ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 733 จากทั้งหมด 6214 หน้า แสดงรายการที่ 14641 - 14660 จากข้อมูลทั้งหมด 124278 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
14641 | ความคืบหน้าการระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund) ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย | กค | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความคืบหน้าการระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund) ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เพื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ให้การระดมทุนผ่านกองทุนรวมฯ ของ กทพ. เป็นไปตามเป้าหมายและระยะเวลาที่กำหนด โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ทำให้การระดมทุนผ่านกองทุนรวมฯ ของ กทพ. มีความพร้อมแล้ว โดยกองทุนรวมฯ ได้ยื่นขออนุญาตเสนอขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมฯ (Filing) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แล้วเมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๑ และคาดว่าจะเสนอขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมฯ ต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ภายในเดือนตุลาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคม โดย กทพ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงการคลัง และ กทพ. พิจารณาแนวทางการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งร่วมกันพิจารณาความเหมาะสมในการใช้ประโยชน์จากเงินที่ได้จากการระดมทุนผ่านกองทุนรวมฯ ของ กทพ. ให้เกิดประโยชน์สูงสุดภายใต้กรอบการวินัยการเงินการคลังของประเทศ และมีการกระจายผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการระดมเงินผ่านกองทุนรวมฯ ไปยังประชาชนได้อย่างทั่วถึง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14642 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม 2561) | นร04 | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้ประธานกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติรับข้อสังเกตดังกล่าวไปประสานงานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14643 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน รวม 3 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองซอย 15 ขวา ของเหมืองแม่แฝก เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. ....) | กษ | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน รวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำปากพนัง เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำปากพนัง จากกิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลหูล่อง อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ถึงกิโลเมตรที่ ๖๐.๒๔๐ ในท้องที่ตำบลแม่เจ้าอยู่หัว และตำบลการะเกด อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองซอย ๑๕ ขวา ของเหมืองแม่แฝก เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นทางกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองซอย ๑๕ ขวา ของเหมืองแม่แฝก จากกิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลเมืองเล็น อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ถึงกิโลเมตรที่ ๑๑.๔๐๐ ในท้องที่ตำบลหนองจ๊อม อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยแดง เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยแดง จากศูนย์กลางเขื่อนดิน อ่างเก็บน้ำห้วยแดง ตำบลกุสุมาลย์ อำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร ถึงขึ้นไปทางด้านเหนือน้ำ ในเขตตำบลกุสุมาลย์ อำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14644 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน รวม 3 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยแดง เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. ....) | กษ | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน รวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำปากพนัง เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำปากพนัง จากกิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลหูล่อง อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ถึงกิโลเมตรที่ ๖๐.๒๔๐ ในท้องที่ตำบลแม่เจ้าอยู่หัว และตำบลการะเกด อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองซอย ๑๕ ขวา ของเหมืองแม่แฝก เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นทางกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองซอย ๑๕ ขวา ของเหมืองแม่แฝก จากกิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลเมืองเล็น อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ถึงกิโลเมตรที่ ๑๑.