ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 868 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 17341 - 17360 จากข้อมูลทั้งหมด 123972 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
17341 | ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตทำไม้หวงห้าม พ.ศ. .... | นร09 | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตทำไม้หวงห้าม พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาตและการอนุญาตทำไม้หวงห้ามให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันในการให้บริการประชาชนที่ขออนุญาตทำไม้หวงห้าม รวมทั้งการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการอนุญาตทำไม้หวงห้าม และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17342 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณ (สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร) | สผ | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๘ ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีต่อไปได้ถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๖๐ รวม ๒ รายการ ประกอบด้วย (๑) รายการโครงการปรับปรุงอาคารที่พักสวัสดิการเคหะสงเคราะห์สำหรับข้าราชการ วงเงินงบประมาณ ๑๓,๖๐๐,๐๐๐ บาท และ (๒) รายการจ้างที่ปรึกษาออกแบบและพัฒนาระบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย วงเงินงบประมาณ ๑๐,๔๗๕,๐๐๐ บาท ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ ๒. ให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเร่งรัดการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด ตลอดจนปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ครบถ้วน อย่างโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ทั้งนี้ หากไม่สามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันรายการดังกล่าวได้ทันภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้เงินงบประมาณนั้นพับไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17343 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามมาตรา 78 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย) | ลต | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นชอบในหลักการให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนตามมาตรา ๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ เพื่อให้ประชาชนรวมทั้งบุคคลที่เกี่ยวข้องได้ทราบรายละเอียดของรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่จำเป็นเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ซึ่งค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เหมาะสมเห็นควรดำเนินการ ในวงเงิน ๑๑๔,๖๐๓,๖๐๐ บาท โดยให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ หรือใช้เงินเหลือจ่ายสะสมของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งมาดำเนินการในโอกาสแรกก่อน หากมีงบประมาณไม่เพียงพอหรือไม่สามารถปรับแผนฯ มาดำเนินการได้ ก็เห็นสมควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน ๑๑๔,๖๐๓,๖๐๐ บาท โดยขอตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง ๒. ในการดำเนินการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง รัฐธรรมนูญ และการเลือกตั้งตามภารกิจต่าง ๆ ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอ นั้น ขอให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาและให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างให้ประชาชนและผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้รับความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับหลักการและแนวคิดเกี่ยวกับการเลือกตั้งเพื่อให้ได้มาซึ่งรัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล รวมทั้งการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาและปฏิรูปประเทศเพื่อให้บรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติตามมาตรา ๒๕๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17344 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงิน (องค์การเภสัชกรรม) | สธ | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้องค์การเภสัชกรรม (อภ.) กู้เงินเพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงินของ อภ. โดยวิธีการกู้เงินแบบเบิกเงินเกินบัญชีและแบบตั๋วสัญญาใช้เงินในลักษณะ Roll Over ครอบคลุมระยะเวลาการกู้ ๕ ปี ๑.๒ อนุมัติวงเงินกู้เป็นจำนวน ๑,๒๐๐ ล้านบาท ๒. ให้ อภ. ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยหาก อภ. มีเงินสดเพียงพอสำหรับการดำเนินงาน ให้บริหารสภาพคล่องจากเงินที่ได้รับชำระหนี้แทนการกู้เงิน เพื่อไม่ให้เกิดภาระดอกเบี้ยจากการกู้เงิน ทั้งนี้ ให้ อภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ เห็นควรจัดทำแผนบริหารหนี้ระยะยาวหรือแผนประมาณการรายรับจากการชำระหนี้เพื่อใช้ในการวางแผนติดตามชำระหนี้อย่างสม่ำเสมอ วิเคราะห์ความเสี่ยงและภาระงบประมาณที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต พิจารณาฐานะเงินสดในขณะดำเนินการกู้เงินจริง และเร่งรัดการชำระหนี้คงค้างเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในอนาคตจากการกู้ยืมเงิน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หน่วยงานบริการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานประกันสังคมเร่งรัดชำระหนี้ให้แก่ อภ. โดยเร็วภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17345 | การให้เงินอุดหนุนแก่ศูนย์อาเซียน - เกาหลี | กต | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศให้เงินอุดหนุนแก่ศูนย์อาเซียน-เกาหลี เป็นประจำทุกปี ตั้งแต่ปี ๒๕๖๑ เป็นต้นไป จำนวนปีละไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ โดยค่าใช้จ่ายในการให้เงินอุดหนุนแก่ศูนย์อาเซียน-เกาหลี ในปี ๒๕๖๑ เห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ รายการเงินอุดหนุนองค์การระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิก ที่เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้วในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายดังกล่าว ให้ดำเนินการได้เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ มีผลใช้บังคับแล้ว สำหรับค่าใช้จ่ายในการให้เงินอุดหนุนในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป นั้น เห็นควรที่กระทรวงการต่างประเทศจะจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17346 | บันทึกความร่วมมือสาขาการดูแลสุขภาพระหว่างกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ ประเทศญี่ปุ่น กับกระทรวงสาธารณสุข ราชอาณาจักรไทย | สธ | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือสาขาการดูแลสุขภาพระหว่างกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ ประเทศญี่ปุ่น กับกระทรวงสาธารณสุข ราชอาณาจักรไทย มีสาระสำคัญในการเสริมสร้างความสัมพันธ์และขยายความร่วมมือด้านสาธารณสุข รวมทั้งแสวงหาโอกาสในการส่งเสริมความร่วมมือสาขาการดูแลสุขภาพในประเด็นที่ทั้งสองประเทศมีความสนใจร่วมกัน โดยจะมีการลงนามร่วมกันในระหว่างการประชุม ASEAN-Japan Health Ministers Meeting on Universal Health Coverage and Population Ageing ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๔-๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ลงนามบันทึกความร่วมมือฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17347 | การขับเคลื่อนแนวทางการบูรณาการฐานข้อมูลประชาชนและการบริการภาครัฐ | มท | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับการขับเคลื่อนแนวทางการบูรณาการฐานข้อมูลประชาชนและการบริการภาครัฐ ดังนี้
๑. ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเร่งดำเนินการแจ้งรายชื่อฐานข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจน ซึ่งต้องใช้ในการบริการประชาชนไปยังกระทรวงมหาดไทยภายใน ๓ เดือน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ แล้วให้กระทรวงมหาดไทยรวบรวมและพิจารณารายชื่อฐานข้อมูลดังกล่าวแจ้งให้หน่วยงานเจ้าของฐานข้อมูลทราบโดยเร็ว ๒. ให้หน่วยงานเจ้าของฐานข้อมูลจัดเตรียมฐานข้อมูลให้แล้วเสร็จภายใน ๑ ปี นับแต่วันที่ได้รับแจ้งรายชื่อฐานข้อมูลจากกระทรวงมหาดไทย แล้วให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการเชื่อมระบบฐานข้อมูลดังกล่าวกับระบบฐานข้อมูลทะเบียนราษฎรและเปิดให้หน่วยงานที่ร้องขอใช้งานได้โดยเร็ว สำหรับภาระงบประมาณ หากมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณโดยคำนึงถึงการจัดทำงบประมาณแบบบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ในการขับเคลื่อนแนวทางบูรณาการฐานข้อมูลประชาชนและการบริการภาครัฐให้บรรลุผลสำเร็จเป็นรูปธรรม รวมทั้งติดตามและประเมินผลการเชื่อมโยงข้อมูลของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเป็นระยะ ๆ ต่อไป ๔. ให้กระทรงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการศึกษาข้อมูลสถานภาพและความพร้อมของฐานข้อมูลเพื่อวางแผนการให้บริการในอนาคต โดยให้กระทรวงมหาดไทยติดตามผลการเชื่อมโยงข้อมูลของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่ได้รับการสนับสนุนเครื่องอ่านบัตรประจำตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ เพื่อให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐมีการปรับปรุงระบบบริการประชาชนที่รองรับกับการใช้เครื่องอ่านบัตรดังกล่าว รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการในรูปแบบของคณะกรรมการบูรณาการฐานข้อมูลประชาชนและการบริการภาครัฐและพิจารณากรอบการพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลและบริการกลางในแต่ละด้าน โดยเฉพาะการรักษาสมดุลระหว่างความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล กับการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งาน ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๕. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการบูรณาการฐานข้อมูลประชาชนและการบริการภาครัฐของกระทรวงมหาดไทยและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในส่วนที่ประชาชนสามารถเข้าใช้บริการได้แล้ว ณ ปัจจุบัน ให้ประชาชนได้ทราบอย่างถูกต้องและทั่วถึง เพื่อให้ประชาชนได้เลือกใช้บริการได้ตามความเหมาะสมต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17348 | ข้อเสนอจากมติสมัชชาผู้สูงอายุระดับชาติ ปี 2560 | พม | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอจากมติสมัชชาผู้สูงอายุระดับชาติ ปี ๒๕๖๐ ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๖๐ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย) เป็นประธาน ได้มีมติรับรองมติสมัชชาฯ ใน ๓ ประเด็น คือ (๑) การขยายโอกาสในการทำงานของแรงงานสูงอายุนอกระบบเข้าสู่วิสาหกิจชุมชน (๒) การขยายอายุการทำงานของแรงงานในสถานประกอบการจากอายุ ๕๕ ปี เป็น ๖๐ ปี และ (๓) การสร้างหลักประกันรายได้ยามสูงวัย และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนและดำเนินการตามมติสมัชชาฯ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17349 | สรุปผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยโดยสถาบัน IMD ปี 2560 | นร11 | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยโดยสถาบันการจัดการนานาชาติ (International Institute for Management Development : IMD) ปี ๒๕๖๐ ซึ่ง IMD ได้จัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของเขตเศรษฐกิจทั่วโลก จำนวน ๖๓ ประเทศ โดยผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขัน ๕ อันดับแรก ได้แก่ ฮ่องกง สวิตเซอร์แลนด์ สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา และเนเธอร์แลนด์ ส่วนประเทศในกลุ่มอาเซียน IMD ได้จัดอันดับความสามารถในการแข่งขัน ๕ อันดับแรก ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ทั้งนี้ อันดับความสามารถในการแข่งขันของไทยที่ปรับตัวดีขึ้นสะท้อนถึงการปรับตัวดีขึ้นของสภาวะเศรษฐกิจระดับมหภาค เสถียรภาพและความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นของนักธุรกิจต่อประสิทธิภาพการให้บริการภาครัฐ รวมทั้งกฎระเบียบ/กฎหมายทางเศรษฐกิจที่เอื้อต่อการทำธุรกิจของภาคเอกชนมากขึ้น อย่างไรก็ดี ยังคงมีตัวชี้วัดย่อยบางประการที่มีอันดับลดลง เช่น ตัวชี้วัดการลงทุนจากต่างประเทศ และกลุ่มตัวชี้วัดด้านโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ ด้านสุขภาพ และด้านการศึกษา ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17350 | การรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2560 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2560 | กค | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. สถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๐ ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๐ มีจำนวน ๖,๑๖๖,๕๔๙.๓๒ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๒.๒๗ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) โดยเป็นหนี้รัฐบาล จำนวน ๔,๗๒๘,๖๕๕.๖๐ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจ จำนวน ๙๖๒,๘๘๕.๓๒ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินซึ่งรัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ จำนวน ๔๕๕,๕๘๐.๑๘ ล้านบาท และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ จำนวน ๑๙,๔๒๘.๒๒ ล้านบาท ๒. ผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะได้จัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ โดยได้มีการปรับปรุงแผนฯ แล้ว ๑ ครั้ง มีวงเงินรวมในแผนฯ ๑,๗๔๙,๕๘๔.๒๒ ล้านบาท ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๐ กระทรวงการคลังและหน่วยงานต่าง ๆ ได้ดำเนินการกู้เงินและบริหารหนี้เป็นวงเงินทั้งสิ้น ๗๔๕,๕๐๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๒.๖๑ ของแผนฯ ๓. ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการลงทุนตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ของรัฐวิสาหกิจ จากการติดตามผลการดำเนินโครงการลงทุนของรัฐวิสาหกิจพบว่า มีโครงการของการรถไฟแห่งประเทศไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ที่มีผลการดำเนินงานล่าช้ากว่าแผน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17351 | ขอความเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสนับสนุนด้านการส่งกำลังบำรุงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งประเทศออสเตรเลีย | กห | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสนับสนุนด้านการส่งกำลังบำรุงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งประเทศออสเตรเลีย) ๑.๒ ให้กระทรวงกลาโหมจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสนับสนุนด้านการส่งกำลังบำรุงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งประเทศออสเตรเลีย มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความร่วมมือด้านการทหารที่จะนำไปสู่การยกระดับความร่วมมือด้านความมั่นคงและเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกองทัพของทั้งสองประเทศในอนาคต โดยมีจุดมุ่งหมายให้ผู้เข้าร่วมแต่ละฝ่ายจัดเตรียมหรืออำนวยความสะดวกในการสนับสนุนการส่งกำลังบำรุงร่วมกันภายใต้กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ นโยบายและวิธีปฏิบัติและพันธกรณีระหว่างประเทศของตน เช่น การสนับสนุนวัสดุ อะไหล่ ชิ้นส่วนซ่อม การซ่อมบำรุงการบริการทางเทคนิคทางการทหาร บริการด้านการแพทย์ การเคลื่อนย้ายการอพยพบุคลากรเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล การแลกเปลี่ยนบุคลากรและข้อมูล การจัดให้มีการฝึกอบรมบุคลากรร่วมกัน รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากฐานอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ โดยมีกำหนดการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในการประชุมคณะกรรมการอำนวยการและประสานงานความร่วมมือทางทหารระหว่างกระทรวงกลาโหมกับกระทรวงกลาโหมประเทศออสเตรเลีย ระหว่างวันที่ ๑๐ ถึง ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ๑.๓ ให้เจ้ากรมส่งกำลังบำรุงทหารเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17352 | หนังสือข้อตกลงระหว่างภาคีสนับสนุนแผนยุทธศาสตร์ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับองค์การอนามัยโลก (Letter of Agreement among Organizations participating in the WHO-RTG Country Cooperation Strategy : CCS) พ.ศ. 2560 - 2564 | สธ | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบหนังสือข้อตกลงระหว่างภาคีสนับสนุนแผนยุทธศาสตร์ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับองค์การอนามัยโลก (Letter of Agreement among Organizations participating in the WHO-RTG Country Cooperation Strategy : CCS) พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ มีวัตถุประสงค์เป็นการกำหนดแนวทาง ขั้นตอนความร่วมมือในการดำเนินโครงการด้านสาธารณสุขที่สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับ CCS ประกอบด้วยแผนงาน ๖ ด้าน ได้แก่ (๑) แผนงานโรคไม่ติดต่อ (๒) แผนงานความปลอดภัยบนท้องถนน (๓) แผนงานสุขภาพของผู้ย้ายถิ่น (๔) แผนงานการติดเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ (๕) แผนงานการสร้างความเข้มแข็งของงานสุขภาพโลกเพื่อการพัฒนาสุขภาพในประเทศ และ (๖) แผนงานการพัฒนาศักยภาพด้านการค้าระหว่างประเทศและสุขภาพ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. สำหรับงบประมาณเพื่อดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายงบประมาณที่ได้รับจัดสรรไว้แล้ว ส่วนในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป เห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17353 | ภาพรวมมาตรการทางเศรษฐกิจของภาครัฐและข้อเสนอมาตรการทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป | นร11 | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาพรวมมาตรการทางเศรษฐกิจของภาครัฐและข้อเสนอมาตรการทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปพิจารณาปรับปรุงข้อเสนอในการจัดทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดความชัดเจนใน ๓ กลุ่มเป้าหมายสำคัญดังต่อไปนี้ แล้วแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอในการจัดทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป
๑. กลุ่มเกษตรกร นอกจากประเด็นการเพิ่มส่วนแบ่งผลประโยชน์แก่เกษตรกรแล้ว ควรพิจารณากำหนดให้มีมาตรการที่เกี่ยวกับการเพิ่มความเข้มแข็งและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเกษตรกรด้วย ๒. กลุ่มผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ควรเพิ่มมาตรการเกี่ยวกับการสนับสนุน SMEs เช่น มาตรการสินเชื่อแบบผ่อนปรนพิเศษเพื่อให้ SMEs สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้โดยไม่ติดเงื่อนไข การช่วยเหลือ SMEs เพื่อรับมือกับความผันผวนของค่าเงินบาท โดยการปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมในการประกันความเสี่ยง (Spread) เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ SMEs ในการประกอบธุรกิจกับต่างประเทศ การเชื่อมโยงการประกอบธุรกิจของ SMEs กับกลไกประชารัฐ รวมทั้งเร่งรัดเตรียมการด้านต่าง ๆ เพื่อรองรับร่างพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. .... ที่จะมีผลบังคับใช้ต่อไป ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญที่สนับสนุนให้เกิดการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรม ลดการผูกขาด และเพิ่มโอกาสในการแข่งขันให้กับ SMEs ๓. กลุ่มผู้มีรายได้น้อย ควรเพิ่มมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและเพิ่มสภาพคล่องในระดับฐานราก เช่น การจัดกิจกรรมตลาดนัดชุมชนเพื่อเป็นช่องทางให้ผู้มีรายได้น้อยมีพื้นที่ในการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าภายในชุมชน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17354 | ท่าทีของราชอาณาจักรไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 41 | ทส | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการกำหนดท่าทีของราชอาณาจักรไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๑ (41st Session of the World Heritage Committee) ระหว่างวันที่ ๒-๑๒ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ณ เมืองคราคูฟ สาธารณรัฐโปแลนด์ โดย ๑.๑.๑ ให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยกล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมเพื่อแสดงให้เห็นว่า ไทยให้ความสำคัญต่อการดูแลและอนุรักษ์แหล่งมรดกโลกพื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ และนครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา โดยมอบหมายให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกรมศิลปากรจัดทำข้อมูลเพื่อใช้ประกอบการกล่าวถ้อยแถลงของหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ๑.๑.๒ กรณีมีประเด็นอื่นที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าให้อยู่ในดุลยพินิจของหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการพิจารณากำหนดท่าทีในประเด็นนั้น ๆ ทั้งนี้ ให้คณะผู้แทนไทยพิจารณาร่วมกันระหว่างการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๑ โดยคำนึงถึงหลักการของอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และข้อมูลด้านเทคนิคและวิชาการจากองค์กรที่ปรึกษา ๑.๒ รับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๔๑ โดยมอบหมายให้เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีสเป็นหัวหน้าคณะ และเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นรองหัวหน้าคณะ นายบวรเวท รุ่งรุจี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านประวัติศาสตร์ในคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ กรมศิลปากร กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในประเด็น (๑) โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยสะโตน จังหวัดสระแก้ว จากการศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวดล้อม พบว่าไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง เพราะไม่มีแหล่งน้ำต้นทุน จึงจำเป็นต้องมีการพิจารณาความเหมาะสมของการดำเนินโครงการดังกล่าวอยู่ และ (๒) โครงการอ่างเก็บน้ำลำพระยาธาร จังหวัดปราจีนบุรี จากผลการศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการ เมื่อปี ๒๕๔๐ พบว่าพื้นที่น้ำท่วมอยู่ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่และอุทยานแห่งชาติทับลาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่มรดกโลก และหากมีการพัฒนาโครงการ อาจส่งผลกระทบต่อราษฎรจำนวนมาก ปัจจุบันกรมชลประทานจึงไม่มีแผนการดำเนินการใด ๆ ในพื้นที่มรดกโลกนี้ อย่างไรก็ตาม หากในอนาคตมีความจำเป็นต้องดำเนินการโครงการดังกล่าว กรมชลประทานจะดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกำหนดมาตรการและแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากปัญหาสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17355 | การจัดตั้งศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยสะเต็มศึกษาของซีมีโอ (SEAMEO Regional Centre for STEM Education: SEAMEO STEM-ED) ในประเทศไทย | ศธ | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการจัดตั้งศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยสะเต็มศึกษาขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ซีมีโอ) [SEAMEO Regional Centre for STEM Education (Science Technology Engineering