ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 739 จากทั้งหมด 6214 หน้า แสดงรายการที่ 14761 - 14780 จากข้อมูลทั้งหมด 124278 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
14761 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ พ.ศ. .... | มท | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรมีการยกเว้นให้สามารถติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนขนาดเล็กเพื่อสนับสนุนภาคการเกษตรและใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ได้ และควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองพิจารณาสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นของเทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบลในพื้นที่ กำกับ ดูแล และอนุมัติการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นไปตามข้อกำหนดของผังเมืองรวมอย่างเข้มงวด เพื่อรักษาฐานเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมที่ดีของชุมชนให้คงอยู่ต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14762 | ผลการพิจารณารายงานผลการพิจารณาศึกษา เรื่อง การจัดสภาพแวดล้อมสาธารณะที่ทุกคนเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ (Accessibility for All Act : AAA) ของคณะกรรมาธิการการสังคม เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการสังคม เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง การจัดสภาพแวดล้อมสาธารณะที่ทุกคนเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ (Accessibility for All Act : AAA) โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้รวบรวมผลการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นชอบกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ โดยได้กำหนดไว้ในแผนของหน่วยงาน (ระยะ ๑-๕ ปี) เช่น สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มผู้พิการและผู้สูงอายุ กระทรวงคมนาคมมีแผนจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการ ปี ๒๕๖๑-๒๕๖๔ ได้แก่ พื้นผิวต่างสัมผัส กระทรวงศึกษาธิการส่งเสริมและสนับสนุนให้สถาบันอุดมศึกษาจัดให้มีและปรับสภาพแวดล้อมเพื่อเอื้อต่อการใช้ชีวิตในสถาบันอุดมศึกษาของนักศึกษาพิการ เป็นต้น นอกจากนี้ ได้มีข้อสังเกต เช่น การจัดสภาพแวดล้อมสาธารณะ เห็นควรเป็นการออกแบบที่เป็นสากลเพื่อคนทั้งมวลและเป็นประโยชน์กับทุกคน เห็นควรเพิ่มการบังคับใช้กฎหมายให้เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และการขับเคลื่อนให้เกิดการบูรณาการความร่วมมือในทุกภาคส่วน เป็นต้น ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14763 | ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการประมงน้ำจืดในที่จับสัตว์น้ำที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการประมงพื้นบ้าน พ.ศ. .... | กษ | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการประมงน้ำจืดในที่จับสัตว์น้ำที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทำการประมงพื้นบ้าน พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาต และการอนุญาตให้ทำการประมงน้ำจืดในที่จับสัตว์น้ำที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และทำการประมงพื้นบ้าน โดยใช้เครื่องมือทำการประมงที่ต้องใช้วิธีลงหลัก ปัก ผูก ขึง รั้ง ถ่วง หรือวิธีการอื่นใดอันทำให้เครื่องมือนั้นอยู่กับที่ขณะทำการประมง ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการดำเนินการภายใต้กฎกระทรวงฯ ทั้ง ๒ ฉบับ อย่างทั่วถึง และบังคับใช้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามขั้นตอนอย่างเคร่งครัด รวมทั้งควรมีการติดตามผลกระทบจากการดำเนินงานตามข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถพิจารณาปรับปรุงแนวทางการดำเนินงานให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14764 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าแม่แจ่ม และป่าขุนแม่ลาย ในท้องที่ตำบลปางหินฝน ตำบลช่างเคิ่ง ตำบลบ้านทับ ตำบลท่าผา ตำบลกองแขก อำเภอแม่แจ่ม และตำบลบ่อหลวง ตำบลบ่อสลี อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... (อุทยานแห่งชาติแม่โถ) | ทส | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าแม่แจ่ม และป่าขุนแม่ลาย ในท้องที่ตำบลปางหินฝน ตำบลช่างเคิ่ง ตำบลบ้านทับ ตำบลท่าผา ตำบลกองแขก อำเภอแม่แจ่ม และตำบลบ่อหลวง ตำบลบ่อสลี อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... (อุทยานแห่งชาติแม่โถ) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดบริเวณที่ดินให้เป็นอุทยานแห่งชาติ เพื่อคุ้มครองรักษาทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญและมีค่า ตลอดจนทิวทัศน์ที่สวยงามไว้ให้คงอยู่ในสภาพธรรมชาติเดิม มิให้ถูกทำลายหรือเปลี่ยนแปลงไป เพื่อประโยชน์แก่การศึกษาและรื่นรมย์ของประชาชน และอำนวยประโยชน์อื่นแก่รัฐและประชาชน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14765 | การขอรับจัดสรรงบเงินอุดหนุนแก่มูลนิธิอาเซียน (ASEAN Foundation) | กต | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้กระทรวงการต่างประเทศเสนอคำขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบเงินอุดหนุน เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของมูลนิธิอาเซียน (ASEAN Foundation) จำนวนปีละ ๑๕,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นต้นไป โดยไม่ต้องเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเพื่อการดังกล่าว เห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ รายการเงินอุดหนุนองค์การระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิกที่ได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายรองรับไว้แล้ว จำนวน ๕๓๐,๐๘๖,๕๐๐ บาท ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายสำหรับเงินอุดหนุนมูลนิธิอาเซียน จำนวน ๑๕,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ ๔๗๒,๕๐๐ บาท (คิดอัตราแลกเปลี่ยน ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ๓๑.