากประเทศมาเลเซีย ๕. การหารือทวิภาคีกับ ๔ ผู้นำเขตเศรษฐกิจ ได้แก่ นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นายกรัฐมนตรีปาปัวนิวกินี ประธานาธิบดีชิลี และประธานาธิบดีรัสเซีย มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๕.๑ ประเทศรัสเซีย ถือเป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางพลังงาน ขณะที่ประเทศไทยมีความมั่นคงทางอาหาร จึงตกลงที่จะร่วมมือกันตั้งคณะทำงานขึ้นมาศึกษาการขยายความร่วมมือกันในด้านต่าง ๆ ระหว่างทั้งสองประเทศในรายละเอียดต่อไป ๕.๒ ประเทศมาเลเซีย ได้มีการเจรจาหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และปัญหาราคายางพารา โดยในเบื้องต้นได้ตกลงกันที่จะให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องของ ๓ ประเทศ คือ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย มาร่วมประชุมในรายละเอียดเพื่อแก้ไขปัญหาราคายางพาราที่กรุงเทพฯ จึงให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม เตรียมการเพื่อการประชุมดังกล่าว โดยให้กระทรวงการต่างประเทศประสานการดำเนินการที่เกี่ยวข้องโดยด่วน ๕.๓ ประเทศปาปัวนิวกินี เป็นประเทศที่มีแหล่งพลังงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งได้แสดงความพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับประเทศไทยในด้านการพลังงานเป็นอย่างดี ๕.๔ ประเทศชิลี การเจรจามีความคืบหน้าเกี่ยวกับการเปิดเขตเสรีทางการค้า ซึ่งในส่วนที่ได้ทำความตกลงร่วมกันไปแล้ว อยู่ในขั้นตอนที่จะต้องนำเสนอต่อรัฐสภาตามกระบวนการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29596 | การเร่งรัดการก่อหนี้รายจ่ายลงทุน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | กค | 11/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และภาพรวมการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๑ ผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑,๘๕๔,๓๔๖ ล้านบาท หรือร้อยละ ๗๗.๙๑ ของวงเงินงบประมาณ จำนวน ๒,๓๘๐,๐๐๐ ล้านบาท และประมาณการว่าสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จะมีการเบิกจ่ายได้ประมาณร้อยละ ๘๙.๔๐ ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายตามมติคณะรัฐมนตรี (ร้อยละ ๙๓.๐๐) อยู่ร้อยละ ๓.๖๐ โดยมีการเบิกจ่ายรายจ่ายประจำ จำนวน ๑,๖๓๖,๗๖๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๘๓.๑๗ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๑,๙๖๗,๙๐๕ ล้านบาท และเบิกจ่ายในส่วนของรายจ่ายลงทุน จำนวน ๒๑๗,๕๗๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕๒.๘๐ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๔๑๒,๐๙๕ ล้านบาท และประมาณการว่าสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จะมีการเบิกจ่ายได้ประมาณร้อยละ ๖๓.๕๑ ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายตามมติคณะรัฐมนตรี (ร้อยละ ๗๒.๐๐) อยู่ร้อยละ ๘.๔๙ ๑.๒ ภาพรวมการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ สิ้นสุด ณ กรกฎาคม ๒๕๕๕ รัฐวิสาหกิจ จำนวน ๔๘ แห่ง มีการเบิกจ่าย จำนวน ๙๖,๘๒๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒๖.๔๙ ของวงเงินเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจทั้งหมด และจากการประมาณผลการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ คาดว่ารัฐวิสาหกิจที่ใช้ปีงบประมาณ (สิ้นสุด ณ กันยายน ๒๕๕๕) และรัฐวิสาหกิจที่ใช้ปีปฏิทิน (สิ้นสุด ณ ธันวาคม ๒๕๕๕) จะสามารถเบิกจ่ายงบลงทุนประมาณ ๒๘๓,๗๙๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗๗.๖๔ ๒. ปัญหาอุปสรรคและสถานะปัจจุบันของรายการภายใต้งบประมาณรายจ่ายลงทุน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ยังไม่ได้ก่อหนี้ และคาดว่าไม่สามารถดำเนินการได้ตามระยะเวลาที่กำหนด และขอผ่อนผันการก่อหนี้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ๒.๑ งบประมาณรายจ่ายลงทุนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ส่วนราชการได้รับจัดสรรตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ แต่ปัจจุบันยังไม่ก่อหนี้และเบิกจ่าย จำนวนทั้งสิ้นประมาณ ๑๒๕,๑๓๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๓๑.