ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 734 จากทั้งหมด 6214 หน้า แสดงรายการที่ 14661 - 14680 จากข้อมูลทั้งหมด 124278 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
14661 | การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งจอร์เจียว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการหรือหนังสือเดินทางพิเศษ | กต | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งจอร์เจียว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการหรือหนังสือเดินทางพิเศษ มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นการตรวจลงตราแก่บุคคลที่ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ หรือหนังสือเดินทางพิเศษ ที่มีอายุใช้ได้ของแต่ละฝ่ายในการเดินทางเข้า-ออก แวะผ่าน และพำนักอยู่ในดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่งได้ เป็นระยะเวลาไม่เกิน ๙๐ วัน ภายในระยะเวลา ๑๘๐ วันใด ๆ นับตั้งแต่วันที่เดินทางเข้า (ในช่วงระยะเวลา ๑๘๐ วันจะเดินทางเข้า-ออกกี่ครั้งก็ได้ แต่รวมกันแล้วต้องไม่เกิน ๙๐ วัน) ซึ่งบุคคลเหล่านั้นจะต้องไม่ทำงานใด ๆ ในดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่ง แต่หากบุคคลเหล่านั้นเป็นผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกในคณะผู้แทนทางการทูตหรือในสถานทำการทางกงสุลหรือองค์การระหว่างประเทศที่มีที่ตั้งอยู่ในดินแดนของอีกฝ่าย รวมทั้งสมาชิกในครอบครัวสามารถเดินทางเข้า พำนัก และออกจากดินแดนของอีกฝ่ายได้ไม่เกิน ๙๐ วัน ซึ่งความตกลงฯ จะมีผลใช้บังคับในวันที่ ๓๐ นับจากวันที่ทั้งสองฝ่ายได้แจ้งซึ่งกันและกันเป็นลายลักษณ์อักษรฉบับสุดท้ายโดยไม่มีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุด และฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอาจขอยกเลิกความตกลงฯ ได้โดยแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งนี้ กำหนดให้มีการลงนามในร่างความตกลงฯ ระหว่างการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ ๗๓ ระหว่างวันที่ ๒๔-๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ๑.๔ อนุมัติในหลักการให้กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือแจ้งฝ่ายจอร์เจียเพื่อให้ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับต่อไป ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14662 | การบริจาคเงินสมทบกองทุนสำหรับพันธมิตรหลากอารยธรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Alliance of Civilizations - UNAOC) | กต | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการเบิกจ่ายเงินสมทบกองทุนโดยสมัครใจเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานและกิจกรรมของกองทุนสำหรับพันธมิตรหลากหลายอารยธรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Alliance of Civilizations : UNAOC) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๑๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ และอนุมัติการบริจาคเงินสมทบกองทุนโดยสมัครใจเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานและกิจกรรมของ UNAOC ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕ รวม ๔ ปี ปีละจำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์ โดยไม่ต้องเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงจำนวนหรือคำนวณอัตราการบริจาคใหม่ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเพื่อการดังกล่าวเห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่ได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว ปีละจำนวน ๑๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ ๓๔๐,๐๐๐ บาท และ ๓๑๕,๐๐๐ บาท ตามลำดับ (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ คิด อัตราแลกเปลี่ยน ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ๓๔.๐๐ บาท ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ คิดอัตราแลกเปลี่ยน ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ๓๑.