๕๐ บาท) ไว้ด้วยแล้ว ทั้งนี้ การใช้จ่ายงบประมาณสำหรับรายการดังกล่าวให้สามารถดำเนินการได้เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ประกาศใช้บังคับแล้ว ส่วนภาระค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ได้รับการบรรจุไว้ในกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายล่วงหน้าระยะปานกลางของสำนักงบประมาณแล้ว จึงไม่เป็นการเพิ่มภาระงบประมาณในอนาคต ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยเห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14766 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 2/2561 | กค | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๑ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และข้อสั่งการเพิ่มเติมของนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจในคราวประชุมดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจมีมติมอบหมายให้รัฐวิสาหกิจ ๖ แห่ง ได้แก่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) การรถไฟแห่งประเทศไทย องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย เร่งรัดดำเนินการตามแผนการฟื้นฟูองค์กร และให้กระทรวงที่กำกับการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจกำกับและติดตามการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง รวมทั้งนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจได้มีข้อสั่งการเพิ่มเติมในประเด็นต่าง ๆ เช่น (๑) การจัดทำแผนยุทธศาสตร์ระบบคมนาคมขนส่งในภาพรวม (๒) การกำหนดมาตรการรองรับการเกษียณอายุก่อนกำหนดของบุคลากรรัฐวิสาหกิจ และบุคลากรที่จะเข้าสู่กลุ่มผู้เกษียณอายุ และ (๓) การสร้างการรับรู้ให้กับพนักงานให้ตระหนักถึงความจำเป็นในการดำเนินการตามแผนการแก้ไขปัญหาองค์กร ๑.๒ คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจมีมติเห็นชอบกรอบหลักการและแนวทางการกำกับดูแลกิจการที่ดีในรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นการปรับปรุงแนวทางการกำกับดูแลกิจการที่ดีในรัฐวิสาหกิจในปี ๒๕๕๒ (ฉบับเดิม) โดยได้พิจารณาให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและตามมาตรฐานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยหลักการและแนวทางการกำกับดูแลกิจการที่ดีในรัฐวิสาหกิจ ฉบับปรับปรุง จะมีทั้งสิ้น ๑๐ หมวด ประกอบด้วย (๑) การดำเนินงานของภาครัฐในฐานะเจ้าของ (๒) การดำเนินงานตามกฎหมาย (๓) สิทธิและความเท่าเทียมกันของเจ้าของกิจการ/ผู้ถือหุ้น (๔) ว่าด้วยเรื่องคณะกรรมการ (๕) บทบาทของผู้มีส่วนได้เสีย (๖) นวัตกรรมและความยั่งยืน (๗) การเปิดเผยข้อมูล (๘) การบริหารความเสี่ยงและการควบคุมภายใน (๙) จรรยาบรรณ และ (๑๐) การติดตามผลการดำเนินงาน ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและข้อสังเกตของธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับกรณีการเพิ่มทุนให้ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยว่า ภายหลังการเพิ่มทุนให้กับธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จำนวน ๑๘,๑๐๐ ล้านบาท ส่วนของทุนของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยก็จะยังติดลบอยู่ เนื่องจากที่ผ่านมาธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยมีผลประกอบการขาดทุนเพิ่มขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14767 | รายงานผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนเป็นรายไตรมาส | มท | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนเป็นรายไตรมาส ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ข้อมูลสถิติการเกิดอุบัติเหตุ จากผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน มีข้อมูลสถิติการเกิดอุบัติเหตุ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ ถึง ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ จำนวน ๒๓,๕๓๒ ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ (Admit) ๑๙,๘๗๙ คน และมีผู้เสียชีวิต ๖,๖๖๐ ราย เปรียบเทียบกับข้อมูลการเกิดอุบัติเหตุในช่วงเวลาเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ (ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ ถึง ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐) พบว่าการเกิดอุบัติเหตุลดลง ๔,๘๔๖ ครั้ง จำนวนผู้บาดเจ็บลดลง ๔,๖๘๓ คน และจำนวนผู้เสียชีวิตลดลง ๑,๘๒๑ ราย ๑.๒ การดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ (๑) การดำเนินการบริหารจัดการการใช้ความเร็วในพื้นที่ชุมชน เพื่อกำหนดแนวทางและวิธีปฏิบัติให้มีการใช้ความเร็วที่เหมาะสม (๒) การดำเนินโครงการพัฒนาระบบและมาตรฐานการสืบสวนอุบัติเหตุทางถนน โดยการเสริมสร้างความรู้และศักยภาพในการปฏิบัติงานด้านความปลอดภัยทางถนน และ (๓) การดำเนินการว่าจ้างมหาวิทยาลัยนเรศวรจัดทำแผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๔ เพื่อใช้เป็นแผนหลักในการบูรณาการการดำเนินการด้านการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณานำเทคโนโลยีดิจิทัลและผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา/ปรับปรุงวัสดุอุปกรณ์ด้านจราจรต่าง ๆ มาใช้สนับสนุนการแก้ไขปัญหาจราจรด้วย เช่น ระบบสัญญาณไฟจราจร เครื่องตรวจจับความเร็ว ไฟส่องสว่าง เป็นต้น ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมภายใน ๓ เดือน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14768 | รายงานผลการบูรณาการขับเคลื่อนโครงการตลาดประชารัฐ ครั้งที่ 3 | มท | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการบูรณาการขับเคลื่อนโครงการตลาดประชารัฐ ครั้งที่ ๓ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ ถึงปัจจุบัน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การขับเคลื่อนตลาดประชารัฐในแต่ละประเภท กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลตลาดประชารัฐทั้ง ๑๐ ประเภท จำนวนตลาดทั้งหมด ๖,๖๑๐ แห่ง ได้ดำเนินการเปิดตลาดประชารัฐ โดยส่วนใหญ่เป็นการขยายพื้นที่ค้าขายในตลาดที่เปิดทำการอยู่แล้ว และจัดสรรพื้นที่จำหน่ายสินค้าให้กับผู้ลงทะเบียนเป็นผู้ประกอบการโครงการตลาดประชารัฐทั่วประเทศและกรุงเทพมหานคร ๒. การจัดสรรพื้นที่จำหน่ายสินค้าและรายได้ของผู้ประกอบการ กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลตลาดประชารัฐทั้ง ๑๐ ประเภท ขยายพื้นที่ค้าขายเพื่อรองรับผู้ประกอบการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการตลาดประชารัฐ จำนวน ๖,๖๑๐ แห่ง โดยมีผู้ลงทะเบียน ๑๐๕,๓๙๘ ราย ปัจจุบันได้ดำเนินการจัดสรรจำหน่ายสินค้าแล้วร้อยละ ๙๑.๓๒ (จำนวน ๙๖,๒๔๖ ราย) มีจังหวัดที่ดำเนินการจัดสรรพื้นที่ให้ผู้ประกอบการเสร็จสิ้นแล้ว ๕๑ จังหวัด ยังคงเหลือผู้ประกอบการที่รอการจัดสรรพื้นที่ค้าขาย ๙,๑๕๒ ราย และนับตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ มีการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากทั้งประเทศ ๑,๒๑๙.๓๓ ล้านบาท สร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นเฉลี่ย ๑,๘๑๐ บาท ต่อเดือน (ข้อมูล ณ วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑) ๓. การปรับปรุงตลาดให้ได้มาตรฐานตลาดประชารัฐ หน่วยงานที่กำกับดูแลตลาดประชารัฐได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลตลาดทุกประเภทโดยผู้บริหารจัดการตลาดประชารัฐ (Chief Marketing Officer : CMO) กระทรวงสาธารณสุข กรมอนามัย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการตรวจประเมินตลาด โดยได้ดำเนินการประเมินแล้ว จำนวน ๑,๗๗๖ แห่ง คิดเป็นร้อยละ ๓๗.๓๐ ของจำนวนตลาดประชารัฐ ผลจากการประเมิน พบว่า มีตลาดที่อยู่ในระดับดีมาก ๒๕๓ แห่ง (ร้อยละ ๑๔.๒๕) และต้องปรับปรุง ๓๔๙ แห่ง (ร้อยละ ๑๙.๖๕) ทั้งนี้ อยู่ระหว่างการปรับปรุงตลาดอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้คุณภาพที่ยั่งยืนต่อไป ๔. หลักสูตรและจัดการอบรมผู้บริหารจัดการตลาดประชารัฐ (CMO) องค์การบริหารส่วนจังหวัดได้จัดทำหลักสูตรอบรมการบริหารจัดการตลาดให้กับ CMO และผู้ประกอบการ โดยได้ดำเนินการจัดอบรมแล้ว จำนวน ๒๕ จังหวัด มีผู้เข้าร่วมอบรม ๓,๐๓๙ คน ๕. คลินิกผู้ประกอบการตลาดประชารัฐ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการพัฒนาชุมชน ได้จัดทำคลินิกผู้ประกอบการตลาดประชารัฐ ในระดับอำเภอ เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการที่ไม่มีประสบการณ์ค้าขาย ปัจจุบันได้พัฒนาไปแล้ว ๖,๒๙๘ ราย แบ่งเป็นการพัฒนาด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ ๒,๑๑๑ ราย ด้านประสบการณ์ค้าขาย ๒,๑๙๑ ราย ด้านประสานแหล่งทุนเพื่อต่อยอดการผลิตสินค้าให้ได้คุณภาพมาตรฐาน ๑,๙๐๔ ราย และด้านอื่น ๆ (ภาษาอังกฤษ การลงทะเบียน OTOP) ๙๒ ราย ๖. การส่งเสริมตลาดประชารัฐเพื่อการท่องเที่ยว ตลาดประชารัฐได้รับการยกระดับเป็นตลาดเพื่อการท่องเที่ยวจังหวัด ดำเนินการร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โดยจังหวัดคัดเลือกตลาดประชารัฐที่มีศักยภาพเพื่อเสนอเป็นกิจกรรมในการปฏิทิน “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน” จำนวนตลาด ๑๗๑ แห่ง จาก ๗๐ จังหวัด โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้รับข้อมูลตลาดประชารัฐเพื่อบรรจุในปฏิทิน “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน” แล้ว และบูรณาการร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในการประชาสัมพันธ์ตลาดประชารัฐในช่องทางสื่อต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง และมีการบรรจุตลาดประชารัฐไว้ในโปรแกรมแนะนำนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ๗. การสนับสนุนพื้นที่ในตลาดประชารัฐช่วยเหลือเกษตรกรนำสินค้าเกษตรมาจำหน่ายในตลาดประชารัฐ หน่วยงานที่กำกับดูแลตลาดประชารัฐได้สนับสนุนการรับสินค้าเกษตรเพื่อเป็นแหล่งระบายสินค้าทางการเกษตรตามฤดูกาลช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบภาวะสินค้าล้นตลาด โดยในเดือนมิถุนายน ๒๕๖๑ ได้ดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรในการจำหน่ายสินค้าข้าว ผักผลไม้ เกษตรอินทรีย์ และสินค้าแปรรูป มีเกษตรกร ๕,๗๐๒ ราย สร้างรายได้ ๒,๔๓๓,๓๖๔ บาท ๘. การประเมินโครงการเพื่อติดตามประเมินผลความสำเร็จโครงการตลาดประชารัฐ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการพัฒนาชุมชนได้จัดทำแบบสอบถามออนไลน์เพื่อติดตามประเมินผลความสำเร็จโครงการตลาดประชารัฐ ซึ่งผลการสำรวจพบว่า ผู้ซื้อมีความพึงพอใจในการใช้บริการตลาดประชารัฐ ๙. ก้าวต่อไปของโครงการตลาดประชารัฐ ได้แก่ ขยายตลาดประชารัฐในพื้นที่ให้เป็นตลาดกลางพืชผลทางการเกษตรของจังหวัดหรืออำเภอ และคัดเลือกตลาดประชารัฐที่มีการดำเนินการเป็นเลิศ (Best Practice) ของจังหวัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14769 | ผลการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2561 | ดศ | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เรื่องสืบเนื่อง จำนวน ๓ เรื่อง ได้แก่ โครงการติดตั้งระบบโครงข่ายโทรคมนาคมของการรถไฟแห่งประเทศไทย การทบทวนการขยายโครงข่ายเน็ตประชารัฐเพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ และการปรับปรุงหลักเกณฑ์การให้บริการโครงข่ายแบบเปิด (Open Access