๓๙ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุน จำนวน ๓๙๘,๖๖๘ ล้านบาท (ไม่รวมรัฐวิสาหกิจ กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา) โดยมีปัญหาอุปสรรคที่ทำให้ส่วนราชการยังไม่สามารถก่อหนี้รายจ่ายลงทุนได้ คือ ความไม่พร้อมของส่วนราชการ มีการยกเลิกการประกวดราคาเนื่องจากผู้ประกอบการขาดแคลนวัสดุก่อสร้างขึ้นราคา ทำให้เสนอราคาสูงกว่างบประมาณที่ได้รับ และความซ้ำซ้อนของงานโครงการที่ดำเนินการในพื้นที่เดียวกัน ๒.๒ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ได้รับจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๓๒๐ หน่วยงาน มีส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจแจ้งขอผ่อนผันการก่อหนี้ เนื่องจากปัจจุบันมีโครงการและรายการที่ยังไม่ได้ก่อหนี้และคาดว่าไม่สามารถดำเนินการได้ทันภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ จำนวนทั้งสิ้น ๒๑๕ หน่วยงาน จำนวน ๒,๐๔๔ รายการ จำนวนเงิน ๗๕,๒๒๐ ล้านบาท ๓. หลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการเตรียมการจัดหาพัสดุก่อนพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประกาศใช้ที่คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ และคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ได้ซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับการเตรียมการจัดหาพัสดุ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29597 | รัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลีเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นายช็อน แจ-มัน (Mr. Jeon Jae-man)] | กต | 11/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายช็อน แจ-มัน (Mr. Jeon Jae-man) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายอิม แจ-ฮง (Mr. Lim Jae-hong) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29598 | การดำเนินการรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลก โครงการ Capacity Support for the Design and Operation of the Independent Budget Research Office within the King Prajadhipok's Institute | กค | 11/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
๑. รับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง ขออนุมัติใช้วิธีการอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทในหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลกโครงการ Capacity Support for the Design and Operation of the Independent Budget Research Office within the King Prajadhipok''s Institute) สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงการคลังมีหนังสือถึงธนาคารโลกเพื่อขอให้พิจารณาปรับปรุงข้อกำหนดในสัญญาเกี่ยวกับวิธีการอนุญาโตตุลาการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ซึ่งธนาคารโลกได้มีหนังสือชี้แจงว่า ไม่สามารถปฏิบัติตามความเห็นของกระทรวงยุติธรรมที่ให้กำหนดในหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือฯ เนื่องจากข้อตกลงดังกล่าวบังคับใช้กับทุกประเทศสมาชิก จึงไม่สามารถใช้กฎหมายของประเทศใดประเทศหนึ่งในกระบวนการอนุญาโตตุลาการได้ ทั้งนี้ ตามกระบวนการของธนาคารโลกกรณีหากเกิดข้อพิพาทจะดำเนินการเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อให้ได้ข้อตกลงเห็นชอบร่วมกัน โดยข้อกำหนดของธนาคารโลกเป็นหลักเกณฑ์มาตรฐานเดียวกับที่ใช้กับประเทศสมาชิกอื่น ๆ ซึ่งที่ผ่านมากรณีความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลกที่ไม่ก่อให้เกิดภาระทางการคลังของรัฐบาลยังไม่เคยเกิดกรณีพิพาทและต้องใช้วิธีอนุญาโตตุลาการระหว่างหน่วยงานดำเนินโครงการและธนาคารโลก ๑.๒ กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เป็นผู้ลงนามในหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือฯ ในนามประเทศไทยร่วมกับหน่วยงานดำเนินโครงการ ซึ่ง สบน. ได้ประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานดำเนินโครงการและธนาคารโลก เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปตามระเบียบและหลักเกณฑ์ของทั้ง ๒ ฝ่าย และบรรลุผลตามวัตถุประสงค์โครงการ ทั้งนี้ ธนาคารโลกจะติดตามประเมินผลความก้าวหน้าของโครงการ และจะรายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการมายัง สบน. เป็นระยะ ๆ จนสิ้นสุดการดำเนินโครงการ ๑.