ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 996 จากทั้งหมด 6210 หน้า แสดงรายการที่ 19901 - 19920 จากข้อมูลทั้งหมด 124181 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
19901 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (นายเจน นำชัยศิริ) | วท | 23/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายเจน นำชัยศิริ ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมิใช่ข้าราชการ) เนื่องจาก นายสุพันธุ์ มงคลสุธี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ลาออกจากการเป็นกรรมการดังกล่าว เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๙ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๙) เป็นต้นไป และให้อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19902 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 492559 เรื่อง มาตรการอุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนาต่าง ๆ ในประเทศไทย | สลธ.คสช. | 23/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๔๙/๒๕๕๙ เรื่อง มาตรการอุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนาต่าง ๆ ในประเทศไทย สั่ง ณ วันที่ ๒๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ และมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) กำกับดูแลหน่วยงานภาครัฐที่ได้รับมอบหมายตามคำสั่งดังกล่าวและประสานงานกับสำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพื่อดำเนินการในเรื่องนี้ให้เป็นรูปธรรมตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19903 | รายงานผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2559 | นร07 | 23/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ (ไตรมาสที่ ๓) ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘-๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ ในระบบฐานข้อมูลแผน/ผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณ (BB EvMIS) จำนวน ๓๒๓ หน่วยงาน โดยมีผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานสูงกว่าแผนที่กำหนดไว้ จำนวน ๑๑๒ หน่วยงาน เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ จำนวน ๕๐ หน่วยงาน และต่ำกว่าแผนที่กำหนดไว้ จำนวน ๑๖๑ หน่วยงาน ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19904 | ร่างพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | นร | 23/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19905 | ร่างพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. .... | นร | 23/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19906 | รายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2559 (ครั้งที่ 17) | มท | 23/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ (ครั้งที่ ๑๗) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลงานสะสมที่ทำได้ คิดเป็นร้อยละ ๒๑.๔๒ ๒. การส่งมอบพื้นที่ก่อสร้าง ไม่มีการส่งมอบพื้นที่เพิ่มเติม ส่งมอบแล้ว ๑๐๓-๒-๑๓ ไร่ คิดเป็นร้อยละ ๘๔ ๓. ปัญหา/อุปสรรค ได้แก่ การส่งมอบพื้นที่ที่เหลือยังส่งมอบไม่ได้ตามสัญญาก่อสร้างกระทบกับแผนงานก่อสร้างตามที่ได้รับอนุมัติ ได้แก่ พื้นที่บ้านพักกรมการอุตสาหกรรมทหาร พื้นที่ศูนย์บริการสาธารณสุข ๓๘ พื้นที่ชุมชนบ้านพักองค์การทอผ้า และพื้นที่โรงเรียนโยธินบูรณะ สำหรับกรณีชุมชนบ้านพักองค์การทอผ้า จำนวน ๑๙ ครอบครัว ไม่ได้รับสิทธิ์เข้าอยู่อาศัยในที่พักแห่งใหม่ ซึ่งสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้เจรจาให้เข้าอยู่ในแฟลตกรมการขนส่งทางบก โดยจะดำเนินการปรับปรุงแฟลตดังกล่าว แต่ปัจจุบันยังอยู่ในขั้นตอนสำรวจและประเมินราคาเท่านั้น และการจัดจ้างผู้ออกแบบศึกษาและออกแบบงานระบบ ICT ล่าช้า ทำให้กระทบกับระยะเวลาการทำงานของผู้รับจ้างหลัก ๔. คณะทำงานติดตามความก้าวหน้าของโครงการฯ มีความเห็นว่า (๑) การขยายระยะเวลาก่อสร้างออกไปจำนวน ๓๘๗ วัน ไม่สามารถทำให้งานก่อสร้างแล้วเสร็จได้ อีกทั้งยังมีเหตุให้ผู้รับจ้างขอขยายระยะเวลาการก่อสร้างออกไปได้อีก และ (๒) ควรให้สำนักงานสภาผู้แทนราษฎรกำกับดูแลการดำเนินงานของผู้รับซื้อซากอาคารให้อยู่ในกรอบเวลาที่กำหนดเพื่อจะได้ส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างที่เหลือให้กับผู้รับจ้างหลักโดยเร็ว และประสานกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เพื่อเร่งรัดการปรับปรุงแฟลตกรมการขนส่งทางบกให้เสร็จโดยเร็ว เพื่อชุมชนบ้านพักองค์การทอผ้า จำนวน ๑๙ ครัวเรือนจะได้ย้ายออกจากพื้นที่เดิม รวมทั้งเร่งรัดการจัดจ้างผู้ออกแบบงานระบบ ICT โดยเร็ว เพื่อไม่ให้เป็นเหตุให้ผู้รับจ้างหลักขอสงวนสิทธิ์ในการขยายระยะเวลาการก่อสร้างออกไปอีก