๔๐๐ ในท้องที่ตำบลหนองจ๊อม อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยแดง เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยแดง จากศูนย์กลางเขื่อนดิน อ่างเก็บน้ำห้วยแดง ตำบลกุสุมาลย์ อำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร ถึงขึ้นไปทางด้านเหนือน้ำ ในเขตตำบลกุสุมาลย์ อำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14645 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....(เพื่อให้บริษัทและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สามารถใช้สกุลเงินต่างประเทศในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล) [สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม 2561)] | นร | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (เพื่อให้บริษัทและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถใช้สกุลเงินต่างประเทศในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล) ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14646 | ร่างพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม 2561)] | นร | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14647 | แนวทางดำเนินการเกี่ยวกับข้อพิพาทของหน่วยงานของรัฐ | นร05 | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า เพื่อบรรเทาความสูญเสียและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่รัฐและเพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์สูงสุดของทางราชการ กรณีหน่วยงานของรัฐมีข้อพิพาทตามสัญญาอนุญาโตตุลาการหรือถูกฟ้องคดีต่อศาลปกครองเป็นคดีเดียวหรือหลายคดีในประเด็นเดียวกันหรือเกี่ยวเนื่องกัน เช่น กรณีคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงคมนาคม (การทางพิเศษแห่งประเทศไทย) แล้วมีคำวินิจฉัยชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ซึ่งนำไปสู่การฟ้องคดีในศาลปกครองสูงสุด โดยผลของคำวินิจฉัยชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการนั้น ให้หน่วยงานของรัฐต้องชดใช้ค่าเสียหายหรืออื่นใด จึงมีมติให้หน่วยงานของรัฐนั้นอาจดำเนินการเจรจาต่อรองกับคู่พิพาทเพื่อบรรเทาความเสียหายของรัฐและให้เกิดความเป็นธรรมแก่ราษฎรได้ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการอย่างโปร่งใส ชอบด้วยกฎหมาย และคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14648 | มาตรการอำนวยความสะดวกและลดภาระแก่ประชาชน (การไม่เรียกสำเนาเอกสารที่ทางราชการออกให้จากประชาชน) [ถูกยกเลิกโดยมติ ครม. เมื่อวันที่ 26/03/67 (6438/67)] | นร12 | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอร่างมาตรการอำนวยความสะดวกและลดภาระแก่ประชาชน (การไม่เรียกสำเนาเอกสารที่ทางราชการออกให้ จากประชาชน) เพื่อให้หน่วยงานของรัฐภายในฝ่ายบริหารทุกหน่วยงานต้องปฏิบัติ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการระยะสั้น (ภายในวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๑) ๑.๑.๑ ให้หน่วยงานของรัฐที่มีกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับให้ประชาชนต้องยื่นหรือส่งสำเนาเอกสารที่ทางราชการออกให้ ดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยไม่ต้องทำบันทึกข้อตกลง (MoU) ๑.๑.๒ เมื่อประชาชนมาติดต่อขอรับบริการ ให้เจ้าหน้าที่เป็นผู้สั่งพิมพ์เอกสารหรือหลักฐานที่ต้องใช้จากระบบที่เชื่อมโยงไว้และลงนามรับรอง โดยประชาชนผู้มาติดต่อไม่ต้องเป็นผู้นำสำเนามาและไม่ต้องลงนามรับรอง ๑.๑.๓ การให้บริการที่เป็นตัวเงินแก่ประชาชนไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใด รวมทั้งการจ่ายเงินและสวัสดิการต่าง ๆ ให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ กรรมการ อนุกรรมการ และคณะทำงานของหน่วยงานของรัฐทั้งหมด ให้ดำเนินการผ่านระบบ National e-Payment ภายในวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๑ ๑.๑.๔ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. เปิดช่องทางการสื่อสารผ่าน Social network เพื่อรับข้อร้องเรียนจากประชาชนเกี่ยวกับการไม่ปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าว และให้รายงานรัฐมนตรีเจ้าสังกัดของหน่วยงานนั้นทราบเพื่อนำไปใช้ในการประเมินผลการปฏิบัติงานของหัวหน้าหน่วยงานของรัฐทุกหน่วยงานด้วย ๑.๒ มาตรการระยะกลาง (ภายในปี ๒๕๖๒) ๑.๒.๑ ให้หน่วยงานพัฒนาระบบสารสนเทศหรือแอปพลิเคชันที่ให้บริการประชาชนเพื่อเชื่อมต่อกับ Linkage Center ของกรมการปกครอง เพื่อให้สามารถดึงข้อมูลของประชาชน เพื่อกรอกลงในแบบคำร้องดิจิทัลของหน่วยงานได้โดยอัตโนมัติ ๑.๒.๒ ให้หน่วยงานพิจารณาลดรายการเอกสารสำเนาที่ประชาชนต้องใช้ในการขอรับบริการ ๑.