Network) ในการใช้งานโครงข่ายเน็ตประชารัฐ ๒. เรื่องเพื่อพิจารณา จำนวน ๓ เรื่อง ได้แก่ แนวทางการเตรียมโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเพื่อขับเคลื่อน 5G การจัดตั้งสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย และมาตรการสร้างและพัฒนากำลังคนภาครัฐเชิงกลยุทธ์เพื่อไปสู่ดิจิทัลไทยแลนด์ ๓. เรื่องเพื่อทราบ จำนวน ๕ เรื่อง ได้แก่ ผลการดำเนินงานของคณะกรรมการภายใต้พระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. ๒๕๖๐ ผลการดำเนินงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายเพื่อใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ศูนย์ข้อมูล (Data Center) และคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) รายงานการเป็นสมาชิกและผลการประชุมองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) (ร่าง) พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. .... และผลกระทบจาก EU General Data Protection Regulation (GDPR) และการบริหารกิจการดาวเทียมสื่อสารของประเทศไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14770 | ขออนุมัติโครงการเฉลิมพระเกียรติเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระชนมายุ 60 พรรษา | รจภ. | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมชี้แจงเพิ่มเติมว่า โครงการศูนย์การเรียนรู้และวิจัยเฉลิมพระเกียรติ ๖๐ พรรษา เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ [โครงการก่อสร้างโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ขนาด ๔๐๐ เตียง ส่วนขยายเพิ่มเติมการให้บริการทางการแพทย์และการจัดการเรียนการสอนระดับปรีคลินิกของนักศึกษาแพทย์ พยาบาลวิทยาศาสตร์การแพทย์ วิทยาศาสตร์สุขภาพและบุคลากรทางการแพทย์อื่น ๆ ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๗)] ที่เสนอในครั้งนี้ ไม่ปรากฏว่ามีการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลเพิ่มเติมหรือมีจำนวนเตียงผู้ป่วยไว้ค้างคืนที่เพิ่มขึ้นจากโครงการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ขนาด ๔๐๐ เตียง ส่วนขยายเพิ่มเติมการให้บริการทางการแพทย์ ระยะที่ ๑ จึงไม่เข้าข่ายที่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีแต่ประการใด ๒. เห็นชอบในหลักการโครงการเฉลิมพระเกียรติเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระชนมายุ ๖๐ พรรษา ภายในกรอบวงเงิน ๑๐,๒๓๒.๗๓๑๐ ล้านบาท ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๗๔ ประกอบด้วย (๑) โครงการศูนย์การเรียนรู้และวิจัยเฉลิมพระเกียรติ ๖๐ พรรษา เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๗) วงเงิน ๕,๓๐๐.๒๗๓๘ ล้านบาท (๒) โครงการทุนเฉลิมพระเกียรติเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระชนมายุ ๖๐ พรรษา เพื่อพัฒนาผู้มีอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์ด้านภัยพิบัติ (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๗๔) วงเงิน ๓,๕๘๖.๗๐๐๐ บาท (๓) โครงการทุนเฉลิมพระเกียรติเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระชนมายุ ๖๐ พรรษา เพื่อพัฒนาผู้มีอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๗๑) วงเงิน ๘๑๐.๐๙๐๐ ล้านบาท และ (๔) โครงการศูนย์แพทย์ภัยพิบัติและฉุกเฉินเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ (ระยะที่ ๑) (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๖) วงเงิน ๕๓๕.๖๖๗๒ ล้านบาท ตามที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์เสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการดังกล่าว ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์จะต้องคำนึงถึงความประหยัด คุ้มค่า และประโยชน์ที่ประชาชนและราชการจะได้รับ และจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมรายละเอียดที่เกี่ยวข้องเพื่อขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี รวมทั้งพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ส่งข้อมูลเกี่ยวกับการเตรียมกำลังคนด้านการวิจัยและวิชาการของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ รวมถึงโครงการทุนเฉลิมพระเกียรติเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ เพื่อพัฒนาผู้มีอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์ด้านภัยพิบัติ และโครงการทุนเฉลิมพระเกียรติเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ เพื่อพัฒนาผู้มีอัจฉริยภาพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเพื่อประกอบการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การปฏิรูปกำลังคนและภารกิจบริการด้านสาธารณสุขในภาพรวมทั้งระบบ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑ [เรื่อง การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข (ตำแหน่งนายแพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกร)] ๔. ให้ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ. เช่น การพิจารณาจัดทำแผนอัตรากำลังคนเพื่อรองรับผู้ที่ได้รับการสนับสนุนทุนภายหลังสำเร็จการศึกษา การพิจารณาถึงความเหมาะสมของกรอบอัตรากำลังคนและงบประมาณ เนื่องจากจะมีผลผูกพันด้านงบประมาณของประเทศในระยะยาวต่อไป และการพิจารณาถึงสัดส่วนการจัดสรรทุนที่สอดคล้องกับแผนอัตรากำลังคนภาครัฐที่ต้องการสำหรับการให้บริการสุขภาพของประชาชนในแต่ละสาขา รวมถึงการกำหนดแนวทางการบริหารจัดการโครงการที่มุ่งเน้นให้เกิดการกระจายและการธำรงรักษาบุคลากรทางการแพทย์ดังกล่าวให้คงอยู่ในระบบ โดยเฉพาะพื้นที่ทุรกันดาร เพื่อเป็นการยกระดับการให้บริการสุขภาพที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14771 | ผลการหารือทวิภาคีของนายกรัฐมนตรีในระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี - เจ้าพระยา - แม่โขง (ACMECS Summit) ครั้งที่ 8 ณ กรุงเทพมหานคร | กต | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการหารือทวิภาคีของนายกรัฐมนตรีในระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS Summit) ครั้งที่ ๘ ณ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๑ โดยนายกรัฐมนตรีได้หารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) และนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม สรุปได้ ดังนี้ (๑) การหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นต่าง ๆ เช่น การผลักดันการเปิดจุดผ่านแดนที่ป่าไร่-โอเนียง การผลักดันปริมาณการค้าของทั้งสองฝ่ายให้เป็นไปตามเป้าหมาย ๑.