ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1393 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 27841 - 27860 จากข้อมูลทั้งหมด 123972 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
27841 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง กระทรวงมหาดไทย (จำนวน 4 ราย 1. นายวัลลภ พริ้งพงษ์ ฯลฯ) | มท | 04/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงมหาดไทย ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๔ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
๑. นายวัลลภ พริ้งพงษ์ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ๒. นายแก่นเพชร ช่วงรังษี ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายธงชัย ลืออดุลย์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดบุรีรัมย์ ๔. นายพงศธร สัจจชลพันธ์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดบึงกาฬ
|
||||||||||||||||||||||||
27842 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตำแหน่งอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ (นายอภินันท์ จันทรังษี) | นร01 | 04/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรับโอนและแต่งตั้งนายอภินันท์ จันทรังษี ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงมหาดไทย ให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
27843 | ผลการเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาและสาธารณรัฐมัลดีฟส์ | นร04 | 04/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอผลการเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาและสาธารณรัฐมัลดีฟส์อย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ ๓๑ พฤษภาคม-๓ มิถุนายน ๒๕๕๖ ดังนี้
๑. วันที่ ๓๑ พฤษภาคม-๑ มิถุนายน ๒๕๕๖ ได้เดินทางเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา เพื่อลงนามความตกลงร่วมกันทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านการท่องเที่ยว ด้านการค้าการลงทุน และการเกษตรแปรรูป เป็นต้น และได้นำภาคเอกชนไทยเข้าร่วมหารือกับภาคเอกชนศรีลังกาเกี่ยวกับการค้าการลงทุน โดยสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาต้องการให้ภาคเอกชนไทยเข้าไปลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ การก่อสร้าง การโรงแรม รวมถึงการท่องเที่ยวในเชิงพุทธศาสนา จึงขอให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการโลจิสติกส์ (logistics) ทั้งระบบซึ่งเชื่อมโยงและเป็นประโยชน์ต่อการส่งออก รวมทั้งเป็นช่องทางในการขยายตลาดสินค้าของไทยในสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาและประเทศใกล้เคียงอื่น ๆ เช่น สาธารณรัฐอินเดีย เป็นต้น ๒. วันที่ ๑-๓ มิถุนายน ๒๕๕๖ ได้เดินทางเยือนสาธารณรัฐมัลดีฟส์ เพื่อกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือกับสาธารณรัฐมัลดีฟส์ในด้านการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ด้านเกษตรแปรรูป และพลังงานทางเลือก เป็นต้น ซึ่งเป็นโอกาสของนักธุรกิจไทยที่จะเข้าไปร่วมลงทุนในด้านต่าง ๆ ดังกล่าว รวมทั้งการลงทุนด้านพลังงานชีวมวล โดยเฉพาะการนำขยะมาแปรรูปและผลิตเป็นพลังงาน และในส่วนการท่องเที่ยวของมัลดีฟส์ซึ่งมีภูมิทัศน์เป็นหมู่เกาะที่สวยงาม มีการรักษาความสะอาด และการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ จึงมีกลุ่มนักท่องเที่ยวจากหลากหลายประเทศที่มีกำลังซื้อสูงและพักอยู่ระยะยาวเข้ามาท่องเที่ยว ทำให้ธุรกิจการท่องเที่ยวมีความคุ้มทุนสูง จึงมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) เป็นเจ้าภาพหลักพิจารณาร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจรายชื่อแหล่งท่องเที่ยวทั้งหมดที่มีอยู่ในประเทศไทยและคัดเลือกพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวนำร่อง เช่น แหล่งท่องเที่ยวหมู่เกาะทางทะเลในจังหวัดต่าง ๆ เป็นต้น เพื่อยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการให้บริการให้เทียบเท่าระดับมาตรฐานสากล โดยเน้นการดึงดูดและสร้างแรงจูงใจกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูงให้เข้ามาท่องเที่ยวและพำนักระยะยาว (Long Stay) ซึ่งจะทำให้เกิดการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ให้กำหนดมาตรการในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกต้อง และเหมาะสม โดยอาจจะพิจารณากำหนดเป็นโครงการที่ให้ภาคเอกชนเข้าร่วมด้วยก็ได้
|
||||||||||||||||||||||||
27844 | ปัญหาอาชญากรรม (ในรอบเดือนเมษายน 2556) (รายงานข้อมูลปัญหาอาชญากรรม) | ตช | 04/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานข้อมูลปัญหาอาชญากรรม ในรอบเดือนเมษายน ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านการป้องกันอาชญากรรม ๑.๑ คดีกลุ่มที่ ๑ คดีอุกฉกรรจ์ สะเทือนขวัญ มีการรับแจ้งคดีทั้งสิ้น ๓๙๔ คดี ๑.๒ คดีกลุ่มที่ ๒ คดีประทุษร้ายต่อชีวิต ร่างกาย และเพศ มีการรับแจ้งคดีทั้งสิ้น ๒,๐๔๑ คดี ๑.๓ คดีกลุ่มที่ ๓ คดีประทุษร้ายต่อทรัพย์ มีการรับแจ้งคดีทั้งสิ้น ๓,๕๕๗ คดี ๒. ด้านการปราบปรามอาชญากรรม ๒.๑ คดีกลุ่มที่ ๑ จับกุมได้ ๒๒๒ คดี คิดเป็นร้อยละ ๕๖.๓๕ ของการรับแจ้ง (๓๙๔ คดี) ๒.๒ คดีกลุ่มที่ ๒ จับกุมได้ ๑,๐๒๖ คดี คิดเป็นร้อยละ ๕๐.๒๗ ของการรับแจ้ง (๒,๐๔๑ คดี) ๒.๓ คดีกลุ่มที่ ๓ จับกุมได้ ๑,๔๑๙ คดี คิดเป็นร้อยละ ๓๙.