ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1199 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 23961 - 23980 จากข้อมูลทั้งหมด 124231 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
23961 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก ครั้งที่ 1/2558 | นร11 | 02/06/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๘ รวมทั้งผลการพิจารณาและมติของ กพอ. และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้บรรลุเป้าหมาย ตามที่ กพอ. เสนอ สรุปได้ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการเร่งด่วนภายใต้แผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร ( ฉบับปรับปรุง) ที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินโครงการโดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๓๖๘.๘๖ ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการก่อสร้างศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยรวมแบบครบวงจร จังหวัดระยอง (ระยะที่ ๒) ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง วงเงิน ๓๒๒.๓๐ ล้านบาท และโครงการศูนย์บัญชาการตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉินและกระจายข่าวของประเทศเมืองมาบตาพุด วงเงิน ๔๖.๕๖ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งในพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก จำนวน ๙๑ โครงการ วงเงินรวม ๑๐๙,๙๑๓.๘๑ ล้านบาท ประกอบด้วย การพัฒนาการขนส่งทางน้ำ ๑๘ โครงการ การพัฒนาระบบราง ๘ โครงการ และการพัฒนาโครงข่ายถนน ๖๕ โครงการ ๑.๓ เห็นชอบให้กรมทางหลวงดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข ๗ ช่วงพัทยา-มาบตาพุด โดยให้ใช้จ่ายจากเงินทุนค่าธรรมเนียมผ่านทาง วงเงิน ๑๔,๒๐๐ ล้านบาท ๑.๔ รับทราบ (๑) การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการติดตามการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่มาบตาพุดและบริเวณใกล้เคียง (๒) ความก้าวหน้าการดำเนินงานตามมติคณะกรรมการ กพอ. ครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ (๓) สถานการณ์น้ำในพื้นที่จังหวัดระยองและชลบุรี (๔) ข้อร้องเรียนกรณีการถมทะเลของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (๕) รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจร (ฉบับคณะรัฐมนตรีอนุมัติเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕) (๖) สถานการณ์ปัญหามลพิษในพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก และ (๗) ความก้าวหน้าการปรับปรุงผังเมืองรวมบริเวณอุตสาหกรรมหลักและชุมชนจังหวัดระยอง (ผังเมืองรวมมาบตาพุด) ๒. ให้ กพอ. รับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการระยะเร่งด่วนภายใต้แผนการแก้ไขปัญหามาบตาพุดอย่างครบวงจรที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินโครงการจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๘ โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๓๖๘.๘๖ ล้านบาท ให้ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
23962 | การแก้ไขความตกลงว่าด้วยการข้ามแดนระหว่างรัฐ | กต | 02/06/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบข้อเสนอขอปรับปรุง/เพิ่มเติมความตกลงข้ามแดนระหว่างรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๐ ซึ่งประกอบด้วย (๑) ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสัญจรข้ามแดนระหว่างประเทศทั้งสอง (๒) ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหภาพพม่าว่าด้วยการข้ามแดนระหว่างทั้งสองประเทศ และ (๓) ความตกลงว่าด้วยการเดินทางข้ามแดนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยแก้ไขใน ๓ ประเด็นหลัก ได้แก่ การเพิ่มวัตถุประสงค์การข้ามแดน ขอบเขตพื้นที่ที่อนุญาต และระยะเวลาที่อนุญาตให้พำนัก ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ลาว และกัมพูชา ที่เข้ามาทำงานในลักษณะไป-กลับ หรือตามฤดูกาล ทุกราย ต้องมีการตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง โดยสถานบริการของรัฐ และควรซื้อประกันสุขภาพรายปี เพื่อให้แรงงานสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพและเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายในการให้บริการของหน่วยบริการสุขภาพของไทย ส่วนการอนุญาตให้พำนักอยู่ในพื้นที่ชายแดนตามขอบเขตที่กำหนดไว้ของภาคีได้ไม่เกินครั้งละ ๓๐ วัน ควรครอบคลุมถึงแรงงานชั่วคราวด้วย นอกจากนี้ จังหวัดชายแดนที่เป็นที่ตั้งของเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ควรมีการจัดตั้งกลไกในการกำกับดูแลผลกระทบด้านความมั่นคง ทั้งการเฝ้าระวัง การแจ้งเตือน รวมทั้งมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
