ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1391 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 27801 - 27820 จากข้อมูลทั้งหมด 123972 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
27801 | สถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนเมษายนและแนวโน้มปี 2556 | นร11 | 10/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนเมษายน ๒๕๕๖ และแนวโน้มปี ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยเดือนเมษายน ๒๕๕๖ ๑.๑ ภาวะเศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ ดัชนีการบริโภคภาคเอกชน ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม หดตัวร้อยละ ๐.๕ ร้อยละ ๑.๘ และร้อยละ ๕.๑ ตามลำดับ โดยการหดตัวของดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ และการรณรงค์ประหยัดพลังงาน อย่างไรก็ตามมูลค่าการส่งออกและดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๘ และร้อยละ ๐.๒ ตามลำดับ ๑.๒ ภาวะเศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบกับเดือนเมษายน ๒๕๕๕ เศรษฐกิจในไตรมาสที่สองมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าในไตรมาสแรก โดยเฉพาะดัชนีการบริโภคภาคเอกชนที่ชะลอตัว รวมทั้งการหดตัวของดัชนีการลงทุนภาคเอกชน ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ในขณะที่การส่งออกยังขยายตัวในเกณฑ์ต่ำ อย่างไรก็ตามเสถียรภาพทางเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ ทั้งด้านเงินเฟ้อที่ชะลอตัวต่อเนื่อง การว่างงานที่อยู่ในระดับต่ำ แม้ว่าดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดจะขาดดุลก็ตาม ๑.๓ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจในประเทศ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนเมษายน ๒๕๕๖ อยู่ที่ร้อยละ ๒.๔ ชะลอตัวลงจากร้อยละ ๒.๗ ในเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ ตามการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก รวมทั้งฐานที่สูงเนื่องจากการกลับมาทยอยจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในเดือนมกราคม ๒๕๕๕ โดยราคาสินค้าในหมวดพลังงานในเดือนเมษายน ๒๕๕๖ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๑ ชะลอตัวลงจากร้อยละ ๖.๒ ในเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ นอกจากนี้ ในเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ มีจำนวนผู้ว่างงาน ๒.๗ แสนคน คิดเป็นร้อยละ ๐.๗ ของกำลังแรงงานและการจ้างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๕ ตามการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นทั้งในภาคเกษตรและนอกภาคเกษตร เฉลี่ยในไตรมาสแรกมีผู้ว่างงาน ๒.๘ แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ ๐.๗ ๑.๔ สถานการณ์ด้านการคลัง การจัดเก็บรายได้สุทธิของรัฐบาลต่ำกว่าเดือนเมษายน ๒๕๕๕ ในขณะที่การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีเบิกจ่ายได้มากขึ้น หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนมกราคม ๒๕๕๖ อยู่ที่ร้อยละ ๔๔.๒ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ๑.๕ สถานการณ์ด้านการเงิน ในเดือนเมษายน ๒๕๕๖ สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ชะลอตัวลงต่อเนื่อง ในขณะที่เงินฝากเร่งตัวขึ้น ส่งผลให้สัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากปรับตัวลดลง อัตราดอกเบี้ยนโยบายยังทรงตัวอย่างต่อเนื่อง เงินบาทแข็งค่าก่อนที่จะอ่อนค่าลงในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๖ มีแนวโน้มขยายตัวในช่วงร้อยละ ๔.๒-๕.๒ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปี ในช่วงร้อยละ ๒.๓-๓.๓ และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๐.๙ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||
27802 | การดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล | พณ | 10/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอว่า กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการชี้แจงข้อมูลข้อเท็จจริงต่อประชาชนเกี่ยวกับการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๖ โดยเปิดเวทีชี้แจงข้อมูลข้อเท็จจริงต่อประชาชนที่จังหวัดพิษณุโลกเกี่ยวกับการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล ซึ่งมีผู้เกี่ยวข้องทั้งเกษตรกร ผู้ประกอบการ และประชาชนที่สนใจเข้าร่วมรับฟังมากกว่า ๑,๖๐๐ คน และที่ประชุมส่วนใหญ่เห็นว่าโครงการดังกล่าวมีความสำคัญและเป็นประโยชน์อย่างมากต่อเกษตรกรและระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ รวมทั้งพร้อมที่จะสนับสนุนให้รัฐบาลดำเนินโครงการดังกล่าวต่อไป อย่างไรก็ตาม โดยที่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกมีที่มาจากหลายหน่วยงาน จึงควรมีกลไกในการรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ชัดเจน และเป็นระบบ ส่วนการดำเนินโครงการก็ยังคงเป็นไปตามขั้นตอนและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งระเบียบหลักเกณฑ์ มติคณะรัฐมนตรี และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) รวบรวมข้อมูลข้อเสนอแนะของส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกตามนโยบายรัฐบาลเพื่อรวบรวมเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ให้หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงมหาดไทย เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ รวมทั้งหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
27803 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายละเอียดรายการและเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างอาคารศูนย์คอมพิวเตอร์และศูนย์ภาษา ของมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง | ศธ | 10/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปางเปลี่ยนแปลงรายละเอียดรายการและเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างอาคารศูนย์คอมพิวเตอร์และศูนย์ภาษา ๑ หลัง จากเดิมวงเงิน ๗๑,๘๙๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๗๗,๒๙๐,๐๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๒ จำนวน ๗๑,๘๙๐,๐๐๐ บาท และใช้เงินนอกงบประมาณสมทบ จำนวน ๕,๔๐๐,๐๐๐ บาท ตามระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๙ ข้อ ๗ (๓) ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