๕ หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ๒๕๖๓ และการเร่งรัดการลงนามความตกลงว่าด้วยการข้ามแดนระหว่างประเทศ เป็นต้น (๒) การหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรี สปป.ลาว ทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นต่าง ๆ เช่น การส่งเสริมการซื้อขายสินค้าเกษตรระหว่างกัน การพิจารณาการรับซื้อไฟฟ้าจาก สปป.ลาว รวมถึงพิจารณาเรื่องราคาไฟฟ้าด้วย เป็นต้น และ (๓) การหารือทวิภาคีร่วมกับนายกรัฐมนตรีเวียดนาม ทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นต่าง ๆ เช่น การผลักดันการค้าทวิภาคีบรรลุเป้าหมาย ๒ หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี ๒๕๖๓ และการพิจารณาขยายการจ้างแรงงานเวียดนามให้ครอบคลุมสาขาบริการและสาขาอุตสาหกรรม เป็นต้น และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการหารือฯ เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดติดตามการดำเนินการของฝ่ายเวียดนามในการแก้ไขปัญหาการส่งออกรถยนต์ของไทยไปยังสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และให้ดำเนินการต่อไปโดยยึดหลักการของผลประโยชน์ต่างตอบแทนที่เท่าเทียมกัน รวมทั้งให้พิจารณาแสวงหาตลาดอื่น ๆ เพื่อการส่งออกรถยนต์ของไทยเพิ่มเติมด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับการเปิดจุดผ่านแดนถาวรต่าง ๆ หากการเปิดจุดผ่านแดนที่จะทำการเปิดยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องเขตแดน เห็นควรหารือกับกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงกลาโหม (กรมแผนที่ทหาร) ตรวจสอบพื้นที่ก่อน เพื่อจะไม่ส่งผลกระทบต่อการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14772 | สรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 42 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2560 - 31 พฤษภาคม 2561) และครั้งที่ 43 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2560 - 30 มิถุนายน 2561) [สรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 43 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2560 - 30 มิถุนายน 2561)] | นร | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๔๓ ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๐-๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น การขับเคลื่อนตามนโยบายรัฐบาล โดยดำเนินการชี้แจงทำความเข้าใจการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ส่งเสริมความสามัคคีสมานฉันท์ในพื้นที่ โดยการจัดงานประเพณี จัดกิจกรรมทางศาสนา และจัดกิจกรรมพัฒนา การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ การจัดกิจกรรมในการสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยคณะกรรมการหมู่บ้าน การจัดกิจกรรมส่งเสริมวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยเพื่อสร้างความปรองดองโดยอาสาสมัครต้นแบบประชาธิปไตย การจัดกิจกรรมให้ความรู้แก่ประชาชน เรื่อง โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริและหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียน ร้องทุกข์ของศูนย์ดำรงธรรม ๒. การบริหารราชการแผ่นดิน ประกอบด้วย (๑) ด้านความมั่นคง เช่น การเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยความจงรักภักดีและปกป้องรักษาพระบรมเดชานุภาพ โดยการใช้มาตรการทางกฎหมายในการตรวจสอบเว็บไซต์ที่เข้าข่ายกระทำความผิดตามกฎหมาย (๒) ด้านสังคมจิตวิทยา เช่น การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม และการสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของภาครัฐ การศึกษาและการเรียนรู้ การทำนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม (๓) ด้านเศรษฐกิจ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ การลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมภายใต้โครงการไทยนิยม ยั่งยืน ในกลุ่มผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง หรือผู้ที่ไม่สามารถเดินทางมาลงทะเบียนได้ในปี ๒๕๖๑ (๔) การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เช่น การจัดงาน “Technology Investment Conference 2018” และการจัดงาน “มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติระดับภูมิภาค” ประจำปี ๒๕๖๑ (National Science and Technology Fair 2018, Regional) (๕) ด้านการต่างประเทศ เช่น การเร่งส่งเสริมความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ในภูมิภาคอาเซียนและขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (๖) การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร และการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน เช่น การปฏิบัติการค้นหาผู้สูญหายในวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย และการจัดทำแผนการพัฒนาฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่วนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอนในระยะต่อไป และ (๗) ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การดำเนินโครงการพัฒนานักยุทธศาสตร์เพื่อการปฏิรูปประเทศเชิงบูรณาการ (Strategist Development Program) การลงนามบันทึกข้อตกลงการเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลสารสนเทศโดยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ และโครงการยกเลิกสำเนาเอกสารราชการ (No Copy)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14773 | ร่างสัญญาประธานในการจ้างธนาคารโลกเป็นที่ปรึกษาแบบมีค่าใช้จ่าย | กค | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างสัญญาประธานในการจ้างธนาคารโลกเป็นที่ปรึกษาแบบมีค่าใช้จ่าย (Framework Agreement for Reimbursable Advisory Services : RAS Framework Agreement) และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้ลงนามในร่างสัญญาประธานฯ เพื่อใช้เป็นสัญญาประธานในการจ้างธนาคารโลกเป็นที่ปรึกษาแบบมีค่าใช้จ่ายของทุกหน่วยงานรัฐต่อไป โดยร่างสัญญาประธานฯ เป็นรูปแบบหนึ่งของความร่วมมือทางวิชาการระหว่างธนาคารโลกและประเทศต่าง ๆ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดแนวทางความร่วมมือ ข้อกำหนดและเงื่อนไขที่ธนาคารโลกในฐานะผู้ให้บริการให้คำปรึกษา และหน่วยงานของรัฐในฐานะผู้รับบริการการให้คำปรึกษาต้องปฏิบัติตาม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างสัญญาประธานฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการคลังดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานอัยการสูงสุด เช่น ควรกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่หน่วยงานของรัฐจะดำเนินการจ้างธนาคารโลกในรูปแบบการให้ความร่วมมือทางวิชาการแบบมีค่าใช้จ่าย (Reimbursable Advisory Services : RAS) ให้ชัดเจน ควรระมัดระวังในการกำหนดเงื่อนไขของร่างสัญญาในแต่ละโครงการไม่ให้ขัดแย้งกับร่างสัญญาประธานฯ และเอกสารแนบท้ายสัญญาที่สำนักงานอัยการสูงสุดได้ตรวจพิจารณาแล้ว และควรให้หน่วยงานของรัฐจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณภายใต้กรอบวงเงินและแผนการชำระเงินเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายตามวิธีการงบประมาณต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14774 | ขอความเห็นชอบการจัดทำโครงการและลงนามหนังสือยืนยันการเข้าร่วมโครงการกับองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) | อก | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม (กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่) ร่วมกับองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Industrial Development Organization : UNIDO) ดำเนินโครงการส่งเสริมการนำแนวทางด้านเทคนิคที่ดีที่สุดและแนวการปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดมาใช้ลดการปลดปล่อยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนานประเภทปลดปล่อยโดยไม่จงใจจากโรงงานหลอมโลหะผ่านการปรับปรุงห่วงโซ่อุปทานของเศษโลหะให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Greening the Scrap Metal Value Chain through Promotion of BAT/BEP to Reduce U-POPs Releases from Recycling Facilities) เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก (Global Environment Facility : GEF) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการนำแนวทางด้านเทคนิคที่ดีที่สุดและแนวการปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดมาใช้ลดการปลดปล่อยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนานประเภทปลดปล่อยโดยไม่จงใจ เช่น ไดออกซินและฟิวแรนจากโรงงานหลอมโลหะ โดยกำหนดเป้าหมายการลดการปลดปล่อยต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ ๒๐ ภายในระยะเวลา ๕ ปี ๑.๒ ร่างหนังสือยืนยันการเข้าร่วมโครงการฯ กับ UNIDO ๑.๓ ให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นผู้ลงนามหนังสือยืนยันการเข้าร่วมโครงการฯ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาผลสัมฤทธิ์ที่ได้จากโครงการฯ ทั้งระหว่างดำเนินการและเมื่อสิ้นสุดโครงการฯ เพื่อนำมาพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมในการขยายผลการดำเนินโครงการในระยะต่อไปหลังสิ้นสุดโครงการไปยังกลุ่มเป้าหมายในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่มีการปลดปล่อยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนานประเภทปลดปล่อยโดยไม่จงใจ (U-POPs) อื่น โดยส่งเสริมการดำเนินการร่วมกันระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรม (กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่) และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมควบคุมมลพิษ) รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และควรพิจารณากำหนดงบประมาณแบบบูรณาการในการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยไม่ก่อให้เกิดภาระงบประมาณหรือภาระทางการคลังในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. สำหรับค่าใช้จ่ายที่ฝ่ายไทยต้องร่วมสนับสนุนในการดำเนินการผ่านหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ และในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ที่ได้รับจัดสรรไว้แล้ว โดยให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเป็นลำดับแรก ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป เห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14775 | ขอต่ออายุเงินกู้ระยะสั้นแบบ Credit Line ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | พน | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงพลังงาน โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ต่ออายุเงินกู้ระยะสั้นแบบ Credit Line ในวงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ระยะเวลา ๓ ปี นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ภายใต้เงื่อนไขเดิม ประกอบด้วย กู้เบิกเกินบัญชี ตั๋วสัญญาใช้เงิน การทำ Trust Receipt (T/R) และการทำสัญญากู้เงินเมื่อทวงถาม (Call Loan) โดยพิจารณาทำสัญญาเงินกู้กับสถาบันการเงินที่เสนอรูปแบบที่มีต้นทุนต่ำที่สุดตามอัตราดอกเบี้ยตลาดกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันเงินต้นและดอกเบี้ยจากการกู้เงินดังกล่าว ทั้งนี้ ให้กระทรวงพลังงาน และ กฟผ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ กฟผ. เสนอความต้องการกู้เงินไปยังสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะภายหลังจากที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้วเพื่อดำเนินการบรรจุในแผนการบริหารหนี้สาธารณะต่อไป และให้ กฟผ. พิจารณากู้เงินตามความจำเป็น โดยคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้และความยั่งยืนทางการคลังตามนัยมาตรา ๔๙ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ในอนาคตหาก กฟผ. ยังมีความจำเป็นต้องต่ออายุเงินกู้ระยะสั้นแบบ Credit Line ให้กระทรวงพลังงานเร่งรัดดำเนินการนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีก่อนระยะเวลาการกู้เดิมจะหมดอายุ เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๑๑ และที่แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๔๓ (๔) และป้องกันมิให้เกิดความเสี่ยงในการบริหารจัดการสภาพคล่องของ กฟผ.
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14776 | ขอความเห็นชอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2562 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพและการรถไฟแห่งประเทศไทย | กค | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จำนวน ๒,๒๕๑.๖๔๔ ล้านบาท และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จำนวน ๓,๓๓๓.๓๗๑ ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในคราวประชุมเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ และให้ ขสมก. และ รฟท. รายงานภาระที่รัฐต้องรับชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ในการดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง) ทราบ เพื่อสำนักงานเศรษฐกิจการคลังจะได้ดำเนินการจัดเก็บข้อมูลยอดคงค้างให้เป็นไปตามข้อเท็จจริงต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงคมนาคม และสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ ขสมก. และ รฟท. เร่งดำเนินงานตามแผนฟื้นฟูกิจการโดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาหนี้สิน การพลิกฟื้นฐานะองค์กร และการลงทุนโครงการต่าง ๆ ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานภาระที่รัฐต้องรับชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ในการดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามที่กำหนดไว้ตามนัยมาตรา ๒๘ และดำเนินการตามนัยมาตรา ๓๗ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. และ รฟท. เร่งจัดทำต้นทุนมาตรฐานเพื่อใช้ในการกำกับดูแลอัตราค่าโดยสารและคุณภาพการให้บริการให้แล้วเสร็จโดยด่วน เพื่อให้คณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ประกอบการพิจารณาจัดสรรเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของ ขสมก. และ รฟท. ให้เหมาะสมต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงเจ้าสังกัดของรัฐวิสาหกิจที่ต้องขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะพิจารณาปรับปรุงแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๔ รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนบริการสาธารณะให้มีความชัดเจน เหมาะสม และสอดคล้องกับสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ๔. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการจัดทำข้อตกลงการให้บริการสาธารณะและเบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะให้แล้วเสร็จโดยเร็วยิ่งขึ้น เพื่อลดปัญหาการขาดสภาพคล่องของรัฐวิสาหกิจและภาระดอกเบี้ยที่เกิดจากการกู้ยืมเงินมาให้บริการสาธารณะ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ (เรื่อง รายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ และรายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำงวดครึ่งปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และรายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14777 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพังงา และจังหวัดภูเก็ต พ.ศ. .... | คค | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพังงา และจังหวัดภูเก็ต พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพังงา และจังหวัดภูเก็ต เพิ่มเติมจากปัจจุบันที่สามารถดำเนินกิจการได้เพียงในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเท่านั้น อันเป็นการเพิ่มรูปแบบการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะในเขตเมืองและขยายขีดความสามารถในการรองรับปริมาณผู้โดยสารของท่าอากาศยานในภูมิภาค ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น ควรให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินขององค์กรทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ควรกำหนดแผนบริหารความเสี่ยงหากเกิดกรณีที่ผลการดำเนินงานด้านการเงินไม่เป็นไปตามประมาณการที่ตั้งไว้ ควรพิจารณารูปแบบการให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการ และควรพิจารณาให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีบทบาท โดยการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนในพื้นที่ การกำหนดโครงสร้างการบริหารกิจการระบบขนส่งทางรางภายหลังที่มีการจัดตั้งกรมการขนส่งทางรางให้เกิดความชัดเจนโดยเร็ว และการกำหนดรูปแบบของหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะในเขตเมืองในส่วนภูมิภาค เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14778 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก | กต | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) ที่ ๒๐๗๘ (ค.