ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1400 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 27981 - 28000 จากข้อมูลทั้งหมด 123972 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
27981 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี 2556 และแนวโน้มปี 2556 | นร11 | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๖ และแนวโน้มปี ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๖ ขยายตัวร้อยละ ๕.๓ เทียบกับร้อยละ ๑๙.๑ ในไตรมาสที่ ๔ ของปี ๒๕๕๕ การขยายตัวในด้านการผลิตมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากสาขาการโรงแรมและภัตตาคาร การก่อสร้าง และอุตสาหกรรมซึ่งขยายตัวจากฐานที่ต่ำ ด้านการใช้จ่ายมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของการใช้จ่ายภาคครัวเรือน และการลงทุนภาคเอกชน ในขณะที่การส่งออกขยายตัวช้ากว่าคาดการณ์ การขยายตัวของเศรษฐกิจเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ ๔ ของปี ๒๕๕๕ และปรับผลของฤดูกาลออก หดตัวร้อยละ ๒.๒ โดยการใช้จ่ายภาคครัวเรือน ขยายตัวร้อยละ ๔.๒ การลงทุนรวม ขยายตัวร้อยละ ๖.๐ การส่งออก ขยายตัวร้อยละ ๔.๕ ภาคอุตสาหกรรม ขยายตัวจากฐานที่ต่ำร้อยละ ๔.๘ ภาคเกษตรกรรม ขยายตัวร้อยละ ๐.๕ สาขาโรงแรมและภัตตาคาร ขยายตัวร้อยละ ๑๔.๘ และภาคการก่อสร้าง ขยายตัวร้อยละ ๑๐.๕ ๑.๒ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี ๒๕๕๖ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๔.๒-๕.๒ ปรับลดจากร้อยละ ๔.๕-๕.๕ ในการประมาณการครั้งก่อนหน้า เนื่องจากเศรษฐกิจในไตรมาสแรกขยายตัวในเกณฑ์ต่ำ รวมทั้งการปรับสมมติฐานด้านอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก และราคาสินค้าส่งออก รวมทั้งความเสี่ยงในครึ่งปีหลังยังอยู่ในเกณฑ์สูง โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัวร้อยละ ๗.๖ การบริโภคของครัวเรือนและการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๓.๓ และ ๗.๙ ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ ๒.๓-๓.๓ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๐.๙ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ทั้งนี้ มีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ การปรับตัวดีขึ้นของภาวะการค้าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดโลก การลงทุนภาคเอกชนยังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวต่อเนื่อง รวมทั้งการเบิกจ่ายงบประมาณและการดำเนินการตามแผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๓.๕ แสนล้านบาท และการดำเนินการตามแผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า ๒ ล้านล้านบาท คาดว่าจะมีความคืบหน้าและสามารถเริ่มเบิกจ่ายเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ควรระมัดระวัง ได้แก่ ความล่าช้าในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในครึ่งปีแรกและการฟื้นตัวในครึ่งปีหลังที่นำโดยสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่นที่ค่าเงินอ่อนลงเมื่อเทียบกับเงินบาท ความล่าช้าในการฟื้นตัวของราคาสินค้าในตลาดโลก การแข็งค่าของเงินบาทซึ่งส่งผลกระทบต่อรายรับในรูปเงินบาทของผู้ประกอบการและกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของภาคการส่งออก และฐานการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เริ่มสูงขึ้นและการลดลงของแรงส่งจากมาตรการคืนภาษีให้กับผู้ซื้อรถยนต์คันแรก ๒. ในส่วนของปัจจัยเสี่ยงที่ควรระมัดระวัง โดยเฉพาะการแข็งค่าของเงินบาทซึ่งส่งผลกระทบต่อรายรับในรูปของเงินบาทของผู้ประกอบการและกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของภาคการส่งออก ขอให้ส่วนราชการต่าง ๆ เร่งรัดจัดทำรายงานความเสียหายและผลกระทบของการแข็งค่าของเงินบาท และส่งไปยังสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อรวบรวมเสนอให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) นำไปพิจารณากำหนดแนวทางและมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบและความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการแข็งค่าของค่าเงินบาทดังกล่าว และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
27982 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายซูการ์โน มะทา) | ศธ | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งนายซูการ์โน มะทา ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
