ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1197 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 23921 - 23940 จากข้อมูลทั้งหมด 123963 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
23921 | ขอปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2551 เรื่อง หลักเกณฑ์การรายงานการไปราชการ ประชุม สัมมนา ศึกษา ฝึกอบรม ปฏิบัติการวิจัย ดูงาน ณ ต่างประเทศ และการไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศ | นร04 | 12/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๑ เรื่อง หลักเกณฑ์การรายงานการไปราชการ ประชุม สัมมนา ศึกษา ฝึกอบรม ปฏิบัติการวิจัย ดูงาน ณ ต่างประเทศ และการไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติเสนอ โดยให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์ในข้อ ๕ ดังนี้
จากเดิม “๕. ให้ส่งรายงานการไปราชการ ประชุม สัมมนา ศึกษา ฝึกอบรม ปฏิบัติการวิจัย ดูงาน ณ ต่างประเทศ และการไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับการวิจัย (เว้นแต่กรณีที่เป็นเอกสาร หรือรายงานที่ระบุชั้นความลับไว้) ไปให้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติภายในระยะเวลาไม่เกิน ๑ เดือน หลังจากการเดินทางกลับ โดยให้จัดทำข้อมูลในรูปเอกสาร และรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ จำนวนอย่างละ ๑ ชุด ตามรูปแบบและวิธีการที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติกำหนด” ปรับปรุงเป็น “๕. ให้หน่วยงานที่ส่งบุคลากรไปราชการ ประชุม สัมมนา ศึกษา ฝึกอบรม ปฏิบัติการวิจัย ดูงาน ณ ต่างประเทศ และการไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศ จัดทำข้อมูลและเก็บรวบรวมรายงานการไปราชการฯ ไว้ในเว็บไซต์ของหน่วยงานนั้น ๆ (เว้นแต่กรณีที่เป็นเอกสาร หรือรายงานที่ระบุชั้นความลับไว้) ภายในระยะเวลาไม่เกิน ๑ เดือน หลังจากการเดินทางกลับ” |
|||||||||||||||||||||||||||
23922 | การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป รายการค่าก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งพังในแม่น้ำป่าสัก ระยะที่ 1 (ตอนที่ 1) บริวเวณช่วง กม. 4+000 ถึง กม. 6+000 และ กม. 23+000 ถึง กม. 29+500 ระยะทาง 4,500 เมตร | คค | 12/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป รายการค่าก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งพังในแม่น้ำป่าสัก ระยะที่ ๑ (ตอนที่ ๑) บริเวณช่วง กม. ๔+๐๐๐ ถึง กม. ๖+๐๐๐ และ กม. ๒๓+๐๐๐ ถึง กม. ๒๙+๕๐๐ ระยะทาง ๔,๕๐๐ เมตร ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรเร่งรัดดำเนินการให้สามารถเบิกจ่ายงบประมาณให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยการดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ ทั้งนี้ หากต่อรองราคาให้ต่ำลงไปให้มากกว่านี้ จะเป็นประโยชน์ต่อทางราชการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
23923 | ผลการประชุมสุดยอดเอเชีย - แอฟริกา การฉลองครบ 60 ปีการประชุมบันดุง และครบ 10 ปี การก่อตั้งหุ้นส่วนใหม่ทางยุทธศาสตร์เอเชีย - แอฟริกา | กต | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมสุดยอดเอเชีย-แอฟริกา การฉลองครบ ๖๐ ปีการประชุมบันดุง และครบ ๑๐ ปี การก่อตั้งหุ้นส่วนใหม่ทางยุทธศาสตร์เอเชีย-แอฟริกา ในระหว่างวันที่ ๒๐-๒๔ เมษายน ๒๕๕๘ ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และมอบหมายให้หน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่องตามนัยสรุปประเด็นสำคัญสำหรับการติดตามผลการประชุมสุดยอดเอเชีย-แอฟริกา การประชุมระดับรัฐมนตรีเอเชีย-แอฟริกา และการหารือทวิภาคี เพื่อนำไปปฏิบัติและติดตามความคืบหน้าต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. การประชุมสุดยอดเอเชีย-แอฟริกา และการประชุมระดับรัฐมนตรีเอเชีย-แอฟริกา ๑.๑ ความเป็นเอกภาพทางการเมือง ได้แก่ การต่อต้านการก่อการร้ายและภัยคุกคามที่มีลักษณะข้ามพรมแดน การสนับสนุนการเป็นรัฐเอกราชของปาเลสไตน์ การปฏิรูปคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC Reform) รวมทั้งสนับสนุนให้มีผู้แทนจากประเทศในภูมิภาคเอเชียและแอฟริกาเป็นสมาชิกถาวรในคณะมนตรีความมั่นคงเพิ่มมากขึ้น ๑.๒ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ได้แก่ ให้มีการค้าการลงทุนที่เปิดกว้างและโปร่งใส พัฒนาเศรษฐกิจทางทะเล (Blue Economy) ร่วมมือในภาคการเกษตร ส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และปฏิรูปสถาบันการเงิน รวมทั้งให้ความสำคัญต่อความมั่นคงทางอาหารและการเข้าถึงบริการด้านพลังงานที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และราคาที่หาซื้อได้ การส่งเสริมความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างทั้งสองภูมิภาค ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ๑.๓ ความร่วมมือทางสังคมและวัฒนธรรม ได้แก่ สนับสนุนการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ (best practice) การสนับสนุนการแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมความเจริญก้าวหน้าและความรุ่งเรืองของเอเชียและแอฟริกา การสนับสนุนความเชื่อมโยงของภาคประชาชน การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ การส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศและบทบาทของสตรี การจัดการภัยพิบัติและการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และให้ความสำคัญต่อความหลากหลายทางวัฒนธรรม ๒. การหารือทวิภาคี ๒.