ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1000 จากทั้งหมด 6210 หน้า แสดงรายการที่ 19981 - 20000 จากข้อมูลทั้งหมด 124181 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
19981 | ขออนุมัติรายชื่อผู้เข้ารับการศึกษาหลักสูตรของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ประจำปีการศึกษา 2559 - 2560 จากคณะรัฐมนตรี | กห | 17/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรายชื่อผู้เข้ารับการศึกษาหลักสูตรของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ ๕๙ ประจำปีการศึกษา ๒๕๕๙-๒๕๖๐ ห้วงการศึกษาตั้งแต่ตุลาคม ๒๕๕๙ ถึงกันยายน ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้กระทรวงกลาโหมตรวจสอบรายชื่อผู้เข้ารับการศึกษาหลักสูตรของ วปอ. ประจำปีการศึกษา ๒๕๕๙-๒๕๖๐ ให้ถูกต้องก่อนดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19982 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 17/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) กำกับให้กระทรวงคมนาคมเร่งหารือการดำเนินโครงการเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟระหว่างประเทศไทยกับมาเลเซีย เพื่อขยายการเชื่อมโยงไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่มีพื้นที่ต่อเนื่องกัน ๒. ด้านการต่างประเทศ ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการให้มีการชี้แจงยุทธศาสตร์และแผนการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ของประเทศไทยเป็นวาระพิเศษเพิ่มเติมในการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ ๒ (2nd ACD Summit) ที่จะมีขึ้นในช่วงเดือนตุลาคม ๒๕๕๙ ที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งจะมีหัวหน้าคณะผู้แทนระดับผู้นำประเทศหรือผู้แทนระดับสูงจากประเทศสมาชิกเดินทางมาเข้าร่วมประชุม ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาการคัดค้านการดำเนินโครงการบ้านประชารัฐบนพื้นที่ราชพัสดุตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๕๙ โดยให้ชี้แจงข้อมูลข้อเท็จจริงและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนในพื้นที่ให้ทั่วถึงเป็นการล่วงหน้า รวมทั้งจัดหาพื้นที่ที่เหมาะสมเพื่อให้สามารถดำเนินโครงการได้ตามวัตถุประสงค์ ๓.๒ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) กำกับติดตามให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำหนังสือซึ่งรวบรวมแนวความคิด หลักการและเหตุผลในการดำเนินนโยบายสำคัญต่าง ๆ ของรัฐบาลให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๖๐ เพื่อใช้เผยแพร่ให้ทุกภาคส่วนและต่างประเทศได้ทราบแนวคิดในการดำเนินการเรื่องดังกล่าวต่อไป ๓.๓ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน และกระทรวงสาธารณสุขพิจารณากำหนดมาตรการเยียวยาช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตกรณีเหตุระเบิดและไฟไหม้ใน ๗ จังหวัดภาคใต้ ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ ทั้งนี้ ให้พิจารณาให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บจากกรณีเหตุระเบิดบริเวณแยกราชประสงค์เมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๘ ด้วย ๓.๔ ให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางในการขยายการดำเนินการเพื่อส่งเสริมสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือสินค้าจีไอ (Geographical Indication : GI) ของไทยจากเดิมที่เน้นผลิตภัณฑ์ผ้าและอาหาร เป็นผลิตภัณฑ์ซึ่งมีการแปรรูป เช่น เครื่องใช้หรือเครื่องประดับที่ใช้พืช วัตถุดิบในท้องถิ่น หรือใช้ความชำนาญ หรือภูมิปัญญาท้องถิ่น ๓.๕ ให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน พิจารณากำหนดเป้าหมายการนำนักเรียนที่อยู่นอกระบบการศึกษาเข้าสู่ระบบการศึกษาและเร่งรัดการดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดต่อไป พร้อมทั้งให้พิจารณาเพิ่มเติมเนื้อหาการเรียนการสอนให้มีลักษณะเป็นการเชื่อมโยงการเรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียน เช่น ความรู้เกี่ยวกับการดำรงชีวิตประจำวัน ความรู้เกี่ยวกับต้นไม้และทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ความรู้เกี่ยวกับดาราศาสตร์ เป็นต้น ๓.๖ ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ ให้กระทรวงศึกษาธิการ (มหาวิทยาลัยมหิดล) เร่งรัดการดำเนินโครงการสถาบันทางด้านพันธุกรรมเฉพาะบุคคลและเวชพันธุรักษ์ระดับนานาชาติของมหาวิทยาลัยมหิดล (คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล) และนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป และข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ให้กระทรวงศึกษาธิการรายงานความคืบหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยด่วน นั้น ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดนำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว ๓.