๓ มาตรการระยะยาว (ภายในปี ๒๕๖๓) ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ร่วมกันพัฒนาศูนย์กลางแลกเปลี่ยนข้อมูลภาครัฐ (Government Data Exchange Center : GDX) ให้ครอบคลุมรายการเอกสารที่เชื่อมโยงมากขึ้น เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐสามารถเรียกดูและบันทึกเอกสารทางราชการระหว่างหน่วยงานได้และให้บริการออนไลน์ได้ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงบประมาณ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรปรับเพิ่มเนื้อหาของมาตรการดังกล่าวในเรื่องการให้บริการที่เป็นตัวเงินแก่ประชาชนให้ครอบคลุมถึงการดำเนินการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของภาครัฐอื่น ๆ นอกเหนือจากระบบ National e-Payment เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ๓. ให้หน่วยงานของรัฐทุกแห่งเร่งรัดการดำเนินการเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ของหน่วยงานตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ [เรื่อง นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔)] ที่กำหนดให้หน่วยงานของรัฐบูรณาการการจัดการความมั่นคงทางไซเบอร์ระหว่างหน่วยงาน และพัฒนาขีดความสามารถองค์กรทุกภาคส่วน/บุคลากรที่เกี่ยวข้องให้มีความรู้ความชำนาญด้านไซเบอร์อย่างต่อเนื่องต่อไป ๔. ให้หน่วยงานของรัฐทุกแห่งดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลกับกระทรวงมหาดไทยผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ให้แล้วเสร็จครบถ้วนโดยเร็ว เพื่อให้สามารถใช้เลขประจำตัวประชาชนของผู้มาขอรับบริการในการเข้าถึงเอกสารหรือหลักฐานต่าง ๆ ที่ทางราชการออกให้เพื่อประกอบการอนุมัติ อนุญาต ออกใบอนุญาต รับจดทะเบียน รับจดแจ้ง รับแจ้ง การชำระภาษีอากร และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้ต่อไป ทั้งนี้ ให้เร่งรัดการดำเนินการตามมาตรการระยะแรกให้แล้วเสร็จและพร้อมให้บริการประชาชนได้ภายในวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ เป็นต้นไป ๕. ข้อมูลที่จะนำมาเชื่อมโยงไว้ในระบบอิเล็กทรอนิกส์ให้ครอบคลุมถึงข้อมูลของทางราชการที่เกี่ยวข้องกับนิติบุคคลด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อมูลและเอกสารที่จำเป็นต้องใช้ประกอบการให้บริการในการพิจารณาอนุมัติ อนุญาต หรือออกใบอนุญาตทุกประเภท เช่น หนังสือบริคณห์สนธิ และใบทะเบียนพาณิชย์ เป็นต้น ๖. สำหรับการรับรองความถูกต้องของเอกสารหรือหลักฐานที่ได้สั่งพิมพ์ (Print out) ออกมาจากระบบที่เชื่อมโยงไว้ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ร่วมกับสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณากำหนดวิธีการและวางระบบการรับรองความถูกต้องของเอกสารหรือหลักฐานดังกล่าวให้ชัดเจน เหมาะสม และมีความคล่องตัว ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๗. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหัวหน้าหน่วยงานของรัฐทุกหน่วยเร่งดำเนินการสร้างการรับรู้ของทั้งหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลและหน่วยงานที่นำข้อมูลไปใช้ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกันต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14649 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อื่นๆ | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์เป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ เพื่อให้กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์และบุคลากรของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายโดยสุจริตได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ในฐานะประธานกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14650 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2561 และครั้งที่ 3/2561 (มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2561) | ทส | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ในการประชุม กก.วล. จำนวน ๒ ครั้ง ประกอบด้วย (๑) การประชุม กก.วล. ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นเรื่องเชิงนโยบายที่สำคัญและได้ข้อยุติแล้ว จำนวน ๑๐ เรื่อง ได้แก่ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน ๖ โครงการ ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. .... การกำหนดมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อม จำนวน ๒ เรื่อง และการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติก และ (๒) การประชุม กก.วล. ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นเรื่องนโยบายที่สำคัญและได้ข้อยุติแล้วเช่นกัน จำนวน ๗ เรื่อง ได้แก่ การขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน ๓ โครงการ และการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน ๔ โครงการ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14651 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสสองปี 2561 | นร11 | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสองปี ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ความเคลื่อนไหวทางสังคมไตรมาสสองปี ๒๕๖๑ เทียบกับไตรมาสสองปี ๒๕๖๐ การจ้างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๙ การจ้างงานภาคเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๐ อัตราการว่างงานลดลงคงเหลือร้อยละ ๑.