23963 | รายงานผลการเข้าร่วมการประชุมเรื่องน้ำโลก ครั้งที่ 7 (The 7th World Water Forum) | ทส | 02/06/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเข้าร่วมการประชุมเรื่องน้ำโลก ครั้งที่ ๗ (The 7th World Water Forum) ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในระหว่างวันที่ ๑๑-๑๕ เมษายน ๒๕๕๘ ณ เมืองแทกู จังหวัดคยองบุก สาธารณรัฐเกาหลี ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมเรื่องน้ำโลก ครั้งที่ ๗ (The 7th World Water Forum) จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “น้ำเพื่ออนาคตของเรา” (Water for our Future) มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอกลไกและเครื่องมือในการดำเนินงานเชิงรุกที่มีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ โดยในการประชุมดังกล่าวมีการประชุมระดับรัฐมนตรี (Ministerial Conference) ในวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๕๘ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้เป็นผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมแสดงความคิดเห็น โดยได้กล่าวเน้นย้ำถึงนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ว่า “การป้องกันภัยพิบัติเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากที่สุด” และได้นำเสนอยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศไทยซึ่งกำลังจะมีพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำมากำกับดูแลและแก้ไขปัญหาด้านน้ำของประเทศใน ๓ มิติ คือ อุทกภัย ภัยแล้ง และคุณภาพน้ำ อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยต้องบูรณาการร่วมกับแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และแผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งได้ยกตัวอย่างโครงการตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เช่น โครงการแก้มลิง โครงการสร้างฝายแม้ว การใช้ไม้ไผ่เป็นแนวกันชนเพื่อชะลอคลื่น ป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง และเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลน ตลอดจนการสร้างจิตสำนึกและการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ โดยเป็นการใช้ธรรมชาติควบคุมธรรมชาติ เพื่อให้มนุษย์ได้รับประโยชน์จากธรรมชาติอย่างยั่งยืน ซึ่งที่ประชุมได้ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้เข้าร่วมรับรองปฏิญญารัฐมนตรี (Ministerial Declaration) ซึ่งเป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุม ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้หารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมของสาธารณรัฐเกาหลี ในประเด็นเรื่องการบริหารจัดการขยะ ซึ่งเกาหลียินดีให้การสนับสนุนด้านองค์ความรู้และเทคโนโลยี พร้อมทั้งเชิญชวนให้รัฐบาลไทยและข้าราชการที่เกี่ยวข้องเข้ามาศึกษาดูงานและฝึกอบรมด้านการบริหารจัดการขยะในเกาหลีด้วย ๓. การประชุมเรื่องน้ำโลก ครั้งที่ ๘ (The 8th World Water Forum) กำหนดจะจัดขึ้น ณ กรุงบราซิเลีย สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ในปี ๒๐๑๘
|
|||||||||||||||||||||
23964 | ความคืบหน้าการเตรียมความพร้อมประเทศไทยในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน | กต | 02/06/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความคืบหน้าการเตรียมความพร้อมประเทศไทยในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องนำแนวทาง/ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีไปปฏิบัติและติดตามความคืบหน้าต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ โดยแนวทาง/ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวม การดำเนินการของทั้งสามเสาประกอบด้วย เสาการเมืองและความมั่นคง เสาเศรษฐกิจ และเสาสังคมและวัฒนธรรม ควรมีการบูรณาการอย่างมีประสิทธิภาพ โดยควรมีการตั้งเป้าหมาย/วิสัยทัศน์ล่วงหน้า ๑๐ ปี โดยมีการวางแผนระยะ ๕ ปี และ ๑๐ ปี โดยอาจให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานผลการดำเนินงานรายไตรมาส นอกจากนี้ ส่วนราชการควรคำนึงถึงการผลักดันประเด็นสำคัญต่าง ๆ ในกรอบอาเซียนด้วย และดำเนินการโดยคำนึงถึงประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างเป็นรูปธรรม สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับประชาคมอาเซียนอย่างรอบด้าน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการบูรณาการและมีการดำเนินงานในลักษณะครบวงจร โดยมีการกำหนดเจ้าภาพหลัก หน่วยงานรอง หน่วยงานเสริม ที่ชัดเจน มีการวิเคราะห์ วิกฤต โอกาส ความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบของไทยและอาเซียน ๒. เสาการเมืองและความมั่นคง การบริหารจัดการชายแดนและจุดผ่านแดน หน่วยงานต่าง ๆ จะต้องดำเนินงานอย่างบูรณาการ และอาจพิจารณาให้ศูนย์อาเซียนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีภารกิจครอบคลุมประเด็นอาชญากรรมข้ามชาติ การค้ามนุษย์ และอื่น ๆ เพิ่มเติม รวมทั้งให้มีการบูรณาการการทำงานระหว่างกระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน และกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับปัญหาแรงงานต่างด้าว โดยให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในเรื่องดังกล่าว นอกจากนี้ อาจพิจารณาแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่ไทยต้องรับภาระในเรื่องการให้การศึกษาและการรักษาพยาบาลแก่แรงงานต่างชาติบริเวณชายแดน ๓. เสาเศรษฐกิจ เห็นชอบให้ผลักดันประเด็น “ASEAN Access” เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๗ ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘ และผลักดันประเด็นต่าง ๆ ในกรอบอาเซียนอย่างต่อเนื่อง เช่น การให้ความสำคัญกับภาคเกษตร การพัฒนาตราสินค้าอาเซียน การส่งเสริม SMEs การส่งเสริมความเชื่อมโยงในทุกมิติ การให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งน้ำสะอาด การแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า นอกจากนี้ ควรสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาร่วมกันในอาเซียน