27804 | ร่างพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดการตรวจสอบกักกันโรคและสุขอนามัยสำหรับการส่งออกรังนกจากไทยไปจีน | กษ | 10/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบต่อร่างพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดการตรวจสอบกักกันโรคและสุขอนามัยสำหรับการนำผลิตภัณฑ์รังนกจากไทยไปจีน มีสาระสำคัญเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจในระบบการควบคุมตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานของรังนกและผลิตภัณฑ์ของราชอาณาจักรไทย และเร่งเปิดตลาดรังนกของไทยส่งออกไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีนหลังจากที่กระทรวงควบคุมคุณภาพตรวจสอบและกักกันโรค (AQSIO) สาธารณรัฐประชาชนจีน ออกมาตรการห้ามนำเข้าชั่วคราว ๑.๒ อนุมัติในหลักการเห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้ลงนามในร่างพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดการตรวจสอบกักกันโรคและสุขอนามัยสำหรับการนำผลิตภัณฑ์รังนกจากไทยไปจีน ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยกับ AQSIO แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ทั้งนี้ หากมีการปรับปรุงแก้ไขร่างพิธีสารฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์หารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการลงนามร่างพิธีสารฯ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีมาตรการเตรียมความพร้อมด้านเทคนิคในการให้ความรู้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการ รวมถึงการเตรียมความพร้อมของกรมปศุสัตว์ซึ่งจะเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการตรวจสอบกักกันโรคและสุขอนามัยเพื่ออนุมัติการขึ้นทะเบียนแหล่งที่มาของผลิตภัณฑ์รังนกที่จะส่งออกจากราชอาณาจักรไทยไปสาธารณรัฐประชาชนจีน ให้สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านเทคนิคในร่างพิธีสารฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และให้ความสำคัญกับการควบคุมตรวจสอบแหล่งที่มาของนกนางแอ่นและคุณภาพวัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์รังนกอย่างเข้มงวดมากขึ้น รวมทั้งส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพรังนกให้ได้มาตรฐาน และพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครอง ดูแลหรือควบคุมนกนางแอ่นที่เกษตรกรเลี้ยงไว้ นอกเหนือจากการได้รับสัมปทานรังนก เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนหรือสิ่งแปลกปลอมในผลิตภัณฑ์รังนกส่งออกไปสาธารณรัฐประชาชนจีนได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
27805 | สรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนมีนาคม พ.ศ. 2556 | ทก | 10/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน มีจำนวนทั้งสิ้น ๓๙.๓๕ ล้านคน ประกอบด้วย ผู้มีงานทำ ๓๘.๗๕ ล้านคน ผู้ว่างงาน ๒.๗๐ แสนคน และผู้ที่รอฤดูกาล ๓.๓๓ แสนคน โดยผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ จำนวน ๓.๙ แสนคน (จาก ๓๘.๙๖ ล้านคน เป็น ๓๙.๓๕ ล้านคน) ๒. ผู้มีงานทำ มีจำนวนทั้งสิ้น ๓๘.๗๕ ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ จำนวน ๕.๖ แสนคน (จาก ๓๘.๑๙ ล้านคน เป็น ๓๘.๗๕ ล้านคน) โดยผู้ทำงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ ผู้ทำงานภาคเกษตรกรรม สาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์ และรถจักรยานยนต์ สาขาการผลิต สาขาที่พักแรมและการบริการด้านอาหาร สาขาการศึกษา และสาขาการก่อสร้าง ส่วนผู้ทำงานลดลง ได้แก่ ผู้ทำงานสาขากิจกรรมการบริการอื่น ๆ เช่น กิจกรรมบริการเพื่อสุขภาพร่างกาย การดูแลสัตว์เลี้ยง การบริการซักรีดซักแห้ง และสาขากิจกรรมด้านสุขภาพและงานสังคมสงเคราะห์ ๓. ผู้ว่างงานทั่วประเทศ มีจำนวนทั้งสิ้น ๒.๗๐ แสนคน ลดลง ๑.๕ หมื่นคน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ ประกอบด้วย ผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน จำนวน ๑.๐๑ แสนคน และผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน จำนวน ๑.๖๙ แสนคน โดยเป็นผู้ว่างงานที่มาจากภาคการผลิต ภาคการบริการและการค้า และภาคเกษตรกรรม ผู้ว่างงานเป็นผู้มีการศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษา ๙.๒ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ๖.๓ หมื่นคน ระดับประถมศึกษา ๕.๓ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ๔.๒ หมื่นคน และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา ๒.๐ หมื่นคน ผู้ว่างงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๙.๗ หมื่นคน ภาคกลาง ๖.๕ หมื่นคน ภาคเหนือ ๓.๘ หมื่นคน กรุงเทพมหานคร ๓.๖ หมื่นคน และภาคใต้ ๓.๔ หมื่นคน
|
||||||||||||||||||||||||
27806 | ร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ศ. .... | พม | 10/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้มีคณะกรรมการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง และกำหนดอำนาจหน้าที่ กำหนดวาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑.๒ กำหนดให้สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส และผู้สูงอายุ รับผิดชอบงานธุรการ งานประชุม และกิจการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับงานของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการ ๑.๓ กำหนดให้การจัดตั้งสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งต้องเสนอต่อคณะกรรมการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งพิจารณาประกาศจัดตั้ง และกำหนดเขตพื้นที่ที่ให้การคุ้มครอง ๑.๔ กำหนดอำนาจหน้าที่สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ๑.๕ กำหนดให้มีการสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรสาธารณประโยชน์ องค์กรสวัสดิการชุมชน องค์กรภาคเอกชนอื่น สถาบันศาสนา หรือกลุ่มคนไร้ที่พึ่ง ดำเนินการในลักษณะเดียวกับสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งหรือมีส่วนร่วมในการให้การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ๑.๖ กำหนดให้สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งอาจจัดให้มีศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง และกำหนดอำนาจหน้าที่ของศูนย์ดังกล่าว โดยให้สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด ศูนย์พัฒนาสังคมประจำจังหวัด หรือส่วนราชการอื่นที่กำหนดเป็นศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ๑.