ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 870 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 17381 - 17400 จากข้อมูลทั้งหมด 123969 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
17381 | ขอความเห็นชอบร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) สัญญาสัมปทานการลงทุนออกแบบก่อสร้างบริหารจัดการ ให้บริการและบำรุงรักษา โครงการทางพิเศษสายศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร และร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) สัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 จำนวน 2 ฉบับ | คค | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการแก้ไขร่างสัญญาในสาระสำคัญและร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยก่อนลงนามในสัญญา ให้กระทรวงคมนาคม โดยการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ระบุมูลค่างานก่อสร้างไว้ในร่างสัญญาตามข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุด และให้กระทรวงคมนาคม โดย กทพ. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบเอกสารแนบท้ายสัญญาให้ถูกต้องและครบถ้วนตามมติคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (มติในคราวประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๙) เพื่อระบุเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารแนบท้ายสัญญาต่อไป ดังนี้ ๑.๑ ร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) สัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ ๒ เพื่อให้มีการเชื่อมต่อทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครไปยังทางพิเศษศรีรัชด้านทิศเหนือ (มุ่งไปทางแจ้งวัฒนะ) ที่คณะกรรมการกำกับดูแลโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ ๒ ได้เห็นชอบ และสำนักงานอัยการสูงสุดได้ตรวจพิจารณาแล้ว ๑.๒ ร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) สัญญาสัมปทานการลงทุนออกแบบก่อสร้างบริหารจัดการ ให้บริการและบำรุงรักษาโครงการทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร เพื่อดำเนินการก่อสร้างทางเชื่อมจากทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครไปยังทางพิเศษศรีรัชด้านทิศเหนือ (มุ่งไปทางแจ้งวัฒนะ) ที่คณะกรรมการกำกับดูแลโครงการทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครได้เห็นชอบ และสำนักงานอัยการสูงสุดได้ตรวจพิจารณาแล้ว ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย กทพ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐที่เห็นควรกำกับให้การดำเนินงานตามสัญญาสัมปทานเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพตามข้อกำหนดของสัญญา และให้ความสำคัญกับการวางแผนบริหารความเสี่ยงเพื่อรองรับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากปริมาณจราจรที่เพิ่มขึ้นในโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ ๒ (ทางพิเศษศรีรัช) รวมทั้งจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนโดยคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า รวมถึงการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย ตลอดจนประโยชน์ที่ทางราชการและประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ นอกจากนี้ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการและคณะกรรมการกำกับดูแลทั้ง ๒ โครงการ ติดตามกำกับดูแลโครงการให้มีการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขสัญญาอย่างรอบคอบ คำนึงสิทธิประโยชน์ของประชาชนผู้รับบริการและคู่สัญญาอย่างเป็นธรรม และมีความโปร่งใสตรวจสอบได้ ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคม โดย กทพ. ดำเนินการ ๓.๑ พิจารณากำหนดเงื่อนไขและรายละเอียดของค่าใช้จ่ายที่บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) จะสงวนสิทธิ์เรียกคืนจากผู้ที่รับดำเนินการโครงการทางเชื่อมเพิ่มเติมของทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครกับโครงสร้างทางยกระดับอุตราภิมุขตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๓.๒ กำหนดรูปแบบโครงสร้างทางที่มีความเหมาะสมทางวิศวกรรมเพื่อให้ผู้ใช้ทางพิเศษสามารถเดินทางเชื่อมต่อโดยไม่เป็นอุปสรรคต่อการสัญจรของผู้ใช้ทางพิเศษศรีรัช พร้อมทั้งประสานงานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อกำหนดมาตรการกวดขันวินัยการจราจรบนโครงข่ายบนทางพิเศษ ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาจราจรติดขัดบนโครงข่ายทางพิเศษในภาพรวม ๓.๓ ประสานงานกับการรถไฟแห่งประเทศไทยและ BEM อย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับการเข้าใช้พื้นที่ในการก่อสร้าง เพื่อให้ กทพ. สามารถส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างให้แก่ BEM ได้ตามแผนงานที่กำหนดไว้ต่อไป ๓.๔ เร่งพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการโครงการทางพิเศษศรีรัชที่จะสิ้นสุดสัญญาสัมปทานในปี ๒๕๖๓ ตามมาตรา ๔๘ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้เกิดความชัดเจนโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17382 | การขออนุญาตเข้าใช้พื้นที่ป่าชายเลนตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อสนับสนุนธุรกิจประมงพื้นบ้านจังหวัดปัตตานีตามแนวทางการขับเคลื่อนโครงการเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" | ศอบต | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๐ (เรื่อง การจำแนกเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ป่าชายเลน ประเทศไทย) วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๔ (เรื่อง รายงานศึกษาสถานภาพปัจจุบันของป่าไม้ชายเลนและปะการังของประเทศ) และวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ (เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติเรื่อง การแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน) เพื่อนำพื้นที่ป่าชายเลนในท้องที่อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี จำนวน ๓ ไร่ ไปสนับสนุนธุรกิจประมงพื้นบ้านจังหวัดปัตตานีตามแนวทางการขับเคลื่อนโครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เสนอ และให้ ศอ.