๓ กระทรวงการคลังจะรับความเห็นของกระทรวงยุติธรรมเกี่ยวกับการคัดเลือกบุคคลเพื่อทำหน้าที่อนุญาโตตุลาการไปดำเนินการในกรณีเกิดข้อพิพาท ทั้งนี้ หากมีการแต่งตั้งบุคคลเพื่อเป็นคณะอนุญาโตตุลาการในกรณีเกิดข้อพิพาทขึ้น กระทรวงการคลังจะขอความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงกระทรวงยุติธรรม และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติก่อน ๒. อนุมัติให้กระทวงการคลัง โดย สบน. ลงนามในหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลกโครงการ Capacity Support for the Design and Operation of the Independent Budget Research Office within the King Prajadhipok’s Institute ในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และเพื่อให้สถาบันพระปกเกล้าซึ่งเป็นหน่วยดำเนินโครงการสามารถรับดำเนินโครงการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29599 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การกำหนดจำนวนคนต่างด้าวซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ประจำปี พ.ศ. 2555 | มท | 11/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การกำหนดจำนวนคนต่างด้าวซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ มีสาระสำคัญคือ กำหนดจำนวนคนต่างด้าวซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยให้ถือจำนวนหนึ่งร้อยคนสำหรับคนต่างด้าวที่มีสัญชาติของแต่ละประเทศ และห้าสิบคนสำหรับคนต่างด้าวไร้สัญชาติ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29600 | ผลการเยือนสาธารณรัฐอินเดียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี (วันที่ 24 - 26 มกราคม 2555) | นร04 | 11/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอผลการเยือนสาธารณรัฐอินเดียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๒๔ - ๒๖ มกราคม ๒๕๕๕ ตามรายงานของกระทรวงการต่างประเทศ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ในการประชุมคณะกรรมการเจรจาการค้าไทย - อินเดีย ครั้งที่ ๒๓ ณ กรุงนิวเดลี เมื่อวันที่ ๘ - ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ทั้งสองฝ่ายสามารถจัดทำข้อบทความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความร่วมมือศุลกากร และตกลงจะปรับปรุงข้อเสนอการเปิดตลาดการค้าสินค้าเพื่อแลกเปลี่ยนกัน ทั้งนี้ ไทยมีกำหนดเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการเจรจาฯ ครั้งที่ ๒๔ ภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ ๒. สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี ได้จ้างบริษัทที่ปรึกษาท้องถิ่นเพื่อศึกษาข้อมูลเชิงลึกด้านธุรกิจ และให้คำปรึกษาแก่ภาคเอกชนไทยในอินเดีย รวมทั้งได้จัดงานสัมมนา “ภาครัฐอินเดียพบภาคเอกชนไทย” เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๕ โดยเชิญอธิบดีกรมนโยบายและส่งเสริมการลงทุนร่วมบรรยายและตอบข้อซักถามเกี่ยวกับนโยบายและกฎระเบียบต่าง ๆ ให้นักธุรกิจเอกชนไทยในอินเดียได้รับทราบ และเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ กระทรวงการต่างประเทศได้จัดสัมมนา “การค้าการลงทุนไทยในเอเชียใต้” เพื่อให้ข้อมูลสำหรับนักธุรกิจไทยเกี่ยวกับโอกาส กฎระเบียบ และปัญหาอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจในประเทศอินเดียและประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียใต้ ๓. กระทรวงการต่างประเทศได้จัดประชุมกับฝ่ายอินเดีย เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ เพื่อหารือเบื้องต้นเกี่ยวกับภาพรวมของนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการเชื่อมโยงและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของแต่ละฝ่าย และได้เสนอร่างขอบเขตอำนาจหน้าที่ (TOR) ของการจัดตั้งคณะทำงานร่วมฯ ให้ฝ่ายอินเดียพิจารณา ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศอยู่ระหว่างการจัดตั้งคณะทำงานฝ่ายไทย และจะดำเนินการจัดการประชุมคณะทำงานร่วมฯ ต่อไป ๔. กระทรวงการต่างประเทศได้จัดการประชุมคณะทำงานร่วมเฉพาะกิจด้านการตรวจลงตราและการกงสุล ไทย - อินเดีย ครั้งที่ ๑ เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ โดยได้หารือในประเด็นต่าง ๆ ที่ได้หยิบยกระหว่างการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี ไทย - อินเดีย ครั้งที่ ๖ เมื่อวันที่ ๒๔ - ๒๖ มกราคม ๒๕๕๕ ซึ่งอินเดียได้แสดงความพอใจที่กลไกการประชุมสามารถไขข้อขัดข้องใจในประเด็นที่ได้มีการหยิบยกขึ้นมาหารือ อาทิ การปฏิบัติต่อนักท่องเที่ยวชาวอินเดีย และการนำเข้าเครื่องประดับสำหรับผู้เข้าร่วมงานแต่งงาน เป็นต้น
|