๗ ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๙ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพิจารณาดำเนินการศึกษา ค้นคว้า และวิจัยวิธีการกำจัดผักตบชวา เพื่อยับยั้งการแพร่พันธุ์เพิ่มขึ้น นั้น ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว และให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการที่ยั่งยืนในการแก้ไขปัญหาผักตบชวาในแม่น้ำลำคลอง เช่น นำผักตบชวาไปใช้ให้เกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้น ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา กำหนดมาตรการทางกฎหมาย และทบทวนแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ๓.๘ ให้กระทรวงพาณิชย์หารือร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางในการประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการปรุง การบริโภค และการใช้ผลิตภัณฑ์อาหารไทยทั่วโลก ตลอดจนการรับรองร้านอาหารไทยในต่างประเทศให้มีมาตรฐานคุณภาพที่เหมาะสมและเป็นไปในแนวทางเดียวกัน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19983 | สรุปรายงานสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำน่านและยม | กษ | 17/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รองอธิบดีกรมชลประทาน (นายทองเปลว กองจันทร์) และอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (นายฉัตรชัย พรหมเลิศ) รายงานสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำน่านและยม ดังนี้ ๑.๑ รองอธิบดีกรมชลประทาน (นายทองเปลว กองจันทร์) รายงานว่า ในช่วงวันที่ ๑๓-๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๙ มีร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย ทำให้เกิดฝนตกหนัก โดยเฉพาะจังหวัดแพร่ จังหวัดน่าน และจังหวัดพะเยา ทำให้มีปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนสิริกิติ์ประมาณ ๓๕๐ ล้านลูกบาศก์เมตร โดยอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางในพื้นที่สามารถรองรับน้ำได้อีก ๓๙,๐๕๓ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๕๒ ทั้งนี้ น้ำจากจังหวัดแพร่จะไหลลงสู่จังหวัดสุโขทัยสูงสุดในวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๙ แต่ระดับน้ำจะไม่ล้นตลิ่งเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน เนื่องจากกรมชลประทานได้กำหนดแผนการบริหารจัดการน้ำรองรับไว้แล้ว รวมทั้งได้ลดปริมาณการปล่อยน้ำจากเขื่อนสิริกิติ์ลงเพื่อให้แม่น้ำน่านรองรับปริมาณน้ำที่จะผันจากแม่น้ำยมก่อนที่จะเข้าเขตเมืองสุโขทัยได้อีกทางหนึ่ง และเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับพื้นที่ปลูกข้าวที่ยังไม่ได้เก็บเกี่ยวในเขตอำเภอเมือง อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย และอำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ๑.๒ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (นายฉัตรชัย พรหมเลิศ) รายงานว่า ๑.๒.๑ ในช่วงระหว่างวันที่ ๑๓-๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๙ มีร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย ทำให้เกิดฝนตกหนัก มีจังหวัดที่ได้รับผลกระทบรวม ๕ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดเชียงราย จังหวัดตาก (สถานการณ์ในพื้นที่ได้คลี่คลายลงแล้ว) จังหวัดน่าน และจังหวัดพะเยา (ระดับน้ำลดลงอย่างต่อเนื่อง) ส่วนจังหวัดที่ต้องเตรียมรับสถานการณ์น้ำท่วม คือ จังหวัดสุโขทัย ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (อุทกภัย) ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ รวม ๒ จังหวัด คือ จังหวัดแม่ฮ่องสอน และจังหวัดน่าน ๑.๒.๒ กระทรวงมหาดไทยได้ให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น และได้แจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เพื่อลดผลกระทบจากการสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้น แจ้งเตือนข้อมูลไปยังจังหวัดและอำเภอเพื่อเตรียมความพร้อมการปฏิบัติงานช่วยเหลือประชาชน จัดเตรียมชุดเผชิญเหตุเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของจังหวัด และชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนและสื่อมวลชนโดยการให้ข้อเท็จจริงของเหตุการณ์เพื่อลดความตื่นตระหนก รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้ทราบถึงแนวทางการให้ความช่วยเหลือของรัฐบาลด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยจัดทำแผนการบริหารจัดการน้ำให้มีความชัดเจน เข้าใจง่าย รวมทั้งประชาสัมพันธ์หรือชี้แจงผ่านช่องทางต่าง ๆ ให้ประชาชนทราบถึงสถานการณ์น้ำ ตลอดจนการบริหารจัดการน้ำที่รัฐบาลได้ให้ความสำคัญ โดยควรระบุพื้นที่เสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วม แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ชุมชน พื้นที่เกษตรกรรมและพื้นที่ราชการ และมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐเมื่อเกิดน้ำท่วม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19984 | วีดิทัศน์เรื่อง ขอความเห็นชอบแผนแม่บทโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง (พ.