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19907 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองระบายน้ำ ดี.7 เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ | 23/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองระบายน้ำ ดี.๗ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองระบายน้ำ ดี.๗ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน เพื่อให้เกิดประโยชน์จากการใช้น้ำจากทางน้ำชลประทานอย่างเต็มที่ และเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19908 | การรับรองเอกสารผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่กำกับดูแลงานด้านวัฒนธรรมและศิลปะ (AMCA) ครั้งที่ 7 | วธ | 23/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบ (๑) ร่างปฏิญญาบันดาร์เสรีเบกาวันว่าด้วยวัฒนธรรมและศิลปะเพื่อการส่งเสริมอัตลักษณ์อาเซียนสู่ประชาคมอาเซียน ที่มีพลวัตและปรองดอง (Bandar Seri Begawan Declaration on Culture and Arts to Promote ASEAN’s Identity Towards a Dynamic and Harmonious ASEAN Community) และ (๒) ร่างปฏิญญาเวียงจันทน์ว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือด้านมรดกทางวัฒนธรรมในอาเซียน (Vientiane Declaration on Reinforcing Cultural Heritage Cooperation in ASEAN) ซึ่งจะมีการรับรองและให้ความเห็นชอบร่างปฏิญญาทั้งสองฉบับ ในวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๙ ในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่กำกับดูแลงานด้านวัฒนธรรมและศิลปะ (ASEAN Ministers Responsible for Culture and Art : AMCA) ครั้งที่ ๗ ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๙ ณ กรุงบันดาร์เสรีเบกาวัน บรูไนดารุสซาลาม โดยร่างปฏิญญาทั้งสองฉบับมีสาระสำคัญเป็นการแสดงวิสัยทัศน์และนโยบายเกี่ยวกับการกระชับความสัมพันธ์และส่งเสริมความร่วมมือทางด้านวัฒนธรรมระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน รวมทั้งสะท้อนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นสำคัญระหว่างประเทศทางด้านวัฒนธรรม ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุม AMCA ครั้งที่ ๗ รับรองในร่างปฏิญญาบันดาร์เสรีเบกาวันฯ และให้ความเห็นชอบในร่างปฏิญญาเวียงจันทน์ฯ เพื่อนำเสนอต่อไปยังที่ประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ ๑๖ พิจารณาเสนอให้ที่ประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๘ ให้การรับรองต่อไป ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างเอกสารผลการประชุมดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงวัฒนธรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19909 | สรุปผลการพิจารณาเกี่ยวกับรายงานการพิจารณาศึกษาแนวทางการบริหารจัดการปัจจัยการผลิตแบบบูรณาการเพื่อความมั่นคงของภาคเกษตร ของ คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | นร05 | 23/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาเกี่ยวกับรายงานการพิจารณาศึกษาแนวทางการบริหารจัดการปัจจัยการผลิตแบบบูรณาการเพื่อความมั่นคงของภาคเกษตร ของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประสานกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องแล้ว สรุปผลการดำเนินการได้ใน ๖ ด้าน ได้แก่ (๑) ด้านดิน/ที่ดิน (๒) ด้านน้ำ (๓) ด้านปุ๋ยและสารเคมีเกษตร (๔) ด้านพันธุ์และเมล็ดพันธุ์ (๕) ด้านเครื่องจักรกลการเกษตรและเทคโนโลยีการผลิต และ (๖) ด้านอื่น ๆ พร้อมทั้งได้มีข้อเสนอแนะในประเด็นการขอยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มแก่เครื่องจักรกลการเกษตรจะทำให้ผู้ผลิตเครื่องจักรกลการเกษตรไม่สามารถขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มที่เป็นภาษีซื้อได้ รวมทั้งการกำหนดมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐ ควรมีความยืดหยุ่นและสอดคล้องกับความต้องการของเกษตรกร และการส่งเสริมให้มีการรวมกลุ่มเกษตรกรให้มีความเข้มแข็ง ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19910 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาตให้ผลิต นำเข้า หรือส่งออกซึ่งยาเสพติดให้โทษ ในประเภท 2 พ.