บต. รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงคมนาคมที่ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการต้องดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ (เรื่อง การดำเนินโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นจะต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่า) รวมทั้งต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๖๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. ๒๔๕๖ ในการขออนุญาตปลูกสร้างสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ และการปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งอื่นใดในพื้นที่ที่ได้รับอนุญาต ให้อยู่ภายใต้บังคับตามมาตรา ๑๑๗ แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. ๒๔๕๖ ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้ ศอ.บต. ดำเนินการตามระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ว่าด้วยการปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อมกรณีการดำเนินการโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน พ.ศ. ๒๕๕๖ อย่างเคร่งครัด โดยจัดสรรงบประมาณให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทนไม่น้อยกว่า ๒๐ เท่าของพื้นที่ป่าชายเลนที่ใช้ประโยชน์ให้แล้วเสร็จก่อนดำเนินโครงการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17383 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. .... | นร09 | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๕๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการ และอำนาจหน้าที่ของสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจที่เพิ่มขึ้นและเหมาะสมกับสภาพของงานที่เปลี่ยนแปลงไป อันจะทำให้การปฏิบัติภารกิจตามอำนาจหน้าที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17384 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนเพื่อสร้างและขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 สายแม่สอด (เขตแดน) - มุกดาหาร ตอน บ.นาไคร้ - อ.คำชะอี พ.ศ. .... | คค | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนเพื่อสร้างและขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๒ สายแม่สอด (เขตแดน)-มุกดาหาร ตอน บ.นาไคร้-อ.คำชะอี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างและขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๒ สายแม่สอด (เขตแดน)-มุกดาหาร ตอน บ.นาไคร้-อ.คำชะอี ในท้องที่อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ และอำเภอหนองสูง อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาผลกระทบด้านการระบายน้ำภายหลังจากการก่อสร้าง และปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) อย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17385 | ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 รวม 6 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว พ.ศ. ....) | กก | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ รวม ๖ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้นำเที่ยว กำหนดหลักเกณฑ์ในการดำเนินการข้อผูกพันที่มีอยู่กับนักท่องเที่ยวก่อนวันที่ใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวสิ้นสุดลง กำหนดค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจนำเที่ยวและใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ และกำหนดจำนวนเงินหลักประกันที่ผู้ขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวจะต้องวางเงินหลักประกันต่อนายทะเบียน ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภทใบอนุญาต การขอรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต การออกใบแทนใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงการขึ้นทะเบียนผู้นำเที่ยว พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลา ในการดำเนินการตามข้อผูกพันที่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวมีอยู่กับนักท่องเที่ยวก่อนวันที่ใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวสิ้นสุดลง พ.ศ. .... ๑.๕ ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจนำเที่ยวและใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ พ.ศ. .... ๑.๖ ร่างกฎกระทรวงกำหนดจำนวนเงินหลักประกัน พ.ศ. .... ๒. รับทราบการรายงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรณีที่ไม่สามารถออกกฎกระทรวงในเรื่องนี้ รวม ๖ ฉบับ ให้แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาตามที่เสนอ ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประชาสัมพันธ์และชี้แจงหลักเกณฑ์ ข้อกำหนด ตลอดจนกระบวนการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจนำเที่ยวและการเป็นมัคคุเทศก์ให้ชัดเจนแก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวและกลุ่มวิชาชีพมัคคุเทศก์ทั่วประเทศ และควรสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบธุรกิจและกลุ่มมัคคุเทศก์เข้าสู่ระบบมากขึ้น โดยชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ที่ได้รับความคุ้มครองจากภาครัฐ ตลอดจนการยกระดับมาตรฐานคุณภาพการให้บริการและคุณภาพวิชาชีพ รวมทั้งควรกำหนดแนวทางการบริหารจัดการรายได้ที่มาจากการเก็บอัตราค่าธรรมเนียมค่าระวางโทษปรับตามร่างกฎกระทรวงฯ ดังกล่าวที่ชัดเจน ครอบคลุม โดยเฉพาะกองทุนคุ้มครองธุรกิจนำเที่ยว เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ตระหนักถึงความสำคัญและประโยชน์ที่ได้จากกองทุนฯ ดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17386 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ พ.