27983 | การประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก ครั้งที่ 2 | นร | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. การประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ ๒ ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ เฉลิมพระเกียรติ ๗ รอบ พระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ ที่ประชุมได้มีการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ และการสร้างความมั่นคงด้านน้ำเพื่อชุมชนเมืองและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการเผชิญภัยพิบัติ โดยมีการบูรณาการการทำงานร่วมกับประเทศต้นน้ำและปลายน้ำ ดังนั้น เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำในประเทศสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งเสริมสร้างคุณภาพชีวิต และเป็นปัจจัยการผลิตทั้งภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม จึงขอให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการศึกษาและเตรียมความพร้อมในการวางแผนรองรับการบริหารจัดการน้ำของประเทศเชิงบูรณาการให้สอดคล้องกันทั้งระบบอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยรวมถึงการร่วมมือกับภูมิภาคอื่น ๆ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคของประชาชน ภาคเกษตรกรรม และอุตสาหกรรมอย่างทั่วถึง ตลอดจนการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสร้างระบบเตือนภัยที่แม่นยำ และการวางระบบป้องกันความเสี่ยงที่เกิดจากภัยพิบัติด้านน้ำด้วย ๒. ในส่วนของอาคารศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ เฉลิมพระเกียรติ ๗ รอบ พระชนมพรรษา เป็นศูนย์ประชุมและแสดงสินค้าขนาดใหญ่ที่ได้ออกแบบและจัดเตรียมไว้รองรับการประชุม และจัดนิทรรศการระดับชาติและนานาชาติ จึงขอให้กระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาและสำรวจเกี่ยวกับปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างการจัดประชุม เช่น เส้นทางคมนาคมบริเวณทางเข้าศูนย์ประชุมฯ ที่จะต้องขยายพื้นที่ทางเข้าให้รองรับยานพาหนะจำนวนมากที่มุ่งสู่ศูนย์ประชุมฯ และให้มีระบบแยกการควบคุมเครื่องปรับอากาศภายในศูนย์ประชุมฯ เป็นต้น เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขให้มีความพร้อม มุ่งสู่การเป็นศูนย์ประชุมและแสดงสินค้าระดับภูมิภาค รวมทั้งให้ส่วนราชการ หน่วยงานต่าง ๆ ใช้ประโยชน์จากศูนย์ประชุมดังกล่าวให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างต่อเนื่องด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
27984 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร04 | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันจันทร์ที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ซึ่งพิจารณาแนวทางการพิจารณาการประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สมัยวิสามัญ) วันพุธที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ และวันพฤหัสบดีที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
27985 | ขอยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2552 เรื่อง ขออนุมัติปรับเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างตัวอาคารสถานีและอุโมงค์รถไฟใต้อาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ | คค | 14/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๕๒ (เรื่อง ขออนุมัติปรับเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างตัวอาคารสถานีและอุโมงค์รถไฟใต้อาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) เฉพาะในส่วนที่ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นสมควรให้การรถไฟแห่งประเทศไทยกู้เงินในส่วนของแผนเงินกู้เพื่อดำเนินกิจการทั่วไป และอื่น ๆ เพื่อชำระดอกเบี้ยค้างจ่ายที่เกิดขึ้นจริงในวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒ จนถึง ๓๐ กันยายน ๒๕๕๒ จำนวน ๓๗,๗๐๓,๘๕๓.๐๖ บาท ให้แก่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) โดยการรถไฟแห่งประเทศไทยไม่ต้องชำระดอกเบี้ยค้างจ่ายตามช่วงเวลาดังกล่าว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ (เรื่อง ขออนุมัติกู้เงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย) ในการจัดทำแผนการบริหารจัดการกิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทยในภาพรวมให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อรองรับการพัฒนาระบบรถไฟของประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
27986 | การยุติบริจาคข้าวให้สาธารณรัฐเฮติในส่วนที่เหลือ จำนวน 1,599.39 ตัน | พณ | 14/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ยุติการบริจาคข้าวให้สาธารณรัฐเฮติในส่วนที่เหลือ จำนวน ๑,๕๙๙.๓๙ ตัน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดทำข้อตกลงซื้อขายข้าวระหว่างรัฐต่อรัฐ เพื่อจำหน่ายข้าวราคามิตรภาพให้กับสาธารณรัฐเฮติ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