and Mathematics Education) : SEAMEO STEM-ED] ในประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาบุคลากรของภูมิภาคด้านสะเต็มศึกษา เพื่อใช้ในการพัฒนาประเทศสมาชิก และขับเคลื่อนนโยบายความร่วมมือด้านสะเต็มศึกษาในแต่ละด้านของภูมิภาคให้เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น รวมทั้งเป็นการเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่แน่นแฟ้นด้านสะเต็มศึกษาทั้งในและนอกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยให้กระทรวงศึกษาธิการเน้นบทบาทการดำเนินการของศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยสะเต็มศึกษาให้เป็นศูนย์รวบรวมข้อมูล องค์ความรู้และบูรณาการการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานเจ้าภาพหรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งให้มีการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและผลประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการจัดตั้งศูนย์ดังกล่าวเป็นระยะ ๆ ด้วย ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงาน ก.พ. เช่น การขอรับเอกสารสิทธิ์และความคุ้มกันสำหรับศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยสะเต็มศึกษา ควรมีลักษณะเทียบเคียงกับศูนย์ระดับภูมิภาคของซีมีโอที่ประเทศไทยเคยได้รับเป็นเจ้าภาพ และเป็นไปตามข้อบทที่กำหนดอยู่ในกฎบัตรของซีมีโอที่ประเทศไทยลงนามเมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๑ รวมทั้งควรประสานและบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานด้านสะเต็มศึกษาอื่นที่เกี่ยวข้องในด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและการให้คำปรึกษาด้านสะเต็มศึกษา และควรพิจารณาใช้รูปแบบการจ้างงานที่หลากหลายนอกเหนือจากการจ้างพนักงานประจำเพื่อให้เหมาะสมกับรูปแบบการทำงานและเกิดประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณด้านบุคคล ตลอดจนควรจัดทำแผนการดำเนินงาน (Roadmap) เป็นระยะ ทุก ๕ ปีให้ชัดเจน และแผนปฏิบัติการรายปี เพื่อกำกับ ติดตาม ประเมินผลการดำเนินงานที่สะท้อนผลสัมฤทธิ์ได้ชัดเจน และรายงานผลการดำเนินงานทุกปี เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17356 | โครงการภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี 2560/61 | พณ | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้ดำเนินโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าวที่มีการปฏิบัติตามระบบการเกษตรที่ดี (GAP) ครบวงจร ซึ่งเป็นการดำเนินการเชื่อมโยงกับโครงการส่งเสริมระบบการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่หลักเกณฑ์ใหม่) และโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โดยการส่งเสริมเชื่อมโยงตลาดระหว่างกลุ่มชาวนาผู้ผลิตข้าวอินทรีย์และข้าว GAP กับผู้ประกอบการค้าข้าว เพื่อให้กลุ่มชาวนาทั้ง ๒ ประเภทสามารถขายข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ได้ในราคาที่สูงกว่าราคาตลาด ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินโครงการฯ ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน ๒,๘๗๓,๒๗๖,๔๐๐ บาท และมีรายละเอียดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ประกอบด้วย ค่าชดเชยดอกเบี้ย และค่าบริหารจัดการ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้ประกอบการค้าข้าวที่ชัดเจนเพื่อให้เกิดความโปร่งใส และควรมีการกำกับดูแลการให้สินเชื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์โครงการฯ เพื่อให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวได้ประโยชน์สูงสุด ตลอดจนมีการวางระบบการติดตามการดำเนินงานโครงการฯ ให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงาน ให้สามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพ เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ รวมทั้งมีการเตรียมแผนการตลาดให้เชื่อมโยงรองรับผลผลิตจากโครงการฯ โดยเฉพาะการจับคู่กับผู้ประกอบการที่ใช้ผลผลิตข้าวเป็นวัตถุดิบในการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ข้าวต่าง ๆ ที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้สูงขึ้น นอกเหนือจากการแปรรูปเป็นข้าวสารเพื่อจำหน่ายในท้องตลาดเท่านั้น รวมถึงการจัดหาตลาดส่งออกเพิ่มขึ้น และขอความร่วมมือหน่วยงานต่าง ๆ ในการรับซื้อผลผลิตไปใช้ในหน่วยงาน นอกจากนี้ ควรเร่งกระบวนการตรวจสอบรับรองมาตรฐานเพื่อปิดช่องว่างปัญหาที่มีอยู่ และเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับผู้บริโภคได้ตระหนักถึงการบริโภคสินค้าปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นการเพิ่มช่องทางการตลาดในระยะยาวอีกทางหนึ่ง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาการจับคู่กลุ่มชาวนาผู้ผลิตข้าวอินทรีย์และข้าว