๗ กำหนดให้คนไร้ที่พึ่งมีสิทธิขอรับการคุ้มครองจากสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งหรือศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง และให้สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งหรือศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งให้การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ๑.๘ กำหนดให้สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งหรือศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งให้ความช่วยเหลือเท่าที่จำเป็นในเบื้องต้น แล้วจัดส่งคนไร้ที่พึ่งผู้นั้นไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบตามกฎหมาย ๑.๙ กำหนดให้คนไร้ที่พึ่งต้องจัดทำข้อตกลงเข้าร่วมการอบรมเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจ การประกอบอาชีพและทำงาน ๑.๑๐ กำหนดบทเฉพาะกาลให้สถานสงเคราะห์ในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่ทำหน้าที่ให้การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เป็นสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งชั่วคราวเพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับไปดำเนินการแปรญัตติตามข้อสังเกตของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในชั้นกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรต่อไป เกี่ยวกับบทนิยาม “คนไร้ที่พึ่ง” ในร่างมาตรา ๓ ควรหมายความรวมถึง “คนเร่ร่อน จรจัด” เพื่อให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น และร่างมาตรา ๑๙ ควรเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับการรองรับให้สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งหรือศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งซึ่งไม่สมัครใจในการขอใช้สิทธิตามร่างพระราชบัญญัตินี้ เพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนซึ่งอาจมีการหลั่งไหลของคนไร้ที่พึ่งจากประเทศอื่นเข้ามาในประเทศไทย |
||||||||||||||||||||||||
27807 | ร่างพระราชบัญญัติการรับขนทางอากาศระหว่างประเทศ พ.ศ. .... | คค | 10/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการรับขนทางอากาศระหว่างประเทศ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดบทนิยามคำว่า “การรับขนทางอากาศ” “การรับขนทางอากาศภายในประเทศ” “คนโดยสาร” “ของ” “อากาศยาน” “ผู้ขนส่ง” “ผู้ขนส่งตามสัญญา” “ผู้ขนส่งตามความเป็นจริง” “ผู้ตราส่ง” “ผู้รับตราส่ง” “ลูกจ้าง” และ “หน่วยสิทธิพิเศษถอนเงิน” ๒. กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการรับขนคนโดยสารและสัมภาระ เช่น ในการรับขนคนโดยสารให้มีการส่งมอบเอกสารการรับขนตามที่กำหนด ผู้ขนส่งต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการที่คนโดยสารถึงแก่ความตายหรือได้รับบาดเจ็บตามที่กำหนด ผู้ขนส่งต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการที่สัมภาระลงทะเบียนถูกทำลาย สูญหายหรือเสียหายตามที่กำหนด ผู้ขนส่งต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นจากกรณีล่าช้าในการรับขนทางอากาศซึ่งคนโดยสารหรือสัมภาระตามที่กำหนด กำหนดความรับผิดในความเสียหาย ๓. กำหนดในเรื่องการรับขนของ เช่น ในการรับขนของให้มีการส่งมอบใบตราส่งทางอากาศ ใบตราส่งทางอากาศหรือใบรับรองต้องมีรายการตามที่กำหนด รวมถึงข้อความแสดงถึงน้ำหนักแห่งของที่ส่งด้วย ให้ผู้ตราส่งจัดทำใบตราส่งทางอากาศเป็นต้นฉบับจำนวนสามฉบับตามที่กำหนด ผู้ตราส่งต้องรับผิดชอบในความถูกต้องของรายการและข้อความเกี่ยวกับของที่ตนหรือบุคคลซึ่งกระทำการในนามของตนระบุไว้ในใบตราส่งทางอากาศหรือที่ให้ไว้แก่ผู้ขนส่ง ใบตราส่งทางอากาศหรือใบรับของถือเป็นพยานหลักฐานเบื้องต้นของการทำสัญญาการรับของ และเงื่อนไขการรับขน เมื่อผู้ตราส่งได้ปฏิบัติตามภาระผูกพันทั้งปวงตามสัญญารับขนทางอากาศแล้วผู้ตราส่งมีสิทธิจัดการกับของ ๔. กำหนดให้กรณีที่มีการรับขนร่วมกันและได้ดำเนินการส่วนหนึ่งโดยทางอากาศและส่วนอื่นโดยการรับขนโดยรูปแบบอื่น ให้ใช้บทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้บังคับเฉพาะกับช่วงที่ดำเนินการรับขนทางอากาศ ๕. กำหนดในเรื่องการรับขนทางอากาศที่ดำเนินการโดยบุคคลอื่นที่มิใช่ผู้ขนส่งตามสัญญา เช่น ถ้าผู้ขนส่งตามความเป็นจริงดำเนินการรับขนตลอดเส้นทางหรือบางส่วนของเส้นทางการรับขน ให้ผู้ขนส่งตามสัญญาและผู้ขนส่งตามความเป็นจริงอยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัตินี้ การกระทำและละเว้นการกระทำของผู้ขนส่งตามความเป็นจริง และของลูกจ้างและตัวแทนของผู้ขนส่งตามความเป็นจริงซึ่งกระทำภายในขอบเขตหน้าที่การงานของตนให้ถือว่าเป็นการกระทำและละเว้นการกระทำของผู้ขนส่งตามสัญญาด้วย ๖. กำหนดในเรื่องการฟ้องเรียกค่าเสียหาย เช่น ผู้เสียหายไม่อาจได้รับค่าเสียหายเชิงลงโทษหรือค่าเสียหายอื่นที่มิใช่ค่าสินไหมทดแทน สิทธิในการฟ้องค่าเสียหายจากการรับขนทางอากาศเป็นอันระงับสิ้นไปถ้าไม่มีการฟ้องคดีภายในระยะเวลา ๒ ปีนับแต่วันที่อากาศยานถึงถิ่นปลายทาง หรือนับแต่วันที่อากาศยานนั้นควรจะได้ถึงแล้วหรือนับแต่วันที่การรับขนได้หยุดลง ๗. กำหนดในเรื่องการรับขนทางอากาศภายในประเทศ โดยให้นำความในพระราชบัญญัตินี้มาใช้บังคับแก่การรับขนทางอากาศภายในประเทศโดยอนุโลม และในคดีที่เกี่ยวกับการรับขนทางอากาศภายในประเทศ ให้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ๘. กำหนดบทเฉพาะกาล โดยให้คดีเกี่ยวกับการรับขนทางอากาศภายในประเทศที่ค้างการพิจารณาอยู่ในศาลก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ศาลนั้นพิจารณาต่อไปจนแล้วเสร็จโดยถือว่าคดีนั้นมิใช่คดีเกี่ยวกับการรับขนทางอากาศตามพระราชบัญญัตินี้ |
||||||||||||||||||||||||
27808 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับ หนังสือรับรอง และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | รง | 10/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดงานและจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร และหลักเกณฑ์และวิธีการในการส่งเงิน การออกใบรับหนังสือรับรอง และใบแทนหนังสือรับรองการส่งเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ขยายระยะเวลาการหักเงินค่าจ้างของลูกจ้างเพื่อนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร เป็นวันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นต้นไป และลดจำนวนเงินที่ลูกจ้างต้องส่งเข้ากองทุนให้เท่ากันทุกสัญชาติและปรับปรุงระยะเวลาที่กำหนดให้นายจ้างนำส่งเงินค่าจ้างที่หักไว้เข้ากองทุน ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปดำเนินการแจ้งหน่วยงานของประเทศที่เกี่ยวข้องกับร่างกฎกระทรวงดังกล่าวทราบด้วย |