27987 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลหนองตำลึง อำเภอพานทอง และตำบลดอนหัวฬ่อ อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | คค | 14/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลหนองตำลึง อำเภอพานทอง และตำบลดอนหัวฬ่อ อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลหนองตำลึง อำเภอพานทอง และตำบลดอนหัวฬ่อ อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
27988 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลยี่สาร อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม พ.ศ. .... | คค | 14/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลยี่สาร อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลยี่สาร อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อสร้างและขยายทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๕ กับทางหลวงชนบท สส. ๓๐๕๗ เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
27989 | (ร่าง) แผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ พ.ศ. 2556-2558 (แผนระยะสั้น) ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 เพิ่มเติม | สธ | 14/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบ (ร่าง) แผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๘ (แผนระยะสั้น) ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. ๒๕๔๒ เพิ่มเติม ประกอบด้วยพื้นที่เขตอนุรักษ์ ๒ แห่ง ได้แก่ พื้นที่เขตอนุรักษ์ป่าชุมชนบ้านเขาพนมกาว อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร และพื้นที่เขตอนุรักษ์ป่าชุมชนบ้านโป่งคำ ในเขตป่าสงวนป่าแม่น้ำน่านตะวันออกตอนใต้ อำเภอสันติสุข จังหวัดน่าน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. สำหรับกรอบวงเงินที่จะดำเนินการทั้ง ๒ พื้นที่ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๘ รวมทั้งสิ้น ๔,๒๓๕,๐๐๐ บาท ให้กระทรวงสาธารณสุขใช้จ่ายจากเงินกองทุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณกองทุนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไว้แล้ว จำนวน ๑๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรมีหน่วยงานหลักของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเฉพาะแผนงานด้านการสำรวจและการศึกษาวิจัยสมุนไพรและบริเวณถิ่นกำเนิดสมุนไพร โดยเน้นการจำแนกและระบุความถูกต้องของพืชสมุนไพรเพื่อให้ได้ข้อมูลของพืชสมุนไพรที่เป็นมาตรฐานและใช้ประโยชน์ในเชิงวิชาการได้ การเพิ่มพื้นที่การสำรวจในเขต ๓ จังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ได้แก่ จังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นถิ่นที่มีความหลากหลายของชนิดพันธุ์พืช สมุนไพร และมีความแตกต่างในระบบนิเวศน์จากพื้นที่เขตอนุรักษ์ที่กำหนดไว้ การปฏิบัติตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ และระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดในการเข้าไปสำรวจ ศึกษา การทำกิจกรรมต่าง ๆ และการเก็บหาสมุนไพร การบูรณาการความร่วมมือของชุมชนและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ในการจัดทำแผนและการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง การจัดทำแผนระยะยาวเพื่อประโยชน์ต่อการกำหนดกรอบทิศทางการคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ทั้งประเทศให้มีทิศทางที่ชัดเจน รวมทั้งการเร่งรัดการติดตามและประเมินผลตัวชี้วัดที่กำหนดไว้ในแผนฯ ที่ผ่านมา พร้อมทั้งรายงานผลก่อนมีการจัดทำแผนฯ ฉบับใหม่ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
27990 | สรุปผลการวิจัยเรื่อง "การใช้ประโยชน์จากระบบรถไฟที่เชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของภูมิภาค" | วช | 14/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการวิจัยเรื่อง "การใช้ประโยชน์จากระบบรถไฟที่เชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของภูมิภาค" โดยมีสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติร่วมกับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยดำเนินการวิจัย และมีนายฉลองภพ สุสังกรกาญจน์ เป็นหัวหน้าโครงการ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล) ประธานสภาวิจัยแห่งชาติ เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อวิเคราะห์ประโยชน์จากการเชื่อมโยงระบบเศรษฐกิจผ่านระบบขนส่งระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน วิเคราะห์ศักยภาพของความต้องการในการเดินทางและขนส่งตามแนวเส้นทางรถไฟระหว่างประเทศ รวมทั้งเสนอแนะแนวนโยบายสำหรับประเทศไทยในการพัฒนาระบบขนส่งทางรถไฟที่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน ๒. ผลการวิจัย ได้แก่ โครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟเชื่อมโยงระหว่างประเทศจีนและประเทศในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งหากดำเนินการแล้วเสร็จจะก่อให้เกิดการเคลื่อนที่ของคน สินค้า การบริการ และการลงทุนได้อย่างเสรี ด้านการค้าของไทยกับประเทศเพื่อนบ้านมีแนวโน้มที่สูงขึ้น โดยเฉพาะกับประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ทางด้านด่านมุกดาหารและด่านหนองคาย ในขณะที่เส้นทางการขนส่งตามแนวเศรษฐกิจเหนือใต้นั้น ด่านที่มีความสำคัญคือด่านเชียงแสน สำหรับแนวทางการเชื่อมโยงการขนส่งทางรถไฟกับประเทศเพื่อนบ้าน แบ่งออกเป็น ๓ แนวทาง คือ เส้นทางการขนส่งสินค้าทางรถไฟกับประเทศเพื่อนบ้าน เส้นทางการขนส่งสินค้าทางรถไฟเชื่อมโยงทะเลฝั่งอันดามันและอ่าวไทย และเส้นทางการสร้างความเชื่อมโยงด้านการท่องเที่ยวทางรถไฟ ๓. ข้อเสนอแนวนโยบายสำหรับประเทศไทยในการพัฒนาระบบขนส่งทางรถไฟที่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ การพัฒนาการเชื่อมโยงโครงข่ายการขนส่งทางรถไฟระหว่างประเทศ การส่งเสริมให้มีการปรับเปลี่ยนมาใช้รูปแบบการขนส่งทางรถไฟเพิ่มมากขึ้น การพัฒนาย่านสถานีและยกระดับการเข้าถึงระบบการขนส่งทางรถไฟ การพัฒนาเทคโนโลยีด้านการรถไฟ (อุตสาหกรรมการขนส่งระบบราง) และอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องในประเทศไทย และการปรับโครงสร้างกิจการรถไฟให้มีบริการที่มีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้ ๔. ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ด้านบวก ได้แก่ การลดลงของต้นทุนการขนส่งและระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทยเนื่องจากการขนส่งระหว่างประเทศมีความสะดวกและประหยัดขึ้น การพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงจะทำให้ประชาชนที่เดินทางระหว่างภาคมีทางเลือกมากกว่าการเดินทางโดยเครื่องบินหรือทางถนน และการพัฒนาเมืองจะมีการพัฒนาในรูปแบบที่สอดคล้องกับการเดินทางด้วยรถไฟมากยิ่งขึ้น สำหรับผลกระทบฯ ด้านลบ ได้แก่ การพัฒนาระบบรถไฟทั้งระบบรถไฟเชื่อมโยงระหว่างประเทศเพื่อนบ้านและระบบรถไฟความเร็วสูงจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนสูง ซึ่งหากมีความคุ้มค่าทางการเงินต่ำเอกชนอาจจะไม่ลงทุน หรือรัฐบาลต้องให้การสนับสนุนการลงทุนจะเป็นภาระต่องบประมาณของประเทศได้ และการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงในบางเส้นทางอาจส่งผลกระทบต่อภาคการเดินทางทางอากาศบ้าง เนื่องจากระบบรถไฟความเร็วสูงเป็นคู่แข่งโดยตรงกับการเดินทางทางอากาศ
|
|||||||||||||||||||||||||||
27991 | ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 | นร07 | 14/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ มีสาระสำคัญคือ กำหนดโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ประกอบด้วย งบประมาณรายจ่าย จำนวน ๒,๕๒๕,๐๐๐ ล้านบาท รายได้ จำนวน ๒,๒๗๕,๐๐๐ ล้านบาท วงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุล จำนวน ๒๕๐,๐๐๐ ล้านบาท กรอบวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ จำนวน ๕๔๗,๒๕๗.๕ ล้านบาท และผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) จำนวน ๑๓,๒๔๒,๐๐๐ ล้านบาท ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว พร้อมเอกสารประกอบงบประมาณ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเป็นเรื่องด่วนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
27992 | ขออนุมัติการลงนามในร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วม อย่างไม่เป็นทางการไทย - ลาว ครั้งที่ 2 | กต | 14/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมอย่างไม่เป็นทางการ ไทย-ลาว ครั้งที่ ๒ โดยสาระสำคัญของร่างแถลงการณ์ร่วมฯ กล่าวถึงพัฒนาการความสัมพันธ์ไทย-ลาว ซึ่งมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องในทุกมิติและทุกระดับ รวมทั้งผลการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมฯ ซึ่งมีหัวข้อการหารือหลัก ๖ ข้อ ได้แก่ ความร่วมมือในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน การรักษาความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดน แรงงานและการค้ามนุษย์ การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด การอำนวยความสะดวกในการผ่านแดน และการใช้ประโยชน์จากเส้นทางถนนหมายเลข ๘ และ ๑๒ ๒. อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ๓. หากมีความจำเป็นจะต้องแก้ไขปรับปรุงร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนมีการลงนาม ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง |
|||||||||||||||||||||||||||