ศ. .... | ทส | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ (คปช.) เพื่อทำหน้าที่กำหนดและขับเคลื่อนนโยบายของประเทศเกี่ยวกับการป่าไม้ทั้งระบบให้มีเอกภาพ ทันต่อสถานการณ์ และเกิดดุลยภาพสอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งกำหนดให้จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติเป็นหน่วยราชการภายในกรมป่าไม้ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยให้กรมป่าไม้เป็นผู้รับผิดชอบในงานธุรการและงานวิชาการของ คปช. และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา อาทิ ควรกำหนดอำนาจหน้าที่ของ คปช. ให้มีความชัดเจนโดยไม่ซ้ำซ้อนกับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการอื่น และมีกรอบการทำงานร่วมกันระหว่าง คปช. และคณะกรรมการอื่นตามกฎหมายเฉพาะที่มีอยู่ปัจจุบัน เพื่อให้เกิดการบูรณาการและได้มาซึ่งข้อมูลด้านการบริหารจัดการที่ดิน ทรัพยากรดิน และป่าไม้ ของประเทศครบถ้วนในทุกมิติ ในส่วนของการดำเนินงานควรประสานท่าทีและบูรณาการยุทธศาสตร์กับคณะกรรมการอนุรักษ์การใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ เพื่อให้นโยบายภาพรวมของประเทศมีความสอดคล้องกับการดำเนินงานตามพันธกรณีของประเทศไทยภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ และส่งเสริมการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และเป้าหมายไอจิด้านความหลากหลายทางชีวภาพ นอกจากนี้ องค์ประกอบของ คปช. ในส่วนของผู้แทนเครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้านควรจะกำหนดเงื่อนไขที่เปิดกว้างให้ครอบคลุมตัวแทนเครือข่ายภาคประชาชนที่มีส่วนเกี่ยวข้องทางด้านทรัพยากรธรรมชาติทุกกลุ่ม รวมถึงองค์กรพัฒนาเอกชน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ส่วนการขอจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปดำเนินการตามแนวทางการขอจัดตั้งหน่วยงานของรัฐตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) ต่อไป ๔. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นตามร่างระเบียบในเรื่องนี้ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายสำหรับเบี้ยประชุม ค่าตอบแทน รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการดำเนินงานของ คปช. คณะอนุกรรมการ และคณะทำงาน เห็นควรให้กรมป่าไม้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ในโอกาสแรกก่อน ส่วนปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณโดยคำนึงถึงการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17387 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐแอฟริกากลาง พ.ศ. .... | พณ | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐแอฟริกากลาง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านไปยังสาธารณรัฐแอฟริกากลาง เพื่อให้สอดคล้องกับข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ ๒๓๓๙ (ค.ศ. ๒๐๑๗) ว่าด้วยการต่ออายุมาตรการลงโทษทางอาวุธ การห้ามเดินทาง และการอายัดทรัพย์สินต่อสาธารณรัฐแอฟริกากลางตามที่ระบุไว้ในข้อมติฯ ที่ ๒๒๖๒ (ค.ศ. ๒๐๑๖) ตลอดจนข้อยกเว้นที่เกี่ยวข้องออกไปอีก ๑ ปี โดยให้มีผลบังคับใช้จนถึงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17388 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 2/2560 | กค | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๖๐ ซึ่งประกอบด้วย ๓ เรื่อง คือ (๑) ความคืบหน้าของการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... (๒) ความคืบหน้าการดำเนินงานของบริษัทในเครือที่ต้องยุบเลิกหรือถอนการลงทุน และ (๓) การแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ ๗ แห่ง ได้แก่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และการรถไฟแห่งประเทศไทย และมอบหมายผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่าง ๆ ดำเนินการตามมติ คนร. ดังกล่าวต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คนร. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17389 | โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2560 | กค | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๐ ภายใต้วงเงินงบประมาณ จำนวน ๑,๘๔๑,๑๐๐,๐๐๐ บาท โดยใช้เงินงบประมาณคงเหลือในส่วนที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้เบิกจ่ายจากสำนักงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการฯ ในปีการผลิต ๒๕๕๙ จำนวน ๒๐๓,๙๔๔,๖๗๕.๓๔ บาท และเสนอของบประมาณเพิ่มเติม จำนวน ๑,๖๓๗,๑๕๕,๓๒๔.๖๖ บาท ๑.๒ เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ทดรองจ่ายเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยแทนรัฐบาลในส่วนของงบประมาณเพิ่มเติม จำนวน ๑,๖๓๗,๑๕๕,๓๒๔.๖๖ บาท และเบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริงพร้อมด้วยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน ประเภทบุคคลธรรมดาของ ๔ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (FDR) บวกร้อยละ ๑ ในปีงบประมาณถัดไปให้กับ ธ.ก.