||||||||||||||||||||||||
27809 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - ลาว | คค | 10/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding) ระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งเป็นเอกสารบันทึกผลการหารือเกี่ยวกับการแก้ไขความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในเรื่องการกำหนดสายการบิน ความจุและความถี่ รวมทั้งสิทธิรับขนการจราจร และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของประเทศไทยและลาว มีสาระสำคัญเพื่อยืนยันการแก้ไขความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศที่ได้มีการหารือตามบันทึกความเข้าใจฯ ๒. ให้นำเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนมอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจฯ ต่อไป โดยในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ |
||||||||||||||||||||||||
27810 | ร่างกฎกระทรวงภาชนะบรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลว พ.ศ. .... | พน | 10/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงภาชนะบรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลว พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดลักษณะของภาชนะบรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลว ทั้งที่ผลิตหรือสร้างขึ้นใหม่หรือผ่านการใช้งานมาแล้วให้ครอบคลุมเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพการประกอบกิจการก๊าซปิโตรเลียมเหลวในปัจจุบัน เพื่อให้เป็นไปตามการปรับเปลี่ยนกฎหมายแม่บท ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดให้มีการติดป้ายสัญลักษณ์ที่ระบุวันตรวจสอบและวันสิ้นผลการทดสอบของถังเก็บและจ่ายก๊าซ หรือถังขนส่งก๊าซทางบกไว้ในตำแหน่งที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน เพื่อใช้สื่อสารกับประชาชนให้ทราบถึงผลการทดสอบและการตรวจสอบ โดยเฉพาะผู้ใช้เส้นทางร่วมกับรถขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
27811 | การขอความเห็นขอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่าง กระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐเช็ก (Memorandum of Understanding between the Ministry of Defence of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Defence of the Czech Republic on Mutual Cooperation) | กห | 10/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงกลาโหมจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐเช็ก (Memorandum of Understanding between the Ministry of Defence of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Defence of the Czech Republic on Mutual Cooperation) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและยกระดับความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐเช็กให้มีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกองทัพของทั้งสองประเทศ ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๓. หากมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของร่างบันทึกความเข้าใจฯ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจ ให้กระทรวงกลาโหมพิจารณาดำเนินการได้ตามความเหมาะสม
|
||||||||||||||||||||||||
27812 | ผลการดำเนินงานของคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ | มท | 10/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมของคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ (กบช.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๕ ซึ่งได้มีการพิจารณาเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ การแต่งตั้งประธานในคณะอนุกรรมการ ๓ คณะ ได้แก่ คณะอนุกรรมการบริหารจัดการที่ดิน คณะอนุกรรมการการแก้ไขปัญหาด้านกฎหมาย และคณะอนุกรรมการการจัดรูปที่ดิน ผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการ ๓ คณะ หลักเกณฑ์การพิจารณารับเรื่องร้องเรียนของ กบช. แนวทางการดำเนินงานของสำนักงานโฉนดชุมชน และเรื่องงบประมาณของศูนย์ปฏิบัติการที่ดินจังหวัดและอำเภอ ตามที่ กบช. เสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการแผนงานตามโครงการศูนย์ข้อมูลที่ดินและแผนที่แห่งชาติ กรมที่ดิน ระยะที่ ๑ โดยให้กรมที่ดินปรับแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับระยะเวลาการปฏิบัติงานที่เหลืออยู่ และเห็นชอบการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการที่ดินกลางของ กบช. โดยมอบให้อธิบดีกรมที่ดินเป็นผู้อำนวยการศูนย์ ตามที่ กบช. เสนอ ทั้งนี้ ในการปฏิบัติหน้าที่ของศูนย์ปฏิบัติการที่ดินดังกล่าวให้พิจารณาดำเนินการไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับการดำเนินการจัดทำ Zoning ที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ โดยให้สามารถใช้ประโยชน์ของข้อมูลต่าง ๆ ร่วมกัน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐ และให้กระทรวงมหาดไทย (กรมที่ดิน) รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า โครงการนี้มีการจัดทำแผนที่ฐานเพื่อใช้ร่วมกัน จึงควรหารือกับหน่วยงานที่รับผิดชอบในเรื่องดังกล่าวให้ชัดเจนก่อนดำเนินการ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ส่วนงบประมาณที่จะใช้จ่ายของโครงการศูนย์ข้อมูลที่ดินและแผนที่แห่งชาติและการดำเนินการของ กบช. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมที่ดิน) จัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของโครงการฯ โดยให้รวมค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของ กบช. และขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
