ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 731 จากทั้งหมด 6214 หน้า แสดงรายการที่ 14601 - 14620 จากข้อมูลทั้งหมด 124278 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
14601 | ร่างพิธีสารเพื่อแก้ไขเอกสารแนบ 2 ของความตกลงการสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม | กษ | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างพิธีสารเพื่อแก้ไขเอกสารแนบ ๒ ของความตกลงการสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม (ความตกลงแอปเทอร์) มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเอกสารแนบท้าย ๒ ของความตกลงแอปเทอร์ เรื่อง การสนับสนุนกองทุนแอปเทอร์ เพื่อให้ประเทศสมาชิกแอปเทอร์ ประกอบด้วยประเทศสมาชิกอาเซียน สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ จ่ายเงินสนับสนุนการดำเนินงานของสำนักเลขาธิการแอปเทอร์ต่อไปอีก ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๕) โดยประเทศไทยจะต้องจ่ายเงินสนับสนุนสำหรับเงินทุนดำเนินงานปีละ ๘,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ รวมเป็นเงิน ๔๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ ๑.๓๑ ล้านบาท) ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามร่างพิธีสารฯ และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามร่างพิธีสารฯ ๑.๓ อนุมัติการให้สัตยาบัน และหลังจากที่ได้ลงนามร่างพิธีสารฯ แล้ว ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำสัตยาบันสาร และยื่นสัตยาบันสารต่อสำนักเลขาธิการอาเซียนเพื่อเก็บรักษา ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างพิธีสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๓. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเพื่อการดังกล่าว เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ รายการค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งกองทุนสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสามที่ได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายรองรับไว้แล้ว จำนวน ๕๐๔,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับเงินอุดหนุนให้กับเงินทุนดำเนินงานของกองทุนแอปเทอร์ในปี พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒ ปีละ ๘,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ รวมเป็นเงิน ๑๖,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ (คิดอัตราแลกเปลี่ยน ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ๓๑.๕๐ บาท) ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าประเทศไทยและประเทศสมาชิกจำเป็นต้องร่วมหารือเพื่อกำหนดแนวทางการบริหารจัดการเงินกองทุนที่ใช้เฉพาะดอกผล (Endowment Fund : EF) เพื่อให้สามารถสร้างรายได้สนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของสำนักเลขานุการแอปเทอร์ได้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14602 | ผลการประชุมว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเพื่อการพัฒนาปาเลสไตน์ ระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 3 | กต | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศในอนุภูมิภาคเอเชียตะวันออกเพื่อการพัฒนาปาเลสไตน์ (Conference on Cooperation among East Asian Countries for Palestinian Development : CEAPAD) ระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๓ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๑ ที่กรุงเทพมหานคร โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ในฐานะผู้แทนนายกรัฐมนตรีเป็นผู้กล่าวเปิดการประชุม ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมได้กล่าวถึงบทบาทที่สร้างสรรค์ของกรอบ CEAPAD ในการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับรัฐปาเลสไตน์ อันจะมีส่วนช่วยในการสร้างสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคตะวันออกกลางซึ่งส่งผลต่อสันติภาพของโลก และแสดงการสนับสนุนหลักการ two-State solution สำหรับการมีรัฐปาเลสไตน์ตั้งอยู่เคียงคู่กับรัฐอิสราเอลอย่างเท่าเทียม ๒. ที่ประชุมได้พิจารณาการดำเนินงานของประเทศและองค์การระหว่างประเทศที่เข้าร่วมการประชุม CEAPAD ในการให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนา และการเสริมสร้างขีดความสามารถและความร่วมมือทั้งในระดับทวิภาคี