ศ. ๒๐๑๒) ที่ ๒๑๓๖ (ค.ศ. ๒๐๑๔) ที่ ๒๑๙๘ (ค.ศ. ๒๐๑๕) ที่ ๒๒๙๓ (ค.ศ. ๒๐๑๖) ที่ ๒๓๖๐ (ค.ศ. ๒๐๑๗) และที่ ๒๔๒๔ (ค.ศ. ๒๐๑๘) เพื่อต่ออายุมาตรการลงโทษสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ซึ่งประกอบด้วยมาตรการทางอาวุธ การห้ามเดินทาง และการอายัดทรัพย์สิน และหากกรณีที่ UNSC จะรับรองข้อมติเพื่อเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญหรือยกเลิกมาตรการลงโทษกรณีสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศเสนอเรื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญหรือยกเลิกมาตรการลงโทษดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ถือปฏิบัติและปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการลงโทษสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก โดยเฉพาะรายชื่อบุคคลและองค์กรที่ถูกมาตรการลงโทษให้ทันสมัยตามข้อมูลเว็บไซต์ของสหประชาชาติ (United Nations : UN) https://www.un.org/sc/suborg/en/sanctions/1533 และแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อ UN ต่อไป ทั้งนี้ UN จะปรับปรุงรายชื่อบุคคลและองค์กรที่ถูกมาตรการลงโทษภายใต้หัวข้อ “Sanctions List Materials” เป็นระยะ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14779 | ร่างพระราชบัญญัติการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล พ.ศ. .... | กค | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล การกำหนดผู้มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดมาตรฐานของระบบการพิสูจน์ตัวตนและยืนยันตัวตนทางดิจิทัล ตลอดจนการกำหนดแนวทางการคุ้มครองประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของข้อมูลและผู้ใช้บริการระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้ปรับแก้ไขร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวให้สอดคล้องกับมาตรา ๒๖ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๐ [เรื่อง แนวทางในการจัดทำร่างกฎหมายให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (มาตรา ๒๖ และมาตรา ๘๑ ประกอบกับมาตรา ๒๖๓)] ประกอบมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๐ [เรื่อง แนวทางการจัดทำร่างกฎหมายให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เพิ่มเติม)] และให้รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการกำหนดนิยามและบทบัญญัติของกฎหมายในร่างฉบับนี้ ควรมีความชัดเจนมากที่สุดเพื่อป้องกันการตีความกฎหมาย และเพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าใจและปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง รวมทั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการกำหนดหน้าที่ของสมาชิก และการทำหน้าที่ผู้ให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ (AS) ของหน่วยงานรัฐ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการตามกระบวนการและขั้นตอนของการเสนอกฎหมายต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14780 | ขอยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในการนำเงินนอกงบประมาณไปใช้ในการบรรจุแต่งตั้งเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติงานในหน่วยงาน | ปง | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘) ในการจัดจ้างลูกจ้างชั่วคราวได้เฉพาะปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ จำนวน ๗๐ อัตรา โดยใช้เงินจากกองทุนการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และให้สำนักงาน ปปง. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาภาระงานและจำนวนอัตราลูกจ้างชั่วคราวที่จะจ้างเท่าที่จำเป็น อย่างเหมาะสมและไม่ซ้ำซ้อน เพื่อมิให้เป็นภาระเงินกองทุนในระยะยาว รวมทั้งเร่งดำเนินการบรรจุข้าราชการในอัตราที่ได้รับจัดสรรให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และกำหนดมาตรการเพื่อมิให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์จ้างจากเงินนอกงบประมาณดังกล่าว เป็นการบรรจุเป็นข้าราชการ โดยใช้เงินงบประมาณในภายหลังด้วย นอกจากนี้ ในสัญญาต้องระบุเงื่อนไขการจ้างให้ชัดเจนว่าจะไม่มีการบรรจุแต่งตั้งเป็นข้าราชการในภายภาคหน้า และเมื่อภารกิจด้านกฎหมายเสร็จสิ้นแล้ว ควรลดการจ้างลูกจ้างชั่วคราวในปีต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงาน ปปง. เร่งดำเนินการบรรจุข้าราชการในอัตราที่ได้รับการจัดสรร ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง การเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙) และอัตราว่างที่เหลืออยู่ให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ รวมทั้งยกเลิกการจ้างลูกจ้างชั่วคราว (ตามข้อ ๑) ตามนัยความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ๓. ให้สำนักงาน ปปง. เร่งปรับปรุงการบริหารจัดการและกระบวนการปฏิบัติงาน โดยใช้ประโยชน์จากอัตรากำลังข้าราชการและพนักงานราชการที่มีอยู่ทั้งหมดให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และเร่งจัดทำแผนอัตรากำลังที่เหมาะสมร่วมกับคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐ (เรื่อง ขอยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในการนำเงินนอกงบประมาณไปใช้ในการบรรจุแต่งตั้งเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติงานในหน่วยงาน) ให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป
|
.....