27813 | ขอต่ออายุเงินกู้ระยะสั้น | พน | 10/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ต่ออายุเงินกู้ระยะสั้นแบบ Credit Line ในวงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ระยะเวลา ๑ ปี นับตั้งแต่วันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ภายใต้เงื่อนไขเดิม ประกอบด้วย กู้เบิกเกินบัญชี ตั๋วสัญญาใช้เงิน การทำ Trust Receipt (T/R) และการทำสัญญากู้เงินเมื่อทวงถาม (Call Loan) โดยให้พิจารณาทำสัญญาเงินกู้กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจ และ/หรือธนาคารพาณิชย์อื่นตามที่ธนาคารแต่ละแห่งเสนอ ในรูปแบบที่มีต้นทุนต่ำที่สุด ตามอัตราดอกเบี้ยตลาด โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันเงินต้นและดอกเบี้ยจากการกู้เงินดังกล่าว เพื่อให้ กฟผ. สามารถบริหารสภาพคล่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
27814 | สรุปรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่ง ปี 2556 | นร11 | 10/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่ง ปี ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจ้างงานและรายได้ ๑.๑ การจ้างงาน เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๓ อัตราการว่างงานเท่ากับร้อยละ ๐.๗๑ ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว การปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ๓๐๐ บาททั่วประเทศยังไม่สะท้อนผลกระทบในภาพรวมของการจ้างงาน แต่มีสัญญาณการปรับสภาพการจ้างงาน ได้แก่ ชั่วโมงการทำงานของแรงงานภาคเอกชนเฉลี่ย ๔๖.๒ ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ลดลงร้อยละ ๑.๓ จากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว แรงงานภาคเอกชนที่ทำงาน ๕๐ ชั่วโมงต่อสัปดาห์ขึ้นไป มีจำนวนลดลงร้อยละ ๘.๒ และผู้ทำงานต่ำระดับเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๒.๑ หรือเป็นจำนวน ๐.๓๘ ล้านคน ตลาดแรงงานยังตึงตัวในระดับ ปวช.-ปวส. ๑.๒ การปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็น ๓๐๐ บาท ทำให้ช่องว่างของค่าจ้างแรงงานภาคเอกชนมีแนวโน้มลดลงชัดเจนมากขึ้น โดยลดลงจาก ๗.๐ เท่าในปี ๒๕๕๓ เป็น ๖.๗ ๖.๙ และ ๖.๑ เท่าในปี ๒๕๕๔ ปี ๒๕๕๕ และไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๖ ตามลำดับ ๒. ด้านการศึกษา เด็กไทยยังไม่ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานครบทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มเด็กยากจนและกลุ่มเด็กที่มีความเสี่ยงที่จะจน การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานให้แก่เด็กกลุ่มดังกล่าวอย่างฟรีเต็มรูปแบบจึงมีลำดับความสำคัญสูงมาก รวมทั้งการดำเนินนโยบายและมาตรการการศึกษานอกระบบในเชิงรุกเพื่อเก็บตกเด็กทุกคนให้ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานให้ครบถ้วน ๓. ด้านสุขภาพ ในปี ๒๕๕๕ หลักประกันสุขภาพครอบคลุมร้อยละ ๙๙.๙๐ ของประชากรทั้งหมด โดยรัฐได้เร่งพัฒนาเครือข่ายสุขภาพไทยเพื่อให้ประชาชนทุกคนได้รับการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพและอยู่ใกล้บ้านที่สุดในมาตรฐานเดียวกัน มีการปรับการบริหารจัดการและการวางแผนพัฒนาประสิทธิภาพการดูแลรักษาผู้เจ็บป่วยตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงเจ็บป่วยรุนแรงหรือมีความยุ่งยากเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายบริการรวม ๑๒ เครือข่ายทั่วประเทศ พร้อมทั้งการยกระดับสถานีอนามัยเดิม ๙,๘๑๐ แห่งเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ๔. ด้านพฤติกรรมและความเป็นอยู่ของคนในสังคมไทย มีประเด็นเฝ้าระวังหลายด้าน ได้แก่ ๔.๑ คนยากจนใช้จ่ายค่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ค่อนข้างสูง โดยในปี ๒๕๕๓ กลุ่มคนที่ยากจนที่สุดใช้จ่ายไปกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสัดส่วนร้อยละ ๖.๗ ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด ส่วนกลุ่มที่รวยที่สุดใช้จ่ายไปกับเรื่องดังกล่าวเพียงร้อยละ ๓.๖ และในปี ๒๕๕๔ กลุ่มคนที่จนที่สุดมีค่าใช้จ่ายในการซื้อบุหรี่คิดเป็นร้อยละ ๒๗.๔ ของรายได้ส่วนบุคคล ส่วนกลุ่มคนที่รวยที่สุดมีค่าใช้จ่ายในการซื้อบุหรี่เพียงร้อยละ ๓.๕ ของรายได้ส่วนบุคคล ๔.๒ ครัวเรือนผู้มีรายได้น้อยใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมากขึ้นและเสี่ยงต่อการเป็นหนี้ โดยในปี ๒๕๕๔ พบว่า ครัวเรือนรายได้น้อยมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๕.๑ เร็วกว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ ๑๐.๔ ต่างกับครัวเรือนร่ำรวยมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๒ แต่มีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ ๘.๕ นอกจากนี้ ครัวเรือนรายได้น้อยมีรายจ่ายเพื่อซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๕.๘๕ หรือร้อยละ ๔๓.๓๔ ของรายจ่ายสินค้าที่ไม่ใช่อาหารทั้งหมด เทียบกับสัดส่วนร้อยละ ๑๑.๕๗ ในปี ๒๕๔๕ สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมการบริโภคของผู้มีรายได้น้อยที่เปลี่ยนแปลงไป ๕. ด้านความมั่นคงทางสังคม ผู้สูงอายุยากจนได้รับเบี้ยยังชีพเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากร้อยละ ๓๕.๑ ในปี ๒๕๕๐ เป็นร้อยละ ๘๙.๒ ในปี ๒๕๕๔ จากการที่รัฐปรับให้ประชาชนอายุหกสิบปีขึ้นไปได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานเรื่องเบี้ยยังชีพ โดยในปีงบประมาณ ๒๕๕๗ คาดว่ารัฐจะต้องใช้งบประมาณสวัสดิการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุทุกคนเป็นวงเงิน ๗๘,๖๖๘ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๕ จากเงินงบประมาณ ๕๘,๓๔๗ ล้านบาท ในปี ๒๕๕๖ และจะเพิ่มขึ้นเป็น ๙๙,๘๖๗ ล้านบาท ในปี ๒๕๖๓
|
||||||||||||||||||||||||