๘๙ ของการรับแจ้ง (๓,๕๕๗ คดี) ๓. ด้านการประชาสัมพันธ์ ได้เร่งรณรงค์ประชาสัมพันธ์ทางสื่อต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ให้ประชาชนมีความระมัดระวังในการรักษาความปลอดภัยในทรัพย์สินของตนเองให้มากยิ่งขึ้น โดยไม่เปิดโอกาสให้คนร้ายเข้ามาประทุษร้ายต่อทรัพย์ของตนเองได้ง่าย รวมทั้งการให้ความร่วมมือในการแจ้งเบาะแสการกระทำผิดของคนร้าย สำหรับกรณีที่มีการจับกุมผู้กระทำผิดในคดีที่ก่อให้เกิดความเสียหายในภาพรวมหรือกระทบต่อความสงบสุขในการดำรงชีวิตประจำวันของประชาชน ให้พิจารณาจัดแถลงข่าวทางสื่อมวลชนให้ประชาชนได้รับทราบ ๔. จากผลการดำเนินการในรอบเดือนเมษายน ๒๕๕๖ พบว่าในด้านการป้องกันอาชญากรรมในภาพรวม สำนักงานตำรวจแห่งชาติสามารถควบคุมอาชญากรรมให้อยู่ในระดับเกณฑ์เป้าหมายที่กำหนดไว้ได้ เนื่องจากได้มีคำสั่งให้ทุกหน่วยงานในสังกัด เข้มงวดกวดขันในการตั้งจุดตรวจ จุดสกัดในพื้นที่ล่อแหลมหรือเสี่ยงต่อการเกิดอาชญากรรม ส่งผลให้สถิติคดีอาญาลดน้อยลง ส่วนด้านการปราบปรามอาชญากรรม ทุกกลุ่มคดีมีผลการปฏิบัติไม่ผ่านเกณฑ์เป้าหมายที่กำหนดไว้ จึงได้สั่งการและกำชับให้หน่วยปฏิบัติพิจารณาระดมกวาดล้างอาชญากรรมในห้วงเวลาที่เหมาะสมเป็นประจำทุกเดือน ๆ ละไม่น้อยกว่า ๕ วัน และให้มีการเร่งรัดจับกุมคดีค้างเก่าอย่างจริงจัง
|
||||||||||||||||||||||||
27845 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ อำเภอเกาะสมุย และตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. .... | ทส | 04/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณท้องที่ตำบลตลิ่งงาม ตำบลบ่อผุด ตำบลมะเร็ต ตำบลแม่น้ำ อำเภอเกาะสมุย และตำบลเกาะพะงัน ตำบลบ้านใต้ ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยร่างประกาศฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดนิยามคำว่า “แนวชายฝั่งทะเล” ๑.๒ กำหนดให้พื้นที่ที่ได้มีการกำหนดให้เป็นเขตอนุรักษ์และเขตควบคุมอาคารของจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นเขตพื้นที่ที่ให้ใช้มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในประกาศนี้ โดยจำแนกพื้นที่ออกเป็น ๗ บริเวณ และในพื้นที่ดังกล่าวห้ามกระทำการหรือประกอบกิจกรรมบางประการ ได้แก่ พื้นที่บริเวณที่ ๑ และพื้นที่บริเวณที่ ๗ (๒) ห้ามกระทำหรือประกอบกิจกรรมการทำเหมืองแร่ การขุดเจาะ ผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และการถ่ายเทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากแหล่งผลิต เป็นต้น ๑.๓ กำหนดให้การก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคาร หรือดำเนินการที่เกี่ยวข้อง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ได้แก่ พื้นที่บริเวณที่ ๒ เขื่อน หรือกำแพง ต้องไม่ปิดกั้นทางลงสู่ทะเลหรือหาด หรือพื้นที่สาธารณประโยชน์อื่น เป็นต้น ๑.๔ กำหนดให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือเอกชนที่จะทำการก่อสร้างอาคาร หรือดำเนินการโครงการ หรือประกอบกิจการในพื้นที่ตามร่างข้อ ๒ นอกจากต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในประกาศนี้แล้ว ให้จัดทำและเสนอรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น หรือรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม แล้วแต่กรณี ต่อสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามมาตรา ๔๖ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ๑.๕ กำหนดให้เพื่อประโยชน์ในการกำกับดูแลและติดตามผลการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ตามร่างข้อ ๒ ให้แต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลและติดตามผลการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม โดยแบ่งออกเป็น ๒ ระดับ คือ คณะกรรมการกำกับดูแลและติดตามผลการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมระดับจังหวัด และคณะกรรมการกำกับดูแลและติดตามผลการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมระดับพื้นที่ และกำหนดองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการแต่ละระดับ ๑.๖ กำหนดข้อยกเว้นสำหรับอาคารที่ไม่ต้องดำเนินการตามประกาศนี้ ได้แก่ อาคารในพื้นที่ตามร่างข้อ ๒ ที่มีอยู่แล้วก่อน หรือในวันประกาศนี้ใช้บังคับ เป็นต้น และกำหนดให้การกระทำ กิจกรรม หรือกิจการใดที่ต้องห้ามตามประกาศนี้ ถ้าได้รับอนุญาตตามกฎหมายใดไว้ก่อนวันประกาศนี้ใช้บังคับให้ดำเนินการต่อไปได้ ๑.๗ กำหนดให้ประกาศนี้มีระยะเวลาการบังคับใช้ห้าปีนับแต่วันที่ประกาศมีผลใช้บังคับ ๒. ให้รับข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ตามร่างประกาศฯ ข้อ ๑ ได้กำหนดนิยามคำว่า “แนวชายฝั่งทะเล” หมายความว่า แนวที่น้ำทะเลขึ้นสูงสุดตามปกติทางธรรมชาติ แต่มาตรการของกรมประมงที่เกี่ยวข้องกับร่างประกาศฯ ระบุใช้ “ขอบน้ำตามแนวชายฝั่งขณะทำการประมง” อาจทำให้ชาวประมงสับสนได้ การเลี้ยงสัตว์น้ำในกระชังในที่สาธารณประโยชน์ในแต่ละจังหวัดมีการแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำฯ ระดับจังหวัด และมีอำนาจหน้าที่พิจารณาในการกำหนดเขตและการขออนุญาตเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่สาธารณะ (กระชังเลี้ยงสัตว์น้ำ) ในเขตพื้นที่จังหวัด ทั้งนี้ ตามระเบียบกรมประมงว่าด้วยการยื่นคำขอและการอนุญาตให้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่จับสัตว์น้ำประเภทที่สาธารณประโยชน์ พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกันกับร่างประกาศฯ ข้อ ๓ (๑) (ฉ) อาจเป็นการสร้างภาระแก่ผู้ประกอบการมากขึ้น และตามร่างประกาศฯ ข้อ ๓ (๑) (ฌ) ห้ามจับหรือครอบครองปลาสวยงามตามที่กำหนดในบัญชีท้ายประกาศ และปลิงทะเล โดยได้รับยกเว้นให้เฉพาะบางกรณี และต้องได้รับอนุญาตจากกรมประมงหรือผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐ มิได้กำหนดให้ต้องขออนุญาต มีเพียงระบบการรับรองมาตรฐานฟาร์มเพาะเลี้ยงและการขึ้นทะเบียนผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำกับกรมประมงเท่านั้น แต่บางกรณีอาจมีสัตว์น้ำดังกล่าวติดปะปนมาในขณะที่ทำการประมงตามปกติได้ นอกจากนี้ ร่างประกาศฯ ข้อ ๓ (๑) (ฌ) (๔) ควรกำหนดนิยามคำว่า “การครอบครองของทางภาคเอกชนเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ” ให้มีความชัดเจนเพื่อการบังคับใช้ได้จริง รวมทั้งการกำหนดห้ามใช้เครื่องมืออวนล้อมจับทุกประเภท ทุกขนาด ควรมีข้อมูลทางวิชาการสนับสนุนด้วยหรือไม่ และตามร่างประกาศฯ ห้ามใช้เครื่องมือประเภทลอบปูตาห่างน้อยกว่า ๒.