ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1392 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 27821 - 27840 จากข้อมูลทั้งหมด 123972 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
27821 | โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 ครั้งที่ 2 | พณ | 10/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๓/๒๕๕๖ เมื่อวันศุกร์ที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๖ ที่เห็นควรเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณามติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง วงเงินรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ครั้งที่ ๒) ให้ครอบคลุมข้อเสนอเดิมของกระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้การบริหารเงินในการดำเนินโครงการมีประสิทธิภาพ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรณีมีความจำเป็นให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สำรองจ่ายไปก่อนระหว่างรอเงินจากการระบายผลิตผล หรือเงินจากแหล่งอื่น ๆ โดยให้กระทรวงพาณิชย์ตกลงกับ ธ.ก.ส. เป็นคราว ๆ ไป โดย ธ.ก.ส. จะได้รับอัตราชดเชยต้นทุนเงินและค่าบริหารโครงการในอัตราเดิมตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานผลการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และพิจารณาปริมาณและวงเงินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖) ทั้งนี้ ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ กระทรวงพาณิชย์ต้องดำเนินการให้มีการใช้เงินในกรอบวงเงินหมุนเวียนของโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และ ๒๕๕๕/๕๖ ไม่เกินจำนวน ๕๐๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยเป็นเงินทุนของ ธ.ก.ส. จำนวน ๙๐,๐๐๐ ล้านบาท และเงินกู้ที่กระทรวงการคลังจัดหาให้ จำนวน ๔๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ เงินที่ได้จากการระบายผลิตผลทางการเกษตรตั้งแต่ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ เป็นต้นไป ให้นำไปชำระคืน ธ.ก.ส. จำนวน ๙๐,๐๐๐ ล้านบาท ให้เสร็จสิ้นก่อน แล้วจึงชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงินที่กระทรวงการคลังจัดหาและค้ำประกันที่ครบกำหนดในปีงบประมาณ ๒๕๕๖ โดยเงินทุนของ ธ.ก.ส. จำนวน ๙๐,๐๐๐ ล้านบาท ที่ได้รับชำระคืน สามารถนำมาใช้หมุนเวียนสำหรับการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ได้ด้วย ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังรับภาระชำระคืนต้นเงิน ดอกเบี้ย จากการกู้ยืมเงินค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และผลขาดทุนที่เกิดขึ้นทั้งหมดของการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ทั้งในส่วนที่กระทรวงการคลังจัดหาให้ ใช้ และส่วนที่ใช้เงินทุนของ ธ.ก.ส. ๑.๔ ในกรณีที่กรอบปริมาณการรับจำนำภายใต้โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ครั้งที่ ๑ เกินกว่ากรอบที่คณะรัฐมนตรีได้เคยอนุมัติไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์เสนอขอขยายกรอบปริมาณและกรอบวงเงินในการดำเนินโครงการดังกล่าวต่อคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ เพื่อพิจารณาและเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป ทั้งนี้ การขยายกรอบปริมาณและกรอบวงเงินดังกล่าวเมื่อรวมกับประมาณการกรอบปริมาณและกรอบวงเงินของโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ครั้งที่ ๒ ต้องไม่เกินกรอบปริมาณและกรอบวงเงินของโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้ ๑.๕ ให้ ธ.ก.ส. แยกการดำเนินงานโครงการออกจากการดำเนินงานปกติ เป็นบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA) และบันทึกเป็นภาระผูกพันนอกงบประมาณ เพื่อทราบผลกระทบการดำเนินโครงการและขอชดเชยความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้น นอกจากนั้น ให้ ธ.ก.ส. ไม่ต้องรวมผลการดำเนินโครงการจากเงินทุนที่ได้จากการกู้ยืมจากสถาบันการเงินต่าง ๆ เป็นสินทรัพย์เสี่ยง (Capital Adequacy Ratio : CAR) ที่ใช้ในการคำนวณสัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงตามที่กำหนดในกฎกระทรวงว่าด้วยเงินกองทุนของ ธ.ก.ส. ๑.๖ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์วางระบบการกำกับติดตามการดำเนินงานของโครงการรับจำนำข้าวเปลือกในทุกขั้นตอน โดยเฉพาะให้องค์การตลาดเพื่อเกษตรกรและองค์การคลังสินค้าดำเนินการและควบคุมการออกใบประทวนอย่างรัดกุม รวมทั้งให้ ธ.ก.ส. ตรวจสอบปริมาณและคุณภาพสินค้าให้เป็นไปตามใบประทวนที่ได้รับ ๒. อนุมัติตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ที่ให้รวมปริมาณรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๖ ที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไปแล้ว ครั้งที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๑๕ ล้านตัน และที่อนุมัติครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๗ ล้านตัน เข้าด้วยกัน รวมเป็นจำนวน ๒๒ ล้านตัน |
|||||||||||||||||||||||||||
27822 | การเพิ่มเงินค่าบำรุงสมาชิกของประเทศสมาชิก FAO ปี พ.ศ. 2557 - 2558 | กษ | 10/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้เพิ่มค่าบำรุงสมาชิกองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations : FAO) จากจำนวน ๖๒,๔๘๖,๐๐๐ บาทต่อ ๒ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๖) เป็นจำนวน ๗๕,๑๕๐,๐๐๐ บาทต่อ ๒ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๘) หรือ ๑,๒๘๕,๗๐๒ ดอลลาร์สหรัฐ กับอีก ๙๓๗,๙๑๒ ยูโรต่อ ๒ ปี (Biennium) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. สำหรับงบประมาณที่ประเทศไทยต้องชำระเป็นค่าบำรุงสมาชิกปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๘ เป็นเงินจำนวน ๑,๒๘๕,๗๐๒ ดอลลาร์สหรัฐ กับอีก ๙๓๗,๙๑๒ ยูโรต่อ ๒ ปี (Biennium) คิดเป็นเงินทั้งสิ้น ๗๕,๑๕๐,๐๐๐ บาท (อัตราแลกเปลี่ยน ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ๓๐.๐๐ บาท และ ๑ ยูโร เท่ากับ ๓๙ บาท) หรือเฉลี่ยปีละ ๓๗,๕๗๕,๐๐๐ บาท โดยชำระค่าสมาชิกเป็นรายปี ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ สำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรายการดังกล่าวให้กับสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไว้แล้ว จำนวน ๓๕,๑๐๔,๐๐๐ บาท คงขาดอยู่ จำนวน ๒,๔๗๑,๐๐๐ บาท จึงขอให้สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอขอแปรญัตติเพิ่มต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
27823 | การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จังหวัดนราธิวาส จังหวัดยะลา และปัตตานี ยกเว้น อำเภอแม่ลาน) | นร08 | 10/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (เขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดยะลา และจังหวัดปัตตานี ยกเว้นอำเภอแม่ลาน) ต่อไปอีกเป็นระยะเวลา ๓ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๖ ๒. เห็นชอบร่างประกาศ เรื่อง การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดยะลา และจังหวัดปัตตานี ยกเว้นอำเภอแม่ลาน และร่างประกาศ เรื่อง การให้ประกาศที่คณะรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงยังคงมีผลใช้บังคับ รวม ๒ ฉบับ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓. รับทราบร่างประกาศ เรื่อง การให้ประกาศและคำสั่งที่นายกรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงยังคงมีผลใช้บังคับ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ๔. ให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน
|
|||||||||||||||||||||||||||
27824 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 3/2556 | นร11 | 10/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๖ ณ จังหวัดกำแพงเพชร โดยมีรายละเอียดข้อเสนอเพื่อพิจารณาของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน [ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย (กกร.)] สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) สภาธุรกิจตลาดทุนไทย และผู้แทนภาคเอกชนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ ประกอบด้วย จังหวัดกำแพงเพชร นครสวรรค์ พิจิตร และอุทัยธานี ๑.๒ เห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ ณ จังหวัดกำแพงเพชร และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป สรุปได้ ดังนี้ ๑.๒.๑ ข้อเสนอของ กกร. ๑.๒.๑.๑ เรื่อง การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ๑.๒.๑.๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องศึกษาในรายละเอียดและความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการจัดตั้ง “ศูนย์บูรณาการการค้าและนวัตกรรมแปรรูปข้าวไทย” เพื่อเป็นศูนย์กลางการค้าข้าว และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันสู่ตลาดโลก โดยเฉพาะรูปแบบการบริหารจัดการและระยะเวลาดำเนินงาน ๑.๒.๑.๑.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาในรายละเอียดของการศึกษาจัดตั้ง “ศูนย์กลางธุรกิจการค้าและนวัตกรรมแปรรูปมันสำปะหลัง จังหวัดกำแพงเพชร” โดยเฉพาะความเหมาะสมและความเป็นไปได้ กลไกและรูปแบบการบริหารจัดการ โครงสร้างราคา มาตรการป้องกันการปลอมปน และการเชื่อมโยงกับสถาบันหรือหน่วยงานที่มีอยู่ในพื้นที่เพื่อให้เกิดความสอดคล้องในกระบวนการผลิต การแปรรูปและการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ๑.๒.๑.๑.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบหลักร่วมหารือกับกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อพิจารณาแหล่งเงินที่เหมาะสมในการศึกษารายละเอียดของทั้ง ๒ โครงการ ๑.๒.๑.๒ เรื่อง การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) รับไปพิจารณาเร่งรัดดำเนินโครงการก่อสร้างเขื่อนทดน้ำในแม่น้ำน่านและระบบชลประทานตามโครงการชลประทานพิษณุโลก (ตอนจังหวัดพิจิตร) ตามข้อเสนอของภาคเอกชน ๑.๒.๒ ข้อเสนอของ กกร./รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) ๑.๒.๒.๑ เรื่อง การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ๑.๒.๒.๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอโครงการจัดตั้งศูนย์ Inland Container Depot (ICD) หรือ Container Yard (CY) จังหวัดนครสวรรค์ ไปพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับภาคเอกชน โดยให้พิจารณาถึงความเป็นไปได้และศักยภาพของพื้นที่ประกอบด้วย ๑.๒.๒.๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงมหาดไทยเร่งเตรียมความพร้อมของโครงการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ โครงการขยายช่องจราจรจาก ๒ ช่องจราจรเป็น ๔ ช่องจราจร ๒ เส้นทาง คือ เส้นทางหมายเลข ๑๑๕ จังหวัดกำแพงเพชร-หมายเลข ๑๑๗ แยกปลวกสูง-จังหวัดพิจิตร และเส้นทางหมายเลข ๑๐๑ จังหวัดกำแพงเพชร-จังหวัดสุโขทัย (คีรีมาศ) (เชื่อมโยงมรดกโลก) สำหรับเส้นทางที่เหลือให้พิจารณาจัดลำดับความสำคัญของเส้นทางตามความจำเป็นและเร่งด่วนเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนปกติต่อไป ๑.๒.๒.๑.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงคมนาคมและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปพิจารณาความเหมาะสมของการก่อสร้างเส้นทางเชื่อมโยงระหว่างอำเภอคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร และอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ๑.๒.๓ ข้อเสนอของ กกร./สทท. ๑.๒.๓.๑ เรื่อง การส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการสุขภาพ ๑.๒.๓.๑.๑ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการโครงการและจัดลำดับความสำคัญเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว “วิถีชีวิตและอัตลักษณ์แม่น้ำสะแกกรัง” จังหวัดอุทัยธานี ภายใต้แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดอุทัยธานี พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐ และประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการตลาดอย่างต่อเนื่อง ๑.๒.๓.๑.๒ ให้กระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการตามภารกิจของหน่วยงาน โดยคำนึงถึงความเชื่อมโยงกับแผนแม่บทบูรณาการการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร ขององค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และให้หารือกับสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในรายละเอียดของงบประมาณ ๑.๒.๔ รับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามมติการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค (กรอ.ภูมิภาค) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการหารือกับภาคเอกชนในการจัดตั้งกลไกเพื่อติดตามและตรวจสอบความคืบหน้าของประเด็นการพัฒนา เพื่อเร่งรัดการดำเนินงานและจัดลำดับความสำคัญตามศักยภาพของประเด็นการพัฒนาให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศ และนำเสนอผลการดำเนินการต่อที่ประชุม กรอ.ภูมิภาค และคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒.๕ เรื่องอื่น ๆ ที่ กกร. เสนอเพิ่มเติม ๑.๒.๕.๑ การพัฒนาอุตสาหกรรมการขนส่งระบบรางและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นเจ้าภาพหลักและประสานกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันศึกษาความเหมาะสมของแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมการขนส่งระบบรางและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องและความเป็นไปได้ในการจัดตั้งโรงงานผลิตรถไฟ/รถไฟฟ้าในประเทศ การกำหนดเงื่อนไขที่จำเป็นต่อการสนับสนุนให้มีการย้ายฐานการผลิตมาที่ประเทศไทย รวมทั้งการเร่งรัดดำเนินการเสนอแนวทางการพัฒนาบุคลากรด้านระบบขนส่งทางรางให้สอดคล้องและเหมาะสมกับบุคลากรในตำแหน่งต่าง ๆ เพื่อให้มีจำนวนบุคลากรที่สามารถรองรับกับความต้องการตามแผนการพัฒนาระบบรางของประเทศ ๑.๒.๕.๒ ผลการจัด Round Table “โครงการบริหารจัดการน้ำ ๓.๕ แสนล้านบาท” เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ๑.๒.๕.๓ ความคืบหน้าการดำเนินงาน เรื่อง ผลกระทบของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยแรงงานทางทะเล (Maritime Labor Convention 2006 : MLC 2006) กรณีที่ประเทศไทย ไม่มีกฎหมายบังคับใช้ ให้กระทรวงแรงงานเร่งออกประกาศกระทรวงแรงงานว่าด้วยมาตรฐานแรงงานทางทะเลให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ และเร่งรัดร่างพระราชบัญญัติแรงงานทางทะเลให้แล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ เพื่อให้ทันต่อการพิจารณาของรัฐสภาในการประชุมสมัยสามัญครั้งต่อไป และให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและรัฐเจ้าของเมืองท่าให้ทราบและเข้าใจถึงแนวทางการดำเนินการของประเทศตามข้อกำหนดของอนุสัญญาฯ เพื่อให้เจ้าของเรือไทยสามารถขนส่งสินค้า การเข้า-ออกท่าเรือประเทศภาคีอนุสัญญาฯ ได้อย่างสะดวก ๑.