27993 | รายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม - ธันวาคม 2555) ธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 14/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๕๕) ธนาคารแห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๕ ขยายตัวได้ดีจากอุปสงค์ในประเทศภาคเอกชน โดยการบริโภคเพิ่มขึ้นตามภาวะการจ้างงาน รายได้ และความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อยู่ในเกณฑ์ดี ประกอบกับได้รับแรงกระตุ้นจากมาตรการภาครัฐ ขณะที่การลงทุนของภาคธุรกิจมีต่อเนื่อง ทั้งเพื่อซ่อมแซมความเสียหายจากอุทกภัยและเพื่อขยายกำลังการผลิตรองรับความต้องการในประเทศ ส่วนการผลิตภาคอุตสาหกรรมเพื่อจำหน่ายในประเทศขยายตัวดี ขณะที่การผลิตที่เน้นเพื่อการส่งออกได้รับผลกระทบจากความอ่อนแอของเศรษฐกิจโลก ทำให้การส่งออกสินค้าและการส่งออกในตลาดคู่ค้าหลักชะลอตัว สำหรับภาคการท่องเที่ยวขยายตัวสูงจากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชีย ๒. เสถียรภาพเศรษฐกิจการเงิน อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่ไม่สร้างความกังวล ฐานะการเงินของภาคธุรกิจและภาคสถาบันการเงินเข้มข้นขึ้นตามเศรษฐกิจในประเทศที่ขยายตัว และมีผลสนับสนุนให้สินเชื่อภาคธุรกิจเติบโตจากทั้งความต้องการที่มีต่อเนื่องและความสามารถในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ขณะเดียวกันสินเชื่อภาคครัวเรือนขยายตัวสูงตามความต้องการใช้จ่ายของประชาชน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากนโยบายคืนเงินภาษีรถยนต์คันแรกที่ทำให้การซื้อรถยนต์สูงกว่าปกติ ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่เอื้อต่อการกู้ยืม เสถียรภาพด้านต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์มั่นคงต่อเนื่อง และฐานะการคลังยังอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ภาระผูกพันที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอาจก่อให้เกิดแรงกดดันต่อเสถียรภาพด้านการคลังในระยะต่อไป ๓. แนวโน้มเศรษฐกิจในปี ๒๕๕๖ คาดว่าจะขยายตัวได้ดีต่อเนื่องจากปี ๒๕๕๕ โดยในช่วงครึ่งแรกของปียังมีอุปสงค์ในประเทศเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก ขณะที่ภาคการส่งออกคาดว่าจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปสอดคล้องกับเศรษฐกิจโลกที่ปรับดีขึ้นอย่างช้า ๆ โดยจะกลับมามีบทบาทเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจมากขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๖ แรงกดดันเงินเฟ้อมีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียงปัจจุบัน ประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ ความผันผวนของเงินทุนไหลเข้าจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ การขยายตัวของสินเชื่อภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง และผลกระทบของการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น ๓๐๐ บาททั่วประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||
27994 | ขออนุมัติจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการและการพัฒนาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐวานูอาตู | กต | 14/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการและการพัฒนาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐวานูอาตู จัดทำขึ้นเพื่อเป็นการวางกรอบการดำเนินงานความร่วมมือที่ไทยจะให้ความช่วยเหลือทางวิชาการเพื่อการพัฒนาในด้านต่าง ๆ ของวานูอาตู โดยกำหนดสาขาที่จะดำเนินกิจกรรมร่วมกัน ๕ สาขา ได้แก่ การเกษตร การศึกษา สาธารณสุข การพัฒนาอย่างยั่งยืน การค้าและการลงทุน ๑.๒ อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของกระทรวงการต่างประเทศ รายการเงินอุดหนุนการให้ความช่วยเหลือและความร่วมมือทางด้านวิชาการและเศรษฐกิจแก่ต่างประเทศ ตามความจำเป็นและเหมาะสม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
27995 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงินประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. 2555 | กค | 14/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เป้าหมายนโยบายการเงิน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ มีมติอนุมัติให้ใช้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยรายไตรมาสที่ร้อยละ ๐.๕-๓.๐ ต่อปี เป็นเป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี ๒๕๕๖ สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๕ ยังเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบเป้าหมาย โดยเฉพาะไตรมาสที่ ๓ และ ๔ อยู่ที่ร้อยละ ๑.๘๔ และ ๑.