และการสร้างเครือข่ายของภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อให้มีการดำเนินงานอย่างเป็นหุ้นส่วนกันและไม่แข่งขันกันเอง โดยเฉพาะผลผลิตด้านการเกษตร อาทิ ข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน รวมทั้งเร่งรัดกระบวนการตรวจสอบ/รับรองมาตรฐานสินค้าไทยให้สามารถส่งไปขายยังต่างประเทศได้ ๔. เสาสังคมและวัฒนธรรม ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแก้ไขปัญหาราคายาและค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้นมาก ซึ่งทำให้ประเทศไทยสูญเสียการเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์ โดยอาจพิจารณาหาแนวทางในการควบคุมและมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาที่ชัดเจน ๕. ด้านกฎหมาย ให้มีการเร่งรัดจัดทำข้อมูลกฎหมายที่ต้องดำเนินการตามพันธกรณีและเพื่อเตรียมความพร้อมของประเทศไทย โดยให้ฝ่ายเลขานุการของคณะอนุกรรมการฯ ทั้งสามเสาติดตามข้อมูลกฎหมายจากหน่วยงานต่าง ๆ จัดส่งให้คณะทำงานด้านกฎหมายเพื่อการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนต่อไป และให้รัฐมนตรีว่าการทุกกระทรวงแจ้งยืนยันข้อมูลกฎหมายของหน่วยงานของตนไปยังคณะทำงานฯ ด้วย ๖. ด้านประชาสัมพันธ์ ควรมีโครงสร้างการประชาสัมพันธ์ที่เน้น ๓ ประเด็น ได้แก่ การสร้างความรับรู้ของประชาชนเกี่ยวกับประชาคมอาเซียน ผลกระทบจากการเข้าสู่ประชาคมที่ควรเตรียมพร้อมรับมือและโอกาสที่ประชาชนจะได้รับจากอาเซียน และควรสร้างความเข้าใจของประชาชนเกี่ยวกับประเทศไทยกับอาเซียน และอาเซียนในบริบทของประชาคมโลก |
|||||||||||||||||||||
23965 | ผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 26 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | กต | 02/06/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๖ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒๖-๒๗ เมษายน ๒๕๕๘ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์และลังกาวี ประเทศมาเลเซีย และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลการประชุมดังกล่าวไปปฏิบัติและติดตามความคืบหน้าต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๖ ได้แก่ การสร้างประชาคมอาเซียนและจัดทำวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียนภายหลังปี ๒๕๕๘ การส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและสังคม การส่งเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคง การปรับเขตเวลาเมืองหลวงอาเซียนให้ตรงกัน ความเป็นแกนกลางของอาเซียน สถานการณ์ทะเลจีนใต้ การรับมือกับแนวคิดสุดโต่งรุนแรง การเสริมสร้างประสิทธิภาพของอาเซียน การจัดตั้งกลไกการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านยาเสพติดอย่างเป็นทางการ และความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา ๒. การประชุมระหว่างผู้นำอาเซียนกับผู้แทนสมัชชารัฐสภาอาเซียน ได้แก่ การสร้างประชาคมอาเซียน โดยการสนับสนุนให้สมัชชารัฐสภาอาเซียนมีส่วนร่วมในการสร้างประชาคมอาเซียนและจัดทำวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียนภายหลังปี ๒๕๕๘ การเร่งยกร่างและปรับปรุงแก้ไขกฎหมายในที่สำคัญเพื่อให้ความตกลงต่าง ๆ ในกรอบอาเซียนมีผลบังคับใช้อย่างรวดเร็วและทันการณ์ รวมทั้งการสนับสนุนให้มีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ ๓. การประชุมระหว่างผู้นำอาเซียนกับผู้แทนสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน ได้แก่ การจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน การจัดทำวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน การสร้างประชาคมอาเซียนที่เอื้ออาทร และการส่งเสริมภาคการเกษตร ๔. การประชุมระหว่างผู้นำอาเซียนกับผู้แทนองค์การภาคประชาสังคม ได้แก่ การประสานงานระหว่างภาครัฐและภาคประชาสังคมเพื่อผลักดันประเด็นที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเฉพาะการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐาน การสร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มด้อยโอกาสในสังคม และการแสวงหากลไกที่จะช่วยคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของแรงงานข้ามชาติ |
|||||||||||||||||||||
23966 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การคลังสินค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พณ | 02/06/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การคลังสินค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขบทบัญญัติเกี่ยวกับสถานที่ตั้งขององค์การคลังสินค้าให้เป็นปัจจุบัน และแก้ไขบทบัญญัติเกี่ยวกับการแต่งตั้งผู้รักษาการแทนในตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
23967 | แต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) (นายอนุสันต์ เทียนทอง) | พม | 02/06/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายอนุสันต์ เทียนทอง ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||
23968 | ขออนุมัติแต่งตั้งข้าราชการ (กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร) (นางทรงพร โกมลสุรเดช) | ทก | 02/06/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางทรงพร โกมลสุรเดช ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่จะว่าง เนื่องจากผู้ดำรงตำแหน่งเดิมได้รับแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งอื่น ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