๒.๕.๔ โครงการวางท่อส่งน้ำไปในแหล่งพื้นที่ทำการเกษตรในเขตจังหวัดนครสวรรค์ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำผลการศึกษาปี ๒๕๔๕ มาประกอบการพิจารณาศึกษาเพิ่มเติมโครงการวางท่อส่งน้ำไปในแหล่งพื้นที่ทำการเกษตรที่ประสบปัญหาภัยแล้งซ้ำซากในจังหวัดนครสวรรค์ โดยให้ความสำคัญต่อการศึกษาความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจของโครงการด้วย ๒. ให้ปรับถ้อยคำในมติที่ประชุมเกี่ยวกับผลการจัด Round Table “โครงการบริหารจัดการน้ำ ๓.๕ แสนล้านบาท” เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๖ จาก “รับทราบข้อเสนอแนะของภาคเอกชนและมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) รับไปพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป” เป็น “รับทราบและเห็นชอบให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะและมอบให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) รับไปพิจารณาดำเนินการหาแนวทางในการหารือร่วมกันต่อไป”
|
|||||||||||||||||||||||||||
27825 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 2 รวม 4 จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดกำแพงเพชร วันที่ 9 - 10 มิถุนายน 2556 | นร11 | 10/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ (จังหวัดนครสวรรค์ กำแพงเพชร พิจิตร และอุทัยธานี) รวม ๔ จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดกำแพงเพชร วันที่ ๙-๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๑๔ โครงการ วงเงินรวม ๕๑๒.๗๑ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ จัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาวงเงินงบประมาณที่เหมาะสม โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป ทั้งนี้ แผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๑๔ โครงการ ประกอบด้วย ๑.๑ กลุ่มภาคเหนือตอนล่าง ๒ ได้แก่ โครงการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ วงเงิน ๔๓.๐๐ ล้านบาท โครงการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้อาเซียนของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ วงเงิน ๑๔.๗๐ ล้านบาท และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบส่งน้ำโครงการวังบัว วงเงิน ๔๕.๐๐ ล้านบาท ๑.๒ จังหวัดนครสวรรค์ ได้แก่ โครงการส่งเสริมการแปรรูปและศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์ปลาริมบึงบอระเพ็ด วงเงิน ๑๐.๐๐ ล้านบาท โครงการก่อสร้างสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบส่งน้ำ เพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร วงเงิน ๔๐.๐๐ ล้านบาท โครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทุ่งเขาพระ ตำบลหนองบัว อำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์ วงเงิน ๒๖.๐๐ ล้านบาท โครงการพัฒนาแหล่งน้ำ จำนวน ๓ แห่ง วงเงิน ๒๙.๐๐ ล้านบาท ๑.๓ จังหวัดกำแพงเพชร ได้แก่ โครงการพัฒนาเขตเมืองเก่า “นครชุม” และการท่องเที่ยวเมืองมรดกโลก วงเงิน ๓๒.๑๒ ล้านบาท โครงการศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาการผลิตมันสำปะหลัง วงเงิน ๑๖.๘๙ ล้านบาท โครงการปรับปรุงระบบส่งน้ำฝายวังหามแห (ฝายด่านใหญ่) วงเงิน ๒๖.๐๐ ล้านบาท และโครงการขุดลอกคลองแม่ระกา วงเงิน ๓๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๔ จังหวัดอุทัยธานี ได้แก่ โครงการขุดลอกแควตากแดดบริเวณเหนือเขื่อนวังร่มเกล้า วงเงิน ๔๐.๐๐ ล้านบาท โครงการปรับปรุงทางหลวงหมายเลข ๓๓๓ ตอน กม. ๘๓+๐๗๕ (ต่อเขตแขวงฯ สุพรรณบุรีที่ ๑)-วังหิน ระหว่าง กม.๘๖+๐๐๐-กม.๘๗+๐๐๐ ระยะทาง ๑.๐๐๐ กม. (บริเวณหน้าโรงงานน้ำตาลบ้านไร่) วงเงิน ๓๐.๐๐ ล้านบาท โครงการพัฒนาแหล่งน้ำขุดขยายสระเก็บน้ำ บ้านดอนเพชร หมู่ที่ ๓ ตำบลบ่อยาง-หมู่ที่ ๑๐ ตำบลสว่างอารมณ์ วงเงิน ๓๐.๐๐ ล้านบาท ๒. ให้จังหวัดพิจิตรปรับปรุงข้อเสนอโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันทีภายใต้กรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ให้สอดคล้องกับศักยภาพและยุทธศาสตร์การพัฒนาของจังหวัด/กลุ่มจังหวัด และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๓. ในกรณีโครงการใดที่หน่วยงานท้องถิ่นต้องรับผิดชอบในการบริหารจัดการและบำรุงรักษาภายหลังจากการก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ ให้จังหวัดประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจน ก่อนขอรับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณต่อไป ๔. เห็นชอบในหลักการของกรอบข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ (จังหวัดนครสวรรค์ กำแพงเพชร พิจิตร และอุทัยธานี) รวม ๔ จังหวัด จำนวน ๑๗๗ โครงการ วงเงินรวม ๗๑,๗๔๗.๗๖ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานรับผิดชอบรับไปพิจารณาศึกษาความเหมาะสมและจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ รวมทั้งดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณีเพื่อให้สำนักงบประมาณใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณประจำปีตามลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการตามขั้นตอน
|
|||||||||||||||||||||||||||
27826 | ผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 2 | นร11 | 10/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบความเห็นของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่ลงพื้นที่โครงการที่มีความพร้อมและมีความจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที ในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดกำแพงเพชร และจังหวัดอุทัยธานี โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียด คำขอรับการจัดสรรงบประมาณ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และจัดส่งให้สำนักงบประมาณโดยเร่งด่วน พร้อมทั้งให้รับความเห็นดังกล่าวไปดำเนินการต่อไป ๑.๑ ความเห็นของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงที่ลงพื้นที่โครงการในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ ต่อโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที โดยเห็นชอบและสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางฯ จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ ในพื้นที่จังหวัดนครสรรค์ และจังหวัดอุทัยธานี วงเงิน ๔๓.๐๐ ล้านบาท (๒ ) โครงการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้อาเซียนของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ ซึ่งดำเนินการในพื้นที่มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร วงเงิน ๑๔.๗๐ ล้านบาท และ (๓) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบส่งน้ำโครงการวังบัว ในพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชรและจังหวัดพิจิตร วงเงิน ๔๕.๐๐ ล้านบาท ๑.๒ ความเห็นของรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงที่ลงพื้นที่โครงการในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ของ ๔ จังหวัด ๑.๒.๑ จังหวัดนครสวรรค์ เห็นชอบและสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางฯ จำนวน ๔ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการส่งเสริมการแปรรูปและศูนย์จำหน่ายปลาริมบึงบอระเพ็ด ตำบลเกรียงไกร อำเภอเมือง วงเงิน ๑๐.๐๐ ล้านบาท (๒) โครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทุ่งเขาพระ ตำบลหนองบัว อำเภอหนองบัว วงเงิน ๒๖.๐๐ ล้านบาท (๓) โครงการก่อสร้างสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบส่งน้ำเพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ตำบลเนินศาลา อำเภอโกรกพระ และตำบลจันเสน อำเภอตาคลี วงเงิน ๔๐.๐๐ ล้านบาท และ (๔) โครงการพัฒนาแหล่งน้ำจำนวน ๓ แห่ง ตำบลบ้านไร่ อำเภอลาดยาว ตำบลหนองกรด อำเภอเมือง และตำบลบ้านแดน อำเภอบรรพตพิสัย วงเงิน ๓๒.๐๐ ล้านบาท ๑.๒.๒ จังหวัดกำแพงเพชร เห็นชอบและสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางฯ จำนวน ๔ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการพัฒนาเขตเมืองเก่า “นครชุม” และการท่องเที่ยวเมืองมรดกโลก อำเภอเมือง วงเงิน ๓๘.๖๒ ล้านบาท (๒) โครงการศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาการผลิตมันสำปะหลัง อำเภอเมือง วงเงิน ๑๖.๘๙ ล้านบาท (๓) โครงการปรับปรุงระบบส่งน้ำฝายวังหามแห (ฝายด่านใหญ่) ตำบลโค้งไผ่ อำเภอขาณุวรลักษบุรี วงเงิน ๒๖.๐๐ ล้านบาท และ (๔) โครงการขุดลอกคลองแม่ระกา ตำบลท่าไม้ ตำบลวังควง อำเภอพรานกระต่าย วงเงิน ๓๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๒.๓ จังหวัดพิจิตร เห็นชอบและสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง ฯ จำนวน ๘ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการขุดลอกศิริวัฒน์ (บึงนาราง-บางลาย) ตำบลบึงนาราง และตำบลบางลาย อำเภอบึงนาราง วงเงิน ๕.๐๐ ล้านบาท (๒) โครงการก่อสร้างถนนลาดยางสายเนินสะอาด หมู่ที่ ๕ ตำบลแหลมรัง อำเภอบึงนาราง จังหวัดพิจิตร-นาตาเซา หมู่ ๑๒ ตำบลวังชะโอน อำเภอบึงสามัคคี จังหวัดกำแพงเพชร วงเงิน ๑๘.๐๐ ล้านบาท (๓) โครงการระบบส่งน้ำบ้านไทรโรงโขน-บ้านบางไผ่-บ้านดงตะขบ ตำบลไทรโรงโขน ตำบลดงตะขบ อำเภอตะพานหิน ตำบลบางไผ่ อำเภอบางมูลนาก วงเงิน ๒๐.๐๐ ล้านบาท (๔) โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำน่าน หมู่ที่ ๔ ตำบลไผ่หลวง อำเภอตะพานหิน วงเงิน ๑๒.๐๐ ล้านบาท (๕) โครงการระบบส่งน้ำสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าจากแม่น้ำน่านไปตำบลท่าหลวง อำเภอเมืองพิจิตร วงเงิน ๑๕.๐๐ ล้านบาท (๖) โครงการก่อสร้างถนนลาดยาง สายแยก ทล.๑๑๕-วัดสวนโพธิบัลลังค์ หมู่ที่ ๑๐ ตำบลบ้านนา อำเภอวชิรบารมี วงเงิน ๑๑.๒๐ ล้านบาท (๗) โครงการก่อสร้างถนนลาดยาง สายกลางหมู่บ้าน หมู่ ๔ บ้านมาบฝาง-หมู่ ๘ บ้านดงยาง ตำบลบึงบัว อำเภอวชิรบารมี วงเงิน ๑๐.๐๐ ล้านบาท และ (๘) โครงการซ่อมสร้างผิวทางจราจรถนนลาดยาง หมูที่ ๖ บ้านสระประทุม-หมู่ที่ ๗ บ้านหนองคล้า-หมู่ที่ ๑๐ บ้านหนองนาร้าง ตำบลไผ่รอบ อำเภอโพธิ์ประทับช้าง วงเงิน ๙.๐๐ ล้านบาท ๑.๒.๔ จังหวัดอุทัยธานี เห็นชอบและสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางฯ จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการพัฒนาแหล่งน้ำขุดขยายสระเก็บน้ำบ้านดอนเพชร หมู่ ๓ ตำบลบ่อยาง-หมู่ ๑๐ ตำบลสว่างอารมณ์ อำเภอสว่างอารมณ์ วงเงิน ๓๐.๐๐ ล้านบาท (๒) โครงการขุดลอกแควตากแดด บริเวณเหนือเขื่อนวังร่มเกล้า อำเภอเมือง วงเงิน ๔๐.๐๐ ล้านบาท และโครงการปรับปรุงทางหลวงหมายเลข ๓๓๓ ตอน กม. ๘๓+๐๗๕ (ต่อเขตแขวงฯ สุพรรณบุรีที่ ๑)-วังหิน ระหว่าง กม. ๘๖+๐๐๐-กม. ๘๗+๐๐๐ ระยะทาง ๑.๐๐๐ กม. (บริเวณหน้าโรงงานน้ำตาลบ้านไร่) อำเภอบ้านไร่ วงเงิน ๓๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๒.๕ ให้จังหวัดกำแพงเพชรและจังหวัดนครสวรรค์ปรับลดงบประมาณโครงการให้เหลือจังหวัดละไม่เกิน ๑๐๕ ล้านบาท โดยจังหวัดกำแพงเพชรได้ปรับลดงบประมาณในโครงการพัฒนาเขตเมืองเก่า “นครชุม” และการท่องเที่ยวเมืองมรดกโลก เหลือวงเงิน ๓๒.๑๒ ล้านบาท จังหวัดนครสวรรค์ปรับลดงบประมาณในโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ จำนวน ๓ แห่ง เหลือวงเงิน ๒๙ ล้านบาท ๒. เห็นชอบให้จังหวัดพิจิตรทบทวนโครงการให้สอดคล้องกับศักยภาพและยุทธศาสตร์การพัฒนาของจังหวัด ในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท โดยให้จังหวัดจัดทำข้อเสนอโครงการและนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. เห็นชอบตามความเห็นและข้อสั่งการเพิ่มเติมในพื้นที่ดูงานของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ๓.๑ จังหวัดพิจิตร ๓.๑.๑ เห็นชอบให้ดำเนินการโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูบึงสีไฟ (ขุดลอกบึงสีไฟ) โดยให้จังหวัดพิจิตรจัดทำรายละเอียดโครงการที่มีลักษณะบูรณาการของกิจกรรมทั้งการพัฒนาแหล่งน้ำ การท่องเที่ยว และการพัฒนาอาชีพ โดยประสานงานกับคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๓.๑.๒ เห็นชอบในหลักการโครงการนอกกรอบงบ ๑๐๐ ล้านบาท จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการบูรณะทางผิวแอสฟัลต์ ทางหลวงหมายเลข ๑๐๖๘ ตอนควบคุม ๐๑๐๑ ต่อเขตเทศบาลบางมูลนาก-กม. ๒๒+๐๐๐ (๒) โครงการบูรณะทางผิวแอสฟัลต์ ทางหลวงหมายเลข ๑๐๖๗ ตอนควบคุม ๐๑๐๒ ตอนหอไกร-สี่แยกโพธิ์ไทรงาม (๓) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวง (ขยายผิวจราจรเป็น ๔ ช่องทางจราจร) ทางหลวงหมายเลข ๑๐๖๗ ตอนควบคุม ๐๑๐๒ ตอนหอไกร-สี่แยกโพธิ์ไทรงาม และ (๔) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวง (ขยายผิวจราจรเป็น ๔ ช่องจราจร) ทางหลวงหมายเลข ๑๐๖๙ ตอนบางมูลนาก-ตลิ่งชัน โดยให้แขวงการทางพิจิตรจัดลำดับความสำคัญของโครงการ และเสนอกรมทางหลวงเพื่อบรรจุในแผนงานประจำปีเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณในปี ๒๕๕๘ หรือ ปีอื่น ๆ ถัดไปตามความจำเป็นเร่งด่วน ๓.๒ จังหวัดอุทัยธานี ๓.๒.๑ ให้จังหวัดและกรมชลประทานพิจารณาศักยภาพรอบเขื่อนวังร่มเกล้า กรณีปรับภูมิทัศน์แล้วอาจสามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัด ๓.๒.๒ ให้กรมชลประทานและสำนักงบประมาณหารือปรับปรุงการขอจัดสรรงบประมาณปี ๒๕๕๗ เพื่อเร่งรัดการดำเนินการวางท่อส่งน้ำจากสถานีสูบน้ำบ้านจักษามาถึงแก้มลิงตำบลเขาขี้ฝอย เขื่อนวังร่มเกล้า ในส่วนที่ยังขาดอยู่เพื่อให้เกษตรกรได้ใช้ประโยชน์โดยเร็ว ๓.๒.๓ โครงการศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสำรวจออกแบบการผันน้ำจากเขื่อนศรีนครินทร์สู่ลุ่มน้ำท่าจีนและลุ่มน้ำสะแกกรัง งบประมาณ ๔๐ ล้านบาท ที่เสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรครั้งนี้เป็นวงเงินนอกกรอบ ควรมีการศึกษาความทับซ้อนด้านกฎหมายของส่วนราชการที่ถือปฏิบัติแต่ละหน่วยงาน ประเด็นที่อาจเป็นข้อร้องเรียนของ NGO ตลอดจนแนวทางการสร้างความเข้าใจและการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ดำเนินการและควรให้มีการหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการความร่วมมือสำหรับการดำเนินการแต่ละขั้นตอนให้ชัดเจน ๓.๓ จังหวัดกำแพงเพชร เห็นชอบโครงการตามที่วัดพระบรมธาตุเจดียารามได้นำเสนอโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมเมืองเก่านครชุมเพิ่มเติม โดยให้จังหวัดหารือร่วมกันระหว่างเทศบาลตำบลนครชุม สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดกำแพงเพชร และกรมศิลปากร เพื่อจัดทำรายละเอียดโครงการพร้อมประมาณการค่าใช้จ่ายเพื่อขอรับการสนับสนุน ได้แก่ ขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากงบพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด ปีงบประมาณ ๒๕๕๗ หรือขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากส่วนราชการหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง หรือให้บรรจุโครงการไว้ในแผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอุทยานประวัติศาสตร์ (สุโขทัย ศรีสัชนาลัย และกำแพงเพชร) ที่กระทรวงวัฒนธรรมกำลังดำเนินการ