๑ ค่าจ้างภาคเอกชนเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๐ หนี้สินครัวเรือนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นแต่ยังมีความสามารถในการชำระหนี้ สะท้อนจากยอดคงค้างสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลของธนาคารพาณิชย์ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๘.๐ สัดส่วนสินเชื่อลดลงเกือบทุกประเภทยกเว้นสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ยอดคงค้าง NPL ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง การเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังโดยรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๐.๔ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้นเกือบ ๒ เท่า ค่าใช้จ่ายและจำนวนผู้สูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วอย่างต่อเนื่องร้อยละ ๒.๔ และ ๑.๓ ตามลำดับ คดีอาญารวมเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๖๐ ร้อยละ ๓๔.๑ ส่วนใหญ่เป็นคดียาเสพติด และการเกิดอุบัติเหตุเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๖๐ ร้อยละ ๒๓.๓ ๒. สถานการณ์ทางสังคมที่สำคัญ เช่น (๑) ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ดีขึ้น เป็น “Tier 2” (๒) การลดขยะพลาสติกด้วยการใช้มาตรการที่เป็นรูปธรรมร่วมกับการรณรงค์ให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ (๓) สถานการณ์ปัญหาผู้ต้องขังล้นเรือนจำ (๔) Airbnb เทคโนโลยีกับการเปลี่ยนรูปแบบบริโภคและผลกระทบต่อสังคม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14652 | รายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ และรายงานผลการประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการคณะต่าง ๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 (ครั้งที่ 2) | นร12 | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ (ครั้งที่ ๒) และรายงานผลการประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ (ค.ต.ป.) คณะต่าง ๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ (ครั้งที่ ๒) รวมทั้งเห็นชอบข้อเสนอแนะตามบันทึกความเห็นของ ค.ต.ป. และแจ้งให้รัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง กรม และจังหวัด ที่มีประเด็นสมควรปรับปรุงแก้ไขได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของ ค.ต.ป. ดังกล่าว พร้อมทั้งรายงานผลความก้าวหน้าในการดำเนินการต่อ ค.ต.ป. คณะต่าง ๆ ต่อไป ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการของ ค.ต.ป. เสนอ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และกรรมการและเลขานุการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ รวมทั้งข้อเสนอแนะของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น (๑) ควรเพิ่มการกำหนดตัวชี้วัด ผลผลิต ผลลัพธ์ และผลกระทบให้ชัดเจนทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการดำเนินโครงการ และควรเพิ่มรูปแบบการถ่ายทอดยุทธศาสตร์ระดับชาติลงสู่ระดับต่าง ๆ ที่สามารถสร้างความเข้าใจที่ตรงกันของผู้ปฏิบัติ รวมถึงรูปแบบการเชื่อมโยงผลผลิตและผลลัพธ์ตามเป้าประสงค์ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติได้มีวิธีคิดเชิงกลยุทธ์ในองค์รวม (๒) รายงานผลการติดตามฯ ควรอธิบายถึงการกำหนดตัวชี้วัด กรอบ/แนวทางการประเมินในแต่ละสาขา รวมทั้งหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกโครงการที่จะติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผล เพื่อให้มีข้อมูลเพียงพอที่จะสามารถพิจารณาความเหมาะสมและความสอดคล้องของผลการดำเนินการที่ได้รายงานมากับเป้าหมายการพัฒนาประเทศได้ และ (๓) การตรวจสอบ ติดตาม ประเมินผล ควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาผลลัพธ์หรือผลกระทบจากการดำเนินการของหลายโครงการที่มีความเกี่ยวโยงกัน เพื่อให้สามารถได้ผลการประเมินที่สะท้อนภาพรวมของการพัฒนาประเทศ และสามารถนำผลการประเมินมาใช้วางแผนและการกำหนดแนวทางกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับประเด็นการพัฒนาประเทศได้ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14653 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ งานก่อสร้างอาคารพักคนงาน (เจ้าหน้าที่) โรงพยาบาลสวนสราญรมย์ ตำบลท่าข้าม อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี 1 อาคาร | สธ | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างอาคารพักคนงาน (เจ้าหน้าที่) โรงพยาบาลสวนสราญรมย์ ตำบลท่าข้าม อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๑ อาคาร จากวงเงิน ๑๖,๕๑๖,๕๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๑๗,๙๑๒,๕๐๐ บาท โดยใช้งบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๐ วงเงิน ๑๒,๗๐๗,๕๐๐ บาท และใช้เงินบำรุงโรงพยาบาลสวนสราญรมย์สมทบจ่าย จำนวน ๒,๙๖๒,๕๐๐ บาท รวมกับงบประมาณส่วนที่เบิกจ่ายไปแล้ว จำนวน ๒,๒๔๒,๕๐๐ บาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมสุขภาพจิตรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรดำเนินการเรียกร้องค่าเสียหายที่ไม่สามารถดำเนินการใช้ประโยชน์จากอาคารตามที่กำหนด ภาระของงบประมาณที่เพิ่มขึ้นหรือการใดที่เกี่ยวข้องจากผู้รับจ้างเดิมที่ได้บอกเลิกสัญญาไปแล้ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14654 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2561 และครั้งที่ 3/2561 (มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2561) | ทส | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ในการประชุม กก.วล. จำนวน ๒ ครั้ง ประกอบด้วย (๑) การประชุม กก.วล. ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นเรื่องเชิงนโยบายที่สำคัญและได้ข้อยุติแล้ว จำนวน ๑๐ เรื่อง ได้แก่ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน ๖ โครงการ ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. .... การกำหนดมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อม จำนวน ๒ เรื่อง และการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติก และ (๒) การประชุม กก.วล. ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นเรื่องนโยบายที่สำคัญและได้ข้อยุติแล้วเช่นกัน จำนวน ๗ เรื่อง ได้แก่ การขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน ๓ โครงการ และการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน ๔ โครงการ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14655 | การรับรองการปรับปรุงรายการข้อสงวนของสหพันธรัฐมาเลเซีย ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการลงทุนอาเซียน (ASEAN Comprehensive Investment Agreement) | นร13 | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามในจดหมายรับรองการปรับปรุงรายการข้อสงวนของสหพันธรัฐมาเลเซีย ภายใต้ความตกลงว่าด้วยการลงทุนอาเซียน (ASEAN Comprehensive Investment Agreement : ACIA ) เพื่อให้กระบวนการปรับปรุงรายการข้อสงวนของมาเลเซียเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งการปรับปรุงรายการข้อสงวนดังกล่าวมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้รายการข้อสงวนมีความชัดเจนโปร่งใสมากยิ่งขึ้น โดยมีรายละเอียด เช่น ทุกบริษัทที่จัดตั้งในมาเลเซียจะต้องมีผู้บริหารอย่างน้อย ๒ ราย ที่มีถิ่นที่อยู่หลักหรือมีถิ่นที่อยู่เพียงแห่งเดียวในมาเลเซีย การกำหนดคำนิยามของเรือประมงและน่านน้ำประมง และการเปิดเสรีให้กิจการผลิตเหล็กเส้น เหล็กแท่ง และการผ่อนปรนในกิจการผลิตน้ำตาลทรายให้อยู่ในรายการที่เปิดเสรีแต่มีเงื่อนไขเฉพาะ เป็นต้น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอ โดยกระทรวงการต่างประเทศไม่ต้องจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการที่รัฐบาลมาเลเซียแจ้งว่า จะดำเนินนโยบายในการสนับสนุนบุคคล/นิติบุคคลที่มีเชื้อชาติพื้นเมืองมาเลเซีย (Bumiputera) เหนือกว่าเชื้อชาติอื่นทั้งหมดนั้น เป็นกิจการภายในของรัฐบาลมาเลเซีย ซึ่งรัฐบาลไทยไม่ควรแสดงความคิดเห็น ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุน (ให้การรับรอง) หรือคัดค้าน (ไม่ให้การรับรอง) ก็ตาม และในส่วนของรายการข้อสงวนที่ ๗ ซึ่งมาเลเซียได้เสนอขอปรับเพิ่มข้อความเพื่ออธิบายมาตรการที่จะสนับสนุน Bumiputera นั้น ข้อความที่ปรับเพิ่มขึ้นมาจะส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมไทยในทุกสาขาอุตสาหกรรม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14656 | ขออนุมัติการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทย และสำนักงานการประมง กระทรวงเกษตร ป่าไม้และการประมงแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยความร่วมมือด้านประมง | กษ | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทย และสำนักงานการประมง กระทรวงเกษตร ป่าไม้และการประมง แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยความร่วมมือด้านประมง และอนุมัติให้อธิบดีกรมประมงเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ โดยบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างและสนับสนุนความร่วมมือทางด้านวิชาการและเศรษฐกิจ รวมถึงการดำเนินโครงการร่วม และการส่งเสริมการค้าในสาขาประมงด้านต่าง ๆ ระหว่างคู่ภาคี และมีขอบเขตความร่วมมือ เช่น การบริหารจัดการและการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำ การพัฒนาเทคโนโลยีด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและการประมง การส่งเสริมการลงทุนและการค้าสัตว์น้ำ และการขยายตลาดโดยคำนึงถึงประโยชน์ร่วมกันในบริบทของภูมิภาค เป็นต้น รวมทั้งระบุให้มีการจัดตั้งคณะทำงานร่วมด้านประมง (Joint Fisheries Working Group : JFWG) เพื่อดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจฯ โดยมีการจัดประชุมทุกปี ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมง คำนึงถึงประเด็นการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ไม่ทำลายระบบนิเวศบนบกและนิเวศชายฝั่ง ความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม และการดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ ๑๔ (ภายใต้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน) การใช้ประโยชน์จากมหาสมุทรและทรัพยากรทางทะเล เพื่อคงไว้ซึ่งระบบนิเวศและนำมาสู่ความยั่งยืนของทรัพยากรสัตว์น้ำ รวมถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายด้วย และควรใช้รูปแบบความร่วมมือด้านต่าง ๆ เป็นช่องทางในการสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลและองค์ความรู้กับสำนักงานการประมงของกัมพูชา เพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารจัดการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ทรัพยากรประมงอย่างยั่งยืน และการป้องกันการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14657 | ร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 24 และร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนว่าด้วยการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพสำหรับการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ 14 | ทส | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการ (๑) ร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ ๒๔ (Draft ASEAN Joint Statement on Climate Change to the 24th Session of the Conference of the Parties to the United Nations Framework Convention on Climate Change : COP 24) เป็นเอกสารแสดงจุดยืนร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนในการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยคำนึงถึงขีดความสามารถของแต่ละภาคี เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การสนับสนุนกลไกทางการเงิน การให้ความช่วยเหลือทางด้านเทคโนโลยีเพื่อการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในประเด็นต่าง ๆ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ (๒) ร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนว่าด้วยการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ สำหรับการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ ๑๔ (Draft ASEAN Joint Statement to the 14th Meeting of the Conference of the Parties to the Convention on Biological Diversity : CBD COP 14) เป็นเอกสารแสดงจุดยืนร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ โดยให้ความสำคัญกับการเร่งส่งเสริมกิจกรรมการบูรณาการความหลากหลายทางชีวภาพเข้าสู่แผนระดับชาติและภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสนับสนุนการแก้ไขปัญหาขยะทะเลที่ส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลและชายฝั่ง ตลอดจนจัดเตรียมทรัพยากรทางการเงินและวิชาการเพื่อสนับสนุนความพยายามของประเทศกำลังพัฒนาในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนในภูมิภาค และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้ให้การรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนฯ ทั้งสองฉบับ รวมทั้งเห็นชอบให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนฯ ทั้งสองฉบับในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๓๓ (The 33rd ASEAN Summit) ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนฯ ทั้งสองฉบับ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14658 | ขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาทางการเมืองของการประชุมระดับสูงของสมัชชาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อสู้กับวัณโรค และร่างปฏิญญาทางการเมืองของการประชุมระดับสูงของสมัชชาสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ | สธ | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญาทางการเมืองของการประชุมระดับสูงของสมัชชาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อสู้กับวัณโรค และร่างปฏิญญาทางการเมืองของการประชุมระดับสูงของสมัชชาสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ ซึ่งเป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองในการต่อสู้กับวัณโรค และการป้องกัน และควบคุมโรคไม่ติดต่อ ๑.