ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 737 จากทั้งหมด 6214 หน้า แสดงรายการที่ 14721 - 14740 จากข้อมูลทั้งหมด 124278 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
14721 | ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองประชาชนในการทำสัญญาขายฝากที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมหรือที่อยู่อาศัย พ.ศ. .... | นร04 | 18/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองประชาชนในการทำสัญญาขายฝากที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมหรือที่อยู่อาศัย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองประชาชนจากสัญญาขายฝากที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมหรือที่อยู่อาศัยที่ไม่เป็นธรรม โดยกำหนดบทนิยามเพื่อให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น กำหนดสิทธิและหน้าที่ของผู้ซื้อฝากและผู้ขายฝาก กำหนดหน้าที่และอำนาจของเจ้าพนักงานที่ดิน และกำหนดบทเฉพาะกาลเพื่อรองรับความสมบูรณ์ของสัญญาขายฝากที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมหรือที่อยู่อาศัยซึ่งได้กระทำไปแล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัติฯ ใช้บังคับ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยคณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วนเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงยุติธรรมเกี่ยวกับการกำหนดระยะเวลาขั้นต่ำในการไถ่ไว้ ๑ ปี ตามร่างมาตรา ๑๐ ถือเป็นการคุ้มครองผู้ขายฝาก แต่กรณีที่ผู้ขายฝากใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินก่อนครบกำหนดระยะเวลาไถ่ ควรกำหนดรายละเอียดและวิธีการดำเนินการให้ชัดเจนด้วยว่าเพื่อปรับลดสินไถ่และดอกเบี้ยลงตามสัดส่วนระยะเวลาที่ไถ่ทรัพย์สิน เพื่อความเป็นธรรมแก่ผู้ขายฝาก ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง และกรอบระยะเวลาของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยคณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วนเสนอ โดยให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๐ [เรื่อง การเสนอแผน กรอบสาระสำคัญ และระยะเวลาการจัดทำกฎหมายลำดับรอง] ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยปรับปรุงแผนกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และจัดทำกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรอง ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๐ แล้วส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจของเกษตรกรและประชาชน ทั้งผู้ขายฝากและผู้ซื้อฝากในวงกว้างอย่างทั่วถึง มีการจัดทำคู่มือชี้แจงการทำสัญญาขายฝากให้ผู้ซื้อฝากและผู้ขายฝากทราบ เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันทั้งสองฝ่าย และมีการกำหนดมาตรการและเครื่องมืออื่น ๆ เพื่อเสริมกับการใช้มาตรการทางกฎหมาย เช่น ธนาคารที่ดิน เป็นต้น เพื่อให้การตราร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเกิดผลสัมฤทธิ์มากขึ้น รวมทั้งควรมีกลไกในการติดตามผลการดำเนินงานและปัญหาที่จะเกิดขึ้นหลังจากกฎหมายบังคับใช้แล้ว เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ทันสถานการณ์ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14722 | ขอความเห็นชอบและลงนามพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน ฉบับที่ 8 ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการค้าบริการของอาเซียน | กค | 18/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน ฉบับที่ ๘ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการค้าบริการของอาเซียน (ASEAN Framework Agreement on Services : AFAS) และตารางข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน ซึ่งเป็นภาคผนวกแนบท้ายพิธีสารฯ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงตารางข้อผูกพันในสาขาหลักทรัพย์ สาขาย่อยบริการจัดการลงทุน (Asset Management) ในการอนุญาตให้มีสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติในบริษัทจัดการลงทุน (Asset Management Company) ได้ถึงร้อยละ ๑๐๐ ของทุนที่ชำระแล้ว โดยยกเลิกเงื่อนไขที่กำหนดให้ต้องมีสถาบันการเงินที่จัดตั้งภายใต้กฎหมายไทยถือหุ้นอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕๐ ของทุนที่ชำระแล้ว ในระยะ ๕ ปีแรก หลังจากที่ได้รับใบอนุญาต เป็นการยกระดับข้อผูกพันให้เทียบเท่ากฎหมายและแนวปฏิบัติที่ใช้บังคับในปัจจุบัน ทั้งนี้ จะมีการลงนามในร่างพิธีสารฯ ในช่วงการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปี ๒๕๖๑ ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๑ ณ เกาะบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังลงนามในร่างพิธีสารฯ และตารางข้อผูกพันฯ ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญ และไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) และเมื่อลงนามแล้วให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา แล้วเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบพิธีสารฯ และตารางข้อผูกพันฯ ก่อนแสดงเจตนาเพื่อให้มีผลผูกพัน ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังลงนามในร่างพิธีสารฯ ๔. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดดำเนินการเพื่อให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและได้รับการเยียวยาที่จำเป็นอันเกิดจากผลกระทบของการทำหนังสือสัญญาดังกล่าวตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสี่ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ก่อนเสนอคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ๕. ให้กระทรวงการคลังประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อปฏิบัติตามพันธกรณีที่กำหนดในร่างพิธีสารฯ และตารางข้อผูกพันฯ ๖. ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งต่อสำนักเลขาธิการอาเซียนว่าไทยพร้อมที่จะให้พิธีสารฯ มีผลผูกพันต่อไป เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเห็นชอบต่อพิธีสารฯ และตารางข้อผูกพัน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14723 | การขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันตามมาตรา 23 วรรคสี่ สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 | กก | 18/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๘ เพื่อเป็นค่าเช่าอาคารสำนักงานและค่าเช่ารถยนต์ รวมทั้งสิ้น ๑๔ รายการ วงเงินงบประมาณ ๒๖๕,๖๑๖,๐๐๐ บาท หรือไม่เกินวงเงินตามสกุลเงินท้องถิ่น สำหรับกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนตามมาตรา ๒๓ วรรคสี่ ของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยวงเงินดังกล่าวสำนักงบประมาณได้มีการปรับลดค่าเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานเซี่ยงไฮ้และสำนักงานเฉิงตู เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน จาก ๖ บาทต่อหยวน เป็น ๕.๕ บาทต่อหยวน โดยสำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ สำหรับรายการค่าเช่าอาคารสำนักงาน จำนวน ๖๘,๓๓๕,๕๐๐ บาท และรายการค่าเช่ารถยนต์ จำนวน ๔,๔๕๕,๒๐๐ บาท รองรับไว้แล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป เห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยสอดคล้องกับค่าเช่าที่จะต้องจ่ายจริงต่อไป ทั้งนี้ การเช่าอาคารสำนักงานและการเช่ารถยนต์ดังกล่าว ททท. จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ รวมถึงการใช้จ่ายเงินสำหรับการดำเนินภารกิจดังกล่าวจะต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่าและประหยัด โดยพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่ได้รับ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ในการบริหารจัดการภาครัฐอย่างยั่งยืน ตามนัยของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14724 | ขอรับการจัดสรรเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายบุคลากรของสำนักงานอัยการสูงสุด) | อส | 18/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้สำนักงานอัยการสูงสุดปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ภายใต้แผนงานบุคลากรภาครัฐ รายการค่าใช้จ่ายดำเนินงาน จำนวน ๔๑,๓๒๑,๒๐๐ บาท และใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม ๒๕๖๒ แล้ว จำนวน ๑๔,๗๐๒,๙๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕๖,๐๒๔,๑๐๐ บาท เพื่อสมทบเป็นค่าใช้จ่ายบุคลากรของสำนักงานอัยการสูงสุดในส่วนที่ขาดต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักงานอัยการสูงสุดรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงาน ก.พ. ที่เห็นควรคำนึงถึงการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อให้การดำเนินงานเกิดประโยชน์สูงสุด และควรพิจารณาจัดทำแผนบริหารอัตรากำลังให้มีความชัดเจน เหมาะสมกับทิศทางการบริหารงานภาครัฐรูปแบบใหม่ที่เน้นการจ้างงานในรูปแบบอื่น ๆ ตามความจำเป็นของภารกิจ รวมทั้งควรพิจารณาการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณและลดภาระผูกพันงบประมาณในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14725 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สำหรับโครงการพัฒนาถนนหมายเลข 11 (R11) ช่วงครกข้าวดอ-บ้านโนนสะหวัน-สานะคาม-บ้านวัง-บ้านน้ำสัง | กค | 18/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการพัฒนาถนนหมายเลข ๑๑ (R11) ช่วงครกข้าวดอ-บ้านโนนสะหวัน-สานะคาม-บ้านวัง-บ้านน้ำสัง ในวงเงินรวม ๑,๘๒๖.