๕ นิ้ว โดยมิได้ระบุเฉพาะท้องลอบเหมือนประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๔ ซึ่งควรกำหนดให้สอดคล้องกัน และโดยที่ร่างประกาศฯ จะมีระยะเวลาการบังคับใช้ ๕ ปี นับแต่วันที่ประกาศมีผลบังคับใช้ ดังนั้น ในอนาคตหากมีกิจกรรมหรือโครงการด้านพลังงานและด้านอื่น ๆ ที่มีความจำเป็นต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศหรือเป็นประโยชน์สาธารณะควรจะให้มีการพิจารณาทบทวนผ่อนผันให้ดำเนินกิจกรรมนั้น ๆ ได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นในอนาคต ประกอบกับร่างประกาศฯ ได้มีการห้ามหรือควบคุมการดำเนินกิจกรรมไว้หลายประเภท ในอนาคตหากสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงไปทั้งสภาพเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของพื้นที่ หรือหากมีโครงการหรือการประกอบกิจกรรมที่มีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เป็นต้น เห็นควรให้มีการทบทวนประกาศฯ ดังกล่าวให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||
27846 | ยุทธศาสตร์การบูรณาการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) | ทก | 04/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบยุทธศาสตร์การบูรณาการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) มีสาระสำคัญเพื่อใช้เป็นกลไกในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืน โดยมีกรอบแนวทางการดำเนินการ ประกอบด้วย การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานความเร็วสูง ICT ทั้งด้านโครงข่าย (Network Infrastructure) และด้านสารสนเทศ (Information Infrastructure) รวมทั้งการใช้บริการคลาวด์ภาครัฐ (Government Cloud) เพื่อลดความซ้ำซ้อนและภาระการลงทุนในการพัฒนาด้าน ICT ในหน่วยงานของรัฐ และการพัฒนาระบบบริการอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ (e-Government Services) ตามภารกิจของหน่วยงานในลักษณะของระบบบริการที่มีการบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงาน (Integrated e-Services) ให้บริการระบบสารสนเทศแบบรวมศูนย์ ตลอดจนกำหนดกรอบแนวทางการเชื่อมโยงรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติและมาตรฐานด้านความมั่นคงปลอดภัย ทั้งนี้ กรอบแนวทางการดำเนินการดังกล่าวสามารถกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาการบูรณาการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ประกอบด้วย ๑.๑.๑ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นการพัฒนาโครงข่ายสื่อสารข้อมูลภาครัฐโดยการต่อยอดและยกระดับเครือข่ายสื่อสารข้อมูลเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐ (Government Information Network หรือ GIN) ให้เป็นโครงข่ายสื่อสารข้อมูลความเร็วสูงที่เชื่อมโยงภาครัฐสู่ประชาชนทุกภาคส่วน หรือ Super GIN รองรับการบริการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ในหลากหลายรูปแบบ อาทิ การบริการด้านการเกษตร การบริการสาธารณสุขทางไกล การขยายโอกาสทางการศึกษา ตลอดจนการขยายการให้บริการสู่ระดับท้องถิ่นเพื่อการบริการประชาชน และภาคธุรกิจเอกชนที่รวดเร็ว ทั่วถึง และครอบคลุม ๑.๑.๒ การเพิ่มประสิทธิภาพการบริการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ด้วยการบูรณาการศูนย์ข้อมูลภาครัฐเข้าด้วยกัน และให้มีระบบสารสนเทศแบบรวมศูนย์ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับจังหวัด พร้อมทั้งการพัฒนาบริการคลาวด์ภาครัฐ เพื่อให้บริการสำหรับหน่วยงานของรัฐ ทั้งในด้านการบริการโครงสร้างพื้นฐาน และแอพลิเคชั่น ซึ่งในระยะแรกให้ดำเนินการบูรณาการบริการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ในกระทรวงหลัก ๔ กระทรวง ประกอบด้วย กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๑.๑.๓ การสนับสนุนการบริการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ด้วยการให้หน่วยงานของรัฐทุกหน่วยงานดำเนินการเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลในภารกิจของหน่วยงานตามกรอบแนวทางการเชื่อมโยงรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ หรือ TH e-GIF รวมทั้งกำหนดมาตรฐานด้านการรักษาความปลอดภัยในการดำเนินธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ และมาตรฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ๑.๒ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรมียุทธศาสตร์การบูรณาการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นแบบแผนของรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทย โดยเฉพาะ (Thailand e-Government platform) ให้ทุกหน่วยงานได้ปรับใช้และสามารถใช้เป็นแบบแผนเดียวกันทุกระบบ ควรคำนึงถึงการพัฒนาบุคลากรทั้งในส่วนของภาครัฐและประชาชนให้มีความรู้ความสามารถในการใช้งานระบบบริการอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรมียุทธศาสตร์ด้านกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่สนับสนุนการบูรณาการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายที่มีความเกี่ยวข้องกับการใช้งานระบบบริการคลาวด์ภาครัฐ และกำหนดให้มีแนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจนด้านการเติบโตของรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทั้งในด้านการใช้พลังงานและผลกระทบที่มีต่อสภาพภูมิอากาศ หรือ Green ICT eco system ควรเพิ่มระดับความสำคัญของระบบความปลอดภัยให้กับเครือข่าย GIN และการให้บริการคลาวด์ภาครัฐ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ใช้บริการ และควรเร่งจัดทำรายละเอียดองค์ประกอบสำคัญของยุทธศาสตร์ทั้งในด้านกลยุทธ์ เป้าหมายการพัฒนา ตัวชี้วัด การแปลงยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติ การติดตามประเมินผล เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการขับเคลื่อนและผลักดันการดำเนินการให้บรรลุตามยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารให้ความสำคัญในเรื่องการเชื่อมโยงข้อมูล การจัดทำข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล เพื่อยกระดับการบูรณาการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) ไปสู่การให้บริการแบบอัตโนมัติ (e-services) ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