๒ ให้กระทรวงสาธารณสุข (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข) และกระทรวงการต่างประเทศ (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ) ร่วมรับรองร่างปฏิญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวในการประชุมระดับสูงของสมัชชาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อสู้กับวัณโรค และการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ ระหว่างวันที่ ๒๖-๒๗ กันยายน ๒๕๖๑ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14659 | การต่ออายุความตกลงประเทศเจ้าภาพระหว่างไทยกับสหประชาชาติในรูปแบบของหนังสือแลกเปลี่ยนสำหรับการฝึกอบรมหลักสูตรกฎหมายระหว่างประเทศระดับภูมิภาคของสหประชาชาติ (United Nations Regional Course in International Law) ประจำปี 2561 | กต | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ต่ออายุความตกลงประเทศเจ้าภาพระหว่างไทยกับสหประชาชาติในรูปแบบของหนังสือแลกเปลี่ยนให้ใช้บังคับกับการฝึกอบรมหลักสูตรกฎหมายระหว่างประเทศระดับภูมิภาคของสหประชาชาติ (United Nations Regional Course in International Law) ประจำปี ๒๕๖๑ ระหว่างวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน-๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๑ ที่กรุงเทพมหานคร โดยเนื้อหาของร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดรายละเอียดของการฝึกอบรม เช่น กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้ที่มีภูมิหลังหรือประสบการณ์ด้านกฎหมายระหว่างประเทศจากภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก จำนวนไม่เกิน ๓๐ คน ซึ่งไทยสามารถส่งผู้แทนเข้าร่วมได้ ๕ คน และการให้เอกสิทธิและความคุ้มกันแก่ผู้แทนจากประเทศต่าง ๆ ผู้บรรยายและพนักงานของสหประชาชาติที่เกี่ยวข้อง สำหรับการแบ่งส่วนความรับผิดชอบค่าใช้จ่าย โดยสหประชาชาติจะรับผิดชอบในการเตรียมหลักสูตรการฝึกอบรมฯ ส่วนรัฐบาลไทยจะรับผิดชอบค่าที่พัก อาหารเช้า และอาหารค่ำ การจัดรถรับ-ส่งผู้เข้าร่วมระหว่างโรงแรมที่พักกับสนามบิน และการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมให้แก่ผู้เข้าร่วม ทั้งนี้ ความตกลงดังกล่าวจะมีผลใช้บังคับ ณ วันที่มีการลงนามหนังสือฉบับนี้ ๑.๒ อนุมัติให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ของฝ่ายไทยสำหรับการฝึกอบรมฯ ประจำปี ๒๕๖๑ พร้อมทั้งอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ๑.๓ อนุมัติในหลักการให้ต่ออายุความตกลงประเทศเจ้าภาพได้ หากสหประชาชาติทาบทามให้ไทยร่วมเป็นเจ้าภาพในปีต่อ ๆ ไป โดยกระทรวงการต่างประเทศจะเสนอความตกลงประเทศเจ้าภาพเพื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบเมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ในเนื้อหาและถ้อยคำเรียบร้อยแล้ว ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินภารกิจดังกล่าว เห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ รายการค่าใช้จ่ายสัมมนากฎหมายระหว่างประเทศระดับภูมิภาคของสหประชาชาติที่ได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว ในวงเงิน ๒,๒๖๗,๘๐๐ บาท ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ การดำเนินการภายใต้ความตกลงดังกล่าวจะต้องเป็นไปตามขั้นตอนอย่างโปร่งใส คุ้มค่าและประหยัด โดยพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14660 | การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐคอซอวอว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการ | กต | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐคอซอวอว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการ มีสาระสำคัญเป็นการให้ผู้ถือหนังสือเดินทางทูตหรือราชการที่มีอายุใช้ได้ของแต่ละฝ่ายได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับการเดินทางเข้า-ออก แวะผ่าน และพำนักในดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นระยะเวลาไม่เกิน ๙๐ วัน ตั้งแต่วันที่เดินทางเข้า โดยมีเงื่อนไขว่าบุคคลเหล่านั้นต้องไม่ทำงานใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินกิจการตนเอง หรือกิจกรรมส่วนตัวอื่นใดในดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่ง โดยความตกลงฯ จะมีผลใช้บังคับ ๖๐ วันนับจากวันที่ได้รับแจ้งครั้งสุดท้ายว่าคู่ภาคีทั้งสองฝ่ายได้ดำเนินการตามกระบวนการภายในที่จำเป็นเพื่อให้ความตกลงมีผลใช้บังคับเสร็จสิ้นแล้ว ทั้งนี้ จะมีการลงนามในร่างความตกลงฯ ในช่วงที่คณะผู้แทนไทยเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ ๗๓ ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ ๒๔-๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ๑.๔ อนุมัติในหลักการให้กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือแจ้งฝ่ายคอซอวอเพื่อให้ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับต่อไป ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|