ศ. .... | สธ | 23/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาตให้ผลิต นำเข้า หรือส่งออกซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๒ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาตให้ผลิต นำเข้า หรือส่งออกซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๒ ที่ใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้ว เพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเกี่ยวกับร่างข้อ ๔ (๔) (ก) และ (ข) ในการนำเข้าและส่งออก ควรจะได้แนบใบสั่งยาและหนังสือรับรอง (เปลี่ยนจาก “หรือ” เป็น “และ”) รวมทั้งการแก้ไขเพิ่มเติมร่างกฎกระทรวงฯ เป็นการกำหนดรายละเอียดที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาเป็นหน่วยงานรับผิดชอบ หน่วยงานที่ไม่มีหน้าที่ปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎกระทรวงฉบับนี้มิอาจพิจารณาปัญหาอุปสรรคใด ๆ ได้ จึงควรเป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาที่จะพิจารณาปรับแก้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19911 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการ การออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินสำหรับแปลงที่ดินในเขตโครงการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการโอนที่ดินของกรมชลประทาน เพื่อใช้ในการทำเกษตรกรรม พ.ศ. .... จำนวน 2 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการ การออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินสำหรับแปลงที่ดินในเขตโครงการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... ) | กษ | 23/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงจำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการ การออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินสำหรับแปลงที่ดินในเขตโครงการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. …. มีสาระสำคัญเพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายที่ดินดำเนินการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินสำหรับแปลงที่ดินในเขตโครงการจัดรูปที่ดินได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการโอนที่ดินของกรมชลประทานเพื่อใช้ในการทำเกษตรกรรม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการโอนที่ดินของกรมชลประทาน เพื่อให้กรมชลประทานมีอำนาจดำเนินการโอนที่ดินไปยังเกษตรกรเพื่อใช้ในการทำเกษตรกรรมได้ ๑.๓ ให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาโดยให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการ การออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินสำหรับแปลงที่ดินในเขตโครงการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. …. ที่เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนต่อประชาชนที่มีความจำเป็นต้องเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สิทธิครอบครองที่ดินตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในร่างกฎกระทรวงดังกล่าว และร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการโอนที่ดินของกรมชลประทานเพื่อใช้ในการทำเกษตรกรรม พ.