๑ การหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีกับสมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลเลาะห์ที่ ๒ แห่งจอร์แดน ได้แก่ การขยายความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างไทยและจอร์แดน การเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของสมเด็จพระราชาธิบดีฯ การดำเนินการเกี่ยวกับร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านฝนหลวง และการประสานงานกับฝ่ายจอร์แดนในการดูแลนักเรียนไทยในจอร์แดน ๒.๒ การหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีกับประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ได้แก่ การติดตามสถานการณ์ประมง การเตรียมการจัดการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมไทย-อินโดนีเซีย (JC) โดยมุ่งเน้นประเด็นด้านเศรษฐกิจ การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของสถานเอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประจำประเทศไทย และการติดตามกระบวนการดำเนินคดีลูกเรือประมงไทยสังหารทหารเรืออินโดนีเซีย ๒.๓ การหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีกับนายกรัฐมนตรีปาเลสไตน์ ได้แก่ การเปิดสถานเอกอัครราชทูตปาเลสไตน์ในประเทศไทย และความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวและการเกษตร ๒.๔ การหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศตูนิเซีย ได้แก่ การขยายความสัมพันธ์ระหว่างไทยและตูนิเซียในทุกมิติ โดยเฉพาะด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว การจัดการประชุมหารือทวิภาคีไทย-ตูนิเซีย การติดตามสถานการณ์ขอพระราชทานอภัยโทษแก่นาย Mehdi Ali Issa ชาวตูนิเซีย และการขยายความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ๒.๕ การหารือทวิภาคีระหว่างรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเนปาล ได้แก่ การขยายความร่วมมือทางวิชาการเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์กับเนปาล การเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเนปาลเยือนไทย การพิจารณาข้อเสนอของเนปาลเรื่องความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวและวัฒนธรรม โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงพระพุทธศาสนา (Buddhist Circuit) และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การจัดการประชุมกับเนปาล ๒.๖ การหารือทวิภาคีระหว่างรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศโมร็อกโก ได้แก่ การเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศโมร็อกโกเยือนไทย และการเข้าร่วมการประชุม Political Consultations ไทย-โมร็อกโก ครั้งที่ ๒ ซึ่งโมร็อกโกจะเป็นเจ้าภาพ การลงนามบันทึกความเข้าใจทางวิชาการระหว่างไทยและโมร็อกโก และพิจารณาร่างความตกลงระหว่างสถาบันการทูต ไทย-โมร็อกโก ๒.๗ การหารือทวิภาคีระหว่างรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแกมเบีย ได้แก่ การเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแกมเบียและคณะเยือนไทย และการเยือนแกมเบียของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ความร่วมมือด้านการเกษตร ด้านการท่องเที่ยว และด้านสินค้าหัตถกรรมกับแกมเบีย การเยือนไทยของผู้เชี่ยวชาญแกมเบียเพื่อทำการศึกษาความเป็นไปได้ (feasibility study) เกี่ยวกับความร่วมมือไทย-แกมเบีย และการส่งผู้เชี่ยวชาญของไทยไปเพื่อก่อตั้งสถาบันการเรียนรู้ที่แกมเบีย |
|||||||||||||||||||||||||||
23924 | ผลการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ | สลธ.คสช. | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ตามที่เลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติรายงาน สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การช่วยเหลือกรณีเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศเนปาล มีภารกิจที่สำคัญคือ การช่วยเหลือคนไทยที่ตกค้างอยู่ที่ประเทศเนปาลกลับถึงประเทศไทย จำนวน ๗๓ คน การช่วยเหลือประชาชนและรัฐบาลเนปาลโดยการบริจาคเงินกว่า ๔๘ ล้านบาท การบริการทางการแพทย์ และการจัดอากาศยานสนับสนุนการเคลื่อนย้ายสิ่งของบรรเทาทุกข์รวม ๗ เที่ยวบิน ๑.๒ การรักษาความสงบเรียบร้อย มีภารกิจที่สำคัญคือ การเชิญผู้นำและตัวแทนกลุ่มบุคคลร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศ และการอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ในการจับกุมผู้ต้องสงสัยพร้อมอาวุธปืนและยาเสพติดที่จังหวัดเชียงราย และผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้เผยแพร่ข้อมูลที่เข้าข่ายหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ๑.๓ การแก้ปัญหาด้านการประมง ได้มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๐/๒๕๕๘ ลงวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๘ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม โดยจัดตั้งศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย และให้ผู้บัญชาการทหารเรือเป็นผู้บัญชาการศูนย์ ๑.๔ โครงการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลที่กองทัพบกร่วมดำเนินการ ได้แก่ โครงการปรับปรุงและพัฒนาแหล่งน้ำประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ (เพิ่มเติม) ในพื้นที่ ๘ จังหวัด และโครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำระยะเร่งด่วนปีงบประมาณ ๒๕๕๘ (เพิ่มเติม) ที่กองทัพบกรับผิดชอบดำเนินการในพื้นที่ ๓๔ จังหวัด ๑๖๙ รายการ งบประมาณ ๑,๒๓๕ ล้านบาท ๑.๕ การเตรียมการสนับสนุนการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลในช่วงต่อไป ได้แก่ การกำกับดูแลและอำนวยความสะดวกการส่งออกน้ำมันจากไทยไปเมียนมาและแนวชายแดนกลุ่มประเทศ CLMV การดำเนินการต่อการผลิตเหล้าเถื่อน การบังคับใช้กฎหมายต่อพื้นที่ป่าที่ถูกบุกรุกปลูกยางพารา ๒. มอบหมายให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์) ชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนเกี่ยวกับการรับบริจาคเพื่อช่วยเหลือกรณีเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศเนปาลว่า ขณะนี้สถานการณ์ในประเทศเนปาลเริ่มเข้าสู่ช่วงบูรณะฟื้นฟูประเทศแล้ว หากต้องการส่งความช่วยเหลือควรบริจาคเป็นเงินหรือสิ่งของจำเป็นสำหรับให้ผู้ประสบภัยใช้ดำรงชีพในช่วงการฟื้นฟูและบูรณะที่อยู่อาศัย เช่น ข้าวสาร เต็นท์ ผ้าพลาสติก ไม้ สังกะสี วัสดุก่อสร้าง เป็นต้น ๓. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รับไปพิจารณาหาแนวทางที่เหมาะสมในการขนส่งสิ่งของบริจาคไปยังประเทศเนปาล เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถส่งสิ่งของบริจาคไปยังประเทศเนปาลได้อย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ โดยในชั้นนี้ให้กระทรวงการต่างประเทศประสานองค์กรหรือมูลนิธิระหว่างประเทศ เช่น UNICEF เพื่อจัดส่งสิ่งของบริจาคที่มีอยู่ในขณะนี้ตามความเหมาะสมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
23925 | รายงานการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ 17 (การประชุม ครั้งที่ 71/2558 ถึง ครั้งที่ 74/2558) | นร04 | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ ๑๗ (สำหรับการประชุมครั้งที่ ๗๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๘ ถึงครั้งที่ ๗๔/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๘) ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ ได้พิจารณาทบทวนร่างบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
23926 | รายงานผลการดำเนินการในรอบ 6 เดือน ของกระทรวงคมนาคม | คค | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการในรอบ ๖ เดือน ของกระทรวงคมนาคม ดังนี้
๑. การปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยกระทรวงคมนาคมได้ร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผ่านการจัดกิจกรรมในโอกาสต่าง ๆ ๒. การนำยุทธศาสตร์จากกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ สู่แผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย ระยะ ๘ ปี เพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ๓. กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานแรกที่นำข้อตกลงคุณธรรมมาใช้ในการประกวดราคาใช้ระบบ Construction Sector Transparency Initiative (CoST) ในโครงการส่วนต่อขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ ๒ เพื่อการดำเนินงานที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน ๔. ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ กระทรวงคมนาคมได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี จำนวน ๑๔๔,๔๐๖ ล้านบาท แบ่งเป็นรายจ่ายประจำ ๓๖,๐๙๖.๕๑ ล้านบาท และรายจ่ายลงทุน ๑๐๘,๕๐๙.๔๙ ล้านบาท โดยผลการเบิกจ่ายภาพรวม ณ เดือนมีนาคม ๒๕๕๘ มีการเบิกจ่ายไปแล้ว ๕๘,๓๐๘.๔๔ ล้านบาท และก่อหนี้ผูกพัน ๖๓,๑๘๗ ล้านบาท ๕. การให้บริการยกระดับจัดระเบียบรถตู้โดยสารสาธารณะ รถแท็กซี่มิเตอร์ และรถจักรยานสาธารณะเพื่อความสะดวกปลอดภัยของผู้ใช้บริการ รวมทั้งสร้างการมีส่วนร่วมในการควบคุมการให้บริการของรถแท็กซี่ผ่านแอปพลิเคชัน DLT Check in และปรับปรุงเส้นทางเดินรถโดยสารประจำทางเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ นอกจากนี้มีการปรับปรุงห้องน้ำในสถานีขนส่งผู้โดยสารทั่วประเทศ และสถานีรถไฟหัวลำโพงให้ได้มาตรฐาน ถูกสุขลักษณะ และการส่งเสริมความปลอดภัยในการสัญจรทางน้ำ โดยจัดให้มีโครงการเสื้อชูชีพเก่าแลกใหม่ปลอดภัยได้มาตรฐาน ๖. ในการขับเคลื่อนกฎหมาย ได้สนับสนุนรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาเรือประมงที่ทำผิดกฎหมายทำให้เกิดการค้ามนุษย์ Illegal Unreported and Unregulated Fishing (IUU Fishing) และเร่งรัดการดำเนินงานด้านกฎหมาย ซึ่งมีกฎหมายที่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วจำนวน ๑๐ ฉบับ ๗. เชื่อมโยงโครงข่ายสู่สากลพัฒนาโครงข่ายถนนและการคมนาคมขนส่งให้ได้มาตรฐานรองรับพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ๕ แห่ง ปรับปรุงเส้นทางรถไฟช่วงชุมทางแก่งคอย-คลองสิบเก้า-สุดสะพานคลองลึก ระยะทาง ๑๗๔ กิโลเมตร ๘. ได้มีการลงนามบันทึกความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟระหว่างไทย-จีน พัฒนาเส้นทางรถไฟทางคู่ ๔ สายทาง ลงนามบันทึกแสดงเจตจำนงว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาระบบรางระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ลงนามความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางอากาศระหว่างอาเซียนและสาธารณรัฐประชาชนจีน ๙. ก่อตั้งท่าอากาศยานเพิ่มเติม ๑ แห่ง ที่อำเภอเบตง จังหวัดยะลา และพัฒนาท่าอากาศยานแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อเพิ่มศักยภาพการรองรับปริมาณผู้โดยสารจากปีละ ๘๐,๐๐๐ คน เป็นปีละ ๓๖๐,๐๐๐ คน ๑๐. เปิดทางลอดดาราสมุทร จังหวัดภูเก็ต บริเวณจุดตัดทางหลวงหมายเลข ๔๐๒ กับทางหลวงหมายเลข ๔๐๒๐ เพื่อบรรเทาปัญหาจราจร รองรับปริมาณรถยนต์ในช่วงเทศกาล และเปิดถนนเลี่ยงเมืองสันป่าตอง-หางดง ตอนที่ ๒ อำเภอสันป่าตอง อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมทางจักรยาน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่การเดินทางในท้องถิ่น รวมทั้งเร่งดำเนินการแก้ปัญหาจราจรในเขตกรุงเทพบริเวณจุดวิกฤติ เช่น ถนนวิภาวดีรังสิต และเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางด้วยการปรับปรุงท่าเทียบเรือโดยสารในบริเวณฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ๑๗ ท่า ซึ่งจะเริ่มดำเนินการทันทีในปีนี้ ๓ ท่า ๑๑. ขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางอีก ๖ เดือน ๑๒. ลงนามร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรื่องการป้องกันและลดความเสี่ยงอันตรายต่อการบินและอากาศยานจากการปล่อยโคมลอย โคมควัน และการจัดงานบั้งไฟ ๑๓. การดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล โดยได้มีการพัฒนาเส้นทางจักรยานที่ได้มาตรฐานทั้งในกรุงเทพมหานครและภูมิภาค การใช้ยางพาราเป็นส่วนประกอบในการทำถนนของหน่วยงานในสังกัด ปรับปรุงการให้บริการ Visa on Arrival ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เดินหน้าพัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูง ระยะแรก ๒ เส้นทาง คือ กรุงเทพ-หัวหิน และกรุงเทพ-พัทยา-ระยอง ส่งเสริมการท่องเที่ยวทางทะเลโดยพัฒนาศูนย์กลาง Marina ของอาเซียน และเร่งรัดการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของไทยในทุก ๆ ด้าน ด้วยความโปร่งใส ว่องไว ใส่ใจพัฒนา และจะยังคงมุ่งมั่นทำต่อไปเพื่อนำความสุขมาสู่ประชาชน
|
|||||||||||||||||||||||||||
23927 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านโทรคมนาคมและสารสนเทศ ครั้งที่ 10 | ทก | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านโทรคมนาคมและสารสนเทศ ครั้งที่ ๑๐ (10th APEC Telecommunications and Information Ministerial Meeting : APEC TELMIN 10) ระหว่างวันที่ ๓๐-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของคณะทำงานเอเปคด้านโทรคมนาคมและสารสนเทศ รวมทั้งการนำเสนอวิสัยทัศน์ของรัฐมนตรีเอเปคที่เข้าร่วมการประชุม โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้นำเสนอแนวนโยบายที่สำคัญของประเทศไทย คือ นโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งมีเป้าหมายในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ปรับปรุงระบบธรรมาภิบาล และลดความเหลื่อมล้ำ ทั้งนี้ นโยบายดังกล่าวยังสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ด้านโทรคมนาคมและสารสนเทศของเอเปค ปี ๒๕๕๙ ถึง ๒๕๖๓ โดยเฉพาะยุทธศาสตร์เรื่องเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งประเทศไทยสนับสนุนความร่วมมือกับเขตเศรษฐกิจเอเปคในการแลกเปลี่ยนข้อมูลนโยบาย การกำกับดูแล และการพัฒนาด้านต่าง ๆ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของแผนยุทธศาสตร์ฯ และนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคต ๒. ที่ประชุมได้รับรอง “แผนยุทธศาสตร์ด้านโทรคมนาคมและสารสนเทศของเอเปค ปี ๒๕๕๙ ถึง ๒๕๖๓” (APEC Telecommunications and Information Working group Strategic Action Plan 2016-2020) โดยวัตถุประสงค์ของแผนยุทธศาสตร์ฯ คือ การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีอย่างครอบคลุมและการใช้ไอซีทีอย่างสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ ความเชื่อมโยง และกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบองค์รวม มีความเข้มแข็ง มั่นคง ปลอดภัยและยั่งยืน และมีการกำหนดวิสัยทัศน์ของแผนไว้ว่า ภายในปี ๒๕๖๓ เอเปคจะสร้างระบบนิเวศทางไอซีทีที่มีโครงสร้างพื้นฐานและโปรแกรมประยุกต์ด้านนวัตกรรมไอซีทีที่มีความปลอดภัย เชื่อถือได้ การให้บริการนวัตกรรมไอซีทีไร้พรมแดน การใช้ไอซีทีอย่างแพร่หลายในทุกสาขา การพัฒนาทักษะไอซีทีและความรู้ทางดิจิทัล ซึ่งจะสนับสนุนการสร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้หารือทวิภาคีกับ Mr. Yasuo Sakamoto รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกิจการภายในและการสื่อสารของญี่ปุ่น เกี่ยวกับการจัดทำบันทึกความเข้าใจความร่วมมือด้านไอซีทีระหว่างสองหน่วยงาน และความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ที่สำคัญ ได้แก่ ความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ เนื้อหาสาระทางดิจิทัล (Digital Content) การพัฒนาทรัพยากรบุคคลด้านไอซีที การใช้ไอซีทีกับภาคการศึกษาและด้านสาธารณสุข เป็นต้น รวมทั้งได้หารือทวิภาคีกับ Mr. Choi Jae-You รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ไอซีที และการวางแผนในอนาคตของสาธารณรัฐเกาหลี เกี่ยวกับการจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อหารือและสนับสนุนการจัดทำนโยบาย/แผนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย พร้อมทั้งได้เชิญชวนสาธารณรัฐเกาหลีเข้าร่วมงาน Bangkok ICT International EXPO 2015
|
|||||||||||||||||||||||||||
23928 | รายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการ ของผู้ตรวจราชการ ประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2557 (Annual Inspection Report : Fiscal Year 2014) ประเด็นนโยบายครัวไทยสู่ครัวโลก และการดำเนินการก่อนเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ปี 2558 | นร01 | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ (Annual Inspection Report : Fiscal Year 2014) ในประเด็นนโยบายครัวไทยสู่ครัวโลก และการดำเนินการก่อนเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ปี ๒๕๕๘ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ นโยบายครัวไทยสู่ครัวโลก ผลการติดตามแผนงาน/โครงการที่เสนอไว้ในแผนการตรวจราชการฯ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ของผู้ตรวจราชการกระทรวง จำนวน ๑๖ โครงการ พบว่า หน่วยงานระดับพื้นที่ส่วนใหญ่สามารถจัดการความเสี่ยงตามหลักธรรมาภิบาลของโครงการ ตามข้อเสนอแนะที่ผู้ตรวจราชการกระทรวงต่าง ๆ กำหนดไว้ได้อย่างครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ สำหรับผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีได้ตรวจติดตามการบูรณาการเชื่อมโยงแผนงานโครงการสำคัญ ระหว่างกระทรวง (Function) จังหวัด (Area) และท้องถิ่น (Local) และได้ให้ข้อเสนอแนะหน่วยรับผิดชอบในพื้นที่ประสานการดำเนินงานร่วมกันในการแก้ไขปัญหาอุปสรรค ทำให้เกิดความคุ้มค่า และนำไปสู่การขยายผลโครงการ การประหยัดงบประมาณ และประชาชนได้รับประโยชน์ในวงกว้าง ๑.