23969 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพาณิชย์) (นายสมเกียรติ ตรีรัตนพันธ์) | พณ | 02/06/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายสมเกียรติ ตรีรัตนพันธ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๗ เป็นต้นไป ซึ่งเป็นวันที่ อ.ก.พ. กระทรวงพาณิชย์ ได้มีมติอนุมัติกำหนดตำแหน่งดังกล่าว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||
23970 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาที่ดิน (จำนวน 5 คน 1. ศาสตราจารย์ศุภมาศ พนิชศักดิ์พัฒนา ฯลฯ) | กษ | 02/06/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาที่ดิน จำนวน ๕ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒ มิถุนายน ๒๕๕๘) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
๑. ศาสตราจารย์ศุภมาศ พนิชศักดิ์พัฒนา ๒. นายสิทธิพงษ์ ดิลกวณิช ๓. นายโสภณ ชมชาญ ๔. นายวุฒิชาติ สิริช่วยชู ๕. นางสาวณัฐภัทร ถวัลยโพธิ
|
|||||||||||||||||||||
23971 | ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ครั้งที่ 21 | พณ | 02/06/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค (Meeting of Ministers Responsible for Trade : MRT) ครั้งที่ ๒๑ ระหว่างวันที่ ๒๓-๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ณ เกาะโบราไคย์ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ รวมทั้งผลการหารือทวิภาคี และการดำเนินการต่อเนื่องจากการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคปี ๒๐๑๕ และมอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามสรุปประเด็นสำคัญในส่วนที่เกี่ยวกับการค้าและการลงทุน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ การสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคี ได้แก่ การเฝ้าระวังมาตรการกีดกันทางการค้าใหม่ ๆ ของสมาชิกเอเปค/การไม่นำมาตรการกีดกันทางการค้าใหม่ ๆ มาใช้ การดำเนินการภายในประเทศเพื่อให้สัตยาบันความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกทางการค้า การจัดทำมาตรการถาวรเรื่องการคงคลังสินค้าของรัฐบาลเพื่อความมั่นคงทางอาหาร การจัดทำแผนงานเจรจาหลังบาหลี การดำเนินการภายในประเทศเพื่อให้การยอมรับพิธีสารแก้ไขความตกลงทริปส์ตามหลักการของย่อหน้าที่ ๖ แห่งปฏิญญาโดฮาว่าด้วยความตกลงทริปส์และการสาธารณสุข การแจ้งผลการเจรจาความตกลงการค้าระดับภูมิภาคต่อกลไกความโปร่งใสภายใต้องค์การการค้าโลก การเจรจาขยายขอบเขตความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ และการหารือเรื่องความตกลงสินค้าสิ่งแวดล้อมภายใต้องค์การการค้าโลก ๑.๒ การก้าวสู่การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ได้แก่ การทบทวนครั้งที่ ๒ ในปี ๒๐๑๖ เกี่ยวกับความคืบหน้าของเศรษฐกิจในการมุ่งสู่การเปิดเสรีการค้าและการลงทุนภายใต้เป้าหมายโบกอร์ในปี ๒๐๒๐ การศึกษารายการสินค้าที่สนับสนุนการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน ทั่วถึง พัฒนาชนบท และบรรเทาความยากจน การศึกษาเชิงยุทธศาสตร์ร่วมกันในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเจรจาจัดทำเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก การลดภาษีสินค้าสิ่งแวดล้อมเอเปค จำนวน ๕๔ รายการ ให้เหลือร้อยละ ๐-๕ ภายในปี ๒๐๑๕ การลดอุปสรรคของความเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานให้ได้ร้อยละ ๑๐ ภายในปี ๒๐๑๕ การสร้างคลังข้อมูลการค้าเอเปค การพัฒนาและการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน การจัดทำแผนปฏิบัติด้านบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตในห่วงโซ่อุปทาน/ห่วงโซ่คุณค่าโลก การจัดทำกรอบความร่วมมือด้านบริการของเอเปค และการปฏิบัติตามแผนปฏิบัติด้านการอำนวยความสะดวกด้านการลงทุน เป็นต้น ๑.๓ การบ่มเพาะการมีส่วนร่วมของวิสาหกิจขนาดย่อมและขนาดกลางในเศรษฐกิจภูมิภาคและเศรษฐกิจโลก ได้แก่ การปฏิบัติตามแผนปฏิบัติโบราไคย์เพื่อนำวิสาหกิจรายย่อย ขนาดย่อมและขนาดกลางเข้ามามีส่วนร่วมในตลาดโลก การดำเนินงานตามพิมพ์เขียวเชิงกลยุทธ์เพื่อส่งเสริมการพัฒนาและความร่วมมือด้านห่วงโซ่คุณค่าโลก รวมทั้งความร่วมมือในด้านการศึกษาชั้นสูงเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การจัดทำข้อมูลตลาดแรงงาน การให้ทุนการศึกษาและการฝึกหัดงาน การมีส่วนร่วมของผู้หญิงในระบบเศรษฐกิจ ๑.๔ การสร้างชุมชนที่ยั่งยืนและเข้มแข็ง ได้แก่ ยุทธศาสตร์การเจริญเติบโตรูปแบบใหม่ของเอเปค ซึ่งเน้นการเจริญเติบโตที่มีคุณภาพใน ๕ ลักษณะ ได้แก่ สมดุล ครอบคลุม ยั่งยืน/เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีนวัตกรรม และมั่นคง การฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็วในภาวะเกิดภัยพิบัติ การปฏิรูปการอุดหนุนเชื้อเพลิงฟอสซิล การพัฒนาเมือง และการต่อต้านการก่อการร้ายเพื่อการค้าที่มั่นคง ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า การดำเนินการต่อเนื่องจากการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคมีประเด็นที่หลากหลายและมีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานที่ต้องรับผิดชอบจำนวนมาก กระทรวงพาณิชย์จึงควรจัดประชุมชี้แจงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะหน่วยงานหลักในแต่ละประเด็น ทั้งในเรื่องขอบข่ายภารกิจ การกำหนดท่าทีและเป้าหมายของประเทศไทย ตลอดจนกรอบเวลาที่ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จของแต่ละประเด็น เพื่อให้ประเทศไทยมีท่าทีที่ชัดเจนและสามารถดำเนินการตามกรอบความร่วมมือเอเปคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