ศ. .... ที่ควรเพิ่มเติมข้อความ ข้อ ๑ (๒) จาก “... เป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์อยู่ก่อนแล้ว ...” เป็น “…เป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายอยู่ก่อนแล้ว ...” รวมทั้งควรมีข้อกำหนดเพื่อป้องกันที่ดินที่ได้มีการโอนให้ผู้ครอบครองไปแล้วเปลี่ยนมือไปยังกลุ่มทุนซึ่งไม่ได้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการดำเนินการตามพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๕๘ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรยกร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการทั้งหมดตามพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้เป็นฉบับเดียว เพื่อให้มีการพิจารณาหลักเกณฑ์และวิธีการต่าง ๆ ให้เกิดความสอดคล้องกัน และการพัฒนาโครงการจัดรูปที่ดินเป็นโครงการนำร่องสำหรับการปรับโครงสร้างภาคเกษตร ไปสู่เกษตรกรรมที่มีการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพสูงขึ้น สนับสนุนนโยบายกำหนดเขตการใช้พื้นที่ทำการเกษตรที่สอดคล้องกับศักยภาพพื้นที่ (Zoning) โครงการประชารัฐ และโครงการ Smart Farmar รวมทั้งประหยัดงบประมาณในการจัดหาแหล่งน้ำเพิ่มเติม ไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19912 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการขอรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต การขอต่ออายุใบอนุญาต และการอนุญาตประกอบการรับจ้างบรรทุกคนโดยสารและการรับจดทะเบียนรถยนต์รับจ้างแบบพิเศษ พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | คค | 23/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการขอรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต การขอต่ออายุใบอนุญาต และการอนุญาตประกอบการรับจ้างบรรทุกคนโดยสารและการรับจดทะเบียนรถยนต์รับจ้างแบบพิเศษ พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้รถยนต์รับจ้างต้องติดตั้งเครื่องบันทึกข้อมูลการเดินทางของรถ (Global Positioning Systems : GPS) เป็นเครื่องอุปกรณ์อันจำเป็นสำหรับรถยนต์รับจ้าง รวมทั้งแก้ไขข้อกำหนดต่าง ๆ ของกฎกระทรวงให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาใช้กับการให้บริการของรถยนต์รับจ้าง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า จำเป็นต้องมีการกำหนดคุณลักษณะทางเทคนิคและตำแหน่งในการติดตั้งอุปกรณ์ที่ชัดเจนและสามารถสังเกตเห็นได้ด้วยสายตา ต้องชี้แจงและประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชนทราบอย่างทั่วถึง ควรพิจารณาเหตุผลและความจำเป็นของการเพิ่มเติมเอกสารและหลักฐานเพื่อประกอบการขออนุญาต การอนุญาตและการต่ออายุใบอนุญาตประกอบการขนส่งเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการจัดเตรียมเอกสารให้แก่ผู้ยื่นคำขอ ควรพิจารณาแนวทางการเชื่อมโยงฐานข้อมูลระบบอิเล็กทรอนิกส์ของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และยกระดับคุณภาพการให้บริการของภาครัฐตามนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) พิจารณาศึกษากรอบโครงสร้างอัตราค่าจ้างรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคนทุกประเภททั้งในกรุงเทพมหานครและจังหวัดอื่นนอกกรุงเทพมหานครให้สะท้อนกับสถานการณ์ต้นทุนการให้บริการและค่าครองชีพ ให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างองค์กรการเตรียมความพร้อมและการพัฒนาบุคลากร รวมทั้งการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อให้สามารถรองรับภารกิจหน้าที่ของกรมการขนส่งทางบกตามที่กฎหมายกำหนดไว้และนโยบายรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดขั้นตอนการพิจารณาอนุญาตประกอบการขนส่งและเพิ่มความสำคัญกับการกำกับดูแลเพื่อให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19913 | ผลการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 2 | ทส | 23/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (The United Nations Environment Assembly : UNEA) สมัยที่ ๒ จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๓-๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ณ สำนักงานใหญ่โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ กรุงไนโรบี สาธารณรัฐเคนยา ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมเต็มคณะ (Plenary) ของ Committee of the Whole เป็นการประชุมระดับเจ้าหน้าที่เพื่อรับทราบเกี่ยวกับนโยบายสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ ประเด็นด้านการบริหาร รายงานผลการดำเนินงานตามแผนงานปี ๒๕๕๗-๒๕๕๘ และผลการดำเนินงานตามข้อมติการประชุม