ศ. 2559 - 2567) และขออนุมัติการดำเนินโครงการอาคารพักอาศัยแปลง G ของการเคหะแห่งชาติ | พม | 17/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19985 | ความร่วมมือด้านยางพาราระหว่างไทยกับมาเลเซีย | กต | 09/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานความคืบหน้าของความร่วมมือด้านยางพาราระหว่างไทยกับมาเลเซีย สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ นายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลไทยเกี่ยวกับความประสงค์ของบริษัท Tradewinds Plantation Berhad (TPB) ในการดำเนินความร่วมมือกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในโครงการ Rubber City ด้านการผลิตและแปรรูปยางพาราที่นิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ จังหวัดสงขลา ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มีหนังสือตอบนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๙ แจ้งยินดีกับความสนใจของบริษัท TPB ในการดำเนินความร่วมมือกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในโครงการ Rubber City ที่นิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ จังหวัดสงขลา โดยได้เชิญผู้แทนจากบริษัท TPB เดินทางมาไทยเพื่อเยี่ยมชมโครงการ Rubber City ๑.๒ เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๙ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้พบหารือกับบริษัท TPB เกี่ยวกับความร่วมมือในโครงการ Rubber City โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้อง (๑) การเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างสองหน่วยงาน (๒) การจัดตั้งคณะทำงานเพื่อกำหนดรายการที่ประสงค์ร่วมมือกันให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๙ ซึ่งเป็นช่วงเดียวกันกับที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจะจัดกิจกรรม Roadshow ในมาเลเซีย และ (๓) การจัดทำบันทึกความร่วมมือบนพื้นฐานของรายการที่ประสงค์ร่วมมือกันให้แล้วเสร็จเพื่อทันการลงนามในวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๙ ในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีมาเลเซียเยือนไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมหารือประจำปี (Annual Consultation) ครั้งที่ ๖ ซึ่งนายกรัฐมนตรีทั้งสองฝ่ายมีกำหนดการเป็นประธานร่วมในพิธีการเปิดด่านศุลกากรบ้านประกอบ-ดุเรียนบุหรงด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม (การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมในด้านโครงสร้างพื้นฐาน และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อรองรับความร่วมมือด้านยางพาราระหว่างไทยกับมาเลเซียให้บรรลุเป้าหมาย การกำหนดนโยบายและสร้างมาตรการเพื่อป้องกันและควบคุมไม่ให้เกิดการบุกรุกป่าเพื่อปลูกยางพารา อาทิ การสนับสนุนให้มีการรับซื้อยางพาราจากพื้นที่ที่ถูกกฎหมาย และการสร้างมาตรการเพื่อควบคุมปริมาณการผลิตให้เหมาะสมกับปริมาณของวัตถุดิบ เป็นต้น รวมทั้งพิจารณาจัดทำข้อเสนอต่อบริษัท TPB เกี่ยวกับแนวทางการร่วมทุนในอุตสาหกรรมปลายน้ำของยางพารา โดยเฉพาะในประเภทที่จะมีการเสริมสร้างมูลค่าในระดับสูง ตลอดจนแนวทางการร่วมทุน การร่วมศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ และแนวทางการจัดตั้งสายการผลิตข้ามแดนของผลิตภัณฑ์ในเมืองยางพาราของทั้งสองประเทศ พร้อมทั้งเร่งรัดจัดทำบันทึกความร่วมมือบนพื้นฐานของรายการที่ประสงค์จะร่วมมือกันให้แล้วเสร็จเพื่อทันการลงนามในวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๙ ในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีมาเลเซียเยือนไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมหารือประจำปี ครั้งที่ ๖ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19986 | รัฐบาลสาธารณรัฐแอฟริกาใต้เสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย (กระทรวงการต่างประเทศ) [นายเจฟฟรีย์ ควินตัน มิตเชลล์ ดอยจ์ (Mr. Geoffrey Quinton Mitchell Doidge)] | กต | 09/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายเจฟฟรีย์ ควินตัน มิตเชลล์ ดอยจ์ (Mr. Geoffrey Quinton Mitchell Doidge) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ประจำประเทศไทย สืบแทน นางสาวโรบินา แพทริเชีย มากส์ (Ms. Robina Patricia Marks) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19987 | รัฐบาลสาธารณรัฐตุรกีเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย (กระทรวงการต่างประเทศ) [นางเอฟเรน ดาเดเลน อักกุน (Mrs. Evren Dagdelen Akgun)] | กต | 09/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางเอฟเรน ดาเดเลน อักกุน (Mrs. Evren Dagdelen Akgun) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐตุรกีประจำประเทศไทย สืบแทน นายออสมัน บูเลนต์ ทูลุน (Mr. Osman Bulent