๘๒ ตามลำดับ ชะลอลงจากช่วงครึ่งแรกของปี ตามการส่งผ่านต้นทุนไปยังราคาสินค้าและบริการที่ชะลอลงสู่ระดับปกติ หลังจากที่เร่งขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี ตามการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศภายหลังปัญหาอุทกภัยในปี ๒๕๕๔ คลี่คลายลง ๒. เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๕ ขยายตัวต่อเนื่อง โดยผลกระทบของเศรษฐกิจโลกจำกัดอยู่เฉพาะต่อการส่งออกและการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่เน้นผลิตเพื่อการส่งออก ขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศขยายตัวได้ดี โดยการบริโภคภาคเอกชนได้รับแรงส่งจากมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ประกอบกับภาวะการเงินที่ผ่อนปรน รวมทั้งตลาดแรงงานที่ตึงตัวต่อเนื่องส่งผลให้รายได้และความเชื่อมั่นของครัวเรือนอยู่ในเกณฑ์ดี ส่วนการลงทุนภาคเอกชนเติบโตต่อเนื่อง โดยเป็นการลงทุนเพื่อทดแทนความเสียหายจากอุทกภัยและเพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจ ๓. แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในปี ๒๕๕๖ กนง. ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวในเกณฑ์ดีที่ร้อยละ ๔.๙ โดยอาศัยอุปสงค์ในประเทศเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ขณะที่ภาคการส่งออกคาดว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว สำหรับแรงกดดันเงินเฟ้อในภาพรวมมีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียงปัจจุบัน ทั้งนี้ ในระยะข้างหน้าความเสี่ยงต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะยังมีสูงกว่าความเสี่ยงต่อเงินเฟ้อ ๔. ในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๕ ในการประชุม กนง. เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๕ มีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ๑ ครั้ง ร้อยละ ๐.๒๕ ต่อปี เพื่อรองรับความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกและรักษาแรงส่งของอุปสงค์ในประเทศที่อาจจะอ่อนแรงลงในระยะต่อไป ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ ๒.๗๕ ต่อปี ณ สิ้นปี ๒๕๕๕ ทั้งนี้ กนง. ประเมินว่าภาวะการเงินในปัจจุบันยังอยู่ในระดับผ่อนคลายเพียงพอต่อความจำเป็นของเศรษฐกิจ ๕. ค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในช่วงครึ่งหลังของปีมีแนวโน้มแข็งขึ้น จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อสถานการณ์เศรษฐกิจการเงินโลกที่ปรับดีขึ้น สอดคล้องกับสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาค โดยการแข็งค่าของเงินบาทอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ค่าความผันผวนของเงินบาทมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา และลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ ๓ ปี ทั้งนี้ นโยบายผ่อนคลายกฎเกณฑ์เกี่ยวกับเงินทุนเคลื่อนย้ายโดยเฉพาะการสนับสนุนการลงทุนในต่างประเทศมีส่วนช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้เกิดความสมดุลของเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ และเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนโดยรวม
|
|||||||||||||||||||||||||||
27996 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นางสาวสุดสวาท เลาหวินิจ) | สธ | 14/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นางสาวสุดสวาท เลาหวินิจ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) กลุ่มงานอายุรศาสตร์ กลุ่มภารกิจวิชาการ โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๕ ๒. นายสมชัย ชัยศุภมงคลลาภ ดำรงตำแหน่งทันตแพทย์ทรงคุณวุฒิ ด้านทันตกรรม กลุ่มงานศัลยศาสตร์ช่องปากและแม็กซิลโลเฟเซียล กลุ่มภารกิจวิชาการ สถาบันทันตกรรม กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๕
|
|||||||||||||||||||||||||||
27997 | รายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ไตรมาสที่ 2 (ตุลาคม 2555 - มีนาคม 2556) | กค | 14/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไตรมาสที่ ๒ (ตุลาคม ๒๕๕๕-มีนาคม ๒๕๕๖) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เป้าหมายการเบิกจ่ายไตรมาสที่ ๒ รายจ่ายภาพรวม ร้อยละ ๔๔.๐๐ ของวงเงินงบประมาณ และรายจ่ายลงทุน ร้อยละ ๒๕.๐๐ ของงบประมาณรายจ่ายลงทุน มีการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑,๒๑๒,๖๘๖.๕๕ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕๐.๕๓ ของวงเงินงบประมาณ จำนวน ๒,๔๐๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายร้อยละ ๖.๕๓ โดยเป็นการเบิกจ่ายรายจ่ายประจำ จำนวน ๑,๐๖๓,๕๙๗.๙๔ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕๓.๑๘ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๑,๙๙๙,๘๖๖.๖๔ ล้านบาท และการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุน จำนวน ๑๔๙,๐๘๘.๖๑ ล้านบาท หรือร้อยละ ๓๗.๒๖ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๔๐๐,๑๓๓.