๒ นโยบายการดำเนินการก่อนเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ปี ๒๕๕๘ คณะผู้ตรวจราชการได้กำหนดจุดเน้นการตรวจติดตาม รวม ๘ จุดเน้น โดยตรวจติดตาม ๕ จุดเน้น ในพื้นที่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ การท่องเที่ยวและบริการโลจิสติกส์ การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์และพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการ แรงงาน และสาธารณสุข ส่วนอีก ๓ จุดเน้น มอบหมายให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงที่เกี่ยวข้องตรวจติดตามเนื่องจากเป็นภารกิจที่เกี่ยวข้องโดยตรง คือ ภัยพิบัติหมอกควัน การศึกษา และพัฒนากฎหมาย โดยสรุปผลการตรวจติดตามและผลการดำเนินการ พบว่า ส่วนราชการต่าง ๆ ได้ดำเนินการในระดับหนึ่งแล้ว ๒. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดกรอบการติดตามประเมินผลการดำเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมายและแนวทางที่กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์ครัวไทยสู่ครัวโลก พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔ และควรให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์จากกลไกการดำเนินงานทั้งของภาครัฐและเอกชนที่มีอยู่ในปัจจุบันอย่างเต็มที่ รวมทั้งให้ความสำคัญเพิ่มเติมในเรื่องการให้ความรู้และข้อมูลเชิงลึกด้านเศรษฐกิจและข้อมูลที่เกี่ยวข้องจำเป็นในการใช้โอกาสจากอาเซียนของผู้ประกอบการและประชาชนในพื้นที่ นอกจากนี้ ควรสร้างความเข้มแข็งของภาคีเครือข่ายเฝ้าระวังตั้งแต่ระดับชุมชน ทั้งในเรื่องสาธารณสุข การเกิดไฟป่าและภัยพิบัติหมอกควัน รวมถึงปัญหาความมั่นคงในระดับพื้นที่ เพื่อเฝ้าระวังเหตุการณ์และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในชุมชนจากการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ในส่วนของการดำเนินการติดตามการขับเคลื่อนนโยบายครัวไทยสู่ครัวโลกในระยะต่อไป ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งรัดดำเนินการให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๘ [เรื่อง (ร่าง) ยุทธศาสตร์ครัวไทยสู่ครัวโลก พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔] ที่ได้เห็นชอบยุทธศาสตร์ครัวไทยสู่ครัวโลก พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔ แล้ว ต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
23929 | มาตรการในการกำกับดูแลการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ | นร09 | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบมาตรการในการกำกับดูแลการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ดังนี้ ๑.๑ คณะรัฐมนตรีอาจมีมติให้ทุกกระทรวงดำเนินการให้เจ้าหน้าที่ต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและกำหนดแนวทางในการใช้อำนาจดุลยพินิจโดยประกาศให้ประชาชนทราบ และหากเจ้าหน้าที่มิได้ดำเนินการใช้ดุลยพินิจตามแนวทางที่กำหนดไว้โดยไม่มีเหตุผลให้ถือเป็นความผิดทางวินัย ๑.๒ เมื่อมีมติคณะรัฐมนตรีแล้ว นายกรัฐมนตรีอาจใช้อำนาจตามมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ยับยั้งการปฏิบัติราชการใด ๆ ที่ขัดต่อมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว และมีอำนาจสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการปฏิบัติราชการของราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่น ๑.๓ ในกรณีที่เป็นเรื่องที่มีความสำคัญและจำเป็นจะต้องใช้อำนาจพิเศษเหนือกว่าอำนาจตามข้อ ๑.๑ และข้อ ๑.๒ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติอาจใช้อำนาจตามมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ กำหนดมาตรการในการกวดขันการบังคับใช้กฎหมาย การแก้ไขหรือยกเลิกการใช้อำนาจดุลยพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายได้ แต่วิธีการนี้จำเป็นจะต้องกำหนดรายละเอียดให้ชัดเจน และมีข้อจำกัดหรือมีความไม่เหมาะสมอยู่บ้าง กล่าวคือ เมื่อมีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติในกรณีนี้แล้ว คำสั่งดังกล่าวจะก่อให้เกิดภาระหน้าที่แก่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติในการบังคับการให้เป็นไปตามคำสั่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการสอดส่องดูแลหรือการแก้ไขการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อให้มีการปฏิบัติการตามคำสั่งนั้นได้อย่างทั่วถึง ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามแนวทางดังกล่าว โดยเลือกใช้มาตรการให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาและระยะเวลา
|
|||||||||||||||||||||||||||
23930 | การเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ (มติคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ครั้งที่ 7/2558) | นร05 | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ในคราวประชุม ครั้งที่ ๗/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้พิจารณาเรื่อง การเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ แล้ว ที่ประชุมเห็นว่า ในการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจมีเรื่องพิจารณาเกี่ยวกับประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้านแรงงานค่อนข้างมาก จึงเห็นชอบให้เชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจครั้งต่อ ๆ ไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