Tulun) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19988 | ร่างพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พณ | 09/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีบทบัญญัติว่าด้วยมาตรการตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน (Anti-circumvention measure) ซึ่งจะช่วยให้การใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสอดคล้องกับพฤติการณ์และสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป และแก้ไขปัญหาผู้ผลิตหรือผู้ส่งออกจากต่างประเทศมีการส่งออกสินค้ามายังประเทศไทยในลักษณะที่เป็นการหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดซึ่งทำให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมภายในประเทศ รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมตำแหน่งขององค์ประกอบ อำนาจหน้าที่และการพ้นจากตำแหน่งของคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการกำหนดมาตรการป้องกันการหลบเลี่ยงการตอบโต้การทุ่มตลาดโดยใช้ประโยชน์จากเขตปลอดอากร (Free Zone) และความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นว่า ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวยังมีความไม่ชัดเจนในการระบุถึงการดำเนินธุรกิจ (Business Activities) ที่เข้าข่ายพฤติการณ์หลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน (circumvention activities) ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติตอบโต้การทุ่มตลาดฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และเมื่อร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีผลใช้บังคับแล้ว ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งดำเนินการออกกฎหมายลำดับรองให้มีผลบังคับใช้ได้โดยเร็ว เพื่อให้การบังคับใช้พระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19989 | ร่างพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท | 09/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยกำหนดให้ราชการส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่และอำนาจในการเก็บ ขน และกำจัดสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการคัดแยก เก็บ ขน และกำจัดสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการให้บริการ รวมทั้งกำหนดให้ราชการส่วนท้องถิ่นมีอำนาจนำสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยที่จัดเก็บได้ไปใช้ประโยชน์หรือหาประโยชน์ได้ เพื่อให้การบริหารจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการจัดทำกฎหมายเฉพาะในการบริหารจัดการขยะ โดยยกเลิกบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับการจัดการขยะทั้งหมด เพื่อให้สามารถดำเนินการบริหารจัดการขยะทั้งหมดตามกฎหมายเพียงฉบับเดียว ตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๑) เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19990 | มาตรการเพื่อส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปของนิติบุคคล (ร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างประกาศ รวม 4 ฉบับ) | กค | 09/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบมาตรการเพื่อส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปของนิติบุคคล และอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา รวมทั้งเห็นชอบในหลักการร่างประกาศ รวม ๔ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงอัตราค่าใช้จ่ายที่ให้หักเป็นการเหมาในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา ๔๐ (๗) และ (๘) แห่งประมวลรัษฎากร ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ ให้แก่บุคคลธรรมดาสำหรับการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์และทรัพย์สินใด ๆ ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จดทะเบียนจัดตั้ง ตั้งแต่วันถัดจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบมาตรการเพื่อส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปของนิติบุคคล ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ และยกเว้นภาษีเงินได้ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีทุนชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน ๕ ล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน ๓๐ ล้านบาท ที่จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นใหม่ สำหรับรายจ่ายที่เกิดจากการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ค่าทำบัญชี และค่าสอบบัญชี ๑.๓ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ตามประมวลกฎหมายที่ดินสำหรับกรณีการโอนอสังหาริมทรัพย์ของผู้ถือหุ้นเพื่อชำระค่าหุ้นให้แก่นิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ตามมาตรการเพื่อส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปของนิติบุคคล ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด มีสาระสำคัญเป็นการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม สำหรับบุคคลธรรมดาที่เป็นผู้ถือหุ้นในนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นใหม่ โอนอสังหาริมทรัพย์ของผู้ถือหุ้นเพื่อชำระค่าหุ้นให้แก่นิติบุคคลตั้งใหม่นั้นร้อยละศูนย์จุดศูนย์หนึ่ง ๑.