|
|||||||||||||||||||||||||||
27827 | การแก้ไขปัญหาราคาผลไม้ตกต่ำ | นร04 | 10/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ในปัจจุบันมีผลไม้ตามฤดูกาลชนิดต่าง ๆ เช่น เงาะและมังคุด เป็นต้น ออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ราคาตกต่ำและเริ่มมีปัญหาเน่าเสีย จึงเห็นควรดำเนินการ ดังนี้
๑. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการอำนวยการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) รับไปประสานงานกับกระทรวงมหาดไทยเพื่อดำเนินการจัดงานหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) โดยด่วน เพื่อสนับสนุนการจำหน่ายผลไม้ของเกษตรกร รวมทั้งให้นำสินค้าและอาหารที่เป็นที่นิยมและมีชื่อเสียงของแต่ละจังหวัดมาร่วมจัดจำหน่ายด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกผลไม้ให้มากยิ่งขึ้น เช่น การจัดหาตู้แช่เพื่อถนอมรักษาคุณภาพผลไม้ได้ยาวนานยิ่งขึ้น การส่งเสริมการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากผลไม้ และการให้บริการสั่งซื้อผลไม้ล่วงหน้าและการขนส่งสินค้าทางไปรษณีย์ เพื่อเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายผลไม้ให้ถึงมือผู้บริโภคได้รวดเร็วขึ้น เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
27828 | การประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา | นร04 | 10/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอว่า การจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ในครั้งต่อไป กำหนดจะจัดขึ้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในระหว่างวันที่ ๑๘-๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖ โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจะดำเนินการเกี่ยวกับการกลั่นกรองโครงการและกิจกรรมลงพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัดอื่นในกลุ่มจังหวัดที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
27829 | ผลการเข้าร่วมการประชุมประชาคมประชาธิปไตย ครั้งที่ 7 และ การเยือนมองโกเลียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี | นร04 | 04/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการติดตามผลการหารือในประเด็นต่าง ๆ ในการเข้าร่วมการประชุมประชาคมประชาธิปไตย ครั้งที่ ๗ และการเยือนมองโกเลียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๒๗-๒๙ เมษายน ๒๕๕๖ ณ กรุงอูลานบาตอร์ มองโกเลีย ตามตารางที่กระทรวงการต่างประเทศจัดทำ เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคง ได้แก่ การเชิญนายกรัฐมนตรีมองโกเลียเยือนไทย การเป็นเจ้าภาพการประชุมกลไกการหารือว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี ครั้งที่ ๑ ของไทย ในปี ๒๕๕๗ และความร่วมมือด้านความมั่นคง ๒. การค้าการลงทุน ได้แก่ การขยายการค้าระหว่างไทย-มองโกเลีย การติดตามความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนไทย การผลักดันเรื่องการลงนามความตกลงส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน และการผลักดันเรื่องการลงนามความตกลงส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน ๓. ความร่วมมือทางวิชาการ ได้แก่ การให้ความร่วมมือทางวิชาการแก่มองโกเลียผ่านสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ และกระทรวงที่เกี่ยวข้อง การผลักดันความร่วมมือด้านการแพทย์ การผลักดันความร่วมมือในด้านสิ่งทอ การผลักดันความร่วมมือด้านวิชาการเกี่ยวกับโครงการ “หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์” การผลักดันความร่วมมือในด้านการพัฒนาปรับปรุงแหล่งที่อยู่อาศัย และการผลักดันความร่วมมือด้านพลังงาน ๔. การศึกษา ได้แก่ การแลกเปลี่ยนนักศึกษาและร่วมสร้างหลักสูตรปริญญาร่วมในระดับปริญญาตรีระหว่างมหาวิทยาลัยแห่งชาติของมองโกเลียกับมหาวิทยาลัยสยาม มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ รวมถึงการอบรมบุคลากรทางด้านอาชีวศึกษาและการโรงแรมการท่องเที่ยว ๕. การท่องเที่ยว ได้แก่ การผลักดันความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว การพิจารณาการเปิดเที่ยวบินตรงเส้นทางกรุงเทพฯ-กรุงอูลานบาตอร์ การให้ความรู้ด้านอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแก่ฝ่ายมองโกเลีย ๖. ด้านสังคมและวัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมการตระหนักรู้ในระดับประชาชน ได้แก่ การจัดกิจกรรมเฉลิมฉลอง ๔๐ ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-มองโกเลีย การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระหว่างกันมากขึ้น ในโครงการแลกเปลี่ยนระหว่างข้าราชการมองโกเลีย-ไทย สภาบ้านพี่เมืองน้อง กลุ่มมิตรภาพรัฐสภา และสมาคมมิตรภาพไทย-มองโกเลียเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ๗. ความร่วมมือในกรอบพหุภาคี ได้แก่ การเชิญประธานาธิบดีมองโกเลียเข้าร่วมการประชุมผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (Asia-Pacific Water Summit - APWS) ครั้งที่ ๒ การขอรับสนับสนุนจากมองโกเลียต่อการสมัครของไทยในตำแหน่งสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council - UNSC) และการสมัครสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (United Nations Human Rights Council - UNSRC) การเชิญประธานาธิบดีมองโกเลียเข้าร่วมการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asian Cooperation Dialogue - ACD) ครั้งที่ ๒ การพิจารณาเข้าร่วมการประชุม Asian Partnership Initiative for Democracy (APID) ของไทย และการพิจารณาการเข้าร่วมกรอบความร่วมมือ East Asia Summit (EAS) และ Asia-Pacific Economic Cooperation (APEC) ของมองโกเลีย
|
|||||||||||||||||||||||||||