ไตรภาคี และพหุภาคี เพื่อสนับสนุนความพยายามของปาเลสไตน์ในการพัฒนาประเทศในสาขาต่าง ๆ และได้ยืนยันการสนับสนุนที่มีต่อสำนักงานบรรเทาทุกข์และจัดหางานของสหประชาชาติสำหรับผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ในตะวันออกใกล้ (United Nations Relief and Works Agency for Palestine Refugees in the Near East : UNRWA) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ อีกทั้งสนับสนุนให้ภาคส่วนอื่น ๆ เช่น ภาคเอกชนและองค์กรที่ไม่ใช่รัฐแสดงบทบาทสนับสนุนการพัฒนาของปาเลสไตน์มากขึ้น รวมถึงส่งเสริมให้มีการประสานงานในการให้ความช่วยเหลือแก่ปาเลสไตน์ระหว่างกรอบ CEAPAD กับกรอบความร่วมมือหรือองค์กรอื่นทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก ๓. ที่ประชุมได้รับรองแถลงการณ์ร่วมการประชุมฯ ซึ่งกล่าวถึงความมุ่งมั่นของ CEAPAD ในการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของปาเลสไตน์ในสาขาที่ตนมีทรัพยากรและความเชี่ยวชาญ และสอดคล้องกับความต้องการของปาเลสไตน์ รวมถึงการดำเนินงานให้ความช่วยเหลือในสาขาต่าง ๆ ตามแผนงาน ๓ ปีของ CEAPAD เช่น สาขาการพัฒนาแหล่งน้ำ การท่องเที่ยว การเกษตร การบริหารจัดการท้องถิ่น การพัฒนาเศรษฐกิจรวมถึงวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม การฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากร และโครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจนการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14603 | รายงานผลการประเมินสมรรถนะหลักในการปฏิบัติตามกฎอนามัยระหว่างประเทศของประเทศไทย | สธ | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอผลการประเมินสมรรถนะหลักในการปฏิบัติตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๘ (International Health Regulations 2005 : IHR 2005) ของประเทศไทย โดยผู้ประเมินจากภายนอกขององค์การอนามัยโลก ระหว่างวันที่ ๒๖-๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๐ ซึ่งประเทศไทยได้รับผลการประเมินโดยเฉลี่ยอยู่ในระดับสูง และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามข้อเสนอแนะที่ได้จากการประเมินดังกล่าว โดยเฉพาะด้านการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินและการจัดการปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพซึ่งเป็นสมรรถนะที่ประเทศไทยยังมีความจำเป็นต้องปรับปรุง และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยให้กระทรวงสาธารณสุขประสานงานกับทุกหน่วยงานเพื่อติดตามความก้าวหน้าของการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ ตามความเหมาะสม เพื่อให้การเสริมสร้างความเข้มแข็งและรักษาระดับสมรรถนะหลักของประเทศไทยในการป้องกัน ตรวจจับ และตอบโต้ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ให้กระทรวงสาธารณสุขประสานงานกับทุกหน่วยงานเพื่อติดตามความก้าวหน้าของการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ ตามความเหมาะสม ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ข้อเสนอแนะบางส่วนในตัวชี้วัดที่ได้รับผลการประเมินอยู่ในระดับที่ต่ำ ยังไม่ครอบคลุมถึงปัญหาสำคัญด้านสาธารณสุขในปัจจุบัน โดยเฉพาะด้านการดื้อยาต้านจุลชีพและด้านปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน จึงควรให้ความสำคัญกับการยกระดับสมรรถนะดังกล่าว โดยการกำหนดมาตรการป้องกันการดื้อยาต้านจุลชีพที่ครอบคลุมถึงการจำหน่ายยาผ่านทางร้านขายยาปลีก และการพัฒนาความร่วมมือการป้องกันและควบคุมโรคกับต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่มีชายแดนติดต่อกับประเทศไทยซึ่งมีชายแดนผ่านช่องทางธรรมชาติที่ยากต่อการตรวจสอบควบคุมโรค เพื่อให้การปฏิบัติการตอบโต้ในภาวะฉุกเฉินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14604 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดหนองคาย พ.