27815 | ร่างปฏิญญาบาหลีสำหรับการประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศของเวทีความร่วมมือระหว่างเอเชียตะวันออกกับลาตินอเมริกา (FEALAC) | กต | 10/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญาบาหลี (Bali Declaration/Commitment) สำหรับการประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศของเวทีความร่วมมือระหว่างเอเชียตะวันออกกับลาตินอเมริกา (Forum for East Asia-Latin America Cooperation : FEALAC) ซึ่งจะมีการพิจารณารับรองในการประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศ FEALAC ครั้งที่ ๖ ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๖ ที่บาหลี โดยร่างปฏิญญาฯ มีเนื้อหาสาระแบ่งเป็น ๔ ส่วน ได้แก่ ๑.๑.๑ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเวทีโลกและระดับภูมิภาคนับตั้งแต่ FEALAC ได้ก่อตั้งขึ้นตลอดช่วง ๑๒ ปีที่ผ่านมา ศักยภาพของ FEALAC ที่จะมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างภูมิภาคเอเชียกับลาตินอเมริกาและความตั้งใจในการที่จะมุ่งเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างกัน ๑.๑.๒ การส่งเสริมความเชื่อมโยงของ FEALAC โดยระบุถึงสาขาความร่วมมือที่มีความสนใจร่วมกันและแนวทางการพัฒนาความร่วมมือ อาทิ การคมนาคม ความมั่นคงทางอาหาร ความมั่นคงทางพลังงาน/การพัฒนาพลังงานทดแทน การพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม การศึกษา การป้องกันภัยพิบัติ การท่องเที่ยว การเสริมสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างประชาชน การสร้างเครือข่ายและความเชื่อมโยงทางธุรกิจ ความเชื่อมโยงของสื่อมวลชน ความมั่นคงและการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ และความร่วมมือทางด้านวัฒนธรรมและวิชาการ ๑.๑.๓ ความตั้งใจที่จะร่วมมือกันเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ ในเวทีโลก อาทิ การส่งเสริมการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน การบรรลุถึงเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals : MDGs) การปฏิบัติตามทิศทางการพัฒนาหลังปี ๒๕๕๘ (Post 2015 Development Agenda) การให้ความสำคัญกับระบบพหุภาคีในระบบการค้าโลก การพัฒนากลไกเพื่อส่งเสริมการลงทุนระหว่างกัน การพัฒนาขีดความสามารถในการรับมือกับภัยพิบัติ ความร่วมมือในการจัดการกับโรคระบาด การจัดการกับแรงงานต่างด้าว และการต่อสู้กับอาชญากรรมข้ามชาติ ๑.๑.๔ ความจำเป็นในการเสริมสร้างองค์กรและกระบวนการของ FEALAC อาทิ การปรับโครงสร้างคณะทำงานด้านต่าง ๆ การเพิ่มการหารือระหว่างสมาชิก การส่งเสริมความร่วมมือกับองค์กรระดับภูมิภาค/สถาบันวิจัยนโยบาย และการประเมินโครงการของประเทศสมาชิกที่ผ่านมา ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนร่วมรับรองร่างปฏิญญาฯ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับข้อสังเกตของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับร่างปฏิญญาฯ ข้อ ๖-๗ ซึ่งระบุการส่งเสริมเพื่อสร้างความเชื่อมโยงระหว่างสองภูมิภาค (Connectivity) ควรพิจารณาความเชื่อมโยงในมิติอื่น ๆ ด้วย เช่น ความเชื่อมโยงด้วยโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ (Broadband Connectivity) ความเชื่อมโยงทางกฎเกณฑ์เชิงสถาบัน (Institutional Connectivity) หรือความเชื่อมโยงระหว่างประชากร (People-to-People Connectivity) ส่วนข้อ ๘ ประเด็นเรื่องความมั่นคงทางอาหาร อาจพิจารณาความร่วมมือด้านการค้าเพิ่มเติมเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกด้านการค้าและลดมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีของสินค้าอาหาร เพื่อเป็นการเพิ่มปริมาณอาหารให้เพียงพอและสามารถเข้าถึงอาหารอย่างมีประสิทธิภาพสำหรับประเทศที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าอาหาร รวมทั้งอาจจะพิจารณาเสนอให้ถ้อยคำทางด้าน food Safety ปรากฏในร่างปฏิญญาฉบับนี้ด้วย และข้อ ๑๑ ในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดตั้งเครือข่ายมหาวิทยาลัย FEALAC (FEALAC University Network) ตามข้อเสนอของบราซิล อาจพิจารณาสถาบันวิจัยให้มีส่วนร่วมในเครือข่ายในส่วนนี้ด้วย เพื่อขยายขอบเขตในการดึงดูดผู้มีศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่กว้างขึ้น ทั้งที่มาจากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัย รวมทั้งเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างนักวิชาการและนักวิจัยระหว่างสองภูมิภาค ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
27816 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ (สำนักราชเลขาธิการ) | รล | 10/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักราชเลขาธิการเปลี่ยนแปลงแก้ไขรูปแบบของงานปรับปรุงอาคารสำนักราชเลขาธิการตามสัญญาเดิม ๑ แห่ง และดำเนินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๖ รายการค่าปรับปรุงอาคารสำนักราชเลขาธิการเดิม ในวงเงินทั้งสิ้น ๑๓๓,๔๒๐,๐๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๒๘,๓๒๐,๐๐๐ บาท งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ จำนวน ๖๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๔๕,๑๐๐,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
27817 | รายงานความคืบหน้าการจัดทำหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางของทางราชการ | กค | 10/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานความคืบหน้าการจัดทำหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางของทางราชการซึ่งเป็นผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ (เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีปฏิบัติในการเปิดเผยราคากลางของทางราชการ) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การเปิดเผยราคากลางของทางราชการ ในระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP) กรมบัญชีกลางได้มีการพัฒนาระบบ e-GP เพื่อรองรับการเปิดเผยราคากลางที่มิใช่งานก่อสร้าง และได้มีหนังสือแจ้งเวียนแนวทางการเปิดเผยราคากลางของทางราชการในระบบ e-GP ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานอื่นของรัฐให้ถือปฏิบัติ ๑.๒ การกำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางยานอกบัญชียาหลักและเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา ในเบื้องต้นกระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดแผนการดำเนินงานโดยจะกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางยาในกลุ่มยาที่มีการใช้สูงมาประกาศใช้ก่อน สำหรับกลุ่มอื่นจะใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางยาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ไปก่อน สำหรับเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยาจะใช้หลักเกณฑ์เดียวกันกับหลักเกณฑ์กำหนดราคากลางยาในบัญชียาหลักและนอกบัญชียาหลัก ซึ่งคาดว่าสามารถจัดทำหลักเกณฑ์ให้แล้วเสร็จก่อนเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ ๑.