23972 | รายงานสถานภาพ ภาพรวมด้านงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | นร | 02/06/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานสถานภาพ ภาพรวมด้านงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗-๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๘ มีการเบิกจ่ายเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจทั้งสิ้น ๒,๑๓๓,๑๖๑ ล้านบาท (รวมเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจและเงินทุนหมุนเวียนที่ไม่ได้เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณ) เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๘ จำนวน ๙๕,๒๘๑ ล้านบาท ตามที่สำนักงบประมาณและกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) เสนอ ๒. เห็นชอบแนวทางการใช้จ่ายงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ดังนี้ ๒.๑ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับดูแลให้หัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่น และผู้ว่าราชการจังหวัดเร่งรัดการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ๒.๒ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่น และผู้ว่าราชการจังหวัดรวบรวมโครงการ/รายการที่ไม่สามารถเริ่มดำเนินการหรือก่อหนี้ได้ทันภายในระยะเวลาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ (เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพิ่มเติม) และวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๘ (เรื่อง รายงานสถานภาพ ภาพรวมด้านงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘) นำเสนอรัฐมนตรีที่รับผิดชอบและกำกับดูแลการปฏิบัติราชการพิจารณาเหตุผลความจำเป็นในการดำเนินการต่อหรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณไปดำเนินการโครงการ/รายการอื่นที่มีความพร้อมภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๘ และเสนอต่อคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเพื่อรวบรวมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ ยกเว้นการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณไปสมทบโครงการ/รายการเดิม และจ่ายเป็นค่างานตามสัญญาที่ดำเนินการได้เร็วกว่าแผนฯ แต่ได้รับจัดสรรงบประมาณไม่เพียงพอ ให้ดำเนินการได้ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๒.๓ กรณีดำเนินการตามวัตถุประสงค์แล้วและมีงบประมาณเหลือจ่าย ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เสนอรัฐมนตรีที่รับผิดชอบและกำกับดูแลการปฏิบัติราชการพิจารณาให้ความเห็นชอบการใช้งบประมาณเหลือจ่ายดังกล่าว โดยเมื่อได้รับความเห็นชอบแล้ว ให้ดำเนินการตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และรายงานให้สำนักงบประมาณทราบด้วย ๒.๔ กรณีปรับแผนตามข้อ ๒.๒ และกรณีการใช้งบประมาณเหลือจ่ายตามข้อ ๒.๓ จะต้องดำเนินการตามหลักการของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๒.๕ ในการดำเนินการตามข้อ ๒.๒ และ ๒.๓ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นจะต้องมีความพร้อมที่จะดำเนินการสามารถก่อหนี้ผูกพันได้ภายในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘ หากไม่สามารถดำเนินการได้ทันจะไม่ได้รับอนุมัติการขยายการก่อหนี้ผูกพันต่อไปอีก
|
|||||||||||||||||||||
23973 | การประชุมระดับรัฐมนตรีเวทีหารือเพื่อการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ ครั้งที่ 7 (7th Economic Corridor Forum) ภายใต้แผนงานความร่วมมือ ทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ (GMS) และร่างแถลงการณ์ ร่วมระดับรัฐมนตรีเวทีหารือเพื่อการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ ครั้งที่ 7 (Joint Ministerial Statement) | นร11 | 02/06/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แต่งตั้งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมและเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ) เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนเจ้าหน้าที่ไทยและปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีประจำเวทีหารือเพื่อการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ ภายใต้แผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (GMS) ในการประชุมระดับรัฐมนตรีเวทีหารือเพื่อการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๗ (7th Economic Corridor Forum) ในระหว่างวันที่ ๑๐-๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๘ ณ นครคุนหมิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ๑.๒ แถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรีเวทีหารือเพื่อการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๗ (Joint Ministerial Statement) เพื่อให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมและเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ) ร่วมกับรัฐมนตรีของประเทศลุ่มแม่น้ำโขงให้การรับรองแถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรีฯ ดังกล่าว โดยไม่มีการลงนามในการประชุมระดับรัฐมนตรีเวทีหารือเพื่อการพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๗ ในวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๘ ๑.๓ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติสามารถปรับปรุงถ้อยคำในแถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรีฯ ได้ในกรณีที่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญในการหารือในการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ในวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบอีกครั้ง ๒. ให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ) รับไปเจรจากับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาเกี่ยวกับกรณีแนวทางการใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำของประเทศเพื่อนบ้าน เช่น แม่น้ำสาละวิน แม่น้ำโขง เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรต่อไป โดยในกรณีสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาให้นำเรื่องเงินช่วยเหลือแบบให้เปล่า ๑,๐๐๐ ล้านบาท ของโครงการก่อสร้างทางเลี่ยงเมืองแม่สอดพร้อมสะพานข้ามแม่น้ำเมย แห่งที่ ๒ ของกรมทางหลวง เป็นข้อมูลในการเจรจาด้วย
|
|||||||||||||||||||||
23974 | การรายงานรายการรายจ่ายลงทุนที่มีงบประมาณตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป ของปีงบประมาณ 2558 | สลธ.คสช. | 02/06/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการรายงานรายการรายจ่ายลงทุนที่มีงบประมาณตั้งแต่ ๕๐ ล้านบาทขึ้นไป ของปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ตามที่คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเสนอ ๒. ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเร่งรัดการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุน ปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ทั้งรายการที่ทำสัญญา/เบิกจ่ายจริงแล้ว และรายการที่ยังไม่ได้ทำสัญญา/เบิกจ่าย ซึ่งเหลือระยะเวลาในการดำเนินการเพียง ๔ เดือน ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||
23975 | การจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ ณ บริเวณพื้นที่ของกองทัพบก ในเขตอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ | กห | 02/06/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงกลาโหมรายงานความคืบหน้าการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ ณ บริเวณพื้นที่ของกองทัพบก ในเขตอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดสร้างและพระราชทานชื่อว่า “อุทยานราชภักดิ์” โดยจะใช้พื้นที่รวมประมาณ ๒๒๒ ไร่ มีองค์ประกอบหลักที่สำคัญ ๓ ส่วน คือ (๑) พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระบูรพกษัตริย์แห่งสยาม จำนวน ๗ พระองค์ เนื้อที่ประมาณ ๕ ไร่ (๒) ลานอเนกประสงค์ เนื้อที่ประมาณ ๙๑ ไร่ สำหรับใช้กระทำพิธีที่สำคัญ และ (๓) อาคารพิพิธภัณฑ์ หรือห้องจัดแสดงนิทรรศการประวัติศาสตร์ บริเวณด้านล่างฐานพระบรมราชานุสาวรีย์จะเป็นการนำเสนอเกี่ยวกับพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจที่สำคัญตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สำหรับงบประมาณที่จะใช้ในการจัดสร้างจะเป็นลักษณะของการประชาสัมพันธ์และเชิญชวนหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนได้มีส่วนร่วมบริจาคเงินสมทบทุนการจัดสร้าง ทั้งนี้ สำนักงานราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร แจ้งว่าสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับเชิญเป็นองค์ประธานที่ปรึกษาในคณะกรรมการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์
|
|||||||||||||||||||||
23976 | รายงานผลการเดินทางไปเข้าร่วมการประชุม IISS Shangri-La Dialogue ครั้งที่ 14 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ | กห | 02/06/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางไปเข้าร่วมการประชุม IISS Shangri-La Dialogue ครั้งที่ ๑๔ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะ ระหว่างวันที่ ๒๙-๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การประชุม IISS Shangri-La Dialogue มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีหารือระดับสูงเกี่ยวกับประเด็นด้านความมั่นคง และเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ได้แถลงนโยบายและวิสัยทัศน์เกี่ยวกับประเด็นความมั่นคงต่าง ๆ เช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกาได้กล่าวสุนทรพจน์เรื่อง “บทบาทของสหรัฐอเมริกาและความท้าทายต่อความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นได้นำเสนอแนวคิด “Shangri-La Dialogue Initiative” เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงในภูมิภาค โดยการส่งเสริมให้มีการใช้กฎหมายและกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการใช้พื้นที่ทางทะเลและอากาศที่เป็นที่ยอมรับร่วมกันในภูมิภาค การเสริมสร้างขีดความสามารถในการรักษาความปลอดภัยพื้นที่ทางทะเลและอากาศ และการพัฒนาขีดความสามารถในการรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐอินโดนีเซียเสนอให้มีการปรับปรุงแบบกลไกความร่วมมือด้านความมั่นคงต่าง ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบันให้พัฒนาไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อแก้ปัญหาภัยคุกคามด้านความมั่นคงในปัจจุบันที่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและความมั่นคงของภูมิภาคโดยรวม โดยเสนอให้ใช้การประชุม Shangri-La Dialogue เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางแก้ปัญหาทะเลจีนใต้ รวมทั้งเสนอให้มีการลาดตระเวนร่วมในบริเวณทะเลจีนใต้ระหว่างประเทศที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เป็นต้น ๒. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้หารือทวิภาคีกับมิตรประเทศที่สำคัญ ได้แก่ การหารือกับรองนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสิงคโปร์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ และประเด็นความมั่นคงต่าง ๆ เช่น ปัญหาการก่อการร้ายในและนอกภูมิภาค และปัญหาการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติในมหาสมุทรอินเดีย เป็นต้น การหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐสิงคโปร์เกี่ยวกับความร่วมมือทางทหาร การหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐเกาหลีเกี่ยวกับการยกระดับความร่วมมือทางทหารระหว่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และการหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาเกี่ยวกับการขยายความร่วมมือทางทหารระหว่างกัน และการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน ๓. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ให้สัมภาษณ์รายการ Conversation With ของสถานีโทรทัศน์ Channel News Asia เรื่อง การดำเนินการตาม Roadmap ของรัฐบาล และปัญหาการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติในมหาสมุทรอินเดีย
|
|||||||||||||||||||||
23977 | การประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (วันที่ 30 มิถุนายน 2558) | นร | 02/06/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีแจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าในวันอังคารที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ จะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดเชียงใหม่ และติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลที่จังหวัดพิษณุโลก เพื่อลงพื้นที่ติดตามผลการดำเนินงานศึกษาภูมิปัญญา นวัตกรรมท้องถิ่น และรับฟังความคิดเห็นของประชาชน โดยเฉพาะด้านการจัดสรรที่ดินทำกิน การช่วยเหลือเกษตรกร การดูแลทรัพยากรธรรมชาติ และการดูแลนักท่องเที่ยว ดังนั้น จึงให้รัฐมนตรีทุกท่านเตรียมการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย
|
|||||||||||||||||||||
23978 | แนวทางการเสนอเรื่องงบประมาณต่อคณะรัฐมนตรี | นร | 02/06/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) เสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘) เกี่ยวกับแนวทางการเสนอเรื่องงบประมาณต่อคณะรัฐมนตรี โดยกำหนดให้ส่วนราชการที่จะเสนอเรื่องขออนุมัติงบประมาณหรือเงินกู้ของรัฐวิสาหกิจ ถามความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และนำความเห็นของหน่วยงานข้างต้นเสนอมาพร้อมกับเรื่องดังกล่าวเพื่อให้รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลพิจารณาสั่งการให้นำเสนอคณะรัฐมนตรี นั้น เพื่อให้การเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเป็นไปด้วยความรวดเร็ว จึงควรกำหนดระยะเวลาให้หน่วยงานดังกล่าวตอบความเห็นให้ส่วนราชการเจ้าของเรื่องภายใน ๒ สัปดาห์
|
|||||||||||||||||||||
23979 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 02/06/2558 | ||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านความมั่นคง ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และหน่วยงานด้านความมั่นคงจัดเตรียมมาตรการรองรับหากเกิดกรณีที่บริการขนส่งสาธารณะหยุดชะงักหรือไม่สามารถให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจเกิดจากกรณีการนัดหยุดงานของผู้ทำหน้าที่ให้บริการเหล่านั้น โดยจัดให้มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานแทนเพื่อรองรับหากเกิดกรณีดังกล่าว ๒. ด้านการต่างประเทศ ให้ทุกส่วนราชการกำหนดยุทธศาสตร์การดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระยะต่อไป โดยคำนึงถึงกลุ่มประเทศเป้าหมายที่รัฐบาลให้ความสำคัญ ได้แก่ กลุ่มประเทศกัมพูชา-ลาว-เมียนมา-เวียดนาม (CLMV) กลุ่มประเทศภายใต้สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) กลุ่มประเทศภายใต้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) และประเทศหมู่เกาะต่าง ๆ นอกจากนี้ ให้เตรียมมาตรการรองรับการกีดกันทางการค้าจากต่างประเทศอันเนื่องมาจากการดำเนินการของไทยที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ๓. ด้านเศรษฐกิจ ๓.๑ ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงมหาดไทยเร่งรัดการดำเนินการจัดหาสถานที่จำหน่ายสินค้าราคาถูกในทุกจังหวัด เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพของประชาชนผู้มีรายได้น้อยให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้พิจารณาหาแนวทางการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการโรงงานขนาดเล็กผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน ที่มีต้นทุนต่ำเพื่อจัดจำหน่ายให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยในราคาถูกกว่าท้องตลาดทั่วไป โดยดำเนินการให้เป็นรูปธรรมภายใน ๑ เดือน ๓.