ส. ทั้งนี้ หากสิ้นสุดระยะเวลาในการขายกรมธรรม์แล้วพบว่า มีจำนวนพื้นที่เอาประกันภัยมากกว่าพื้นที่เป้าหมายที่เสนอของบประมาณอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัย จำนวน ๓๐ ล้านไร่ กระทรวงการคลังจะเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบวงเงินงบประมาณเพิ่มเติม ๑.๓ มอบหมายให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการขายกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๐ ให้ได้ตามเป้าหมายขั้นต่ำ จำนวน ๒๕ ล้านไร่ โดยเกษตรกรผู้เอาประกันภัยสามารถเลือกใช้บริการพร้อมเพย์ (Promptpay) ในการรับ-โอนค่าเบี้ยประกันภัยและค่าสินไหมทดแทน พร้อมทั้งให้ ธ.ก.ส. บริหารจัดการความเสี่ยงในแต่ละพื้นที่ให้สอดคล้องกับหลักการประกันภัย โดยเฉพาะการเข้าร่วมโครงการฯ ของเกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่ไม่เหมาะสมตามการกำหนดเขตพื้นที่ปลูกข้าว (Zoning) ซึ่งประกาศโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการฯ และให้ความรู้ด้านการประกันภัยแก่เกษตรกรและบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในความสำคัญของการประกันภัย ๑.๔ มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประสานงานกับสมาคมประกันวินาศภัยไทยและ ธ.ก.ส. ดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลเอกสารทะเบียนเกษตรกร แบบประมวลรวบรวมความเสียหายและการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัย (แบบ กษ ๐๒) และแบบรายงานข้อมูลความเสียหายจริงของเกษตรกรผู้เอาประกันภัยข้าว เพื่อรับค่าสินไหมทดแทน (แบบ กษ ๐๒ เพื่อการรับประกันภัย) ตลอดจนดำเนินการเพื่อให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบฐานข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ เพื่อรองรับการเพิ่มพื้นที่เป้าหมายในอนาคต และรองรับการแก้ไขปัญหาการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้รวดเร็วและถูกต้องมากขึ้น พร้อมทั้งให้กรมส่งเสริมการเกษตรเก็บข้อมูลพื้นที่ประสบภัย ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยแยกประเภทพืชต่าง ๆ ๑.๕ มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเก็บข้อมูลและปรับปรุงฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการใช้ดัชนีผลผลิตต่อเขตพื้นที่ (Area Yield Index) และเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ เพื่อเตรียมการรองรับการประกันภัยข้าวและการประกันภัยพืชผลทางการเกษตรอื่น ๆ ต่อไปในอนาคต ๑.๖ มอบหมายให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานครดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการในการตรวจสอบเกษตรกรที่ได้รับความเสียหายแต่มิได้อยู่ในพื้นที่ที่มีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ เช่นเดียวกับการดำเนินการของโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๕๙ และขอให้จัดส่งข้อมูลให้สมาคมประกันวินาศภัยไทยและ ธ.ก.ส. เพื่อพิจารณาดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาต่อไป ๑.๗ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยปรับปรุงกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปีให้เป็นไปตามรูปแบบและหลักเกณฑ์ของการรับประกันภัยของโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๐ และดำเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนประชาสัมพันธ์โครงการฯ ในภาพรวมและเชิงรุกให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๘ มอบหมายให้สมาคมประกันวินาศภัยไทยประสานงานกับ ธ.ก.ส. และกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พัฒนาระบบการรับประกันภัยและการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๐ เพื่อให้เกษตรกรผู้เอาประกันภัยได้รับประโยชน์สูงสุด ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรมีการประเมินความคุ้มค่าในการดำเนินโครงการประกันภัยเปรียบเทียบกับการให้ความช่วยเหลือโดยหน่วยงานภาครัฐในรูปแบบอื่น เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาจัดทำโครงการประกันภัยในโอกาสต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดศึกษาแนวทางการให้ความช่วยเหลือด้านการประกันภัยพืชผลทางการเกษตรให้ครอบคลุมถึงพืชผลชนิดอื่น ๆ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๔. ในการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปีสำหรับปีต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาและนำเสนอโครงการฯ ต่อคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวและคณะรัฐมนตรีให้ทันก่อนเริ่มฤดูกาลเพาะปลูก เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ที่ต้องการให้เกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการฯ อย่างทั่วถึงและได้รับการคุ้มครองตลอดระยะเวลาการเพาะปลูกข้าวนาปีทั้งฤดูการผลิต ๕. ให้กระทรวงการคลังพิจารณาปรับปรุงแนวทางการดำเนินโครงการฯ ในอนาคต โดยส่งเสริมให้เกษตรกรได้มีส่วนร่วมในระบบประกันภัยพืชผลมากยิ่งขึ้น และทยอยให้เกษตรกรเพิ่มการมีส่วนร่วมในการรับภาระค่าเบี้ยประกันภัยด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17390 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 31/2560 เรื่อง การใช้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกรและประโยชน์สาธารณะของประเทศ | สลธ.