ศ. .... | มท | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดหนองคาย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดหนองคาย เพื่อประโยชน์ในด้านการป้องกันอัคคีภัย การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอำนวยความสะดวกแก่การจราจร ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นควบคุมการขออนุญาตก่อสร้าง หรือดัดแปลงอาคารพาณิชยกรรมประเภทค้าปลีกค้าส่งให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎกระทรวงดังกล่าวอย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14605 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานและการนำเสนอวีดิทัศน์สรุปผลการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในรอบ 4 ปี ของรัฐบาล (ปีงบประมาณ 2558- 2561) | ยธ | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในรอบ ๔ ปี ของรัฐบาล (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๑) ประกอบด้วย (๑) ด้านความร่วมมือระหว่างประเทศเชิงรุก ได้ดำเนินการผ่านกลไกความร่วมมือภายใต้โครงการแม่น้ำโขงปลอดภัย (Safe Mekong) ใน ๖ ประเทศ (จีน ลาว เมียนมา ไทย กัมพูชา และเวียดนาม) มีการจับกุมผู้กระทำผิดรายสำคัญ ๓,๓๘๒ ราย ยึดยาบ้า ๔๖๓ ล้านเม็ด ไอซ์ ๑๘ ตัน เฮโรอีน ๗ ตัน และสารตั้งต้นเคมีภัณฑ์ที่ใช้ผลิตยาเสพติด ๑,๑๗๘ ตัน (๒) ด้านปราบปรามยาเสพติด มีการจับกุมผู้ต้องหาใน ๕ ข้อหาสำคัญสูงกว่าปี ๒๕๕๔-๒๕๕๗ ร้อยละ ๑๙ สามารถยึดของกลางยาบ้า ๖๔๕ ล้านเม็ด (๒,๘๗๙ คดี) ยึดของกลางยาไอซ์ ๑๗.๗ ตัน (๒๑๙ คดี) มีนายทุนผู้อยู่เบื้องหลังและผู้สนับสนุนช่วยเหลือถูกจับกุม ๖,๐๒๙ คดี ผู้ต้องหา ๑๒,๙๘๘ คน (๓) ด้านบำบัดรักษายาเสพติด ภายใต้แนวคิด “ผู้เสพ คือ ผู้ป่วย” มีสัดส่วนผู้เข้ารับการบำบัดในระบบสมัครใจเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าในช่วงปี ๒๕๕๔-๒๕๕๗ ร้อยละ ๑๖.๔ และได้ช่วยเหลือผู้ผ่านการบำบัดทั้งการศึกษา สุขภาพ การฝึกทักษะอาชีพ การจัดหางาน และทุนประกอบอาชีพ ๒๖,๑๐๔ ราย และ (๔) ด้านการป้องกันยาเสพติด เน้นการสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติดทุกกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ กลุ่มเด็กและเยาวชนทั้งในและนอกสถานศึกษา กลุ่มแรงงานในสถานประกอบการ และกลุ่มประชาชนทั่วไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น บูรณาการร่วมกันในการจัดทำข้อมูลเชิงสถิติเกี่ยวกับยาเสพติดให้ครอบคลุมทุกมิติ และนำไปใช้ประโยชน์ในการสร้างการรับรู้แก่ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายให้ตระหนักถึงพิษภัยและโทษของยาเสพติดอย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง รวมทั้งให้ร่วมกันพิจารณากำหนดแนวทางในการดำเนินการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติดให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น โดยในส่วนของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังโดยเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14606 | รัฐบาลสหสาธารณรัฐแทนซาเนียเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสหสาธารณรัฐแทนซาเนียประจำประเทศไทย (กระทรวงการต่างประเทศ) [นายรามาดานี คีทวานา เดา (Mr. Ramadhani Kitwana Dau)] | กต | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายรามาดานี คีทวานา เดา (Mr. Ramadhani Kitwana Dau) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสหสาธารณรัฐแทนซาเนียประจำประเทศไทย คนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย สืบแทน นายอับดุล ซิสโก อึมทีโร (Mr. Abdul Cisco Mtiro) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14607 | แผนการใช้จ่ายเงินกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (แผนพัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ) ปีงบประมาณ 2562 | พณ | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กะทรวงพาณิชย์เสนอแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ปีงบประมาณ ๒๕๖๒ (แผนพัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ) จำนวน ๒๑๕ โครงการ วงเงินทั้งสิ้น ๑,๗๓๑.๓๑ ล้านบาท จากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวม ๑๐ หน่วยงาน ซึ่งคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ในคราวประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๑ มีมติอนุมัติแล้ว ดังนี้