๕๐ ล้านบาท ตามขอบเขตของโครงการ แหล่งที่มาของเงินทุน รูปแบบ วิธีการ และเงื่อนไขทางการเงินสำหรับการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว และให้ สพพ. ตกลงกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดการจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีต่อไป ตามที่กระทรวงการคลัง โดย สพพ. เสนอ และให้ สพพ. รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้งบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม สำหรับการชดเชยค่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้และดอกเบี้ยที่ สพพ. กู้ รวมทั้งความเสี่ยงกรณี สปป.ลาว ผิดนัดชำระหนี้ เห็นควรให้ สพพ. ใช้เงินสะสมของหน่วยงาน และกำหนดแนวทางและวิธีการบริหารจัดการเพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นโดยต้องดำเนินการให้เป็นไปตามนัยของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดย สพพ. ประเมินและติดตามความเสี่ยงด้านความสามารถในการชำระหนี้ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวอย่างต่อเนื่อง และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น เร่งผลักดันการใช้ประโยชน์จากเส้นทางคมนาคมตามแนวระเบียงเศรษฐกิจ เชียงใหม่-นครหลวงเวียงจันทน์ เพื่อขยายการค้าการลงทุนระหว่างไทยและ สปป.ลาว ให้มากยิ่งขึ้นต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14726 | ขออนุมัติการเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการทำนบดินหัวงานและอาคารประกอบ โครงการอ่างเก็บน้ำแม่สะลวม อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงใหม่ | กษ | 18/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14727 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นายชลทิศ อุไรฤกษ์กุล) | สธ | 18/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายชลทิศ อุไรฤกษ์กุล ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งนักวิชาการสาธารณสุขทรงคุณวุฒิ (ด้านส่งเสริมสุขภาพ) กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14728 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางศิริวรรณ สุคนธมาน) | นร08 | 18/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางศิริวรรณ สุคนธมาน ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการประสานกิจการความมั่นคง (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14729 | การแต่งตั้งกงสุลใหญ่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ณ จังหวัดเชียงใหม่ (กระทรวงการต่างประเทศ) [อู เตน ทิน (U Thein Tin)] | กต | 18/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีอนุมัติแต่งตั้ง อู เตน ทิน (U Thein Tin) ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ณ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน น่าน พะเยา แพร่ และอุตรดิตถ์ สืบแทนนายกอง ซาน ลวีน (Mr. Kong San Lwin) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14730 | สรุปผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 และกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 | นร11 | 18/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางและข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในการปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ๑ (อุดรธานี เลย หนองคาย หนองบัวลำภู บึงกาฬ) และกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๑ (เพชรบูรณ์ พิษณุโลก ตาก สุโขทัย อุตรดิตถ์) ระหว่างวันที่ ๓-๑๗ กันยายน ๒๕๖๑ ซึ่งมีประเด็นการพัฒนาและข้อสั่งการ ได้แก่ (๑) การอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อเป็นฐานการท่องเที่ยวหลักของกลุ่มจังหวัด (๒) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงพื้นที่ภายในกลุ่มจังหวัด และพื้นที่ภาคเพื่อรองรับและเชื่อมโยงการค้า การท่องเที่ยว และ (๓) ส่งเสริมการท่องเที่ยวธรรมชาติและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสั่งการไปพิจารณาดำเนินการต่อไป รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบด้วย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14731 | ผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้แทนเกษตรกร เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 และกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 | นร11 | 18/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้แทนเกษตรกร เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๑ (เพชรบูรณ์ พิษณุโลก ตาก สุโขทัย อุตรดิตถ์) และกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ๑ (อุดรธานี เลย หนองคาย หนองบัวลำภู บึงกาฬ) เมื่อวันอังคารที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๖๑ ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ และเห็นชอบข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีประเด็นสำคัญ ได้แก่ (๑) ด้านการเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจ หลวงพระบาง-อินโดจีน-เมาะลำไย (Luangprabang-Indochina-Mawlamyine Economic Corridor : LIMEC) (๒) ด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ (๓) ด้านแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรและการแก้ไขปัญหาอุทกภัย (๔) ด้านยกระดับการผลิตและการสร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิต (๕) ด้านการท่องเที่ยว และ (๖) ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินการให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดลำดับความสำคัญเร่งด่วนและจัดทำประมาณการงบประมาณของแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๑ และกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ๑ ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งยุทธศาสตร์ชาติและแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐-พ.ศ. ๒๕๖๔) ต่อไป ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14732 | ยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงข่ายด้านคมนาคมขนส่งเชื่อมโยงกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 กับกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 | คค | 18/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงข่ายด้านคมนาคมขนส่งเชื่อมโยงกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๑ (เพชรบูรณ์ พิษณุโลก ตาก สุโขทัย อุตรดิตถ์) และกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ๑ (อุดรธานี เลย หนองคาย หนองบัวลำภู บึงกาฬ) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ยุทธศาสตร์การเชื่อมโยงพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจระหว่างภูมิภาค และด่านการค้าชายแดน (Land-link Economic Corridor) ได้พัฒนาโครสร้างพื้นฐานทางถนนและทางรางให้เชื่อมระหว่าง ๒ ภูมิภาคในเส้นทางแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor : EWEC) ตลอดจนพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษเป็นโครงข่าย Land Link โดยมีการดำเนินโครงการสำคัญ เช่น โครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข ๑๒ เริ่มตั้งแต่ อ.แม่สอด จ.ตาก-จ.มุกดาหาร มีระยะทางในประเทศไทย ๗๗๗ กิโลเมตร (ตั้งแต่สะพานมิตรภาพฯ อ.แม่สอด-สะพานมิตรภาพฯ จ.มุกดาหาร) โครงการก่อสร้างสะพานเชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้าน โครงการถนนเชื่อมโยงพื้นที่เมืองหลัก เมืองรอง โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ พื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๑ ช่วงปากน้ำโพ-เด่นชัย ระยะทาง ๒๘๕ กิโลเมตร และพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ๑ ช่วงขอนแก่น-หนองคาย ระยะทาง ๑๖๗ กิโลเมตร และโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพมหานคร-หนองคาย ระยะที่ ๒ ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย ระยะทาง ๓๕๐ กิโลเมตร เป็นต้น ๒. ยุทธศาสตร์การเชื่อมโยงระบบคมนาคมขนส่งทางอากาศ (Air-link Economic Corridor) ได้มีแผนพัฒนาท่าอากาศยานให้สามารถรองรับปริมาณการจราจรทางอากาศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวก ปลอดภัย และสามารถเชื่อมโยงกับท่าอากาศยานหลัก โดยท่าอากาศยานที่อยู่ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๑ จำนวน ๔ แห่ง (ท่าอากาศยานพิษณุโลก แม่สอด เพชรบูรณ์ ตาก) และกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ๑ จำนวน ๒ แห่ง (ท่าอากาศยานอุดรธานี เลย) ๓. ยุทธศาสตร์การเชื่อมโยงระบบคมนาคมขนส่งเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจการท่องเที่ยว (Tourism Economic Corridor) ได้พัฒนาเส้นทางเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวให้ครอบคลุมและต่อเนื่องไปถึงประเทศเพื่อนบ้าน เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว สามารถเดินทางเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวได้หลากหลายมากขึ้น มีความปลอดภัยและสอดคล้องกับความต้องการของนักท่องเที่ยว โดยมีโครงการสำคัญ เช่น ถนนเลียบโขง Romantic Road เป็นทางหลวงหมายเลข ๒๑๑ ตอน ห้วยเชียงดา-ปากชม-เชียงคาน จ.เลย ระยะทาง ๗๒.๓๖ กิโลเมตร ถนนสายแยก ทล.๒๑๒-บ.ฝายแตก อ.เมือง จ.หนองคาย ระยะทาง ๕.๖๖๐ กิโลเมตร และถนนสายแยก ทล.๒๐๖๗-แก่งหินถ้ำเต่า อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ ระยะทาง ๑.