UNEA สมัยที่ ๑ รวมถึงร่วมกันพิจารณาร่างข้อมติที่เกี่ยวข้อง โดยมีประเด็นสำคัญ เช่น การจัดการสารเคมี การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน การจัดการขยะในทะเล การแก้ไขปัญหาการค้าสัตว์ป่าที่ผิดกฎหมาย ๒. การหารือระดับนโยบายในช่วงการประชุมระดับสูง (High-level segment) ประกอบด้วย ๒ หัวข้อ ได้แก่ (๑) การนำมิติสิ่งแวดล้อมของวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๓๐ ลงสู่การปฏิบัติ เน้นถึงความเชื่อมโยงระหว่างข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และการวางนโยบาย และ (๒) สิ่งแวดล้อมดี-สุขภาพดี เน้นความเชื่อมโยงระหว่างสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ความสำคัญของข้อตกลงปารีส ซึ่งเป็นข้อตกลงที่มีการคำนึงถึงการดำเนินงานหลายด้าน เช่น ภูมิอากาศ สิทธิมนุษยชน เศรษฐกิจ และหลักธรรมาภิบาล ความสำคัญของการป้องกันโรคที่เกิดจากมลพิษทางอากาศด้วยการปรับปรุงด้านพลังงานและการขนส่ง ๓. ผลลัพธ์การประชุม ที่ประชุม UNEA สมัยที่ ๒ รับรองข้อมติจำนวน ๒๕ ข้อมติ ประกอบด้วยประเด็นด้านระเบียบปฏิบัติ ๑ ข้อมติ และประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม ๒๔ ข้อมติ ซึ่งมีประเด็นที่กำลังได้รับความสนใจ เช่น การจัดการสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ความขัดแย้ง ทุนธรรมชาติ (Natural Capital) สารเคมีและของเสีย ทรายและพายุฝุ่น และข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นต้น ทั้งนี้ ที่ประชุมไม่มีการนำร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีของการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ ๒ ที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบเข้าสู่การพิจารณา เนื่องจากในช่วงปิดการประชุมมีความยืดเยื้อจากการที่ที่ประชุมไม่สามารถร่วมกันรับรองอย่างเป็นฉันทามติในร่างข้อมติเรื่องการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ฉนวนกาซา (Field-based environment assessment of the Gaza Strip) ซึ่งไม่เกิดผลเสียต่อการดำเนินงานของไทยแต่อย่างใด ๔. การประชุม UNEA สมัยที่ ๓ จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๔-๖ ธันวาคม ๒๕๖๐ ณ สำนักงานโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ กรุงไนโรบี สาธารณรัฐเคนยา |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19914 | การเป็นสมาชิก Global Forum on Transparency and Exchange of Information for Tax Purposes | กค | 23/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการเข้าร่วมเป็นสมาชิก Global Forum on Transparency and Exchange of Information for Tax Purposes (Global Forum) จะเป็นประโยชน์สำหรับประเทศไทยในการเข้าถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านภาษีระหว่างประเทศสมาชิก ซึ่งจะช่วยป้องกันธุรกิจที่หลบเลี่ยงภาษี โดยเฉพาะธุรกรรมทางการเงินที่กระทำผ่านสถาบันการเงินและการถ่ายโอนเงินไปกลุ่มประเทศที่มีอัตราภาษีต่ำ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. งบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยค่าใช้จ่ายเพื่อเป็นค่าธรรมเนียมรายปี ปีละ ๑๕,๓๐๐ ยูโร และค่าธรรมเนียมอัตราก้าวหน้าประมาณ ๕,๐๐๐ ยูโร รวมเป็นปีละ ๒๐,๓๐๐ ยูโร หรือประมาณ ๘๐๑,๘๕๐ บาท (คิดอัตราแลกเปลี่ยน ๑ ยูโร เท่ากับ ๓๙.๕๐ บาท) ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการเดินทางเข้าร่วมประชุมที่จะเกิดขึ้นในปีต่อไปนั้น เห็นควรให้ใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณของกระทรวงการคลัง (กรมสรรพากร) ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรพิจารณาอย่างรอบด้านว่าพันธกรณีของประเทศสมาชิกสอดคล้องกับข้อกฎหมายของประเทศไทยในการเปิดเผยข้อมูลและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลของธนาคารหรือสถาบันการเงิน และหากประเทศไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิก Global Forum และต้องเข้าสู่กระบวนการ Peer Review ซึ่งเป็นการประเมินกฎหมายและระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับความโปร่งใสและการแลกเปลี่ยนข้อสนเทศเกี่ยวกับภาษีเมื่อได้รับการร้องขอ ควรแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบล่วงหน้า เพื่อเตรียมความพร้อมและปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ได้ทันก่อนการเข้าสู่กระบวนการ Peer Review ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19915 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อการสรรหาตุลาการ ศาลปกครองและบุคลากรของสำนักงานศาลปกครอง | นร07 | 23/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาการขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อการสรรหาตุลาการศาลปกครองและบุคลากรของสำนักงานศาลปกครอง จำนวน ๙๕๑ อัตรา จำนวน ๕๕๙,๘๗๓,๖๘๐ บาท ซึ่งสำนักงบประมาณพิจารณาแล้วเห็นควรอนุมัติในหลักการการสรรหาตุลาการศาลปกครองและบุคลากรในการสนับสนุนการปฏิบัติงานของตุลาการเพิ่มเติม จำนวน ๙๕๑ อัตรา แต่เนื่องจากสำนักงบประมาณได้เสนอตั้งอัตราใหม่ จำนวน ๑๘๕ อัตรา วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๘,๔๒๘,๕๖๐ บาท ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ แล้ว จึงเห็นควรให้สำนักงานศาลปกครองดำเนินกระบวนการสรรหาในจำนวนดังกล่าวก่อน และหากงบประมาณที่ได้รับไม่เพียงพอก็ให้ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามความจำเป็นและเหมาะสม ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ต่อไป สำหรับส่วนที่เหลือ จำนวน ๗๖๖ อัตรา ให้สำนักงานศาลปกครองจัดทำแผนการสรรหาตุลาการศาลปกครองและบุคลากรในการสนับสนุนการปฏิบัติงานของตุลาการและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายในปีต่อ ๆ ไป ตามความจำเป็นและเหมาะสม ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19916 | มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2559 | ทก | 23/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ตามที่ประธานกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมายอวกาศ แบ่งออกเป็น ๒ ประเด็นหลัก ได้แก่ การประสานงานกับต่างประเทศ และด้านการจัดกิจกรรมการพัฒนากฎหมายในประเทศ ๒. รับทราบผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการดาวเทียมสื่อสารภาครัฐเพื่อความมั่นคงเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินโครงการดาวเทียมสื่อสารภาครัฐเพื่อความมั่นคง และแนวทางการดำเนินงานภายหลังสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศสิ้นสุดในปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ๓. รับทราบมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๙ เรื่องโครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อพัฒนา (THEOS-2) ๔. รับทราบผลการศึกษาแนวทางการบริหารจัดการดาวเทียมสื่อสารหลังสิ้นสุดสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ โดยในการจัดทำดาวเทียมภาครัฐเองอาจจะไม่คุ้มค่า แต่หากอนาคตมีความต้องการเพิ่มมากขึ้นก็มีความคุ้มค่าที่จะสามารถทำได้ ๕. รับทราบข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารมวลชน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในการบริหารทรัพยากรอวกาศเพื่อการสื่อสาร ได้แก่ การดำเนินการกับวงโคจรดาวเทียมที่รัฐได้รับการจัดสรร การกำหนดนโยบายการใช้ประโยชน์ในตำแหน่งวงโคจร การกำหนดให้กิจการดาวเทียมสื่อสารแยกออกจากกิจการโทรคมนาคม และการทบทวนบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานกำกับดูแลกิจการดาวเทียมสื่อสารให้ชัดเจน ๖. เห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาแนวทางการกำหนดสิทธิในการใช้วงโคจรดาวเทียมของประเทศเพื่อพิจารณาแนวทางการกำหนดสิทธิในการใช้วงโคจรดาวเทียมของประเทศให้สอดคล้องกับกฎ ระเบียบ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง กำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและขั้นตอนการอนุญาต รวมทั้งการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการใช้เอกสารข่ายงานดาวเทียม (filing) ของผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม ๗. มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการดำเนินการตามกระบวนการเดิมในการจัดทำคำสั่งแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติที่จะหมดวาระเดือนมิถุนายน ๒๕๕๙ แล้วเสนอรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ประธานคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ เพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีลงนามในคำสั่งแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19917 | ผลการประชุมคณะกรรมการอาเซียนด้านการจัดการภัยพิบัติ ครั้งที่ 28 | มท | 23/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการอาเซียนด้านการจัดการภัยพิบัติ ครั้งที่ ๒๘ ระหว่างวันที่ ๒๖-๒๙ เมษายน ๒๕๕๙ ณ เมืองเซมารัง สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การรับรองปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยความเป็นหนึ่งเดียวในการตอบโต้ภัยพิบัติทั้งภายในและภายนอกภูมิภาค (Declaration on One ASEAN, One Response : ASEAN Responding to Disaster as One in the Region and Outside Region) เพื่อผนึกกำลังกันระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอาเซียนในการตอบโต้กับภัยพิบัติอย่างมีประสิทธิผลทั้งในและนอกภูมิภาค และจะมีการลงนามในที่ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ ๒๘ ณ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในเดือนกันยายน ๒๕๕๙ ๒. การปรับอัตราค่าสมาชิกศูนย์ประสานงานอาเซียนในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม (ASEAN Coordinating Centre for Humanitarian Assistance : AHA Centre) จาก ๓๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ เป็น ๖๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี ๒๕๕๙ ถึง ๒๕๖๑ โดยประเทศสมาชิกจะต้องจ่ายค่าสมาชิกในอัตราใหม่เริ่มต้นในปี ๒๕๕๙ และหากไม่สามารถดำเนินการเพิ่มอัตราค่าสมาชิกได้ภายในปี ๒๕๕๙ ให้จ่ายส่วนที่ขาดสมทบกับค่าสมาชิกในปีถัดไป ๓. การเลือกประเทศไทยให้เป็นที่ตั้งคลังเก็บสิ่งของช่วยเหลือของอาเซียนภายใต้โครงการระบบการส่งกำลังบำรุงหรือระบบโลจิสติกส์ของการปฏิบัติการด้านการบรรเทาทุกข์และการตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉินจากภัยพิบัติของอาเซียน (Disaster Emergency Logistics System for ASEAN : DELSA) ระยะที่ ๒ ซึ่งเป็นโครงการหนึ่งในความตกลงอาเซียนว่าด้วยการจัดการภัยพิบัติและการตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉิน (ASEAN Agreement on Disaster Management and Emergency Response : AADMER) และได้รับการสนับสนุนจากประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลักของโครงการ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19918 | รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานของคณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (กพร.ปช.) | รง | 23/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงแรงงานรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานของคณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (กพร.ปช.) โดย กพร.ปช. ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้ กพร.ปช. จำนวนทั้งสิ้น ๑๑ คณะ และได้ดำเนินการจัดทำยุทธศาสตร์ จำนวน ๕ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) ยุทธศาสตร์การพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (๒) ยุทธศาสตร์การพัฒนากำลังแรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์ (๓) ยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพแรงงานด้านภาษาและวัฒนธรรมรองรับประชาคมอาเซียน พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๓ (๔) ยุทธศาสตร์การพัฒนากำลังแรงงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ และ (๕) ยุทธศาสตร์การพัฒนาบุคลากรด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชน พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ โดยมีความก้าวหน้าของการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ฯ ได้แก่ การจัดตั้งสถาบันพัฒนาบุคคลในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์ การพัฒนาสาขาอาชีพบริการเพื่อส่งแรงงานไปต่างประเทศ นอกจากนี้ กพร.