23931 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [มาตรการป้องกันการกำหนดราคาโอนระหว่างบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน นิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กัน (Transfer Pricing)] | กค | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [มาตรการป้องกันการกำหนดราคาโอนระหว่างบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์ (Transfer Pricing)] ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ในการพิจารณาราคาโอนระหว่างบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กัน โดยให้เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจในการปรับปรุงรายได้และรายจ่าย รวมทั้งกำหนดอายุความในการขอคืน และกำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันยื่นเอกสารแสดงความสัมพันธ์ระหว่างกันต่อเจ้าพนักงานประเมิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมสรรพากรเร่งออกกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้องกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์ รวมทั้งหลักการ วิธีการและเงื่อนไขในการคำนวณราคาตามวิธีการคำนวณราคาโอนขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD ที่กำหนดไว้ใน Transfer Pricing Guidelines for Multinational Enterprises and Tax Administrations เพื่อให้การใช้ดุลยพินิจของเจ้าพนักงานมีหลักเกณฑ์สากลรองรับอำนาจหน้าที่ที่เพิ่มขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
23932 | โครงการตามนโยบายรัฐบาลและแนวทางการดำเนินงาน (Road Map) ด้านข้าวของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (มติคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ครั้งที่ 7/2558) | กษ | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ในคราวประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อสังเกตตามประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจเกี่ยวกับการดำเนินโครงการตามนโยบายรัฐบาลและแนวทางการดำเนินงาน (Road Map) ด้านข้าว ให้เน้นการดำเนินโครงการในระยะสั้น ๑-๒ ปี ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมก่อนพิจารณาดำเนินการในระยะต่อไป โดยให้พิจารณาในประเด็นดังต่อไปนี้ ๑.๑ ในการดำเนินมาตรการลดต้นทุนปัจจัยการผลิต เช่น เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย เห็นควรให้มีการรวมกลุ่มของเกษตรกรแต่ละชนิดพันธุ์พืช โดยให้มีการขึ้นทะเบียนกลุ่มดังกล่าวด้วย เพื่อให้รัฐบาลสามารถอุดหนุนปัจจัยการผลิตที่มีคุณภาพและราคาประหยัดได้โดยตรงและเป็นธรรม ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ควรเร่งดำเนินการโดยประสานขอความร่วมมือภาคเอกชนในการสนับสนุนปัจจัยการผลิตให้แล้วเสร็จก่อนฤดูการผลิต ๑.๒ ในการสนับสนุนเครื่องจักร เครื่องมืออุปกรณ์ในการทำการเกษตร เช่น รถไถ รถเกี่ยว เพื่อการเพิ่มมูลค่าของผลผลิตในชุมชน มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานกระทรวงกลาโหมดำเนินการในพื้นที่ที่ไม่มีนิคมสหกรณ์ นอกจากนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดทำแผนพัฒนา ส่งเสริม และสนับสนุนสหกรณ์ให้มีความเข้มแข็ง สามารถเป็นกลไกในการขับเคลื่อนประเทศได้ ๑.๓ การให้สินเชื่อแก่สหกรณ์เพื่อรับซื้อข้าวในฤดูการผลิต มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการคลัง (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) ไปพิจารณากำหนดเป้าหมายในการรับซื้อให้ชัดเจน ๒. ในการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี ให้จัดทำแผนปฏิบัติการที่จะดำเนินการในช่วงระยะเวลา ๖ เดือน ๑ ปี และ ๒ ปี ประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ รวมทั้งแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณหรือแหล่งเงินอื่น ๆ ที่สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
23933 | ร่างพระราชบัญญัติพัฒนาระบบมาตรวิทยาแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | วท | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติพัฒนาระบบมาตรวิทยาแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมให้คณะกรรมการมาตรวิทยาแห่งชาติและสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติสามารถทำหน้าที่พัฒนาระบบมาตรวิทยาของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการกำหนดให้สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติสามารถใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อการบริหารงานบุคคลได้ทั้งการพัฒนากำลังคน การบริหารทรัพยากรบุคคล การจ่ายค่าตอบแทน เงินรางวัล เงินประจำตำแหน่ง สิทธิประโยชน์อื่น อาจจะกระทบต่อภาระงบประมาณในภาพรวม รวมทั้งมีความซ้ำซ้อน และไม่สอดคล้องกับการกำหนดให้จัดตั้งสถาบันเป็นหน่วยงานของรัฐที่สามารถได้รับการจัดสรรงบประมาณโดยตรงในฐานะหน่วยงานงบประมาณ ซึ่งหลักการจำแนกประเภทรายจ่ายตามวิธีการงบประมาณจะกำหนดจำนวนงบประมาณจำแนกตามประเภทที่ชัดเจน เช่น งบบุคลากร งบดำเนินงาน เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ทั้งนี้ ในการขอรับการจัดสรรงบประมาณ ให้สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณด้วย ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของระบบมาตรวิทยาให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคการผลิตและบริการ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่เป็นเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศ รวมทั้งการเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการด้านการสอบเทียบ การสร้างความเชื่อมั่น และการยอมรับในผลการสอบเทียบเครื่องมือวัดในประเทศ ตลอดจนการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการใช้เครื่องมือวัดที่มีความถูกต้องแม่นยำในการผลิตและการควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์ โดยบูรณาการทำงานร่วมกันกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการ |
|||||||||||||||||||||||||||
23934 | การกำหนดกรอบงบประมาณให้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้เร่งด่วนให้เกษตรกร (การเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขอความเห็นชอบในหลักการกำหนดกรอบงบประมาณให้ กฟก. จัดทำแผนเพื่อขออนุมัติใช้งบประมาณ 3,000 ล้านบาท เมื่อมีการแต่งตั้งคณะกรรมการ กฟก. แล้วเสร็จเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้เร่งด่วนให้แก่เกษตรกร) (มติคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ครั้งที่ 7/2558) | นร | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ในคราวประชุม ครั้งที่ ๗/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ ได้พิจารณาเรื่อง การกำหนดกรอบงบประมาณให้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้เร่งด่วนให้เกษตรกร แล้ว มีมติมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) ในฐานะประธานกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร เร่งรัดการจัดการเลือกตั้งคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๘ โดยให้นำความเห็นของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเกี่ยวกับการนำงบประมาณคงเหลือจากโครงการปรับโครงสร้างหนี้และฟื้นฟูอาชีพเกษตรกรส่งคลัง และเร่งดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้แล้วรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป มาประกอบการดำเนินการ และให้รายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
23935 | มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคให้แก่กองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ | กค | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคให้แก่กองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ และอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นเงินได้ให้แก่บุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่กองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวกับมาตรการทางภาษีดังกล่าว ให้หักลดหย่อนภาษีเท่าจำนวนที่บริจาค หากกระทรวงการคลังพิจารณาว่าไม่กระทบต่อรายได้การจัดเก็บภาษีมากนัก คณะรัฐมนตรีอาจพิจารณาให้สามารถลดหย่อนภาษีได้สองเท่าของจำนวนที่บริจาคเช่นเดียวกับกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการที่ปัจจุบันสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้สองเท่าของที่มีการจ่ายจริง ไปพิจารณา หากเห็นควรดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการ ให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||
23936 | การกำหนดให้วันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จประปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร เป็นวันรัฐพิธี | นร | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรมรับไปพิจารณาร่วมกับสำนักพระราชวัง สำนักราชเลขาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการกำหนดให้วันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร เป็นวันรัฐพิธี แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในวันอังคารที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘
|
|||||||||||||||||||||||||||
23937 | โครงการสวัสดิการเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยของข้าราชการ | กค | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ยกเลิกโครงการสวัสดิการเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยของข้าราชการ และให้นำเงินงบประมาณในโครงการสวัสดิการเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยของข้าราชการที่กรมบัญชีกลางฝากอยู่ที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์พร้อมดอกเบี้ย (ณ วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เป็นจำนวน ๘,๕๙๑.๕๖ ล้านบาท) ส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกายกเลิกพระราชกฤษฎีกาสวัสดิการเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย พ.ศ. ๒๕๓๕ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกพระราชกฤษฎีกาสวัสดิการเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย พ.ศ. ๒๕๓๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาการคืนเงินของธนาคารอาคารสงเคราะห์ ควรจะต้องคำนึงถึงเรื่องเวลาที่เหมาะสมกับสภาวการณ์ทางการคลัง และปฏิทินงบประมาณ เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อการงบประมาณและการคลังของประเทศที่จะนำเงินดังกล่าวไปใช้ในการพัฒนาประเทศโดยผ่านกลไกของงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