๔ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุดสำหรับการโอนห้องชุดของผู้ถือหุ้นเพื่อชำระค่าหุ้นให้แก่นิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ตามมาตรการเพื่อส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปของนิติบุคคล ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด มีสาระสำคัญเป็นการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม สำหรับบุคคลธรรมดาที่เป็นผู้ถือหุ้นในนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นใหม่โอนห้องชุดของผู้ถือหุ้นเพื่อชำระค่าหุ้นให้แก่นิติบุคคลตั้งใหม่นั้นร้อยละศูนย์จุดศูนย์หนึ่ง ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมอบหมายให้กรมสรรพากรรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการเพื่อส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปของนิติบุคคล และมาตรการอื่นซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไปแล้วในช่วงก่อนหน้า เช่น นโยบายสนับสนุนให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจัดทำบัญชีและงบการเงินที่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของกิจการ มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ และมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศ เป็นต้น ให้คณะรัฐมนตรีทราบ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอำนวยความสะดวกในการพิจารณาให้บุคคลธรรมดาสามารถโอนใบอนุญาตในการประกอบกิจการให้นิติบุคคลตั้งใหม่ได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19991 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการให้เช่า ให้เช่าซื้อที่ดินและทรัพย์สินของกรมชลประทานเพื่อใช้ในการทำเกษตรกรรม พ.ศ. .... | กษ | 09/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการให้เช่า ให้เช่าซื้อที่ดินและทรัพย์สินของกรมชลประทานเพื่อใช้ในการทำเกษตรกรรม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการให้เช่า ให้เช่าซื้อที่ดินและทรัพย์สินของกรมชลประทานเพื่อใช้ในการทำเกษตรกรรม เพื่อให้กรมชลประทานมีอำนาจนำที่ดินมาดำเนินการให้เช่า ให้เช่าซื้อ หรือโอนไปยังเกษตรกรเพื่อใช้ในการทำเกษตรกรรมได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรยกร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการทั้งหมดให้เป็นฉบับเดียว เพื่อให้มีการพิจารณาหลักเกณฑ์และวิธีการต่าง ๆ ให้เกิดความสอดคล้องกัน และควรพัฒนาโครงการจัดรูปที่ดินเป็นโครงการนำร่องสำหรับการปรับโครงสร้างภาคเกษตรกรรม ไปสู่เกษตรกรรมที่มีการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพสูงขึ้น สนับสนุนนโยบายกำหนดเขตการใช้พื้นที่ทำการเกษตรที่สอดคล้องกับศักยภาพพื้นที่ (Zoning) โครงการประชารัฐ โครงการ Smart Farmer รวมทั้งประหยัดงบประมาณในการจัดหาแหล่งน้ำเพิ่มเติม ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19992 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงการท่องเที่ยวแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล | กก | 09/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจัดทำและลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการท่องเที่ยวแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล มีสาระสำคัญเพื่อส่งเสริมให้การท่องเที่ยวเป็นไปอย่างยั่งยืนภายใต้กฎหมายของประเทศ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาและขยายความสัมพันธ์ในการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการท่องเที่ยว การประชาสัมพันธ์และการจัดแสดงสินค้า ส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้เชี่ยวชาญ และส่งเสริมให้มีการทำงานร่วมกันในการฝึกอบรมการท่องเที่ยว การแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวและรูปแบบการช่วยเหลืออื่น ๆ ในด้านวิชาการ ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ระหว่างการเยือนสหพันธ์สาธารณรัฐบราซิลอย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระหว่างวันที่ ๑๖-๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๙ ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นว่าร่างบันทึกความเข้าใจฯ เป็นเอกสารกำหนดแนวทางความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล โดยมิได้มีถ้อยคำหรือบริบทใดที่เป็นการแสดงเจตนาที่ก่อให้เกิดพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศ ดังนั้น ร่างบันทึกความเข้าใจฯ จึงไม่เป็นสนธิสัญญาภายใต้ข้อบังคับของกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๒๓ วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ และเห็นควรพิจารณาตรวจสอบความถูกต้องของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับภาษาไทย เนื่องจากมีถ้อยคำที่ไม่ตรงกับร่างบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับภาษาอังกฤษเป็นจำนวนมาก ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19993 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ดำเนินโครงการก่อสร้างเรือนจำโครงสร้างเบา (SOFT Prison) | ยธ | 09/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๓๓๐ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินโครงการก่อสร้างเรือนจำโครงสร้างเบา (SOFT Prison) จำนวน ๑๗ แห่ง ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรม (กรมราชทัณฑ์) รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่ให้มีการติดตามและประเมินผลโครงการก่อสร้างเรือนจำโครงสร้างเบา (SOFT Prison) เพื่อจะได้นำปัญหาหรืออุปสรรคที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการไปปรับปรุงรูปแบบการดำเนินงานให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ รวมทั้งควรหามาตรการเพื่อเพิ่มความร่วมมือกับภาคเอกชนในการส่งเสริมภาคอุตสาหกรรม โดยการให้เอกชนหรือผู้ประกอบการเข้าร่วมลงทุนและจ้างงานผู้ต้องขัง เพื่อให้ผู้ต้องขังมีรายได้ เมื่อพ้นโทษจะได้มีเงินทุนไว้ประกอบอาชีพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19994 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหลอดมีบัลลาสต์ในตัวสำหรับการให้แสงสว่างทั่วไปต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... และ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหลอดฟลูออเรสเซนซ์ขั้วเดี่ยวต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | อก | 09/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีการวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหลอดมีบัลลาสต์ในตัวสำหรับการให้แสงสว่างทั่วไปต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหลอดมีบัลลาสต์ในตัวสำหรับการให้แสงสว่างทั่วไปต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. ๒๒๓๔-๒๕๕๗ ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหลอดฟลูออเรสเซนซ์ขั้วเดี่ยวต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหลอดฟลูออเรสเซนซ์ขั้วเดี่ยวต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. ๒๒๓๕-๒๕๕๗ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเผยแพร่ข้อมูลและสร้างความเข้าใจให้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อให้ผู้ประกอบการในธุรกิจที่เกี่ยวข้องสามารถปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19995 | ปฏิญญาการประชุมว่าด้วยการส่งเสริมปฏิสัมพันธ์และมาตรการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชีย (CICA) ระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ครั้งที่ 5 | กต | 09/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการรับรองปฏิญญาการประชุมว่าด้วยการส่งเสริมปฏิสัมพันธ์และมาตรการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชีย (Conference on Interaction and Confidence Building Measures in Asia : CICA) ในการประชุมระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ครั้งที่ ๕ ระหว่างวันที่ ๒๗-๒๘ เมษายน ๒๕๕๙ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยผู้แทนประเทศไทยได้เสนอขอแก้ไขถ้อยคำในร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ใน ๓ ประเด็นหลัก ในเรื่องกลุ่มแบ่งแยกดินแดน บทบาทของสื่อและการใช้ยุทธศาสตร์ด้านการสื่อสาร และความสำคัญของความเกี่ยวโยงระหว่างความมั่นคงและการพัฒนาที่ยั่งยืน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19996 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีคมนาคมไทย - ลาว | คค | 09/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีคมนาคมไทย-ลาว เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงโยธาธิการและขนส่ง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เป็นประธานการประชุมร่วมกัน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าโครงการรถไฟไทย-จีน และความคืบหน้าโครงการรถไฟ ลาว-จีน (บ่อเต็น-นครหลวงเวียงจันทน์) การเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟระหว่างหนองคาย-เวียงจันทน์ ด้วยขนาดทาง ๑ เมตร โดยนำเงินในส่วนเหลือตามสัญญาเงินกู้โครงการก่อสร้างทางรถไฟไทย-ลาว ระยะที่ ๒ (ท่านาแล้ง-เวียงจันทน์) ประมาณ ๑,๐๐๐ ล้านบาท มาใช้สำหรับการก่อสร้างทางรถไฟดังกล่าว การก่อสร้างสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ขนาด ๑ เมตร และ ๑.๔๓๕ เมตร สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงในอนาคต การดำเนินการก่อสร้างย่านกองเก็บตู้คอนเทนเนอร์ (Container Yard : CY) และการผลักดันให้มีการเดินรถไฟขนส่งสินค้าระหว่างประเทศไทยและ สปป.