๙๓๕ กิโลเมตร เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14733 | การขับเคลื่อนโครงการชุมชนไม้มีค่า | นร | 18/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขับเคลื่อนโครงการชุมชนไม้มีค่า เพื่อให้ประเทศไทยมีชุมชนไม้มีค่า ๒๐,๐๐๐ ชุมชน ใน ๑๐ ปี รวมทั้งมีการปรับปรุงร่างกฎหมาย กฎ หรือระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานโครงการชุมชนไม้มีค่าเพื่อนำไปสู่ผลสัมฤทธิ์ โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) กรมป่าไม้ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการการขับเคลื่อนโครงการชุมชนไม้มีค่า และมอบหมายหน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติเสนอ และให้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางในการส่งเสริมการปลูกไม้มีค่าในพื้นที่ต่าง ๆ ที่มีความพร้อมและมีศักยภาพให้เพิ่มมากยิ่ง ๆ ขึ้น เพื่อเป็นการเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ในภาพรวมของประเทศและเป็นการเพิ่มรายได้ของประชาชน ทั้งนี้ ให้พิจารณาถึงการปลูกป่าในพื้นที่เขาหัวโล้นและพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมด้วย โดยให้พิจารณากำหนดเงื่อนไข/หลักเกณฑ์ ให้ถูกต้องและเหมาะสมด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14734 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (จำนวน 3 ราย 1. นายประลอง ดำรงค์ไทย ฯลฯ) | ทส | 18/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมเป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นายประลอง ดำรงค์ไทย ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ๒. นายสุวัฒน์ เปี่ยมปัจจัย ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ ๓. นายอดิศร นุชดำรงค์ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14735 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงศึกษาธิการ) (นายชลำ อรรถธรรม) | ศธ | 18/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายชลำ อรรถธรรม ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14736 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (จำนวน 13 ราย 1. นายประสาท สืบค้า ฯลฯ) | ศธ | 18/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวม ๑๓ คน แทนประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิม ที่จะดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี ในวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๑ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้
๑. นายประสาท สืบค้า ประธานกรรมการ ๒. นายศรัณย์ โปษยะจินดา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๓. นายยืน ภู่วรวรรณ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๔. นายไกรสิทธิ์ ตันติศิรินทร์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๕. นายพินิติ รตะนานุกูล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๖. คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๗. นายไพฑูรย์ ขัมภรัตน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๘. นายสมบูรณ์ ม่วงกล่ำ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๙. นายสัมพันธ์ ศิลปนาฎ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๐. นางเอมอร สุมามาลย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๑. นายวิฑูรย์ สืบโมรา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๒. นายเจษฎา เนตรสว่างวิชา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๓. นายอำนาจ มณีดุลย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14737 | การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล แทนประธานกรรมการผู้ที่พ้นจากตำแหน่ง (นายไชยเจริญ อติแพทย์) | สพร. | 18/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายไชยเจริญ อติแพทย์ ให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการในคณะกรรมการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล แทนผู้ที่ลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๘ กันยายน ๒๕๖๑) เป็นต้นไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14738 | ขอให้พิจารณานำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จำนวน 2 ฉบับ) | สลธ.คสช. | 18/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๓/๒๕๖๑ เรื่อง การดำเนินการตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง (เพิ่มเติม) ลงวันที่ ๑๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๑ มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๕๓/๒๕๖๐ เรื่อง การดำเนินการตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ลงวันที่ ๒๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ เพื่อผ่อนคลายการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองที่จำเป็นบางกรณีซึ่งพรรคการเมืองต้องดำเนินการก่อนการเลือกตั้ง ๒. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๔/๒๕๖๑ เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ลงวันที่ ๑๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๑ มีสาระสำคัญเป็นการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานชุดใหม่ซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่หลากหลายอันจะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14739 | มาตรการชดเชยเงินให้แก่ผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐโดยใช้ข้อมูลจากจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้มีรายได้น้อยได้ชำระ | กค | 18/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการชดเชยเงินให้แก่ผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยใช้ข้อมูลจากจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้มีรายได้น้อยได้ชำระจากราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษา และวัตถุดิบเพื่อการเกษตรจากร้านธงฟ้าประชารัฐผ่านเครื่องรับชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Capture : EDC) ที่มีการเชื่อมต่อระบบเครื่องบันทึกการเก็บเงิน (Point of Sale : POS) ซึ่งผู้มีรายได้น้อยจะได้รับเงินชดเชยจากข้อมูลตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑-๓๐ เมษายน ๒๕๖๒ เท่านั้น และให้กรมบัญชีกลางดำเนินการจ่ายเงินชดเชยดังกล่าว โดยใช้จ่ายจากเงินกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ทั้งสิ้นจำนวน ๕,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น การพิจารณาถึงความคุ้มค่าในการลงทุนและการจัดการกับความเสี่ยงในการดำเนินการจัดหาเครื่อง EDC อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง และการพัฒนาระบบการชำระเงิน POS เพื่อรองรับการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่ผู้ประกอบการร้านธงฟ้าประชารัฐกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงความเป็นไปได้และแรงจูงใจเพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายอื่น ๆ การเตรียมความพร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งความพร้อมของระบบงานในการจัดเก็บข้อมูลจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มและระบบงานที่รองรับการใช้เงินชดเชยที่ได้รับ และการประชาสัมพันธ์ให้ร้านค้าที่เกี่ยวข้องสามารถใช้งานระบบงานได้อย่างถูกต้อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินมาตรการฯ ให้ใช้จ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่มีเหลือจ่ายจากการดำเนินโครงการจัดทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่ผู้มีสิทธิตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี ๒๕๖๐ จำนวน ๖๐,๐๖๗,๒๐๐ บาท สำหรับส่วนที่เหลือ จำนวน ๒๔,๔๓๒,๘๐๐ บาท ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายระยะเวลาเบิกจ่ายถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๖๑ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบ POS ให้กับร้านธงฟ้าประชารัฐกลุ่มเป้าหมาย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับมาตรการฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุประสงค์ รูปแบบ และขั้นตอนการดำเนินมาตรการฯ ให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ร้านธงฟ้าประชารัฐ ร้านค้าเอกชน และผู้ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ให้ชัดเจนและถูกต้อง ตรงกัน เพื่อให้สามารถดำเนินมาตรการฯ ได้อย่างบรรลุผลและเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ รวมทั้งให้กำกับ ติดตามการดำเนินการตามมาตรการฯ อย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการบิดเบือนและแสวงหาประโยชน์จากการดำเนินมาตรการฯ ในรูปแบบต่าง ๆ ด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทยดำเนินการตรวจสอบและติดตามการดำเนินการจำหน่ายสินค้าของร้านธงฟ้าประชารัฐในพื้นที่ต่าง ๆ ให้มีการนำสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีคุณภาพมาจัดจำหน่ายให้สอดคล้องและเพียงพอต่อความต้องการของประชาชนด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14740 | การแก้ไขปัญหาผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยฝั่งแดง จังหวัดอุบลราชธานี | นร04 | 18/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) ประธานกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรมเสนอว่า ตามที่ได้เสนอเรื่อง การแก้ไขปัญหาผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยฝั่งแดง จังหวัดอุบลราชธานี ไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแล้ว นั้น ปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงานมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไปในแนวทางเดียวกันว่า แนวทางและหลักเกณฑ์ในการจ่ายค่าชดเชยให้แก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยฝั่งแดง จังหวัดอุบลราชธานี ยังขาดความชัดเจนและอาจเกิดปัญหาในการปฏิบัติได้ ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการในเรื่องดังกล่าวเป็นไปอย่างเหมาะสม ถูกต้อง และสอดคล้องกับข้อกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง จึงขอนำเรื่องดังกล่าวไปหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนก่อน และจะได้จัดทำข้อมูลเพิ่มเติมส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีโดยเร็วเพื่อประกอบการเสนอเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
.....