23938 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - ฝรั่งเศส | คค | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-ฝรั่งเศส และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของไทยและฝรั่งเศส มีสาระสำคัญในด้านความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศที่ได้ตกลงปรับปรุงข้อบทในความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ได้แก่ การแต่งตั้งสายการบินที่กำหนด การออกใบอนุญาตประกอบการ และการเพิกถอนใบอนุญาต รวมทั้งพิกัดอัตราค่าขนส่ง การบริการภาคพื้น การรักษาความปลอดภัยการบิน และความปลอดภัยการบิน ใบพิกัดเส้นทางบิน สิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๕ และข้อบทการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน ซึ่งผลการเจรจาการบินระหว่างไทย-ฝรั่งเศสในครั้งนี้จะทำให้สายการบินของทั้งสองฝ่ายมีความยืดหยุ่นในการวางแผนการให้บริการ และเปิดโอกาสให้สามารถขยายบริการไปยังจุดต่าง ๆ ได้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมการเดินทางระหว่างสองประเทศและเครือข่ายการบินให้ขยายตัวมากขึ้น ๒. มอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจดังกล่าวต่อไป โดยให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ
|
|||||||||||||||||||||||||||
23939 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงพลังงานแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงานและร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงไฟฟ้าแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้า | พน | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจ จำนวน ๒ ฉบับ ได้แก่ ๑.๑.๑ ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงพลังงานแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงาน (Memorandum of Understanding between the Ministry of Energy of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Energy of the Republic of the Union of Myanmar on Energy Cooperation) ๑.๑.๒ ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงไฟฟ้าแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้า (Memorandum of Understanding between the Ministry of Energy of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Electric Power of the Republic of the Union of Myanmar on Electric Power Cooperation) ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้กระทรวงพลังงานหารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นควรปรับแก้วรรคสุดท้ายก่อนช่องลงนามเป็น “...in the English Language” ไปประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
23940 | การดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีในการสนับสนุนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง | นร11 | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมา (Joint High-level Committee : JHC) เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ ๓ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๘ ณ กรุงย่างกุ้ง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยสาระสำคัญของการประชุมฯ ได้แก่ การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่เมียนมาสำหรับโครงการถนนสองช่องทางเชื่อมโยงเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายสู่ชายแดนไทย-เมียนมา การแลกเปลี่ยนเงินบาทไทย-เงินจ๊าคเมียนมา ในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง การหารือระหว่างกลุ่มกิจการร่วมค้าที่ยื่นข้อเสนอเพื่อขอรับสัมปทานเป็นผู้พัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายระยะแรก และกลุ่มบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เกี่ยวกับโครงการท่าเรือ LNG (LNG Terminal) การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการร่วมฯ ชุดต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการขับเคลื่อนโครงการทวาย และการจัดประชุมคณะกรรมการ JHC ครั้งที่ ๔ และการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมา เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง (Joint Coordinating Committee : JCC) ครั้งที่ ๖ ณ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) ประธานกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมา เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้องเสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการของแนวทางการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่เมียนมาสำหรับโครงการถนนสองช่องทางเชื่อมโยงเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายสู่ชายแดนไทย-เมียนมา ในกรอบวงเงินกู้ ๔,๕๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ เงื่อนไขการกู้ การผ่อนชำระ และอัตราดอกเบี้ย ให้เป็นไปตามผลการเจรจาร่วมกันของทั้ง ๒ ฝ่าย และมอบหมายสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่เมียนมาสำหรับโครงการถนนดังกล่าว ๓. สำหรับงบประมาณในการดำเนินการ วงเงิน ๔,๕๐๐ ล้านบาท ให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) จัดทำรายละเอียดเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติตามขั้นตอนในโอกาสต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๔. ให้กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ที่เห็นควรพิจารณาดำเนินการ (๑) ประสานงานกับฝ่ายเมียนมาเพื่อจัดทำการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย (๒) สร้างความเข้าใจกับทุกฝ่ายของไทยถึงผลประโยชน์ของโครงการต่อไทยในภาพรวม และ (๓) เร่งรัดหารือกับฝ่ายเมียนมาให้ได้ข้อสรุปภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่เมียนมาสำหรับโครงการถนนดังกล่าวควรคิดดอกเบี้ยในอัตราที่เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
.....