27847 | ร่างแผนปฏิบัติการเพื่อผลักดัน ส่งเสริม เร่งรัด และติดตามผลการดำเนินงาน IPv6 ในประเทศไทย | ทก | 04/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนปฏิบัติการเพื่อผลักดัน ส่งเสริม เร่งรัด และติดตามผลการดำเนินงานเครือข่ายอินเทอร์เน็ตรุ่นที่ ๖ (Internet Protocol version 6 : IPv6) ในประเทศไทย โดยร่างแผนปฏิบัติการฯ ฉบับนี้เป็นแผนปฏิบัติการระยะสั้น มีเป้าหมายที่สอดคล้องกับการดำเนินการในระยะ ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๘) ได้แก่ ๑.๑.๑ หน่วยงานภาครัฐระดับกรมขึ้นไปทุกหน่วยงานมีการเชื่อมต่อสู่อินเทอร์เน็ตที่รองรับ IPv6 ภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ ๑.๑.๒ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตทุกรายซึ่งครอบคลุมผู้ให้บริการในระบบใช้สาย และไร้สาย เปิดให้บริการเชื่อมต่อและใช้งานที่รองรับ IPv6 ภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๑.๓ โครงข่ายของสถาบันการศึกษาของรัฐทุกระดับ (NEdNet และ UniNet) ให้สามารถใช้งาน IPv6 ได้อย่างน้อย ๑๐,๐๐๐ สถาบัน ภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ ๑.๑.๔ จัดตั้งศูนย์ประสานงานและปฏิบัติงาน IPv6 เพื่อให้คำปรึกษา อบรม ทดสอบ ตรวจประเมินด้าน IPv6 ของประเทศไทย ภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๖ ๑.๒ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นหน่วยงานหลักทำหน้าที่ในการกำกับดูแลบริหารจัดการตามแผนปฏิบัติการฯ ให้เป็นวาระแห่งชาติด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศ ๑.๓ ให้กระทรวง ทบวง กรม และรัฐวิสาหกิจทุกหน่วยงานพิจารณาดำเนินการตามกิจกรรม และความรับผิดชอบของหน่วยงาน ตามที่ระบุไว้ในแผนปฏิบัติการฯ ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงคมนาคม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุมหน่วยงานและสถานศึกษาในโครงข่าย NEdNet ทั้งหมด การสำรวจความต้องการความช่วยเหลือด้านเทคนิคจากหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ ควบคู่กับการดำเนินการตามร่างแผนปฏิบัติการฯ และวางแผนการให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิคตั้งแต่เริ่มต้นเพื่อให้การดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการฯ เกิดประสิทธิภาพสูงสุด การเร่งสำรวจตรวจสอบอุปกรณ์เครือข่ายและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในหน่วยงานภาครัฐ และการจัดทำแผนพัฒนาบุคลากรให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางการวางแผนและจัดลำดับความสำคัญของกลุ่มเป้าหมายในการปรับเปลี่ยน การจัดสรรงบประมาณในการลงทุน รวมทั้งจัดทำโครงการนำร่องในหน่วยงานภาครัฐและประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการเพื่อเป็นกรณีศึกษาในการนำผลที่ได้รับไปใช้ในการจัดทำคู่มือและแนวทางให้หน่วยงานต่าง ๆ นำไปใช้ในการปฏิบัติต่อไป นอกจากนี้ เพื่อให้การดำเนินการเกิดความคุ้มค่า ประหยัดงบประมาณ และเป็นไปอย่างรวดเร็ว อาจพิจารณามอบหมายให้หน่วยงานที่มีอยู่เดิมหรือตั้งหน่วยงานภายในเป็นการชั่วคราวรับผิดชอบดำเนินการ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกำกับดูแลและจัดเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตจาก IPv4 ไปสู่ IPv6 ในประเทศไทยมิให้เกิดผลกระทบต่อผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตด้วย ๔. ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการสำรวจอุปกรณ์เครือข่ายและเทคโนโลยีสารสนเทศต่าง ๆ และจัดทำแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อรองรับการใช้งาน IPv6 ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
27848 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แผนแม่บทระบบสถิติประเทศไทย พ.ศ. 2554 - 2558 | ทก | 04/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้นำแผนพัฒนาสถิติรายสาขาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิบัติราชการของกระทรวง กรม ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ โดยให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารประสานและบูรณาการการจัดทำข้อมูลสถิติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน มีมาตรฐานและรอบระยะเวลาการเก็บข้อมูลที่สอดคล้องกันและทันต่อสถานการณ์ สามารถนำไปใช้ในการบริหารและวางแผนเพื่อการพัฒนาประเทศในมิติต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม และมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นว่า หน่วยงานภาครัฐที่รับผิดชอบควรมีโครงสร้างความก้าวหน้าในสายวิชาชีพของบุคลากรด้านสถิติและข้อมูลสารสนเทศที่ชัดเจน ควรมีแนวทางหรือกลไกในการประสานข้อมูลในภาพรวม ตลอดจนการประสานความต้องการข้อมูลระหว่างสาขาหรือข้อมูลที่อาจจะต้องมีการพัฒนาขึ้นใหม่ ควรให้ความสำคัญกับมาตรฐานการจำแนกรายการทางสถิติ และมาตรฐานการสำรวจและจัดเก็บข้อมูล โดยส่งเสริมและสนับสนุนหน่วยงานที่มีการจัดเก็บและรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ใช้การจำแนกมาตรฐานที่เป็นสากล และเหมาะสมกับประเภทของสถิตินั้น ๆ และมีบทบาทในการให้ความช่วยเหลือและกำหนดมาตรฐานในการสำรวจและการจัดเก็บข้อมูลให้แก่หน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งวางแผนบริหารจัดการงานมาตรฐานสถิติของประเทศ และส่งเสริมการใช้มาตรฐานสถิติให้สอดคล้องกับการดำเนินการตามแผนพัฒนาสถิติรายสาขา ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. เห็นชอบในหลักการให้คงกรอบอัตรากำลังด้านสถิติ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ โดยหากกระทรวง กรมใดเห็นว่ามีความจำเป็นต้องใช้ตำแหน่งด้านสถิติทั้งที่มีอยู่แล้ว หรือจะกำหนดเพิ่มเติม ให้เสนอ อ.