ลาว โดยเร็ว เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทั้งสองประเทศ ๒. ผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีไทย-ลาว เมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๙ มีประเด็นหารือที่สำคัญ ได้แก่ การเสนอให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ./NEDA) ให้การสนับสนุนทางการเงินสำหรับการปรับปรุงเส้นทางเลียบแม่น้ำโขง เส้นทางบ่อแก้ว-ปากทา-ก้อนตื้น ระยะทาง ๗๔ กิโลเมตร เพื่อเชื่อมต่อกับเส้นทางที่แขวงไชยบุรี และการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินสำหรับการก่อสร้างสะพานมิตรภาพแห่งที่ ๕ (บึงกาฬ-ปากซัน) การกำหนดจุดที่เหมาะสมสำหรับการก่อสร้างสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ และพิจารณาการก่อสร้างสนามบินแห่งใหม่ ณ แขวงสะหวันนะเขตหรือจังหวัดมุกดาหาร แห่งใดแห่งหนึ่ง ๓. การขนส่งผู้โดยสารและสินค้าทางถนน ที่ประชุมรับทราบการจัดทำความตกลงว่าด้วยการเดินรถโดยสารประจำทางไทย-ลาว-เวียดนาม การเพิ่มเส้นทาง R12 ให้รวมอยู่ในพิธีสาร ๑ แนบท้ายความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS CBTA) การจัดประชุมเพื่อพิจารณาบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารข้ามแดน ณ จุดผ่านแดนเชียงของ-ห้วยทราย และบ่อเต็น-โมฮาน ระหว่างไทย-ลาว-จีน การอนุญาตให้รถบรรทุกลาวทำการขนส่งสินค้าผ่านแดนไปยังท่าเรือแหลมฉบัง และการเปลี่ยนหัวลาก-ทางลาก การเพิ่มจุดผ่านแดนถาวร (Additional International Transit Border Crossings for Goods and People) ๔ แห่ง ได้แก่ ด่านนครพนม ด่านเชียงของ ด่านห้วยโก๋น และด่านภูดู่ และการปรับปรุงเส้นทางและอาคารด่าน ณ ด่านพรมแดนช่องเม็ก-วังเต่า ๔. ประเด็นอื่น ๆ ได้แก่ การพิจารณาให้ความช่วยเหลือการฝึกอบรมบุคลากรด้านการบินแก่ฝ่ายลาว การให้ NEDA พิจารณาให้ความช่วยเหลือสำหรับโครงการน้ำประปาในเมืองเล็กของลาว จำนวน ๘ แห่ง ที่ยังไม่ได้ดำเนินการก่อสร้าง รวมทั้งการให้ฝ่ายลาวพิจารณาการควบคุมน้ำหนักรถบรรทุก และการจัดกิจกรรมปั่นจักรยานในเส้นทางแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (EWEC) จากอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ไปยังแขวงสะหวันนะเขต |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19997 | งบดุลและรายงานการรับจ่ายเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ 2557 | สช | 09/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบงบดุลและรายงานการรับเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ที่ผ่านการตรวจสอบรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว โดยมีความเห็นว่า งบการเงินฯ ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐ และได้แสดงความเห็นอย่างมีเงื่อนไข จำนวน ๒ เรื่อง คือ (๑) มีรายการยาและเวชภัณฑ์ที่ยังมิได้จัดส่งให้หน่วยบริการคงเหลืออยู่ที่องค์การเภสัชกรรม จำนวน ๑,๐๖๕.๒๕ ล้านบาท ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ของกองทุนฯ แต่มิได้นำมาแสดงรายการและเปิดเผยข้อมูล และ (๒) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้สำรองจ่ายเงินให้แก่สถานบริการสาธารณสุขและหน่วยงานที่ให้บริการสาธารณสุขในกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน (EMCO : Emergency Claim Online) จากนั้นจะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายที่สำรองจ่ายไปจากกรมบัญชีกลาง รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นของรัฐและสำนักงานประกันสังคมแล้วแต่กรณี โดยบันทึกบัญชีลูกหนี้เรียกเก็บต่ำไป ๒๔๙.๕๒ ล้านบาท ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19998 | สรุปผลการเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์ เลสเตของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สภาซีเมค) | ศธ | 09/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์ เลสเต ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สภาซีเมค) ในระหว่างวันที่ ๒๑-๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๙ ตามคำเชิญของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของติมอร์ เลสเต โดยได้มีการหารือข้อราชการเกี่ยวกับประเด็นสำคัญต่าง ๆ ได้แก่ การสนับสนุนทุนการศึกษาแก่นักเรียนนักศึกษาของติมอร์ เลสเต ให้เข้ามาศึกษาต่อในไทยเพิ่มมากขึ้น การรับครูผู้สอนวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ของติมอร์ เลสเต มาฝึกอบรมในไทย การผลักดันศูนย์ซีมีโอในประเทศสมาชิกให้เข้ามามีส่วนสนับสนุนประเทศต่าง ๆ การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสถาบันอุดมศึกษาของไทยกับติมอร์ เลสเต และการผลักดันให้เกิดการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างไทยกับติมอร์ เลสเต นอกจากนี้ ได้เดินทางไปเยี่ยมชมโรงเรียนในโครงการพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ เมืองเฮรา สถาบันฝึกอบรมครู National Institute