ปช. ได้มีมติเห็นชอบให้จัดทำแผนแม่บทการเชื่อมโยงข้อมูลด้านแรงงานเพื่อรองรับการพัฒนากำลังคนในระดับชาติ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19919 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง การพิจารณาศึกษาผลการดำเนินงานของกรมธนารักษ์ กรณีการดำเนินโครงการการประเมินราคาทุนทรัพย์ที่ดินและกรณีการดำเนินโครงการการบริหารจัดการที่ราชพัสดุ | กค | 17/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง การพิจารณาศึกษาผลการดำเนินงานของกรมธนารักษ์ กรณีการดำเนินโครงการการประเมินราคาทุนทรัพย์ที่ดินและกรณีการดำเนินโครงการการบริหารจัดการที่ราชพัสดุ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป โดยผลการพิจารณาสรุปได้ ดังนี้
๑. กรณีการดำเนินโครงการประเมินราคาทุนทรัพย์ที่ดิน กรมธนารักษ์ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเสริมสร้างความเข้มแข็งและก้าวหน้าของประเทศตามแนวทางปฏิรูป เพื่อดำเนินโครงการจัดทำฐานภาษีเพื่อรองรับการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จำนวน ๘๑๙.๑๐๔ ล้านบาท คาดว่าจะสามารถดำเนินโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จและมีราคาประเมินที่ดินรายแปลงครบ ๓๒ ล้านแปลงทั่วประเทศภายในปี ๒๕๖๐ ๒. กรณีการดำเนินโครงการบริหารจัดการที่ราชพัสดุ กรมธนารักษ์ได้สำรวจข้อมูลที่ดินราชพัสดุที่เป็นที่ว่างไม่ใช้ประโยชน์ในราชการหรือใช้ประโยชน์ในราชการไม่เต็มพื้นที่เพิ่มเติม เพื่อขอคืนและนำมาสนับสนุนการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาด้านที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย (Social Enterprise) โดยกรมธนารักษ์ได้ทำหนังสือแจ้งให้ส่วนราชการส่งคืนที่ราชพัสดุ และจัดให้มีการประชุมชี้แจงทำความเข้าใจกับส่วนราชการในการนำที่ราชพัสดุไปสนับสนุนการดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวแล้ว รวมทั้งได้กำหนดแนวทางการดำเนินการโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุไว้ในแผนบริหารจัดการที่ราชพัสดุ เป้าหมาย ๕ ปี (ปี พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๓) และแผนปฏิบัติ ๑ ปี (ปี พ.ศ. ๒๕๕๙) โดยมีคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๗ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่บริหารจัดการการใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐทั่วประเทศในภาพรวมให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันด้วยแล้ว |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19920 | รายงานผลการพิจารณาศึกษาข้อเสนอโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินสะอาด ณ บ้านน้ำบ่อ อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี ของคณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | พน | 17/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาศึกษาข้อเสนอโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินสะอาด ณ บ้านน้ำบ่อ อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี ของคณะกรรมาธิการการพลังงาน ซึ่งกระทรวงพลังงาน (สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน) ได้จัดประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว สรุปได้ว่า โครงการนี้จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๗๙ (PDP 2015) ซึ่งยังไม่มีความต้องการโรงไฟฟ้าถ่านหินในภาคใต้ใหม่จนกว่าช่วงเวลา พ.ศ. ๒๕๖๙ เป็นต้นไป ดังนั้น การที่จะมีการดำเนินโครงการในช่วงเวลาปัจจุบัน ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อโครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินงาน เช่น โรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ โรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และการเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าชีวมวลด้วยระบบ FiT-Bidding ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน จึงอาจจะสร้างความสับสนมากกว่าที่จะช่วยสร้างความชัดเจนต่อการขับเคลื่อนแผน PDP 2015 ดังนั้น จึงเห็นว่าโครงการนี้ควรมีการชะลอออกไปก่อน ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และแจ้งให้สำนักเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
.....