GAP กับผู้ประกอบการค้าข้าวที่มีโรงสี/จุดรับซื้อที่มีระยะทางไม่ไกลจากพื้นที่เพาะปลูกของเกษตรกร และให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลและตรวจสอบให้ผู้ประกอบการค้าข้าวรับซื้อข้าวจากเกษตรกรในราคาสูงกว่าตลาดตามเงื่อนไขที่กำหนดอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่องด้วย ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการจัดสรรโควตาการส่งออกข้าวไป EU สำหรับผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์ให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17357 | ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือไทย - บังกลาเทศ ครั้งที่ 7 | กต | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีไทย-บังกลาเทศ ครั้งที่ ๗ (Draft Agreed Minutes of the 7th Session of the Thailand-Bangladesh Joint Commission on Cooperation) ซึ่งจะมีการรับรองร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ ในการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือไทย-บังกลาเทศ ครั้งที่ ๗ ระหว่างวันที่ ๕-๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงธากา สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือทวิภาคีที่ทั้งสองประเทศได้ดำเนินการร่วมกัน และประเด็นที่เห็นพ้องที่จะแก้ไข พัฒนาและ/หรือผลักดันให้เกิดความคืบหน้าเพื่อประโยชน์ในการดำเนินความสัมพันธ์ ได้แก่ การส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานด้านความมั่นคงของทั้งสองประเทศ การผลักดันและคุ้มครองผลประโยชน์ด้านการค้าการลงทุนไทยในบังกลาเทศ การส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาคเอเชียใต้กับอาเซียน การส่งเสริมนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพชาวบังกลาเทศในไทย ความร่วมมือด้านการฝึกอบรมบุคลากร ความร่วมมือด้านแรงงาน การส่งเสริมการท่องเที่ยวและการบิน และความร่วมมือในเวทีพหุภาคีที่ทั้งสองประเทศเป็นสมาชิก ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ ครั้งที่ ๗ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ ครั้งที่ ๗ จากที่เสนอในครั้งนี้ โดยไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศและคณะผู้แทนไทยที่เข้าร่วมประชุมดังกล่าวสามารถดำเนินการได้ โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าวให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ รายการค่าใช้จ่ายในการเจรจาและประชุมนานาชาติที่กระทรวงการต่างประเทศได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้แล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17358 | รายงานผลการจัดระดับประเทศไทย ในรายงานการค้ามนุษย์ของสหรัฐอเมริกา ประจำปี 2560 | พม | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการจัดระดับประเทศไทย ในรายงานการค้ามนุษย์ (Trafficking in Persons Report : TIP Report) ประจำปี ๒๕๖๐ โดยกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้เผยแพร่รายงานการค้ามนุษย์ (TIP Report) ประจำปี ๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๐ จัดระดับประเทศไทยอยู่ในระดับ ๒ ที่ต้องจับตามอง (Tier 2 Watch List) เป็นปีที่สองต่อเนื่องจากปีที่แล้ว และระบุในรายงานว่า เนื่องจากประเทศไทยยังไม่บรรลุถึงมาตรฐานขั้นต่ำในการขจัดการค้ามนุษย์ แต่มีความพยายามในการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) กำกับให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการดำเนินการในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ของประเทศไทยร่วมกับองค์กรภาคเอกชน องค์กรสาธารณประโยชน์ (NGOs) ที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด รวมทั้งให้มีการสร้างการรับรู้กับสื่อและองค์กรต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง รวดเร็ว และทั่วถึงด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17359 | ความต้องการงบประมาณของศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย (ช่วง 1 เมษายน 2560 - 30 กันยายน 2560) | อื่นๆ | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) ระหว่างวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๐-๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ ภายในกรอบวงเงิน ๕๒๑,๒๕๒,๐๐๐ บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามที่ ศปมผ. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17360 | การขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | นร07 | 04/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทาง หลักเกณฑ์ และขั้นตอนการเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
.....