for Training of Teachers and Education Professionals (INFORDEPE) หอจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์การต่อต้านของชาวติมอร์ เลสเต และอนุสรณ์สถานสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น พอลที่ ๒ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19999 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมสำหรับความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงระดับรัฐมนตรี อย่างไม่เป็นทางการ | คค | 09/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานผลการประชุมคณะกรรมการร่วมสำหรับความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงระดับรัฐมนตรี อย่างไม่เป็นทางการ เมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ณ กรุงเทพมหานคร ซึ่งประเทศสมาชิกได้หารือร่วมกันในประเด็นเกี่ยวกับการดำเนินการตามความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Subregion Cross Border Transport Facilitation Agreement : CBTA) สรุปได้ ดังนี้
๑. แนวทางสำหรับการเริ่มดำเนินการตามความตกลง CBTA ที่ประชุมเห็นชอบให้ประเทศสมาชิกดำเนินการออกใบอนุญาตเพื่อการขนส่ง (GMS Road Transport Permit) ภายใต้พิธีสาร ๑ (การกำหนดเส้นทางการขนส่งระหว่างประเทศ จุดเข้าและออกประเทศ) ของความตกลง CBTA ให้แล้วเสร็จ ภายในวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๐ และให้ขยายระยะเวลาดำเนินการออกใบอนุญาตดังกล่าวสำหรับเมียนมา รวมทั้งให้ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) จัดทำรายละเอียดการแก้ไขความตกลง CBTA และช่วยเหลือทางวิชาการและด้านงบประมาณตามที่ประเทศสมาชิกร้องขอ ๒. สถานะและการจัดการต่อบันทึกความเข้าใจในการเริ่มใช้ความตกลง CBTA (The Initial Implementation of the Cross-Border Transport Agreement : IICBTA) ที่ประชุมเห็นชอบจำนวนโควตาใบอนุญาตเพื่อการขนส่งภายใต้พิธีสาร ๓ (โควตาการบริการขนส่งและการออกใบอนุญาต) ของความตกลง CBTA จำนวน ๕๐๐ ใบ โดยให้ใบอนุญาตที่ประเทศสมาชิกได้ดำเนินการออกไปแล้วภายใต้บันทึกความเข้าใจ IICBTA ถือเป็นใบอนุญาตแยกต่างหากจากจำนวนโควตา ๕๐๐ ใบข้างต้น และให้ ADB ทบทวนความเพียงพอของใบอนุญาตเพื่อการขนส่งและความพร้อมของประเทศสมาชิกในการดำเนินการตามขั้นตอน ๓. ที่ประชุมเห็นชอบให้จัดการประชุมคณะกรรมการร่วมสำหรับความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๕ ระหว่างวันที่ ๑๕-๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๙ ณ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อหารือและทบทวนประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ (๑) รูปแบบของเอกสารนำเข้ารถยนต์ชั่วคราว (Temporary Admission Document : TAD) (๒) เส้นทางขนส่งระหว่างประเทศ จุดเข้าและออกประเทศ ภายใต้พิธีสาร ๑ (๓) กรอบเวลาสำหรับการดำเนินการตามความตกลง CBTA อย่างเต็มรูปแบบ (๔) การแก้ไขความตกลง CBTA และ (๕) ร่างยุทธศาสตร์การขนส่งหลายรูปแบบของ GMS (GMS Multimodal Transport Strategy) ที่จัดทำโดย ADB
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20000 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนพฤษภาคม 2559 | นร11 | 09/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจไทยเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ ฟื้นตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนเมษายน ๒๕๕๙ เครื่องชี้สำคัญ ๆ ขยายตัวทั้งดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน ดัชนีปริมาณการส่งออก ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม และจำนวนนักท่องเที่ยว และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๙ ตามการขยายตัวเร่งขึ้นของดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม การเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนภาครัฐ การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ และการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว รวมทั้งการกลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ ๔ เดือน ของดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร อย่างไรก็ตาม มูลค่าการส่งออกยังคงลดลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและการลดลงของราคาสินค้าในตลาดโลก ในขณะที่เสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจโลกเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ โดยรวมยังคงอยู่ในช่วงของการชะลอตัวตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น และประเทศสำคัญอื่น ๆ รวมทั้งการฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ของเศรษฐกิจยุโรป การชะลอตัวทางเศรษฐกิจทำให้ประเทศต่าง ๆ ยังคงดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายและมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปี ๒๕๕๙ ช้าลงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้
|
.....