ก.พ. กระทรวงเพื่อพิจารณาตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ. โดยให้ดำเนินการตามขั้นตอนของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ [เรื่อง มาตรการบริหารกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๖)] ต่อไป และเพื่อให้การดำเนินงานตามแผนพัฒนาสถิติรายสาขาบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ตั้งไว้ รวมทั้งสอดรับกับการพัฒนาระบบสถิติตามแผนแม่บทระบบสถิติประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๘ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาแนวทางในการพัฒนาบุคลากรเพื่อเพิ่มทักษะ (skill) ในการวิเคราะห์/ประมวลผลด้านสถิติและข้อมูลสารสนเทศ รวมทั้งความก้าวหน้าในสายงานวิชาชีพ (career path) ดังกล่าวต่อไปด้วย ๓. ในส่วนของงบประมาณที่จะนำมาใช้จ่ายในการจัดทำข้อมูลสถิติตามที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาสถิติรายสาขา ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับการจัดสรรมาดำเนินการตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
27849 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 100 ปี โรงเรียนเพาะช่าง พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 100 ปี กรมทางหลวง พ.ศ. .... | กค | 04/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก ๑๐๐ ปี โรงเรียนเพาะช่าง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก ๑๐๐ ปี โรงเรียนเพาะช่าง ชนิด ราคา โลหะ อัตราเนื้อโลหะ น้ำหนัก ขนาด อัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด ลวดลาย และลักษณะอื่น ๆ ของเหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ชนิดราคายี่สิบบาท ประเภทธรรมดา (จำนวนผลิตไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ เหรียญ) ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก ๑๐๐ ปี กรมทางหลวง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก ๑๐๐ ปี กรมทางหลวง ชนิด ราคา โลหะ อัตราเนื้อโลหะ น้ำหนัก ขนาด อัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด ลวดลาย และลักษณะอื่น ๆ ของเหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ชนิดราคายี่สิบบาท ประเภทธรรมดา (จำนวนผลิตไม่เกิน ๓๐๐,๐๐๐ เหรียญ)
|
||||||||||||||||||||||||
27850 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพลังงาน พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | นร09 | 04/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอร่างกฎกระทรวง รวม ๒ ฉบับ ที่ตรวจพิจารณาแล้ว และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะได้เสนอร่างกฎกระทรวงดังกล่าวให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานพิจารณาลงนาม และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพลังงาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ ยกเลิกกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพลังงาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ๑.๒ กำหนดให้สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพลังงาน มีภารกิจเกี่ยวกับการพัฒนายุทธศาสตร์และแปลงนโยบายของกระทรวงเป็นแผนการปฏิบัติราชการ จัดสรรทรัพยากร และบริหารราชการประจำทั่วไปของกระทรวง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายและเกิดผลสัมฤทธิ์ตามภารกิจของกระทรวง และให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๓ กำหนดให้แบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพลังงาน ออกเป็นราชการบริหารส่วนกลาง ประกอบด้วย ๓ สำนัก ๒ กอง ๑ ศูนย์ และราชการบริหารส่วนภูมิภาค คือ สำนักงานพลังงานจังหวัด โดยให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๔ กำหนดให้มีกลุ่มตรวจสอบภายใน กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร และศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต รับผิดชอบงานขึ้นตรงต่อปลัดกระทรวง และให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๒. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๒.๑ ยกเลิกกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ๒.๒ กำหนดให้กรมธุรกิจพลังงาน มีภารกิจเกี่ยวกับการกำกับดูแลกิจการพลังงานในด้านคุณภาพ ความปลอดภัย ความมั่นคง และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ให้เป็นไปตามกฎหมาย รวมทั้งส่งเสริมและพัฒนามาตรฐานเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคและประชาชน ตลอดจนการรองรับภาวะวิกฤติและภัยพิบัติที่ส่งผลต่อธุรกิจพลังงาน และให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๒.๓ กำหนดให้แบ่งส่วนราชการกรมธุรกิจพลังงาน ประกอบด้วย ๖ สำนัก ๑ สถาบัน ๑ กอง ๑ ศูนย์ โดยให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๒.๔ กำหนดให้มีกลุ่มตรวจสอบภายใน และกลุ่มพัฒนาระบบบริหาร รับผิดชอบงานขึ้นตรงต่ออธิบดี และให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด
|
||||||||||||||||||||||||