27830 | ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยขอนแก่น พ.ศ. .... | ศธ | 04/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยขอนแก่น พ.ศ. .... ที่แก้ไขปรับปรุงจากร่างที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้มหาวิทยาลัยขอนแก่นมีฐานะเป็นนิติบุคคล เป็นหน่วยงานในกำกับของรัฐ ไม่เป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน และกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม และไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายอื่น ๑.๒ กำหนดวัตถุประสงค์ ภาระหน้าที่ การแบ่งส่วนงาน หลักเกณฑ์ การจัดตั้ง การรวม และการยุบเลิกส่วนงาน การรับสถานศึกษาอื่นเข้าสมทบ และอำนาจหน้าที่ของมหาวิทยาลัย ๑.๓ กำหนดให้มหาวิทยาลัยมีรายได้ส่วนหนึ่งจากเงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้เป็นรายปี เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้ และเงินกองทุนที่รัฐบาลหรือมหาวิทยาลัยจัดตั้งขึ้นและรายได้หรือผลประโยชน์จากกองทุน รายได้ของมหาวิทยาลัยไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ และให้อสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมีผู้อุทิศให้หรือได้จากการซื้อหรือแลกเปลี่ยนไม่ถือเป็นที่ราชพัสดุและให้ถือเป็นกรรมสิทธิ์ของมหาวิทยาลัย ๑.๔ กำหนดให้มีสภามหาวิทยาลัย ประกอบด้วยนายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ กรรมการโดยตำแหน่ง กรรมการซึ่งเลือกจากผู้ดำรงตำแหน่งและคณาจารย์ประจำตามที่กำหนด กำหนดคุณสมบัติ วาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่ง และให้สภามหาวิทยาลัยมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๕ กำหนดให้มีสภาวิชาการ สภาคณาจารย์ สภาพนักงาน คณะกรรมการส่งเสริมกิจการมหาวิทยาลัย คณะกรรมการบริหารงานบุคคลมหาวิทยาลัย คณะกรรมการการเงินและทรัพย์สินมหาวิทยาลัย คณะกรรมการอุทธรณ์ ร้องทุกข์และพิทักษ์ระบบคุณธรรมประจำมหาวิทยาลัย และคณะกรรมการอื่นที่สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้ง โดยให้องค์ประกอบ ที่มาของกรรมการ อำนาจหน้าที่เป็นไปตามที่กำหนด และให้จำนวน คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการได้มา วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง ตลอดจนการประชุมเป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย ๑.๖ กำหนดให้มีคณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัย ประกอบด้วยอธิการบดีเป็นประธาน กรรมการโดยตำแหน่ง และให้คณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัยมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๗ กำหนดให้มีอธิการบดีเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด และรับผิดชอบการบริหารงานของมหาวิทยาลัย กำหนดวาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง คุณสมบัติ ลักษณะต้องห้าม และให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๘ กำหนดให้มหาวิทยาลัยอาจจัดตั้งวิทยาเขตซึ่งทำหน้าที่จัดการเรียนการสอนได้ ๑.๙ กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประกันคุณภาพการศึกษา และการประเมินการดำเนินงานของมหาวิทยาลัย ๑.๑๐ กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการการบัญชีและการตรวจสอบทางบัญชีและการเงินของมหาวิทยาลัย ให้อธิการบดีเป็นผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และให้รัฐมนตรีมีอำนาจและหน้าที่กำกับและดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของมหาวิทยาลัย ๑.๑๑ กำหนดบทเฉพาะกาลเกี่ยวกับการโอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน งบประมาณฯ การดำรงตำแหน่ง และคณะกรรมการต่าง ๆ ส่วนราชการ การโอนบรรดาข้าราชการ ลูกจ้างของส่วนราชการ พนักงานของมหาวิทยาลัย ตำแหน่งทางวิชาการ ตลอดจนระเบียบ ข้อบังคับ หรือประกาศที่มีอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดให้มหาวิทยาลัยมีอำนาจในการกู้ยืมเงิน การให้กู้ยืมเงิน การลงทุน หรือการร่วมลงทุน เห็นควรกำหนดกรอบเพดานการกู้เงินให้ชัดเจน โดยอาจใช้เกณฑ์การกู้เงินต่องบประมาณประจำปี หรือใช้เกณฑ์ยอดหนี้คงค้างต่อปีในการกำหนดกรอบเพดานการกู้เงินตามที่เห็นสมควร ส่วนการกำหนดให้มหาวิทยาลัยนำเงินรายได้ที่ได้รับฝากกระทรวงการคลัง หากจะนำรายได้ไปฝากธนาคารพาณิชย์ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลังก่อน รวมทั้งควรกำหนดให้รัฐบาลจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปเพิ่มเติมให้แก่มหาวิทยาลัยในกรณีรายได้ของมหาวิทยาลัยมีจำนวนไม่เพียงพอตามความจำเป็น เหมาะสม และสอดคล้องกับสถานะการเงินการคลังของประเทศ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับพันธกิจในการพัฒนาศักยภาพมหาวิทยาลัยขอนแก่นสู่การเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยชั้นนำในระดับนานาชาติ การพัฒนาและวางระบบการบริหารการเงินการคลังที่เอื้อประโยชน์สูงสุดต่อการวางแผนการพัฒนาการศึกษาในระดับอุดมศึกษาให้สามารถรองรับการพัฒนาประเทศ และการติดตามประเมินผลเพื่อหาจุดที่คุ้มทุนในการจัดการศึกษาของแต่ละสาขาวิชา ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
27831 | ขอความเห็นชอบการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ (Convention for the Safeguarding of Intangible Cultural Heritage) | วธ | 04/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ โดยอนุสัญญาฉบับนี้จะเป็นเครื่องมือทางกฎหมายระหว่างประเทศในการปกป้องคุ้มครองมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ รวมทั้งเป็นการเคารพความหลากหลายทางวัฒนธรรมของชุมชน กลุ่มชนและปัจเจกบุคคลที่เกี่ยวข้อง เป็นการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศเกี่ยวกับการปกป้องคุ้มครองมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ทั้งระดับชาติ ระดับภูมิภาคและระดับโลก เป็นการพัฒนาการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของไทยให้เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เป็นการยืนยันบทบาทของประเทศไทยในเวทีโลกต่อการดำเนินงานเรื่องการสงวนรักษามรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ รองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่แต่ละประเทศจะต้องรักษาอัตลักษณ์ของตนเอง โดยมีมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้เป็นเครื่องมือสำคัญในการแสดงตัวตนของคนไทย มีสิทธิในการเสนอชื่อผู้แทนเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการระหว่างรัฐบาล รวมทั้งสิทธิอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และให้ส่งอนุสัญญาฯ ให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๒. เห็นชอบให้ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ เมื่อรัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบอนุสัญญาฯ แล้ว |
|||||||||||||||||||||||||||
27832 | รายงานการประชุมชี้แจงต่อคณะผู้ประเมินของ FATF ระหว่างวันที่ 7 - 8 พฤษภาคม 2556 | ปง | 04/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการประชุมชี้แจงต่อคณะผู้ประเมินของคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการฟอกเงิน (Financial Action Task Force : FATF) ระหว่างวันที่ ๗-๘ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๖ คณะผู้ประเมินของ FATF ส่งร่างรายงานมาให้ประเทศไทย โดยมีความเห็นว่า ประเทศไทยได้กำหนดมาตรการทางกฎหมายและระเบียบเพื่อดำเนินการกับข้อบกพร่องด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย (Anti-Money Laundering/Combation the Financing of Terrorism : AML/CFT) อย่างสอดคล้องกับมาตรฐานสากลแล้ว ประกอบกับสถาบันการเงินมีการดำเนินมาตรการที่เหมาะสมและยังแสดงความมุ่งมั่นอย่างชัดเจนในการดำเนินการด้าน AML/CFT เพื่อการมีส่วนร่วมในระบบ AML/CFT ที่เข้มแข็งตามมาตรฐานสากล อย่างไรก็ตาม การสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายยังคงมีข้อบกพร่องทางเทคนิค หน่วยงานไทยควรให้ความรู้แก่ผู้ประกอบอาชีพที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Designated Non-Financial Businesses and Professions : DNFBPs) ให้มากขึ้น และควรให้แนวทางในการปฏิบัติสำหรับภาคการเงิน และ DNFBPs เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการกำหนดโทษทางปกครองสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรการระงับการดำเนินการกับทรัพย์สินของบุคคลที่ถูกกำหนด ๒. จากร่างรายงานของคณะผู้ประเมินของ FATF สรุปประเด็นได้ว่า ประเทศไทยมีมาตรการในการดำเนินการกับข้อบกพร่องด้านการป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายอย่างสอดคล้องกับมาตรฐานสากลแล้ว ซึ่งมีแนวโน้มที่ดีว่าประเทศไทยน่าจะถูกถอดออกจาก Public Statement อย่างสมบูรณ์ในการประชุมเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ ณ กรุงออสโล ราชอาณาจักรนอร์เวย์ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยจะต้องปรับปรุงในบางประเด็น ได้แก่ ๒.