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพลังงานร่วมกันพิจารณาหาแนวทางการสร้างความเข้มแข็งด้านพลังงานทดแทนของประเทศ โดยให้สำรวจพืชพลังงานที่ประเทศไทยมีศักยภาพในการเพาะปลูกและนำมาผลิตเป็นพลังงานทดแทน รวมทั้งส่งเสริมให้เกษตรกรมีการเพาะปลูกพืชพลังงานดังกล่าวทดแทนการปลูกพืชในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม โดยต้องยึดหลักความสมดุลของอุปสงค์และอุปทานเพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาราคาตกต่ำในอนาคตด้วย ๓.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาราคาเกลือทะเลตกต่ำ รวมทั้งให้พิจารณาแนวทางที่เหมาะสมในการให้ความช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบต่อไปด้วย ๓.๔ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบการนำเข้าและส่งออกสินค้าบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา ด้านอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ให้มีความสมดุลระหว่างกัน ทั้งนี้ เพื่อไม่เกิดการเสียดุลการค้าระหว่างประเทศ ๓.๕ ให้กระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนาฝีมือแรงงานให้มีทักษะชั้นสูงขึ้นเพื่อรองรับตลาดแรงงานไทยที่มีศักยภาพสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศ การพัฒนาในพื้นที่ และความต้องการของภาคธุรกิจ ๓.๖ ให้กระทรวงพลังงานศึกษาความเป็นไปได้และพิจารณาเตรียมแนวทางการบริหารจัดการสัมปทานปิโตรเลียมที่หมดอายุลงแล้ว ในกรณีที่รัฐจะเป็นผู้ดำเนินการในพื้นที่ดังกล่าวแทนเอกชนรายเดิมต่อไป ๔. ด้านสังคม ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ศึกษาแนวทางการปรับปรุงที่อยู่อาศัยที่ยังจำหน่ายไม่หมดของบริษัทเอกชน เพื่อนำมาดำเนินการกับที่อยู่อาศัยในโครงการของรัฐ เช่น โครงการบ้านเอื้ออาทร ที่ยังจำหน่ายไม่หมด โดยปรับปรุงเพื่อจำหน่ายให้แก่ผู้มีรายได้น้อยในราคาต่ำ ๕. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการบังคับใช้กฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์บนทางเท้าให้มีมาตรการลงโทษที่เข้มงวด เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนผู้สัญจรบนทางเท้า ๖. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๖.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงมหาดไทยพิจารณากำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์จากไม้ยางพาราในพื้นที่ซึ่งชาวสวนยางได้บุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อทำการเพาะปลูกทั้งที่ตัดแล้วและส่วนที่เหลืออยู่ รวมทั้งเร่งให้ความช่วยเหลือเยียวยาชาวบ้านในพื้นที่ซึ่งเดิมเคยมีอาชีพกรีดยาง นอกจากนี้ ให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ศึกษาความเป็นไปได้และพิจารณาแนวทางการใช้ประโยชน์จากไม้ของกลางที่คดีสิ้นสุดแล้วด้วย ๖.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการฟื้นฟูป่าชายเลน โดยดำเนินการให้สอดคล้องกับแนวทางการจัดทำแผนตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องประเภทนโยบาย แผนงาน โครงการต่อคณะรัฐมนตรี) และนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วน ทั้งนี้ ให้พิจารณาเสนอแนวทางตามมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเร็ว ๖.๓ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน จัดทำข้อมูลโครงสร้างระบบราชการที่แสดงถึงความเชื่อมโยงระหว่างส่วนราชการ คณะกรรมการ และกองทุนต่าง ๆ พร้อมทั้งเสนอแนวทางในการปรับโครงสร้างระบบราชการ คณะกรรมการ และกองทุนต่าง ๆ โดยเสนอให้นายกรัฐมนตรีภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๘ ๖.๔ ให้กระทรวงคมนาคมสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เช่น รถไฟ รถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง ถนน เป็นต้น ให้ประชาชนได้รับทราบถึงความเป็นมาของโครงการ เส้นทางที่จะดำเนินการ และการร่วมลงทุนกับประเทศญี่ปุ่นและสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อให้เกิดความชัดเจนและสร้างความโปร่งใสในการดำเนินการโครงการต่าง ๆ ทั้งนี้ ในการเจรจาร่วมลงทุนดังกล่าวควรกำหนดเงื่อนไขในการจัดตั้งศูนย์ซ่อมและศูนย์การเรียนรู้ในประเทศไทยเพื่อพัฒนาบุคลากรไทยให้มีศักยภาพ
|
|||||||||||||||||||||
23980 | โครงการสัมมนาเพื่อรับฟังผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของรัฐบาล | นร | 02/06/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีแจ้งว่า สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้จัดโครงการสัมมนาเพื่อรับฟังผลการดำเนินงานในรอบ ๑ ปีที่ผ่านมาของรัฐบาล ในวันพฤหัสบดีที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๘ ณ ห้องประชุมรัฐสภา เพื่อให้สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติและสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติรับฟังผลการดำเนินงานของรัฐบาล จึงขอให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทุกท่านเข้าร่วมสัมมนาและชี้แจงโดยพร้อมเพรียงกัน และจัดเตรียมข้อมูลชี้แจงผลการดำเนินงานที่สำคัญของรัฐบาลทั้ง ๕ ด้าน ประกอบด้วย ด้านความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านการต่างประเทศ และด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งแนวทางการปฏิรูปประเทศ เพื่อสร้างความเข้าใจให้ดียิ่งขึ้นและขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน เพื่อนำพาประเทศไปสู่การพัฒนาที่มั่นคงและยั่งยืนต่อไป และมอบให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทุกท่านดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีต่อไปด้วย
|
.....