คสช. | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓๑/๒๕๖๐ เรื่อง การใช้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกรและประโยชน์สาธารณะของประเทศ ลงวันที่ ๒๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17391 | การจัดทำความตกลงระหว่างไทยกับสหประชาชาติในรูปแบบของหนังสือแลกเปลี่ยนสำหรับการฝึกอบรมหลักสูตรกฎหมายระหว่างประเทศระดับภูมิภาคของสหประชาชาติ (United Nations Regional Course in International Law) ประจำปี 2560 | กต | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจัดทำความตกลงระหว่างไทยกับสหประชาชาติในรูปแบบของหนังสือแลกเปลี่ยนสำหรับการฝึกอบรมหลักสูตรกฎหมายระหว่างประเทศระดับภูมิภาคของสหประชาชาติ (United Nations Regional Course in International Law) ประจำปี ๒๕๖๐ ระหว่างวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน-๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงเทพมหานคร มีรายละเอียดสำคัญ เช่น การให้เอกสิทธิและความคุ้มกัน การอำนวยความสะดวกด้านการตรวจลงตราและการรักษาความปลอดภัยให้แก่ผู้เข้าร่วมการฝึกอบรมฯ รวมถึงเปิดโอกาสให้ขยายระยะเวลาครอบคลุมการจัดการฝึกอบรมฯ ในปีต่อ ๆ ไปที่กรุงเทพมหานคร ๑.๒ ให้นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ของฝ่ายไทย พร้อมทั้งให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ในส่วนของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในการดำเนินภารกิจดังกล่าวให้กระทรวงการต่างประเทศใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ รายการค่าใช้จ่ายในการพัฒนาบุคลากรด้านการทูตและการต่างประเทศที่ได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้วในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ทั้งนี้ การใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายดังกล่าวให้ดำเนินการได้เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ มีผลใช้บังคับแล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17392 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ ครั้งที่ 2 | นร07 | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ วงเงิน ๓,๘๒๘,๑๗๑,๘๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ จำนวน ๒๘ โครงการ ให้กับ ๑๘ หน่วยงาน สำหรับวงเงินที่เหลืออยู่ จำนวน ๗,๙๔๑,๔๓๑,๖๐๐ บาท และรายการที่ยังไม่ได้ขอรับการจัดสรรงบประมาณหรือมีความประสงค์จะขอรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการและส่งสำนักงบประมาณโดยด่วนต่อไป ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17393 | สรุปสาระสำคัญการประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ครั้งที่ 8/2560 (เรื่อง รายงานความก้าวหน้าการปรับโครงสร้างสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และการขับเคลื่อนด้านพลังงาน) | อื่นๆ | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปสาระสำคัญการประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ครั้งที่ ๘/๒๕๖๐ (เรื่อง รายงานความก้าวหน้าการปรับโครงสร้างสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และการขับเคลื่อนด้านพลังงาน) เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๐ ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์เสนอ ๒. เห็นชอบให้หน่วยงานและผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ครั้งที่ ๘/๒๕๖๐ และข้อสังเกตเพิ่มเติมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ดังนี้ ๒.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาจากการเพิกถอนระเบียบเรื่อง การให้ความยินยอมในการนำทรัพยากรธรรมชาติในเขตปฏิรูปที่ดินไปใช้ประโยชน์ตามกฎหมายอื่น พ.ศ. ๒๕๔๑ โดยพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหา ๒.๑.๑ ระยะเร่งด่วน พิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาในกิจการปิโตรเลียม และเหมืองแร่ที่ผู้ประกอบการได้รับการอนุญาตให้ดำเนินการอย่างถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายก่อนการประกาศเป็นพื้นที่ ส.ป.ก. เพื่อเสนอหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาออกคำสั่งโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ต่อไป ๒.๑.๒ พิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาในกิจการพลังงานทดแทนที่ได้รับอนุญาตไปอย่างถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายก่อนการเพิกถอนระเบียบเรื่อง การให้ความยินยอมในการนำทรัพยากรธรรมชาติในเขตปฏิรูปที่ดินไปใช้ประโยชน์ตามกฎหมายอื่น พ.ศ. ๒๕๔๑ โดยในการพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวจะต้องยึดประโยชน์ของเกษตรกรเป็นหลัก และอาจพิจารณาหลักเกณฑ์เพิ่มเติม เช่น ขนาดพื้นที่ที่จำเป็น ความเหมาะสมของพื้นที่เปรียบเทียบระหว่างการทำเกษตรกรรมกับกิจการอื่น และผลประโยชน์ต่อท้องถิ่น เป็นต้น เพื่อใช้เป็นหลักเกณฑ์ในกรณีที่อาจจำเป็นต้องใช้พื้นที่ ส.ป.ก. สำหรับการดำเนินการด้านพลังงานทดแทนและการพัฒนาอื่น ๆ ตามนโยบายของภาครัฐในอนาคต ๒.๒ มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาขั้นตอนและแนวทางการอนุญาตการใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐ พื้นที่สาธารณประโยชน์ พื้นที่อนุรักษ์ การสร้างสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการตั้งและขยายโรงงานใกล้แหล่งน้ำ ให้เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นและได้รับประโยชน์จากการดำเนินงานดังกล่าวด้วย ๒.๓ มอบหมายกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพลังงานพิจารณาจัดตั้งคณะกรรมการร่วมการใช้ประโยชน์ด้านพลังงานในพื้นที่ทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา เพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาและใช้ประโยชน์ในพื้นที่อ้างสิทธิ และจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชาเกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรร่วมเพื่อแสวงประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นดินใต้ทะเลในบริเวณที่กำหนดของไหล่ทวีปของประเทศทั้งสองในอ่าวไทย โดยยึดแนวทางการดำเนินการในลักษณะเดียวกับพื้นที่ JDA ไทย-มาเลเซีย ๒.