๑. ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศ จำนวน ๖๗ โครงการ วงเงินรวม ๑,๔๙๐.๘๘ ล้านบาท ได้แก่ การผลักดันคลัสเตอร์เป้าหมายสำคัญ การพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการการค้าระหว่างประเทศของไทย การพัฒนาส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มและการสร้างภาพลักษณ์และส่งเสริมการสร้างแบรนด์สินค้าและบริการ และการพัฒนาองค์การสู่อนาคต ๒. ยุทธศาสตร์การเจรจาเชิงรุกเพื่อเปิดตลาด จำนวน ๑๓๕ โครงการ วงเงินรวม ๒๒.๗๘ ล้านบาท ได้แก่ การประชุมเจรจาเชิงรุก และการปกป้องผลประโยชน์ และการแก้ไขอุปสรรคทางการค้า ๓. ยุทธศาสตร์การเร่งรัดทำการตลาดเชิงกลยุทธ์ จำนวน ๑๒ โครงการ วงเงินรวม ๑๖๗.๖๔ ล้านบาท ได้แก่ การขยายส่วนแบ่งตลาดในตลาดหลักและตลาดศักยภาพสูงให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน การพัฒนาตลาดใหม่ การผลักดันการค้าผ่านช่องทางตลาดและช่องทางกระจายสินค้ารูปแบบใหม่ ๔. แผนงานตามนโนยบายและมาตรการเร่งด่วน (โครงการเร่งด่วนที่สำคัญที่เกิดขึ้นระหว่างปี) จำนวน ๑ โครงการ วงเงินรวม ๕๐ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14608 | รายงานผลการเข้าร่วมประชุมระดับสูงทางการเมืองว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านพลังงาน (High-Level Political Forum on Sustainable Development: Energy) | พน | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพลังงานรายงานผลการเข้าร่วมประชุมระดับสูงทางการเมืองว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านพลังงาน (High-Level Political Forum on Sustainable Development : Energy) เมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยการประชุมดังกล่าวจัดขึ้นภายใต้หัวข้อหลักคือ “Transformation towards Sustainable and Resilient Societies” เป็นการประชุมประจำปีที่จัดโดยสหประชาชาติ (UN) มีเป้าหมายเพื่อเป็นเวทีให้ประเทศต่าง ๆ ได้ร่วมทบทวนความคืบหน้าการดำเนินการตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน (2030 Agenda for Sustainable Development : 2030 Agenda) และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) รวมทั้งเข้าร่วมการประชุมด้านพลังงานในเวทีนานาชาติรวม ๔ การประชุม ประกอบด้วย
๑. การประชุมเตรียมการระดับโลกว่าด้วยเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เป้าหมายที่ ๗ (พลังงาน) (The Global SDG7 Conference) จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๑-๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ณ กรุงเทพมหานคร เป็นเวทีการประชุมระดับโลกเพื่อหารือนโยบายและแนวปฏิบัติด้านพลังงานที่ยั่งยืน ๒. การประชุม Asian and Pacific Energy Forum (APEF) ครั้งที่ ๒ จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๓-๕ เมษายน ๒๕๖๑ ณ กรุงเทพมหานคร เป็นเวทีการประชุมเพื่อทบทวนและอภิปรายถึงความคืบหน้าในการดำเนินการด้านความมั่นคงทางพลังงานตามนโยบายการพัฒนาที่ยั่งยืน เป้าหมายที่ ๗ (พลังงานสะอาดที่ทุกคนเข้าถึงได้) ๓. การประชุม International Energy Forum Ministerial Meeting ครั้งที่ ๑๖ (IEF16) จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๑-๑๒ เมษายน ๒๕๖๑ ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย เป็นเวทีการประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นความมั่นคงทางด้านพลังงาน การพัฒนาอย่างยั่งยืน การรักษาเสถียรภาพน้ำมัน การลงทุนด้านพลังงานในยุคการเปลี่ยนแปลง และการพัฒนาเทคโนโลยีทางด้านพลังงาน ๔. การประชุม Berlin Energy Transition Dialogue ครั้งที่ ๔ จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๗-๑๘ เมษายน ๒๕๖๑ ณ กรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เป็นเวทีการหารือในระดับผู้กำหนดนโยบาย นักวิชาการ และภาคธุรกิจ เกี่ยวกับนโยบายพลังงงานและแนวทางการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบพลังงานรูปแบบใหม่ ที่มุ่งเน้นการอนุรักษ์พลังงานและเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14609 | ขอความเห็นชอบการเพิ่มเติมหลักเกณฑ์แนวทางการจ้างแรงงานสำหรับโครงการจ้างแรงงานชลประทานสร้างรายได้แก่เกษตรกร ภายใต้มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิต | กษ | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการเพิ่มเติมหลักเกณฑ์สำหรับโครงการจ้างแรงงานชลประทานสร้างรายได้แก่เกษตรกร ซี่งเป็นโครงการที่อยู่ภายใต้มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยให้สามารถจ้างแรงงานนอกเหนือจากผู้ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้ ตามลำดับ ดังนี้ (๑) เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยเพื่อรับสวัสดิการของรัฐ (๒) เกษตรกรในพื้นที่ (๓) สมาชิกกลุ่มผู้ใช้น้ำของกรมชลประทานในพื้นที่ดำเนินโครงการ (๔) เกษตรกรที่มีชื่ออยู่ในบัญชีครัวเรือนเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมส่งเสริมการเกษตร (๕) ประชาชน และผู้ใช้แรงงานทั่วไปในพื้นที่ และ (๖) หากแรงงานที่ต้องการในพื้นที่เป้าหมายมีไม่เพียงพอ ให้พิจารณาจ้างแรงงานในพื้นที่ใกล้เคียงจากหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด และลุ่มน้ำ ตามลำดับ รวมทั้งขอให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับดูแลการดำเนินโครงการดังกล่าวให้ถูกต้อง โปร่งใส และตรวจสอบได้อย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14610 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงมหาดไทย) (นายเสถียร เจริญเหรียญ) | มท | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายเสถียร เจริญเหรียญ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งวิศวกรใหญ่ (วิศวกรโยธาทรงคุณวุฒิ) กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14611 | ร่างพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อก | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับบทนิยาม คณะกรรมการ องค์ประกอบของคณะกรรมการ การกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและราคาอ้อยขั้นสุดท้าย บทกำหนดโทษ และคณะกรรมการเปรียบเทียบปรับ เพื่อให้เป็นไปตามแผนการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ และสอดคล้องกับพันธกรณีและกรอบข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานศาลยุติธรรม และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น ความครอบคลุมของบทนิยาม บทกำหนดโทษกรณีความรับผิดในทางอาญาของผู้แทนนิติบุคคล และบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย ในเรื่องวัตถุประสงค์ องค์ประกอบของคณะกรรมการ ที่มาของเงินกองทุนซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลังก่อนจึงจะเสนอร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ต่อคณะรัฐมนตรีได้ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรอง ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดเสนอผลการพิจารณาเรื่อง การขยายวัตถุประสงค์ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายของคณะกรรมการนโยบายการบริหารกองทุนหมุนเวียน แล้วแจ้งผลการพิจารณาดังกล่าวไปเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป และให้รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14612 | ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยรัฐบาลดิจิทัล พ.ศ. .... | สพร. | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยรัฐบาลดิจิทัล พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยรัฐบาลดิจิทัล โดยให้หน่วยงานของรัฐจัดทำข้อมูลและบริการในรูปแบบดิจิทัล (Digitization) แลกเปลี่ยนและเชื่อมโยงข้อมูลของหน่วยงานของรัฐ (Integration) และเปิดเผยข้อมูลภาครัฐในรูปแบบดิจิทัล (Open Government Data) เพื่อให้มีกฎหมายในการขับเคลื่อนให้เกิดการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินและการบริการประชาชนตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตามที่สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และสำนักงานศาลยุติธรรม เช่น ให้มีการเปิดเผยข้อมูลระดับปฐมภูมิที่อยู่ภายใต้การครอบครองของรัฐที่ได้ผ่านการปกปิดตัวตน (Anonymized Data) การกำหนดให้หน่วยงานของรัฐที่รับข้อมูลส่วนบุคคลจากหน่วยงานอื่นใช้และเก็บข้อมูลดังกล่าวตามอำนาจและหน้าที่เท่าที่จำเป็นและทำลายเมื่อหมดความจำเป็น การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ควบคู่ไปกับร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยรัฐบาลดิจิทัล พ.ศ. .... การกำหนดคำนิยาม “รัฐวิสาหกิจ” ให้สอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. .... การจำกัดขอบเขตความชัดเจนในการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวกับศาลยุติธรรมให้ชัดเจนเหมาะสม และระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลตามร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ควรจะสอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล พ.ศ. .... เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เสนอ ๓. ให้สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) รับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงาน ก.