๓ การกำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้จัดทำแนวทางปฏิบัติ หลักเกณฑ์ และคู่มือการประเมินราคาการพัฒนาซอฟต์แวร์ประเภทโปรแกรมประยุกต์ (Application Software) ดิจิตอลคอนเทนต์ (Digital Content) และสื่อสร้างสรรค์ (Animation) เพื่อให้หน่วยงานของรัฐสามารถนำไปใช้ในการจัดซื้อจัดจ้างได้ ซึ่งแนวทางและวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานพัฒนาซอฟต์แวร์ ประเภทโปรแกรมประยุกต์ดังกล่าว มีโปรแกรมให้หน่วยงานภาครัฐสามารถกรอกข้อมูลตามแนวทางที่กำหนด สามารถทราบจำนวนเงินที่เป็นราคากลางงานพัฒนาซอฟต์แวร์ประเภทโปรแกรมประยุกต์ได้ โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ ซึ่งคาดว่าจะสามารถประกาศใช้ได้ก่อนเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ ๑.๔ การกำหนดราคากลางการจ้างที่ปรึกษา สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะได้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาแนวทางในการกำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางการจ้างที่ปรึกษา ซึ่งคาดว่าจะเสนอหลักเกณฑ์การกำหนดราคากลางการจ้างที่ปรึกษาต่อคณะรัฐมนตรีได้ภายในวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ เพื่อให้ส่วนราชการและหน่วยงานอื่นของรัฐถือปฏิบัติต่อไป ๑.๕ การกำหนดราคามาตรฐานครุภัณฑ์ให้ครอบคลุมรายการครุภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ สำนักงบประมาณได้ปรับปรุงราคามาตรฐานครุภัณฑ์ให้ครอบคลุมรายการครุภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ และปัจจุบันสำนักงบประมาณอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบการจัดทำราคามาตรฐานครุภัณฑ์ให้สามารถรายงานผลการจัดซื้อครุภัณฑ์ตามบัญชีราคามาตรฐาน และนอกบัญชีราคามาตรฐานของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อนำมาใช้ในการกำหนดราคามาตรฐานครุภัณฑ์ให้เหมาะสม โปร่งใส เป็นธรรม และใช้ในการจัดทำงบประมาณของสำนักงบประมาณ รวมทั้งเป็นข้อมูลประกอบการกำหนดราคากลางของหน่วยงานภาครัฐต่อไป ๒. เห็นชอบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอเพิ่มเติมว่า โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ (เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการต่าง ๆ กรณีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต รวม ๒๙ ฉบับ) โดยเห็นชอบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการต่าง ๆ กรณีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต ซึ่งมีหลักการให้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตขึ้นในทุกส่วนราชการ จึงสมควรที่ทุกส่วนราชการจะได้มอบหมายให้ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตที่จะจัดตั้งขึ้นดังกล่าวไปดำเนินการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางของทางราชการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
27818 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการต่าง ๆ กรณีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น รวม 29 ฉบับ | นร09 | 10/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการต่าง ๆ กรณีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต รวม ๒๙ ฉบับ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการต่าง ๆ เพื่อจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตในสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดกระทรวงทุกกระทรวง ส่วนราชการที่อยู่ในบังคับบัญชาขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี และส่วนราชการไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการตามความเห็นของคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่า การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตในสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดกระทรวงทุกกระทรวง ส่วนราชการที่อยู่ในบังคับบัญชาขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี และส่วนราชการไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีตามร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการต่าง ๆ กรณีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต รวม ๒๙ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว เป็นยุทธศาสตร์และแผนงานเชิงรุกของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริต ดังนั้น เพื่อให้ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตดังกล่าวมีการบูรณาการการทำงานและขับเคลื่อนการทำงานให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์และแผนงานของรัฐบาล จึงควรให้สำนักงาน ก.พ.ร. ประสานงานร่วมกับสำนักงาน ป.ป.ช. และส่วนราชการที่มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตกำหนดวิธีการทำงานของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
27819 | รายงานการปรึกษาหารือเรื่องการสร้างความเป็นธรรมในระบบสุขภาพ | สธ | 10/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการปรึกษาหารือเรื่องการสร้างความเป็นธรรมในระบบสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๖ โดยมีเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ) เป็นประธานในการปรึกษาหารือเพื่อแก้ปัญหาเรื่องร้องเรียนด้านความเป็นธรรมด้านสาธารณสุข มีผู้แทนจาก ๓ กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ กลุ่มสหภาพแรงงานองค์การเภสัชกรรม และกลุ่มเครือข่ายผู้ประกอบวิชาชีพโรงพยาบาลชุมชน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้เข้าร่วมชี้แจงและหาแนวทางแก้ไข สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ข้อเสนอของกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ได้แก่ รัฐต้องไม่ใช้ระบบร่วมจ่าย (Co-Payment) ในระบบหลักประกันสุขภาพ ให้ยกเลิกการเก็บ ๓๐ บาทในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ให้การจัดหา (จัดซื้อ) บริการสาธารณสุขเป็นหน้าที่ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ยุติการแทรกแซงการบริหารของ สปสช. และคืนความเป็นธรรมและเยียวยาแก่ นพ. วิทิต อรรถเวชกุล ๒. ข้อเสนอของสหภาพแรงงานองค์การเภสัชกรรม ได้แก่ รัฐต้องไม่แปรรูปองค์การเภสัชกรรม การให้เงินสะสมขององค์การเภสัชกรรมในเรื่องการย้ายสถานที่ขององค์การเภสัชกรรม และการใช้เงินตามโครงการสนับสนุนกิจกรรมภาครัฐโดยมิชอบ เช่น กรณีสั่งจ่ายเงิน ๗๕ ล้านบาท ให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ๓. ข้อเสนอของเครือข่ายผู้ประกอบวิชาชีพโรงพยาบาลชุมชน มีข้อเสนอ ๔ เรื่อง คือ การคงเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายฉบับ ๔ และ ๖ เหมือนเดิม การปรับปรุงระบบเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายให้เป็นธรรมกับวิชาชีพอื่น ๆ การตั้งคณะกรรมการที่มีส่วนร่วมทบทวนการกำหนดพื้นที่ การยกเลิกการใช้ P4P ในโรงพยาบาลชุมชน และมีข้อสรุป ดังนี้ ๓.