๓๖ ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายรายจ่ายลงทุนร้อยละ ๑๒.๒๖ ๒. เงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีและขยายเวลาเบิกจ่ายเงิน ประกอบด้วย เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๕๕ จำนวนเงินรวมทั้งสิ้น ๓๐๐,๒๓๖.๓๐ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑๕๘,๘๙๐.๙๔ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕๒.๙๒ ของวงเงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี ทั้งนี้ การเบิกจ่ายเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ รายการที่ควรให้ความสำคัญ ได้แก่ งบกลาง : รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยาฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ จำนวน ๑๒๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๑๑,๘๒๔.๖๖ ล้านบาท ดังนั้น ตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ มีการเบิกจ่ายรวมทั้งสิ้น จำนวน ๑๑๑,๕๘๓.๓๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๒.๙๙ ของวงเงินที่จัดสรร ๓. เงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๒,๘๖๕.๘๙ ล้านบาท ๔. เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๕๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๕,๑๙๗.๓๔ ล้านบาท ๕. การเบิกจ่ายเงินของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเพื่อโอนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๖ เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑๔๘,๑๐๖.๘๘ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๖.๙๒ ของวงเงินงบประมาณ ๒๒๑,๓๐๖.๙๒ ล้านบาท ๖. การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เดือนมีนาคม ๒๕๕๖ เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๖๐,๓๑๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๖.๙ ของแผนการลงทุนทั้งปี จำนวน ๓๕๗,๐๑๘ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
27998 | การตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 | นร07 | 14/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กำหนดจำนวนกรรมาธิการในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๖๓ คน ประกอบด้วยกรรมาธิการที่คณะรัฐมนตรีเสนอชื่อ จำนวน ๑๕ คน และที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเลือก จำนวน ๔๘ คน ๒. เห็นชอบในหลักการรายชื่อกรรมาธิการในสัดส่วนของคณะรัฐมนตรี จำนวน ๔ คน ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สำหรับกรรมาธิการในสัดส่วนของคณะรัฐมนตรีอีก ๑๑ คน ให้ผู้แทนพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลประสานกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) เพื่อแจ้งรายชื่อให้สำนักงบประมาณเพื่อดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
27999 | ประสิทธิภาพการดำเนินงานวิจัยของหน่วยงานภาครัฐ ปีงบประมาณ 2551 - 2553 | วช | 14/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้เร่งรัดให้หน่วยงานภาครัฐติดตามการดำเนินงานวิจัยและรายงานผลสำเร็จของงานวิจัยปี ๒๕๕๑-๒๕๕๓ ในระบบบริหารงานวิจัยแห่งชาติ (ระบบ National Research Project Management : NRPM) ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล) ประธานสภาวิจัยแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานสภาวิจัยแห่งชาติและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามระบบบริหารงานวิจัยแห่งชาติ (ระบบ NRPM) อย่างเคร่งครัด และให้ถือปฏิบัติในการรายงานผลการดำเนินงานวิจัยในระบบ NRPM เป็นประจำทุกปีอย่างเคร่งครัด รวมทั้งการรายงานผลการดำเนินงานวิจัยดังกล่าวควรระบุให้ชัดเจนว่า เป็นการรายงานผลการดำเนินงานเฉพาะที่กำหนดเสร็จสิ้นในปีงบประมาณ ไม่รวมโครงการวิจัยที่ต่อเนื่องหรือผูกพันงบประมาณ เพื่อมิให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการนำข้อมูลไปใช้วิเคราะห์ และให้หน่วยงานระบุปัญหา/อุปสรรคที่ส่งผลต่อความล่าช้าในการส่งผลการดำเนินงานวิจัย เพื่อประโยชน์ในการหาแนวทางแก้ไข ตลอดจนมีการรายงานผลการดำเนินงานในกลุ่มโครงการวิจัยที่สอดคล้องกับนโยบายสำคัญของประเทศ (Issue-based) และในระยะต่อไป ควรขยายการรายงานผลการดำเนินงานวิจัยไปสู่หน่วยงานของรัฐที่เป็นองค์กรอิสระ/องค์การมหาชน เพื่อให้ครอบคลุมการจัดสรรงบประมาณ และสะท้อนภาพรวมประสิทธิภาพการดำเนินงานวิจัยของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติแต่งตั้งคณะกรรมการบูรณาการด้านยุทธศาสตร์ของการวิจัย โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล) เป็นประธานกรรมการ และมีอำนาจหน้าที่หลักในการรวบรวมงานวิจัยทั้งหมดของทุกภาคส่วนเพื่อนำมาวิเคราะห์ สังเคราะห์องค์ความรู้ และสนับสนุนการนำความรู้มาใช้ในการพัฒนางานต่าง ๆ อย่างจริงจัง การกำหนดยุทธศาสตร์การวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศของกระทรวง กรม รวมถึงภาคเอกชนให้ไปในทิศทางเดียวกัน และสามารถตอบสนองความต้องการของหน่วยงานต่าง ๆ ได้อย่างแท้จริง รวมทั้งการบูรณาการและเชื่อมโยงการดำเนินงานวิจัยของหน่วยงานวิจัยหลักของประเทศ เช่น สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข เป็นต้น ให้มีความสอดคล้องกันและไม่เกิดความซ้ำซ้อน และเกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาและแก้ปัญหาในด้านต่าง ๆ ของประเทศได้ในภาพรวม