พ. ที่เห็นควรมีการพัฒนาขีดความสามารถเชิงดิจิทัลให้กับบุคลากรของรัฐรวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของประเทศ รวมทั้งควรมีการวางแผนและจัดเตรียมกำลังคน และในกรณีที่จะมีการขอกำหนดอัตรากำลังเพิ่มเติมให้แก่สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ควรใช้เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยสนับสนุนการทำงานแทน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14613 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการปล่อยชั่วคราว) | ศย | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการปล่อยชั่วคราว) ของสำนักงานศาลยุติธรรม ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเกี่ยวกับการปล่อยชั่วคราวให้สามารถคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14614 | ขอความเห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน | พณ | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ส่งร่างความตกลงว่าด้วยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน (ASEAN Agreement on Electronic Commerce) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีการพัฒนาและส่งเสริมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งประเทศสมาชิกต้องพัฒนาสภาพแวดล้อมด้านกฎหมายหรือกฎระเบียบ สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างความสามารถในการแข่งขันทางการค้า และการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ โดยอาเซียนได้กำหนดให้มีการลงนามร่างความตกลงฯ ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ ๓๓ ซึ่งจะมีขึ้นในระหว่างวันที่ ๑๑-๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามในร่างความตกลงฯ เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบร่างความตกลงฯ แล้ว ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามในร่างความตกลงฯ เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบร่างความตกลงฯ แล้ว ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อปฏิบัติตามพันธกรณีที่กำหนดในร่างความตกลงฯ ๕. ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งต่อสำนักเลขาธิการอาเซียนว่าไทยพร้อมที่จะให้ร่างความตกลงฯ มีผลผูกพันต่อไป เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเห็นชอบร่างความตกลงฯ ๖. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การเร่งยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในไทยทั้งกลุ่มที่มีอยู่ และกลุ่มที่มีศักยภาพจะเข้ามาใช้เป็นผู้ประกอบการใหม่เพื่อให้ทันต่อการพัฒนาของอาเซียน การส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาและการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในมิติต่าง ๆ ที่จะเสริมให้เกิดความเข้มแข็งและความเชื่อมั่นต่อระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ อาทิ เทคโนโลยีด้านการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) เทคโนโลยีด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security) และเทคโนโลยีการระบุตัวตนและการรักษาข้อมูลส่วนบุคคล (Identification and Privacy) รวมทั้งการพิจารณาศึกษาการนำมาตรฐานในการคุ้มครองผู้บริโภคในระดับสากลมาประยุกต์ใช้ในการปรับปรุงกฎหมายให้มีประสิทธิภาพ ทันสมัย และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14615 | การจัดหารถประจำตำแหน่งให้แก่ศึกษาธิการภาค และรองศึกษาธิการภาค | ศธ | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า ตำแหน่งศึกษาธิการภาค และรองศึกษาธิการภาคไม่ใช่ตำแหน่งบังคับบัญชาของส่วนราชการและไม่ใช่ตำแหน่งที่จะจัดรถประจำตำแหน่งให้ได้ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรถราชการ พ.ศ. ๒๕๒๓ ประกอบกับกระทรวงศึกษาธิการอยู่ระหว่างดำเนินการปรับโครงสร้างกระทรวง ซึ่งเกี่ยวข้องกับตำแหน่งดังกล่าว รวมทั้งจะต้องพิจารณาถึงภาระงบประมาณที่อาจเพิ่มมากขึ้นด้วย จึงมีมติให้กระทรวงศึกษาธิการรับเรื่องนี้กลับไปพิจารณาทบทวนความจำเป็นเหมาะสมของการดำเนินการให้สอดคล้องกับการปรับโครงสร้างกระทรวงศึกษาธิการอีกครั้งหนึ่งก่อนดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14616 | ร่าง มาตรฐานการศึกษาของชาติ พ.ศ. .... | ศธ | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่าง มาตรฐานการศึกษาของชาติ พ.ศ. .... เป็นการปรับปรุงมาตรฐานการศึกษาของชาติ ฉบับ พ.