๔ มอบหมายกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงการคลังร่วมกันพิจารณาแนวทางการใช้น้ำมันปาล์มสำหรับเป็นเชื้อเพลิงพลังงานทดแทนที่เหมาะสม โดยเน้นการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันปาล์มในส่วนที่เป็นวัตถุดิบในการผลิตพลังงานทดแทน ๒.๕ มอบหมายกระทรวงพลังงานร่วมกับกระทรวงการคลังพิจารณาการขอยกเว้นภาษีศุลกากรและภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับโครงการ LTM-PIP ๒.๖ มอบหมายปลัดกระทรวงพลังงาน ปลัดกระทรวงการคลัง และปลัดกระทรวงยุติธรรมร่วมกันหาข้อยุติ และพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหากรณีการชำระอากรจากการดำเนินกิจการในพื้นที่องค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย และรายงานคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์โดยเร็ว ๒.๗ มอบหมายสำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณาความเหมาะสมในการปรับปรุงอัตรากำลังของกระทรวงพลังงาน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17394 | การแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 (จำนวน 12 คน 1. นายสุรพงษ์ เจียสกุล ฯลฯ) | อก | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ จำนวน ๑๒ คน แทนกรรมการชุดเดิมที่ดำรงตำแหน่งมาครบวาระสองปีแล้ว เมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๙ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๐) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้
๑. นายสุรพงษ์ เจียสกุล ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๒. นายวรัชญ์ เพชรร่วง ผู้แทนกระทรวงการคลัง ผู้อำนวยการกองกำกับและพัฒนา ระบบเงินนอกงบประมาณ กรมบัญชีกลาง ๓. นายอิทธิพงศ์ คุณากรบดินทร์ ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ ๔. นายพสุ โลหารชุน ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ๕. นางสาวชวนชม กิจพันธ์ ผู้แทนสำนักงบประมาณ ผู้อำนวยการกองจัดทำงบประมาณด้านเศรษฐกิจ ๑ ๖. นายสุวัชชัย ใจข้อ ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย รองผู้อำนวยการ ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน สายนโยบายการเงิน ๗. นายธีระชัย แสนแก้ว ผู้แทนชาวไร่อ้อย ๘. นายมนตรี เลาหศักดิ์ประสิทธิ์ ผู้แทนชาวไร่อ้อย ๙. นายพนม ตะโกเมือง ผู้แทนชาวไร่อ้อย ๑๐. นายศรายุธ แสงจันทร์ ผู้แทนโรงงาน ๑๑. นายวิณณ์ ผาณิตวงศ์ ผู้แทนโรงงาน ๑๒. นายรัฐวุฒิ แซ่ตั้ง ผู้แทนโรงงาน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17395 | การติดตามผลการดำเนินการตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย | นร09 | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้ทุกส่วนราชการซึ่งเป็นหน่วยงานเจ้าของร่างกฎหมายเร่งรัดการจัดทำผลการรับฟังความคิดเห็นและคำชี้แจงตามหลักเกณฑ์การตรวจสอบความจำเป็นในการตรากฎหมายที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วและที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๐ (เรื่อง แนวทางการจัดทำและการเสนอร่างกฎหมายตามบทบัญญัติมาตรา ๗๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย) อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ เพื่อความต่อเนื่องในการผลักดันร่างกฎหมายตามนโยบายของรัฐบาล ๒. ให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดและติดตามการดำเนินการตรากฎหมายลำดับรองที่ออกตามพระราชบัญญัติและการตรากฎหมายตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ในทุกกระบวนการตรากฎหมาย ทั้งนี้ จะต้องมีมาตรการดูแลประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่จะได้รับผลกระทบด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17396 | แนวทางการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ 40/2560 และครั้งที่ 41/2560 | อื่นๆ | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติเกี่ยวกับระเบียบวาระการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ ๔๐/๒๕๖๐ วันพฤหัสบดีที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๐ และครั้งที่ ๔๑/๒๕๖๐ วันศุกร์ที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๐
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17397 | ความคืบหน้าการดำเนินงานด้านการปฏิรูปประเทศระหว่างวันที่ 20 - 26 มิถุนายน 2560 | นร | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานด้านการปฏิรูปประเทศระหว่างวันที่ ๒๐-๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๐ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์) ประธานกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) เสนอ ดังนี้
๑. สรุปผลการประชุมสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ครั้งที่ ๒๓/๒๕๖๐ เมื่อวันอังคารที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๐ (รายงานของคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดิน จำนวน ๒ เรื่อง ได้แก่ การพัฒนารูปแบบการดำเนินภารกิจภาครัฐ : การปฏิรูประบบงานอาสาสมัครในภาครัฐ และการปฏิรูปโครงสร้างองค์กรภาครัฐ : ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) ๒. สรุปผลการประชุมสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ครั้งที่ ๒๔/๒๕๖๐ เมื่อวันอังคารที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๐ (รายงานของคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา จำนวน ๒ เรื่อง ได้แก่ แผนการปฏิรูปแบบการอุดมศึกษา และการสร้างกลไกประชารัฐระดับพื้นที่เพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาแบบมีส่วนร่วม) ๓. สรุปสถานะข้อเสนอประเด็นปฏิรูปของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศตามแผนการปฏิรูปประเทศ (ข้อมูล ณ วันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๐) รวม ๑๖๓ เรื่อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17398 | การดำเนินการเกี่ยวกับข้อเสนอแนะเพื่อการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ตามมาตรา 266 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย | นร | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการดำเนินการเกี่ยวกับข้อเสนอแนะเพื่อการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ตามมาตรา ๒๖๖ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ เมษินทรีย์) ประธานกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) เสนอ ๒. ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการพิจารณาขับเคลื่อนการดำเนินการตามข้อเสนอแนะเพื่อการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17399 | ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 รวม 6 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภทใบอนุญาต การขอรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต การต่อใบอนุญาต การออกใบแทนใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ พ.ศ. ....) | กก | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ รวม ๖ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้นำเที่ยว กำหนดหลักเกณฑ์ในการดำเนินการข้อผูกพันที่มีอยู่กับนักท่องเที่ยวก่อนวันที่ใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวสิ้นสุดลง กำหนดค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจนำเที่ยวและใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ และกำหนดจำนวนเงินหลักประกันที่ผู้ขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวจะต้องวางเงินหลักประกันต่อนายทะเบียน ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภทใบอนุญาต การขอรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต การออกใบแทนใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงการขึ้นทะเบียนผู้นำเที่ยว พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลา ในการดำเนินการตามข้อผูกพันที่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวมีอยู่กับนักท่องเที่ยวก่อนวันที่ใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวสิ้นสุดลง พ.ศ. .... ๑.๕ ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจนำเที่ยวและใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ พ.ศ. .... ๑.๖ ร่างกฎกระทรวงกำหนดจำนวนเงินหลักประกัน พ.ศ. .... ๒. รับทราบการรายงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรณีที่ไม่สามารถออกกฎกระทรวงในเรื่องนี้ รวม ๖ ฉบับ ให้แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาตามที่เสนอ ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประชาสัมพันธ์และชี้แจงหลักเกณฑ์ ข้อกำหนด ตลอดจนกระบวนการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจนำเที่ยวและการเป็นมัคคุเทศก์ให้ชัดเจนแก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวและกลุ่มวิชาชีพมัคคุเทศก์ทั่วประเทศ และควรสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบธุรกิจและกลุ่มมัคคุเทศก์เข้าสู่ระบบมากขึ้น โดยชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ที่ได้รับความคุ้มครองจากภาครัฐ ตลอดจนการยกระดับมาตรฐานคุณภาพการให้บริการและคุณภาพวิชาชีพ รวมทั้งควรกำหนดแนวทางการบริหารจัดการรายได้ที่มาจากการเก็บอัตราค่าธรรมเนียมค่าระวางโทษปรับตามร่างกฎกระทรวงฯ ดังกล่าวที่ชัดเจน ครอบคลุม โดยเฉพาะกองทุนคุ้มครองธุรกิจนำเที่ยว เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ตระหนักถึงความสำคัญและประโยชน์ที่ได้จากกองทุนฯ ดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17400 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 27/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านสังคม ให้กระทรวงแรงงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางการช่วยเหลือผู้ประกอบการกลุ่มต่าง ๆ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ประกอบกิจการที่ต้องใช้แรงงานในสาขาที่ขาดแคลน ให้สามารถจ้างแรงงานได้อย่างเหมาะสมและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในความรับผิดชอบตามนโยบายของรัฐบาลให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ โดยให้กำกับดูแลการดำเนินงานให้เป็นไปอย่างถูกต้อง รอบคอบ โปร่งใส เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน และให้สร้างการรับรู้ให้ถูกต้องและทั่วถึงด้วย ๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการพิจารณากำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ตามแนวเส้นทางโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งต่าง ๆ เช่น รถไฟ รถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง รวมทั้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดการพิจารณายกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๙ (เรื่อง แนวทางการนำที่ดินที่ได้จากการเวนคืนไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้การนำพื้นที่ตามแนวเส้นทางดังกล่าวไปใช้ประโยชน์เป็นไปอย่างถูกต้อง เหมาะสม และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป ๒.