27851 | มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคเงินเพื่อบูรณะโบราณสถาน โบราณวัตถุ และศิลปวัตถุ | กค | 04/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวง รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับการบริจาคเงินให้แก่กรมศิลปากรเพื่อการบูรณะโบราณสถาน โบราณวัตถุ และศิลปวัตถุตามกฎหมายว่าด้วยโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โดยให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อนตามมาตรา ๔๗ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) หรือ (๖) แห่งประมวลรัษฎากร เป็นจำนวนสองเท่าของจำนวนเงินที่บริจาค แต่เมื่อรวมกับเงินได้ที่ได้รับยกเว้นสำหรับการจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษาสำหรับโครงการที่กระทรวงศึกษาธิการให้ความเห็นชอบ สำหรับการบริจาคให้แก่สถานศึกษา และสำหรับการบริจาคเพื่อสนับสนุนการกีฬาแล้ว ต้องไม่เกินร้อยละสิบของเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อนนั้น ทั้งนี้ สำหรับการบริจาคที่ได้กระทำตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ ๒. ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้เงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อนตามมาตรา ๔๗ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) หรือ (๖) แห่งประมวลรัษฎากร เท่าจำนวนเงินที่บริจาคให้แก่กรมศิลปากรเพื่อการบูรณะโบราณสถาน โบราณวัตถุ และศิลปวัตถุ ตามกฎหมายว่าด้วยโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ แต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคตามมาตรา ๔๗ (๗) แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว ต้องไม่เกินร้อยละสิบของเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อนอื่น ๆ เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา |
||||||||||||||||||||||||
27852 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ระหว่างกัมพูชากับไทย ครั้งที่ 4 | พณ | 04/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ระหว่างกัมพูชากับไทย ครั้งที่ ๔ เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๖ ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนในภาคเกษตร ได้แก่ การส่งเสริมความคิดริเริ่มของภาคเอกชน โดยครอบคลุมถึงการจัดตั้งสมาพันธ์โรงสีข้าวและผู้ค้าข้าวแห่งอาเซียน และสมาพันธ์ผู้ค้ามันสำปะหลังแห่งอาเซียน และการจัดตั้งคณะทำงานพิเศษเพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดตั้ง “เขตเศรษฐกิจพิเศษด้านสินค้าเกษตร” “สมาพันธ์ผู้สีข้าวและผู้ค้าข้าวแห่งอาเซียน” และ “สมาพันธ์ผู้ค้ามันสำปะหลังแห่งอาเซียน” ๑.๒ การเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างกัน ได้แก่ การส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างกันมากขึ้นและปรับปรุงการจัดการด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ระหว่างไทยและกัมพูชา ในด้านการแลกเปลี่ยนสิทธิจราจร ความร่วมมือบ้านพี่เมืองน้อง จุดผ่านแดน ตลาดนัดชายแดน และสินค้าผ่านแดน ๑.๓ การส่งเสริมและการอำนวยความสะดวกการค้าและการลงทุน ได้แก่ การผลักดันและอำนวยความสะดวกการแลกเปลี่ยนบุคลากรภาครัฐและภาคเอกชน การจัดงานแสดงสินค้า นิทรรศการ การประชุม กิจกรรมการจับคู่/สร้างเครือข่ายธุรกิจ ให้บ่อยครั้งขึ้นในสถานที่ที่หลากหลายมากขึ้น การแต่งตั้งผู้ประสานงานใน ๓ ระดับ ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์ สถานทูต (ฝ่ายการพาณิชย์) และจังหวัดชายแดนของไทยและกัมพูชา การเพิ่มความโปร่งใสโดยการแลกเปลี่ยนข้อมูลการค้าและการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ การส่งเสริมและอำนวยความสะดวกความร่วมมือของภาคเอกชน รวมถึงความร่วมมือภายใต้สภาธุรกิจไทย-กัมพูชา การสรุปผลการจัดทำและบังคับใช้ความตกลงเพื่อการยกเว้นภาษีซ้อนโดยเร็วที่สุด การส่งเสริมการลงทุนในกัมพูชาในสาขาที่สำคัญลำดับแรกที่ทั้งสองฝ่ายสนใจร่วมกัน การทำให้ง่ายขึ้นและปรับประสานพิธีการศุลกากร โดยการเสริมสร้างศักยภาพบุคลากร การแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวทางปฏิบัติที่ดี และการพิจารณาความเป็นไปได้ในการส่งเสริมจุดพักรถที่จังหวัดโพธิสัตว์ให้เป็นศูนย์แสดงและกระจายสินค้า โดยเฉพาะ OTOP ๑.๔ การให้ความช่วยเหลือด้านวิชาการ ได้แก่ การจัดทำแผนความร่วมมือด้านวิชาการไทย-กัมพูชา ปี ๒๕๕๕/๒๕๕๖ และการให้ความช่วยเหลือด้านวิชาการแก่กัมพูชาต่อไป โดยครอบคลุมการฝึกอบรม สัมมนา การประชุมเชิงปฏิบัติการ ในสาขาที่สำคัญลำดับแรก ได้แก่ นโยบายการแข่งขัน การคุ้มครองผู้บริโภค และการบริหารจัดการตลาด ๑.๕ ความร่วมมือการขนส่งข้ามพรมแดน ได้แก่ การยกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียมอย่างไม่เป็นทางการบนเส้นทางขนส่งระหว่างไทยกับกัมพูชา การพิจารณาความเป็นไปได้ในการนำระบบ E-passport มาใช้ที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ณ จุดผ่านแดนอรัญประเทศ-ปอยเปต และการพิจารณาความเป็นไปได้ในการจังตั้งช่องทางด่วน (Express Lane) สำหรับนักท่องเที่ยวที่ด่านพรมแดน ๑.๖ ขอความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ได้แก่ การจัดกิจกรรมเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้ประโยชน์จาก ACMECS Single ViSa ระหว่างไทยกับกัมพูชา ๑.๗ ความร่วมมือด้านการส่งออกสินค้าเกษตร ได้แก่ การจัดตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อพิจารณาแผนความร่วมมือในการปรับปรุงกระบวนการส่งออกและนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมันสำปะหลังให้ง่ายขึ้น และการจัดตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อศึกษาห่วงโซ่สินค้าเกษตร ๑.๘ ความร่วมมือด้านการลงทุน ได้แก่ การจัดกิจกรรมส่งเสริมการลงทุน อาทิ การจับคู่ธุรกิจ และการจัดคณะผู้แทนด้านการลงทุนบริเวณพื้นที่ชายแดน อย่างน้อยปีละ ๒ ครั้ง ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เกี่ยวกับการเร่งผลักดันการจัดทำข้อตกลงการเก็บภาษีซ้อนระหว่างกันให้ได้ผลสำเร็จโดยเร็ว รวมทั้งการกำหนดแนวทางและมาตรการในเชิงป้องกันปัญหาในมิติด้านความมั่นคง เช่น การป้องกันการลักลอบเข้าเมือง และการขนส่งสินค้าผิดกฎหมาย เพื่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดทั้งในด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงควบคู่กันไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับไปประสานงานและบริหารจัดการช่วงเวลาและปริมาณการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมันสำปะหลังจากกัมพูชามายังไทยให้เหมาะสมและไม่เกิดผลกระทบต่อปริมาณและราคาผลผลิตในประเทศของไทยด้วย |