ศ. ๒๕๔๗ ซึ่งใช้มาเป็นระยะเวลานานแล้ว โดยร่าง มาตรฐานการศึกษาของชาติ พ.ศ. .... เป็นการกำหนดผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ ๓ ด้าน ได้แก่ ผู้เรียนรู้ ผู้ร่วมสร้างสรรค์นวัตกรรม และพลเมืองที่เข้มแข็ง และมีการกำหนดรายละเอียดของผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ดังกล่าวตามระดับการศึกษา ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาถึงระดับอุดมศึกษา เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องเชื่อมโยงกันในแต่ละระดับการศึกษา โดยให้อิสระสถานศึกษาในการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับบริบทของสถานศึกษาและตามความถนัดของผู้เรียน ซึ่งจะก่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการจัดการการศึกษาที่เหมาะสมกับช่วงวัย สภาพแวดล้อม ความพร้อม และศักยภาพของผู้เรียนและสถานศึกษาแต่ละพื้นที่ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณากำหนดรายละเอียดตามร่าง มาตรฐานการศึกษาของชาติ พ.ศ. .... ให้ครอบคลุมมาตรฐานด้านต่าง ๆ เพิ่มเติม เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปการศึกษาด้วย เช่น มาตรฐานครูและบุคลากรทางการศึกษา โรงเรียน หนังสือและแบบเรียน การจัดทำแบบทดสอบ การประเมินผลการจัดการเรียนการสอน การใช้จ่ายงบประมาณ การผลิตบุคลากรให้ตรงกับความต้องการด้านแรงงานของประเทศ การศึกษาทวิภาคี เป็นต้น และดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา) เร่งดำเนินการชี้แจงแนวทางการดำเนินงานตามมาตรฐานการศึกษาของชาติให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความเข้าใจอย่างชัดเจน ถูกต้องตรงกัน และสามารถแปลงกรอบผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ไปสู่การปฏิบัติได้อย่างสอดคล้อง เชื่อมโยงและเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษาที่เห็นควรระบุช่วงอายุของการศึกษาหรือกรอบนิยามที่ชัดเจนของทั้ง ๕ ระดับ ได้แก่ ปฐมวัย ประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย/อาชีวศึกษา อุดมศึกษา ประกอบกับการอธิบายกรอบและนิยามของผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ของการศึกษา เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันมากยิ่งขึ้น ควรพิจารณาเพิ่มความรู้พื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (Science Technology Engineering and Mathematics : STEM) ในส่วนของผู้เรียนรู้ด้วย เพื่อให้สามารถติดตามความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของศาสตร์ทั้ง ๔ ด้านได้ทันหรือเพียงพอสำหรับการดำรงชีวิตประจำวัน ควรพิจารณากำหนดทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ของระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย/ระดับอาชีวศึกษาด้วย ควรมีการสร้างความรู้ความเข้าใจร่วมกันระหว่างผู้กำหนดนโยบายและผู้ปฏิบัติ เพื่อให้การกำหนดมาตรฐานการศึกษา การกำหนดตัวชี้วัดในแต่ละระดับการศึกษา การประกันคุณภาพการศึกษา นำไปสู่ผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ของการศึกษาในทางปฏิบัติได้ นอกจากนี้ การกำหนดแนวทางในการจัดการศึกษาและจัดทำมาตรฐานการศึกษาในระดับปฐมวัย ควรมีการบูรณาการให้เป็นมาตรฐานเดียวกันและสอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. .... ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษานำมาตรฐานการศึกษาของชาติไปเป็นกรอบในการกำหนดมาตรฐานการศึกษาและหลักสูตรการศึกษาในแต่ละระดับและประเภทการศึกษา รวมทั้งการส่งเสริม กำกับดูแล การตรวจสอบ การประเมินผล และการประกันคุณภาพการศึกษาด้วย ๔. ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามมาตรฐานการศึกษาของชาติให้เกิดผลเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน รวมทั้งให้ประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและชัดเจนแก่ประชาชนเกี่ยวกับผลลัพธ์ของการดำเนินการและประโยชน์ที่จะได้รับด้วย ๕. ให้กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา) กำกับ ติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาของชาติเป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถนำผลการประเมินมาปรับปรุงการดำเนินการให้เหมาะสมและสามารถยกระดับการศึกษาของไทยได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14617 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้ MR. SYED SAMI ULLAH MOOSVI