๓ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้ทุกส่วนราชการที่มีความต้องการใช้ยางพาราสำรวจปริมาณความต้องการใช้ยางพาราภายในหน่วยงานให้ชัดเจน เพื่อจัดทำแผนสำหรับการเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณในการจัดซื้อยางพารา โดยให้เร่งดำเนินการเพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ยางพาราภายในประเทศให้มากยิ่งขึ้น นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาความเหมาะสมในการดำเนินโครงการขนาดเล็กในพื้นที่ต่าง ๆ โดยให้นำยางพารามาใช้ในการสร้าง/ซ่อมถนนในชุมชน และให้ประสานงานกับกระทรวงกลาโหม (กรมการทหารช่าง) เพื่อให้เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการดังกล่าว เพื่ออำนวยประโยชน์ในการสัญจรของประชาชนในพื้นที่ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเส้นทางคมนาคมได้โดยเร็ว ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน ๒.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดติดตามการดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล เช่น การส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ ศูนย์เรียนรู้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร แผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-Map) การยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร การพัฒนาความเข้มแข็งของสถาบันเกษตรกร การพัฒนาระบบส่งน้ำและกระจายน้ำ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วและสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนด้วย ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ในการขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินงานเรื่องต่าง ๆ ตามนโยบายรัฐบาล ขอให้ส่วนราชการถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดให้เป็นไปตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓/๒๕๖๐ เรื่อง การขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง ลงวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๐ ที่กำหนดให้มีคณะกรรมการ ป.ย.ป. โดยมีคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ (บ.ย.ศ.) อยู่ภายใต้คณะกรรมการ ป.ย.ป. มีการจัดระดับความรับผิดชอบในการดำเนินการเพื่อการทำงานที่ประสานเชื่อมโยงกันเป็น ๓ ระดับ คือ ระดับหน่วยงานหรือกลุ่มงานที่เกี่ยวข้อง (กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง) ระดับกำกับการบริหารราชการ (รองนายกรัฐมนตรี) และระดับบัญชาการ (คณะกรรมการ บ.ย.ศ.) และให้ปฏิบัติตามกรอบการทำงานของ บ.ย.ศ. ที่ให้ส่วนราชการเจ้าของเรื่องนำเรื่องที่มีปัญหาในทางปฏิบัติเสนอรองนายกรัฐมนตรีที่รับผิดชอบในเรื่องดังกล่าวพิจารณา โดยอาจใช้กลไกคณะกรรมการและอนุกรรมการที่มีอยู่พิจารณาให้เป็นที่ยุติ เช่น คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน (กขป.) แต่หากยังมีเรื่องใดติดขัด ไม่สามารถแก้ไขปัญหาในระดับหน่วยงานหรือระดับกำกับการบริหารราชการดังกล่าวได้ จึงให้นำเรื่องเสนอคณะกรรมการ บ.ย.ศ. พิจารณาต่อไป ๓.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดทำแผนการดำเนินการด้านการปฏิรูปกิจการตำรวจ โดยให้ครอบคลุม ๖ ประเด็น ได้แก่ (๑) การปฏิรูปเชิงโครงสร้าง เช่น การถ่ายโอนภารกิจ (๒) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เช่น การสรรหาและระบบการฝึกอบรม ค่าตอบแทน และสวัสดิการเพื่อดำรงชีพอย่างมีศักดิ์ศรี การปรับปรุงการบริหารงานบุคคลและเส้นทางการเจริญเติบโต (๓) การปฏิรูประบบงานสอบสวนและการบังคับใช้กฎหมาย (๔) การนำระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมาสนับสนุนงานด้านการรักษาความปลอดภัย (๕) การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน เช่น การร่วมเป็นอาสาสมัคร และ (๖) การป้องกันและปราบปรามการทุจริตภายในองค์กร ทั้งนี้ ให้นำเสนอแผนดังกล่าวต่อรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) พิจารณาก่อนนำเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไป นั้น ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการปฏิรูปกิจการตำรวจใน ๓ ด้านหลัก ดังนี้ (๑) ด้านองค์กร เช่น โครงสร้างองค์กร ระบบงาน ระบบงบประมาณ อำนาจหน้าที่ (๒) ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น กฎระเบียบการปฏิบัติหน้าที่ การป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน ระบบงานสอบสวน การบังคับใช้กฎหมาย (๓) ด้านบุคลากร เช่น ระบบการแต่งตั้ง/โยกย้าย ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกรอบระยะเวลา ๙ เดือน โดยให้ศึกษาประเด็นปัญหาของทุกระบบภายใน ๒ เดือนแรก และปรับปรุงแก้ไขกฎหมายในอีก ๔ เดือนถัดมา ในส่วน ๓ เดือนที่เหลือจะเป็นการสื่อสารและสร้างการรับรู้ให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด และให้รายงานความคืบหน้าการดำเนินการดังกล่าวต่อนายกรัฐมนตรีเป็นระยะด้วย ๓.๓ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีที่มีการกล่าวหาว่ามีการหาผลประโยชน์และการทุจริตในการดำเนินโครงการของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยให้มีผลการสอบสวนที่ชัดเจนภายใน ๑ เดือน ๓.๔ ให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดประสานความร่วมมือกับหน่วยงานด้านความมั่นคงในการจัดหลักสูตรฝึกอบรมสำหรับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกัน แก้ไขปัญหายาเสพติดให้มีความพร้อมในการเผชิญเหตุที่อาจมีการขัดขืน ต่อสู้ และใช้อาวุธทำร้ายเจ้าหน้าที่ เช่น การให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้กลยุทธ์ในการปิดล้อมและตรวจค้นที่เหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานและประชาชนในบริเวณใกล้เคียง
|
.....