||||||||||||||||||||||||
27853 | การขอโอนสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 7/2551/98 แปลงสำรวจบนบกหมายเลข L20/50 | พน | 04/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้บริษัท คาร์นาร์วอน ไทยแลนด์ ลิมิเต็ด และบริษัท Sun Resources NL โอนสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ ๗/๒๕๕๑/๙๘ แปลงสำรวจบนบกหมายเลข L20/50 ซึ่งแต่ละบริษัทฯ ถือสิทธิในอัตราร้อยละ ๕๐ ให้แก่บริษัท สยาม โมเอโกะ จำกัด โดยอาศัยความตามมาตรา ๕๐ แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๕๐ และตามมาตรา ๒๒ (๗) แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งกำหนดให้เป็นอำนาจของรัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการปิโตรเลียม และต้องได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี โดยให้ออกเป็นสัมปทานปิโตรเลียมเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑) ของสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ ๗/๒๕๕๑/๙๘ ตามแบบ ชธ/ป๓/๑ ที่กำหนดในกฎกระทรวงกำหนดแบบสัมปทานปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๕๕
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ |
||||||||||||||||||||||||
27854 | การขอโอนสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 10/2551/101 แปลงสำรวจบนบกหมายเลข L45/50 | พน | 04/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้บริษัทมิตรา เอ็นเนอร์ยี่ ลิมิเต็ด โอนสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ ๑๐/๒๕๕๑/๑๐๑ แปลงสำรวจบนบกหมายเลข L45/50 ให้แก่บริษัท แพน โอเรียนท์ เอ็นเนอยี่ (สยาม) ลิมิเต็ด ในอัตราร้อยละ ๖๐ โดยอาศัยความตามมาตรา ๕๐ แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๕๐ และตามมาตรา ๒๒ (๗) แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ ๒๕๑๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งกำหนดให้เป็นอำนวจของรัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการปิโตรเลียม และต้องได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี โดยให้การโอนมีผลนับตั้งแต่วันที่ ๒ มกราคม ๒๕๕๖ และให้ออกเป็นสัมปทานปิโตรเลียมเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) ของสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ ๑๐/๒๕๕๑/๑๐๑ ตามแบบ ชธ/ป๓/๑ ที่กำหนดในกฎกระทรวงกำหนดแบบสัมปทานปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
27855 | การโอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุคืนให้แก่ผู้ยกให้ รายนายวีระชาติ เติบศิริ | กค | 04/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการโอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ อน.๕๓๙ ตำบลสะแกกรัง อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี คืนให้แก่นายวีระชาติ เติบศิริ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
27856 | รายงานผลการตรวจติดตามการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา | คค | 04/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการตรวจติดตามการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปสถานการณ์ปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา โดยจังหวัดนครราชสีมาได้ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน จำนวน ๒๙ อำเภอ ๒๒๔ ตำบล ๒,๓๗๙ หมู่บ้าน ยกเว้นอำเภอปากช่อง ครบุรี และเสิงสาง มีราษฎรได้รับความเดือดร้อน จำนวน ๑๔๔,๖๘๐ ครัวเรือน และพื้นที่การเกษตรได้รับผลกระทบ จำนวน ๙๒๖,๒๓๓ ไร่ ๒. ผลการดำเนินงานและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ในส่วนของน้ำเพื่ออุปโภคและบริโภค ได้สนับสนุนยานพาหนะและเครื่องมืออุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งให้แก่อำเภอ ได้แก่ เครื่องสูบส่งน้ำระยะไกล (๓-๕ กม.) เพื่อเพิ่มน้ำต้นทุนในการผลิตประปา รถบรรทุกน้ำ เครื่องสูบน้ำเพื่อการเกษตร เครื่องสูบน้ำเพื่ออุปโภค ขุดเจาะบ่อบาดาล และสนับสนุนถังแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำหรับน้ำเพื่อการเกษตรกรรม ได้สำรวจความเสียหายและทำรายการและขอรับความช่วยเหลือ โดยใช้เงินงบกลาง (กรมส่งเสริมการเกษตร) จำนวน ๖๖๓,๓๗๕ ไร่ เกษตรกร ๕๘,๐๒๙ ราย วงเงิน ๔๑๓,๘๒๓,๖๗๕ บาท ได้แก่ ข้าว ๖๑๒,๕๙๕ ไร่ เกษตรกร ๕๓,๙๗๐ ราย พืชไร่ ๔๙,๖๑๐ ไร่ เกษตรกร ๓,๘๙๗ ราย พืชสวนและอื่น ๆ ๑๒,๑๖๙ ไร่ เกษตรกร ๕๖,๓๖๐ ราย ๓. ข้อเสนอแนะเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งแบบยั่งยืน ได้แก่ โครงการสำรวจออกแบบการประปาชุมชนแบบยั่งยืน โดยเน้นให้สถาบันการศึกษาเป็นผู้ดำเนินการและประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โครงการพัฒนาแหล่งน้ำแบบต่อเนื่อง เพื่อยกระดับน้ำในแม่น้ำเพื่อการบริโภคอุปโภค และเพื่อการเกษตร และการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วม
|
||||||||||||||||||||||||