สัญชาติอินเดีย เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ | มท | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้ MR. SYED SAMI ULLAH MOOSVI สัญชาติอินเดีย เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ มีสาระสำคัญเป็นการอนุญาตให้คนต่างด้าวราย MR. SYED SAMI ULLAH MOOSVI สัญชาติอินเดีย เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ ด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรม เนื่องจากต้องเลี้ยงดูภรรยาและบุตรผู้เยาว์สัญชาติไทย ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น ข้อความในวรรคท้ายของร่างประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ ความว่า “...เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรได้เป็นกรณีพิเศษ” อาจมีปัญหาในการตีความเรื่องสิทธิการอยู่ในราชอาณาจักรของคนต่างด้าว ควรแก้ไขเป็น “...เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรได้ภายใต้บทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง” เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับการออกประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ เพื่อยกเลิกการห้ามการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย และอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษดังกล่าว อาจถูกใช้เป็นบรรทัดฐานอ้างอิงกับกรณีอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และเป็นช่องทางให้คนต่างด้าวที่ไม่พึงประสงค์ใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ จำเป็นอย่างยิ่งที่กระทรวงมหาดไทยต้องพิจารณากำหนดมาตรการป้องกันและแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างรอบคอบและรัดกุม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14618 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางญาณี แสงศรีจันทร์) | กค | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางญาณี แสงศรีจันทร์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลัง (นักวิชาการคลังทรงคุณวุฒิ) กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14619 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน รวม 3 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำปากพนัง เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. ....) | กษ | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน รวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำปากพนัง เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำปากพนัง จากกิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลหูล่อง อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ถึงกิโลเมตรที่ ๖๐.๒๔๐ ในท้องที่ตำบลแม่เจ้าอยู่หัว และตำบลการะเกด อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองซอย ๑๕ ขวา ของเหมืองแม่แฝก เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นทางกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองซอย ๑๕ ขวา ของเหมืองแม่แฝก จากกิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลเมืองเล็น อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ถึงกิโลเมตรที่ ๑๑.๔๐๐ ในท้องที่ตำบลหนองจ๊อม อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยแดง เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยแดง จากศูนย์กลางเขื่อนดิน อ่างเก็บน้ำห้วยแดง ตำบลกุสุมาลย์ อำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร ถึงขึ้นไปทางด้านเหนือน้ำ ในเขตตำบลกุสุมาลย์ อำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14620 | ขอให้พิจารณานำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 15/2561 เรื่อง การแก้ไขปัญหาการบริหารราชการเมืองพัทยา) | สลธ.คสช. | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๕/๒๕๖๑ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการบริหารราชการเมืองพัทยา สั่ง ณ วันที่ ๒๕ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๑ มีสาระสำคัญเป็นการเปลี่ยนแปลงผู้ดำรงตำแหน่งนายกเมืองพัทยา จากพลตำรวจตรี อนันต์ เจริญชาศรี เป็นนายสนธยา คุณปลื้ม และการได้มาซึ่งรองนายกเมืองพัทยา เพื่อประโยชน์ต่อการสนับสนุนกิจกรรมและการดำเนินการในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ
|
.....