๑ จัดทำแนวทางปฏิบัติ ดำเนินแผนเสริมสร้างความรู้ให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างทั่วถึงเพื่อให้การปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายเป็นไปอย่างมีประสิทธิผล ๒.๒ ยกร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ ๕) พ.ศ. .... เพื่อกำหนดมาตรการเพิ่มเติมให้รองรับมาตรฐานสากลด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมการลงโทษโดยใช้มาตรการทางปกครองสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรการระงับการดำเนินการกับทรัพย์สินของบุคคลที่ถูกกำหนด
|
|||||||||||||||||||||||||||
27833 | การพิจารณาทบทวนมาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2556 | พณ | 04/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการกำหนดมาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๕๖ ตามมติคณะกรรมการนโยบายอาหาร เมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประธานกรรมการนโยบายอาหารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ขยายระยะเวลาการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๕๖ ของผู้นำเข้าทั่วไป ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) และโครงการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน (Contract Farming) ภายใต้ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS) ออกไปอีก ๑ เดือน จากเดือนมีนาคม-กรกฎาคม ๒๕๕๖ เป็นเดือนมีนาคม-สิงหาคม ๒๕๕๖ อัตราภาษีร้อยละ ๐ กำหนดมาตรการบริหารการนำเข้า โดยให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) นำเข้าได้ตลอดทั้งปี โดยให้จัดทำแผนการจัดซื้อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ด้านการผลิต การตลาด ภาวะราคา และความต้องการใช้ เพื่อไม่ให้กระทบต่อผลผลิตในประเทศ สำหรับผู้นำเข้าทั่วไปนำเข้าได้ช่วงเดือนมีนาคม-สิงหาคม ๒๕๕๖ และต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดมาตรฐานควบคุมการนำเข้าตามพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. ๒๕๒๕ ๑.๒ ให้คงมาตรการบริหารการนำเข้าภายใต้ความตกลงการค้าอื่น ๆ ได้แก่ การนำเข้าตามความตกลงองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ไทย-นิวซีแลนด์ (Thailand-New Zealand Closer Economic Partnership : TNZCEP) ความตกลงการค้าเสรี ไทย-ออสเตรเลีย (Thailand-Australia Free Trade Agreement : TAFTA) ความตกลงการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่น (Japan-Thailand Economic Partnership Agreement : JTEPA) ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ญี่ปุ่น (ASEAN-Japan Comprehensive Economic Partnership : AJCEP) ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-เกาหลี (ASEAN-Korea Free Trade Agreement : AKFTA) และการนำเข้าทั่วไป (ประเทศนอกข้อตกลง) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง นโยบายและมาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี ๒๕๕๖) ซึ่งเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายอาหาร เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๕ ๑.๓ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ทั้งทางด้านมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (The Application of Sanitary and Phytosantary Measures : SPS) และเอกสารที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้กรมปศุสัตว์ กรมการค้าต่างประเทศประสานข้อมูลรายชื่อผู้ขออนุญาตนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ระหว่างกัน เพื่อติดตามกำกับดูแล การนำเข้าได้อย่างทั่วถึงและสร้างความมั่นใจแก่อุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ภายในประเทศ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบและระมัดระวัง เนื่องจากในเดือนสิงหาคม ผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จะออกสู่ตลาดมาก การดำเนินงานควรเน้นให้มีการประชาสัมพันธ์ให้ครอบคลุมทุกภาคส่วนทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศ โดยเฉพาะราชอาณาจักรกัมพูชา เพื่อให้การดำเนินการไม่เกิดการร้องเรียนในภายหลัง การจัดทำแผนการจัดซื้อและการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของ อคส. ให้พิจารณาดำเนินการอย่างรอบคอบ โดยรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้ครบถ้วนเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาดำเนินการ และให้เข้มงวดกับกระบวนการตรวจสอบคุณภาพการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รวมทั้งการติดตามสถานการณ์ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศอย่างใกล้ชิด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอย่างเคร่งครัดในการบริหารจัดการปริมาณและช่วงเวลาการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้เหมาะสม โดยไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณและราคาของสินค้าเกษตรภายในประเทศของไทย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๖ [เรื่อง แผนการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน (Contract Farming) ภายใต้ยุทธศาสตร์อิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS) ประจำปี ๒๕๕๖] |
|||||||||||||||||||||||||||
27834 | ร่างระเบียบคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม ว่าด้วยการจ่ายเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวข้าราชการตุลาการและดะโต๊ะยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศย | 04/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ เกี่ยวกับการเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวข้าราชการตุลาการและดะโต๊ะยุติธรรมตามร่างระเบียบคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม ว่าด้วยการจ่ายเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวข้าราชการตุลาการและดะโต๊ะยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และขออนุมัติใช้งบกลาง สำหรับรายการเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวของข้าราชการตุลาการและดะโต๊ะยุติธรรม ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีประเด็นอภิปรายและมติ ดังนี้ ๑.๑ โครงสร้างเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการศาลยุติธรรมไม่มีการปรับมาเป็นระยะเวลา ๑๖ ปี โดยการปรับครั้งล่าสุดมีขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๓ ดังนั้น คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม (ก.บ.