|
|||||||||||||||||||||||||||
28000 | โครงการเพิ่มการผลิตและพัฒนาการจัดการศึกษา สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ ปีการศึกษา 2557 - 2560 | ศธ | 14/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕ (ฝ่ายสังคม) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕ (ฝ่ายสังคม) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการดำเนินโครงการเพิ่มการผลิตและพัฒนาการจัดการศึกษา สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ ปีการศึกษา ๒๕๕๗-๒๕๖๐ เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนพยาบาล รวมทั้งรองรับการขยายศักยภาพให้บริการด้านสาธารณสุขของประเทศในทุกภาคส่วน โดยมีระยะเวลาการรับนักศึกษาพยาบาลเข้าร่วมโครงการ จำนวน ๔ รุ่น ตั้งแต่ปีการศึกษา ๒๕๕๗-๒๕๖๐ และมีเป้าหมายการผลิตพยาบาลเพิ่ม คือ ในระยะ ๑๐ ปี ข้างหน้า อัตราส่วนพยาบาลวิชาชีพต่อประชากรในภาพรวมเท่ากับพยาบาล ๑ คน ต่อประชากร ๔๐๐ คน จำนวนผลิตพยาบาลในช่วงปี ๒๕๕๗-๒๕๖๐ เป้าหมายการรับนักศึกษาพยาบาลทั้งหมด จำนวน ๒๗,๙๖๐ คน งบประมาณที่ขอรับการสนับสนุนรวมทั้งสิ้น ๗,๓๔๘.๑๐ ล้านบาท แบ่งเป็น งบดำเนินการ จำนวน ๓๗.๑ ล้านบาท เพื่อการผลิตพยาบาลวิชาชีพเพิ่มในอัตราเหมาจ่ายรายหัว คนละ ๑๑๐,๐๐๐ บาทต่อคนต่อปี (ครอบคลุมงบดำเนินการ งบจ้างอาจารย์เพิ่ม และงบพัฒนาอาจารย์) รวมงบประมาณดำเนินการทั้งสิ้น ๔,๔๕๖.๓๒ ล้านบาท และงบลงทุน เพื่อการผลิตพยาบาลเพิ่ม ในวงเงิน ๒,๘๙๑.๗๘ ล้านบาท ๑.๒ ให้กระทรวงศึกษาธิการรับข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการเตรียมแผนรองรับการบรรจุและวางระบบบริหารจัดการอัตรากำลังให้มีการกระจายพยาบาลไปสู่ชนบทและพื้นที่ห่างไกลเพื่อให้ประชาชนได้รับการบริการสุขภาพอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน และเร่งหามาตรการธำรงรักษาพยาบาลวิชาชีพไว้ในระบบควบคู่ไปกับการผลิตพยาบาล รวมทั้งให้ความสำคัญในการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานของสถาบันผลิตพยาบาลครอบคลุมอาจารย์พยาบาล โครงสร้างพื้นฐาน และทรัพยากรต่าง ๆ ให้เพียงพอในการจัดการเรียนการสอนที่คำนึงถึงการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า และกำกับติดตามคุณภาพการผลิตพยาบาลของสถาบันการศึกษาเอกชนให้มีมาตรฐาน นอกจากนี้ ควรศึกษาความต้องการพยาบาลวิชาชีพในระยะยาวของประเทศ เพื่อให้การผลิตบัณฑิตสาขาวิชาพยาบาลมีความสอดคล้องกับความต้องการพยาบาลวิชาชีพในภาพรวม สามารถรองรับนโยบายการพัฒนาสถานีอนามัยให้เป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub) ได้อย่างยั่งยืน ไปพิจารณาประกอบการดำเนินโครงการ ๑.๓ สำหรับงบลงทุน ให้สถาบันการศึกษาพยาบาลแต่ละแห่งจัดทำแผนความต้องการงบลงทุน โดยคำนึงถึงความจำเป็นอย่างแท้จริงและจัดลำดับความสำคัญเพื่อให้การสนับสนุนสอดคล้องกับความเร่งด่วนและไม่เป็นภาระงบประมาณที่เพิ่มมากขึ้นเกินสมควร และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง แนวทางการจัดอัตรากำลังและการบริหารจัดการในภารกิจบริการด้านสุขภาพ) ตั้งคณะทำงานขึ้นคณะหนึ่งและมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นเจ้าภาพรวบรวมและศึกษาความต้องการอัตรากำลังของส่วนราชการในอนาคตทั้งระบบ จึงให้กระทรวงสาธารณสุขจัดทำแผนอัตรากำลังด้านสาธารณสุขในอนาคตร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แล้วนำเสนอคณะทำงานชุดดังกล่าวพิจารณา โดยให้ยึดแนวทางตามกรอบยุทธศาสตร์ประเทศ (Country Strategy) (การประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ วันจันทร์ที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๖ และครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ วันพฤหัสบดีที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖) ในประเด็นการเป็นศูนย์กลางบริการด้านสุขภาพ (Medical Hub) และให้คำนึงถึงการกระจายตัวของบุคลากรด้านสาธารณสุขกับสัดส่วนของประชากรและโครงสร้างของประชากรที่มีอายุเฉลี่ยสูงขึ้นประกอบด้วย รวมทั้งให้มีการพัฒนาบุคลากรที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยอาจปรับเปลี่ยนกระบวนการและวิธีการปฏิบัติงานให้สามารถปฏิบัติงานได้หลากหลาย (Multi-task) |
.....