๑ ผลการปรึกษาหารือเป็นที่เข้าใจได้ว่าทุกฝ่ายเห็นด้วยกับหลักการของระบบค่าตอบแทนตามผลการปฏิบัติงาน หรือ พีฟอร์พี (P4P) ว่าจะเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และคุณภาพการบริการต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน เห็นด้วยว่าการคงบุคลากรทางการแพทย์ให้อยู่ในชนบท ซึ่งมาตรการหนึ่งที่จำเป็นคือมาตรการทางการเงิน และเห็นด้วยว่าต้องมีมาตรการลดความเหลื่อมล้ำของรายได้บุคลากรทางการแพทย์ที่มีความแตกต่างกัน ทั้งนี้โดยไม่ดึงผู้มีรายได้สูงลงมา แต่จะหาวิธีฉุดผู้มีรายได้น้อยขึ้นไป ซึ่งการทำ P4P เป็นมาตรการหนึ่งที่ช่วยได้ ๓.๒ ที่ประชุมเข้าใจตรงกันว่า การทำ P4P มีบริบทในการทำงานของแต่ละหน่วยบริการมีความแตกต่างกัน หลักการที่สำคัญที่สำคัญที่สุดคือต้องมีกติกากลางกำหนดขึ้นมา เพื่อให้แต่ละหน่วยบริการใช้ดำเนินการไม่ให้มีความแตกต่างหรือเกิดปัญหามากขึ้น เช่น ด้านความมั่นคง ไม่ใช้เงินมากเกินไป ขณะที่มีปัญหาค่าใช้จ่ายในสถานพยาบาลอยู่แล้ว สามารถนำรายละเอียดปลีกย่อยไปปรับให้เหมาะสมกับหน่วยบริการแต่ละระดับได้ ๓.๓ ที่ประชุมเห็นต้องกันว่า จะทำ P4P ที่เป็นไปตามบริบทของพื้นที่ ที่จัดให้เหมาะสมตั้งแต่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ โดยให้กระทรวงสาธารณสุขปรับปรุงรายละเอียด หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและเตรียมความพร้อมให้สำนักเร่งรัดพัฒนาชนบททุกแห่งสามารถทำ P4P ได้ และระหว่างนี้โรงพยาบาลที่ได้มีการดำเนินการมาแล้วตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๖ อาจมีผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการทำ P4P จะต้องได้รับการชดเชยตามมติคณะรัฐมนตรี สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ทำที่เกิดจากความไม่พร้อมของกระทรวงสาธารณสุขอันเนื่องมาจากความไม่ชัดเจนของข้อมูล จนไม่สามารถที่จะทำได้ก็จะได้รับการชดเชย แต่ทั้งนี้ การชดเชยจะไม่รวมถึงผู้ที่ไม่ทำ เพราะจะเป็นอันตรายทางด้านจริยธรรม ๓.๔ โดยที่มีความเห็นตรงกัน จึงได้มีการแต่งตั้งคณะทำงาน ๑ ชุด ซึ่งมาจากบุคลากรทุกวิชาชีพ สถานบริการแต่ละระดับ เนื่องจาก P4P เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างหลายวิชาชีพ โดยจะถือหลักการทำงานด้วยเหตุและผล ไม่ใช้วิธีการตัดสินด้วยเสียงส่วนใหญ่ ซึ่งกำหนดไว้ว่าจะดำเนินการให้ได้ข้อสรุปภายใน ๖๐ วัน เตรียมพร้อมก่อน ๒ เดือน ก่อนที่จะดำเนินการตามเป้าหมายที่ตั้งไว้คือ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ โดยคณะทำงานดังกล่าวทำหน้าที่ ๒ ประการ คือ ๓.๔.๑ ปรับปรุงกฎหมายระเบียบ ข้อจำกัดต่าง ๆ ที่เป็นปัญหาอุปสรรคหรือไม่สอดคล้องแต่ละพื้นที่หรือระดับของหน่วยบริการให้ชัดเจน เพื่อเป็นหลักการที่ทุกคนต้องทำ เพื่อพัฒนา P4P ให้เหมาะสมกับบริบทของหน่วยบริการแต่ละระดับ และให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขอยู่ในระบบได้ ๓.๔.๒ คิดมาตรการชดเชย เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากการจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายตามฉบับ ๘ และการทำ P4P ตามฉบับ ๙ ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี ที่ได้มีการดำเนินการมาแล้วตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๖ รวมถึงผู้ต้องการจะทำ P4P แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ อันเนื่องจากความไม่พร้อมของกระทรวงสาธารณสุข ที่ไม่สามารถสนับสนุนการทำ P4P หรือความไม่ชัดเจนของข้อมูลจนโรงพยาบาลไม่สามารถที่จะทำได้ก็จะได้รับการชดเชย แต่มาตรการนี้จะไม่ครอบคลุมถึงผู้ที่ตั้งใจต่อต้านหรือจะไม่ทำ เพราะจะเป็นอันตรายทางด้านจริยธรรม
|
||||||||||||||||||||||||
27820 | มาตรการให้ความช่วยเหลือด้านหนี้สินของสมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรที่ประสบอุทกภัย ปี 2554 | กษ | 10/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบมาตรการให้ความช่วยเหลือด้านหนี้สินของสมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรที่ประสบอุทกภัยปี ๒๕๕๔ โดยกรณีสมาชิกเสียชีวิต ให้จำหน่ายหนี้ออกจากบัญชีของสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรเป็นสูญ รัฐบาลรับภาระชำระหนี้ให้แทน ส่วนกรณีสมาชิกที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยแต่ไม่เสียชีวิต หนี้เงินกู้ที่มีอยู่เดิมก่อนประสบภัย ให้สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรพักการชำระหนี้เงินกู้เป็นเวลา ๓ ปี นับตั้งแต่วันที่ประสบอุทกภัย โดยงดคิดดอกเบี้ย รัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยให้ตามอัตราที่สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรเรียกเก็บจากสมาชิก สำหรับเงินกู้สัญญาใหม่เพื่อการฟื้นฟูอาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิต สัญญา/รายละไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท รัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ให้ร้อยละ ๓ ต่อปี เป็นเวลาไม่เกิน ๓ ปี ๑.๒ เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๗๑๕ ล้านบาทเพื่อจ่ายชดเชยดอกเบี้ยการพักชำระหนี้เดิมก่อนเกิดอุทกภัย และลดภาระหนี้เงินกู้ใหม่เพื่อฟื้นฟูการประกอบอาชีพให้สมาชิกที่ประสบอุทกภัยปี ๒๕๕๔ เป็นปีที่ ๓ ของการดำเนินตามมาตรการ ๑.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกรมส่งเสริมสหกรณ์รับความเห็นของประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรในระยะต่อไป ควรให้สหกรณ์/กลุ่มสหกรณ์มีส่วนร่วมรับผิดชอบ โดยอาจพิจารณาจัดตั้งกองทุนร่วมกันเพื่อสะสมเงินทุนที่นำมาใช้ดูแลสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรในกรณีที่ได้รับความเดือดร้อน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. สำหรับงบประมาณในการให้ความช่วยเหลือด้านหนี้สินของสมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรที่ประสบอุทกภัย วงเงินรวม ๗๑๕ ล้านบาท ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามขั้นตอนต่อไป |
.....