ศ.) จึงได้มีการพิจารณาทบทวนโครงสร้างบัญชีเงินเดือนเพื่อขอปรับค่าครองชีพชั่วคราวให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจและอัตราค่าตอบแทนของบุคลากรสำนักงานอัยการสูงสุด และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่อยู่ในระดับเดียวกัน โดยผู้พิพากษาชั้นต้น (ชั้น ๒) ปรับเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราว เป็น ๕,๐๐๐ บาทต่อเดือน ผู้พิพากษาประจำศาล ปรับเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราว เป็น ๑๖,๓๓๐ บาทต่อเดือน ผู้ช่วยผู้พิพากษา ปรับเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราว เป็น ๑๗,๔๔๐ บาทต่อเดือน และดะโต๊ะยุติธรรม ปรับเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราว เป็น ๑๖,๓๓๐ บาทต่อเดือน ๑.๒ ที่ประชุมพิจารณาถึงความจำเป็นและความเหมาะสมของโครงสร้างเงินเดือนใหม่ ประกอบกับตามการเพิ่มเงินค่าครองชีพชั่วคราวของข้าราชการตุลาการและดะโต๊ะยุติธรรมตามร่างระเบียบคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม ว่าด้วยการจ่ายเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวข้าราชการตุลาการและดะโต๊ะยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายสำหรับรายการเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวของข้าราชการตุลาการและดะโต๊ะยุติธรรม จำนวน ๑๔๔,๔๖๑,๑๐๔ บาท จึงเห็นควรให้สำนักงานศาลยุติธรรมพิจารณาใช้เงินเหลือจ่ายของหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรไปแล้ว ทั้งนี้ หากเงินเหลือจ่ายของหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรไปตามปีงบประมาณ ไม่เพียงพอสำหรับรายการเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวข้าราชการตุลาการและดะโต๊ะยุติธรรม ให้ทำเรื่องขอจัดสรรเงินงบกลางต่อไป ๒. ให้สำนักงานศาลยุติธรรมพิจารณาใช้เงินเหลือจ่ายของหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรไปแล้ว หากไม่เพียงพอให้เบิกจ่ายจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
27835 | การจัดทำรายงานแสดงผลการดำเนินงานของคณะรัฐมนตรีตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ปีที่สอง รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี | อื่นๆ | 04/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการจัดทำรายงานแสดงผลการดำเนินงานของคณะรัฐมนตรีตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ปีที่สอง รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตามรายงานของคณะกรรมการจัดทำรายงานแสดงผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรี ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ประธานกรรมการจัดทำรายงานแสดงผลการดำเนินงานของคณะรัฐมนตรีเสนอ โดยคณะกรรมการฯ ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
๑. ร่างโครงสร้างรายงานแสดงผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ซึ่งประกอบด้วย ส่วนแรก เป็นการสรุปสถานการณ์การพัฒนาประเทศในช่วงปีที่สองของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในภาพรวม และผลการดำเนินงานตามนโยบายเร่งด่วน และส่วนที่สอง เป็นการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ประกอบด้วยแนวนโยบาย ๙ ด้าน ในแต่ละด้านประกอบด้วยมาตราต่าง ๆ รวม ๑๑ มาตรา ซึ่งเนื้อหาในแต่ละด้านประกอบด้วยผลการดำเนินการในรอบปีที่ผ่านมา ปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงานและข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ๒. ปฏิทินการทำงานของคณะกรรมการจัดทำรายงานแสดงผลการดำเนินงานของคณะรัฐมนตรี ๓. แนวทางการทำงานของคณะกรรมการจัดทำรายงานแสดงผลการดำเนินงานของคณะรัฐมนตรี
|
|||||||||||||||||||||||||||
27836 | ให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่ออีกหนึ่งวาระ (นายสิน กุมภะ และพลโท มะ โพธิ์งาม) | นร | 04/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้นายสิน กุมภะ และพลโท มะ โพธิ์งาม กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีซึ่งจะครบวาระการดำรงตำแหน่ง ๑ ปี ในวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๖ คงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่ออีกหนึ่งวาระ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
27837 | ขอต่อเวลาการดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรม (นักบริหารระดับสูง) (กระทรวงยุติธรรม) (นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์) | ยธ | 04/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของนายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรม ต่อไปอีก ๑ ปี (ครั้งที่ ๒) ตั้งแต่วันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
27838 | เสนอรายชื่อบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อเพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (จำนวน 4 คน 1. นายเกษม มกราภิรมย์ ฯลฯ) | ปง | 04/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในฐานะบังคับบัญชาสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอรายชื่อบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน จำนวน ๔ คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ลาออก และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาตามลำดับเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป ดังนี้
๑. นายเกษม มกราภิรมย์ ๒. นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ๓. พลตรีตำรวจตรีสุเทพ รมยานนท์ ๔. นายภิญโญ ทองชัย
|
|||||||||||||||||||||||||||
27839 | แต่งตั้งข้าราชการ (กระทรวงแรงงาน) (นายปกรณ์ อมรชีวิน และ นายอาทิตย์ อิสโม) | รง | 04/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงแรงงาน ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้
๑. นายอาทิตย์ อิสโม ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ๒. นายปกรณ์ อมรชีวิน ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงแรงงาน สำนักงานปลัดกระทรวง
|
|||||||||||||||||||||||||||
27840 | การแต่งตั้งผู้อำนวยการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ (นางสุญาณี เวสสบุตร) | ทส | 04/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการแต่งตั้งนางสุญาณี เวสสบุตร เป็นผู้อำนวยการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ (อ.ส.พ.) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป ๒. สำหรับการกำหนดอัตราค่าตอบแทนให้เป็นไปตามความเห็นกระทรวงการคลัง ดังนี้ ๒.๑ ผลตอบแทนคงที่ในอัตราเดือนละ ๑๕๐,๐๐๐ บาท โดยในระหว่างอายุสัญญาผู้ว่าจ้างจะปรับขึ้นค่าตอบแทนคงที่ทุกวันที่ ๑ ตุลาคมของทุกปี ในอัตราไม่เกินกว่าร้อยละ ๑๐ ของค่าตอบแทนคงที่ที่ได้รับ ซึ่งขึ้นกับผลการประเมินตามหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินของคณะกรรมการ อ.ส.พ. สำหรับครั้งแรกจะขึ้นค่าตอบแทนคงที่ให้ในวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ๒.๒ ค่าตอบแทนพิเศษประจำปีในอัตราไม่เกินร้อยละ ๓๐ ของอัตราค่าตอบแทนรวมในแต่ละปี ตามผลประกอบการของ อ.ส.พ. และผลการประเมินตามหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินของคณะกรรมการ อ.ส.พ. ๒.๓ สิทธิประโยชน์อื่น ๆ ตามเอกสารแนบท้ายสัญญาจ้างผู้อำนวยการ อ.ส.พ.
|
.....