27857 | ขออนุมัติและประกาศนโยบาย "ชุมชนจัดการระบบสุขภาพเข้มแข็ง เมืองไทยแข็งแรง" (พ.ศ. 2556 - 2558) เป็นวาระแห่งชาติ | สธ | 04/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการนโยบาย “ชุมชนจัดการระบบสุขภาพเข้มแข็ง เมืองไทยแข็งแรง” (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๘) โดยการประกาศให้นโยบายฯ เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อผลักดันให้เกิดการเชื่อมโยงและบูรณาการการเสริมพลัง โดยใช้ศักยภาพทุนทางสังคม ใช้ทักษะความสามารถและทรัพยากรที่ชุมชนมีอยู่กับระบบสนับสนุนของหน่วยงาน/องค์กรต่าง ๆ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และปรับปรุงวิถีการดำเนินชีวิตไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดผลผลิตและผลลัพธ์ในทางบวกทั้งทางด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ สังคมวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องของชุมชน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขประสานงานกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำรายละเอียดเกี่ยวกับแผนงานต่าง ๆ และโครงสร้างการบริหารที่มีการกำหนดหน้าที่ของหน่วยงานที่รับผิดชอบที่เป็นรูปธรรมชัดเจนในลักษณะบูรณาการ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในการประกาศเป็นวาระแห่งชาติต่อไป ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทำแผนปฏิบัติการ กรอบเวลาในการดำเนินการ และแผนงบประมาณให้มีความชัดเจนและมีการบูรณาการในการจัดทำงบประมาณเพื่อผลักดันให้นโยบายฯ สามารถนำไปสู่ภาคปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และกระทรวงสาธารณสุขควรหาแนวทางในการเชิญชวนให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทในการดำเนินการตามนโยบายฯ มากขึ้น การให้ความสำคัญกับการประสานความร่วมมือเพื่อบูรณาการแผนงานและกิจกรรมให้หนุนเสริมกันเพื่อลดความซ้ำซ้อนและทำให้การใช้งบประมาณเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด รวมทั้งความชัดเจนของยุทธศาสตร์ที่ตอบเป้าหมายการพัฒนาตามที่กำหนดในการที่จะแก้ไขปัญหาความเจ็บป่วย เรื่องการสร้างระบบสุขภาพชุมชนและคุณภาพชีวิตที่ดี และแก้ไขปัญหาความยากจนในเรื่องการสร้างรายได้จากการพึ่งพาตนเองและการออมในชุมชน นอกจากนี้ เห็นควรให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของประเทศที่กำลังก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุ โดยการส่งเสริมให้ประชาชนในชุมชนได้รับการศึกษา การพัฒนาขีดความสามารถของอาสาสมัครสาธารณสุขให้เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ตลอดจนการศึกษาวิถีชุมชนและทุนทางสังคมของแต่ละชุมชนอย่างถ่องแท้ เพื่อให้มีรูปแบบการดำเนินงานและกระบวนการพัฒนาสู่ชุมชนสุขภาวะดีที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
27858 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศธ | 04/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย พ.ศ. ๒๕๕๔ ดังนี้
๑. กำหนดปริญญาในสาขาวิชา และอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาการบัญชี ๒. กำหนดสีประจำสาขาวิชาของสาขาวิชาการบัญชี
|
||||||||||||||||||||||||
27859 | ขอเปลี่ยนแปลงแบบรูปรายการค่าก่อสร้างอาคารเรียน โรงเรียนวัดไร่ขิง (สุนทรอุทิศ) จังหวัดนครปฐม | ศธ | 04/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการแก้ไขข้อความคลาดเคลื่อนจาก โรงเรียนวัดไร่ขิง (สุนทรอุทิศ) เป็น โรงเรียนวัดไร่ขิง เพื่อให้ถูกต้องตามความเป็นจริง ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเปลี่ยนแปลงแบบรูปรายการและวงเงินค่าก่อสร้างอาคารเรียนวัดไร่ขิง จังหวัดนครปฐม เป็นอาคารเรียน ๔ ชั้น แบบพิเศษ (๒๑ ห้องเรียน ใต้ถุนโล่ง) ๑ หลัง ในวงเงิน ๒๑,๙๐๐,๐๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๓,๕๔๐,๐๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๑๔,๑๖๐,๐๐๐ บาท และใช้เงินบริจาคของโรงเรียนสมทบ จำนวน ๔,๒๐๐,๐๐๐ บาท และเมื่อดำเนินการจัดจ้างได้ข้อยุติแล้ว ให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานขอรับความเห็นชอบความเหมาะสมของราคาต่อสำนักงบประมาณก่อนลงนามในสัญญาก่อหนี้ผูกพัน ตามข้อ ๔ (๑) ของระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๙ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
27860 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอให้รับรองและการรับรองวิทยฐานะของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. .... | ศธ | 04/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอให้รับรองและการรับรองวิทยฐานะของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ให้ยกเลิกกฎกระทรวงว่าด้วยการขอให้รับรองและการรับรองวิทยฐานะของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๑ ๒. กำหนดให้การรับรองวิทยฐานะสถาบันอุดมศึกษาเอกชนเพื่อทำการสอนเพื่อให้ปริญญาชั้นใด และสาขาวิชาใด ให้เป็นไปตามมาตรฐานสถาบันอุดมศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด และให้ใบรับรองวิทยฐานะมีอายุห้าปี ๓. กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการการยื่นคำขอให้รับรองวิทยฐานะ การตรวจสอบคำขอ การพิจารณาคำขอ และการแจ้งผลการพิจารณาคำขอ ๔. กำหนดให้รัฐมนตรีมีอำนาจในการเพิกถอนการรับรองวิทยฐานะกรณีสถาบันอุดมศึกษาเอกชนที่ได้รับการรับรองวิทยฐานะ ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานสถาบันอุดมศึกษา ๕. กำหนดบทเฉพาะกาลเกี่ยวกับการรับรองวิทยฐานะที่มีอยู่ก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ และให้คำขอรับรองวิทยฐานะและคำขอต่ออายุใบรับรองวิทยฐานะที่ยื่นก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับตกไป โดยให้ยื่นคำขอใหม่ตามกฎกระทรวงนี้
|
.....