๕๐ บาท) ทั้งนี้ ภาระค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ได้รับการบรรจุไว้ในกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายล่วงหน้าระยะปานกลางของสำนักงบประมาณแล้ว โดยเห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้มีการสนับสนุนให้ผู้แทนประเทศไทยทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาสังคมได้เข้าร่วมกิจกรรมของ UNAOC อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนได้รับผลประโยชน์จากการเป็นหุ้นส่วนการพัฒนากับองค์การระหว่างประเทศอย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14663 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการและสถานที่ดำเนินการก่อสร้างจากอาคารภาคบริการโลหิตแห่งชาติที่ 10 จังหวัดเชียงใหม่ เป็นกลุ่มอาคารภาคบริการโลหิตแห่งชาติที่ 4 จังหวัดราชบุรี | สกช | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สภากาชาดไทยเปลี่ยนแปลงรายการและสถานที่ดำเนินการก่อสร้าง จากเดิม ค่าก่อสร้างอาคารภาคบริการโลหิตแห่งชาติที่ ๑๐ จังหวัดเชียงใหม่ ตำบลช้างเผือก อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ๑ หลัง ในวงเงิน ๑๑๓,๘๕๐,๐๐๐ บาท มาเป็น ค่าก่อสร้างกลุ่มอาคารภาคบริการโลหิตแห่งชาติที่ ๔ จังหวัดราชบุรี ตำบลพงสวาย อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี โดยมีระยะเวลาดำเนินการและอยู่ภายในวงเงินตามที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้เดิม จำนวน ๑๑๓,๘๕๐,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ รายการดังกล่าวได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ และ พ.ศ. ๒๕๖๒ รองรับไว้แล้ว สำหรับภาระค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ตามกรอบวงเงินดังกล่าว ได้รับการบรรจุไว้ในกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายล่วงหน้าระยะปานกลางของสำนักงบประมาณแล้ว จึงเห็นควรให้สภากาชาดไทยจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม ส่วนรูปแบบอาคารภาคบริการโลหิตแห่งชาติในส่วนของหอพัก เห็นควรให้สภากาชาดไทยหารือกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้สภากาชาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรเร่งรัดดำเนินการก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้ถือปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ในการดำเนินโครงการ/แผนงานของสภากาชาดไทยในครั้งต่อ ๆ ไป ให้สภากาชาดไทยถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) อย่างเคร่งครัดด้วย ๓. กรณีโครงการก่อสร้างอาคารภาคบริการโลหิตแห่งชาติที่ ๑๐ จังหวัดเชียงใหม่ที่ขอยกเลิกในครั้งนี้ หากสภากาชาดไทยเสนอขอตั้งงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการในพื้นที่ดังกล่าวในโอกาสต่อไป ให้สำนักงบประมาณพิจารณาความจำเป็น เหมาะสม คุ้มค่า และความพร้อมในด้านต่าง ๆ ของการดำเนินโครงการในพื้นที่ดังกล่าวให้ชัดเจนด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14664 | การขอขยายโครงข่ายเน็ตประชารัฐเพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ | ดศ | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ในส่วนของกิจกรรมที่ ๑ การขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมทั่วประเทศเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศ (โครงการเน็ตประชารัฐ) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมอยู่ระหว่างดำเนินกิจกรรม/โครงการเพิ่มเติม ส่วนกิจกรรมที่ ๒ การเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Digital Hub) ซึ่งประกอบด้วย ๓ กิจกรรมย่อย โดยกิจกรรมย่อยที่มีความคืบหน้ามากที่สุด คือ กิจกรรมย่อย ๒ (การขยายความจุโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำระหว่างประเทศของระบบที่มีอยู่ 1,770 Gbps) ซึ่งบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการขยายความจุโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำฯ แล้ว จำนวน 980 Gbps นอกจากนี้ ในส่วนของโครงการขยายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้โอนงบประมาณในลักษณะเบิกจ่ายแทนกันให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ และให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณที่ได้รับจัดสรรให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ในการบริหารจัดการภาครัฐอย่างยั่งยืนตามกฎหมายวินัยการเงินการคลัง รวมทั้งควรเร่งรัดและติดตามการดำเนินการในแต่ละกิจกรรมอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จากโครงการดังกล่าวได้อย่างเต็มศักยภาพ และตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานภายในประเทศได้เพียงพอต่อความต้องการ ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. รับทราบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณตามแผนการจัดให้มีบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม (แผน USO) ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ และให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งประสานไปยังสำนักงาน กสทช. เพื่อหารือในรายละเอียดของแนวทางการดำเนินงานในแต่ละกิจกรรมให้สอดคล้องกับแผน USO และจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อเสนอขอความเห็นชอบจาก กสทช. ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถขอรับการจัดสรรงบประมาณดังกล่าวได้ทันตามแผนที่กำหนดไว้ ๓. กรณีการขอขยายเวลาเบิกจ่ายงบประมาณโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม กิจกรรมที่ ๑ การขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมทั่วประเทศเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศ (โครงการเน็ตประชารัฐ) จำนวน ๑,๐๗๒.๑๙๕๕ ล้านบาท และกิจกรรมที่ ๒ การเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Digital Hub) จำนวน ๑,๐๐๐ ล้านบาท นั้น ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลังตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. กรณีการขอความเห็นชอบให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมนำงบประมาณเหลือจ่ายจากการดำเนินการโครงการเน็ตประชารัฐมาดำเนินการ (๑) จัดหาอุปกรณ์เพิ่มเติม (๒) ต่อยอดการสร้างการรับรู้และส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเน็ตประชารัฐให้ครอบคลุมพื้นที่ที่ดำเนินการ (๓) ประเมินผลสัมฤทธิ์โครงการเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์โครงข่ายเน็ตประชารัฐที่ติดตั้งแล้วเสร็จอย่างคุ้มค่า และ (๔) ให้มีการดูแลและบำรุงรักษาโครงข่าย นั้น ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๕. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ และ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๑ ที่ให้ตรวจสอบ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินโครงการเน็ตประชารัฐ แล้วเสนอนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีทราบโดยด่วนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14665 | การโอนเงินหรือสินทรัพย์ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ยเงินกู้ FIDF 1 และ FIDF 3 | กค | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้โอนเงินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเข้าบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ในปีงบประมาณ ๒๕๖๒ จำนวน ๗,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้กองทุนฯ ทยอยโอนเงินดังกล่าวเข้าบัญชีสะสมฯ ตามปริมาณสภาพคล่องของกองทุนฯ เนื่องจากจำนวนเงินดังกล่าวมีความเหมาะสมกับเงินสดรับคงเหลือของกองทุนฯ ที่ประมาณว่าจะมีอยู่จำนวน ๗,๙๐๘ ล้านบาท อย่างไรก็ดี หากกองทุนฯ ได้รับเงินที่มีนัยสำคัญ ให้พิจารณาทบทวนเพื่อขออนุมัตินำส่งเงินเข้าบัญชีสะสมฯ เพิ่มเติมต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14666 | แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2562 | กค | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ วงเงินรวม ๑,๖๖๓,๐๐๑.๙๘ ล้านบาท ได้แก่ แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงิน ๗๔๓,๙๐๑.๓๑ ล้านบาท และแผนการบริหารหนี้เดิม วงเงิน ๙๑๙,๑๐๐.๖๗ ล้านบาท และรับทราบแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ วงเงิน ๑๖๕,๑๑๗.๒๐ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งอนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อดำเนินโครงการลงทุนและการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้กรอบวงเงินของแผน ฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๔ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะรายงานผลการดำเนินการตามแผนฯ ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ๑.๕ รับทราบแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้คงค้างขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ๑.๖ มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้รัฐบาลรับภาระหนี้ของ ขสมก. เฉพาะในส่วนดอกเบี้ยจ่ายที่เกิดขึ้นจริง เพื่อ ขสมก. จะได้รับขอจัดสรรงบประมาณในการชำระดอกเบี้ยตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๒๐ (๓) การตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่อชำระหนี้ภาครัฐ ซึ่งเป็นหนี้สาธารณะที่กระทรวงการคลังค้ำประกันทั้งต้นเงินกู้และดอกเบี้ยอย่างพอเพียง และประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง กำหนดสัดส่วนต่าง ๆ เพื่อเป็นกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ข้อ (๓) สัดส่วนงบประมาณเพื่อการชำระดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายในการกู้เงินของรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐซึ่งรัฐบาลรับภาระ ต้องตั้งตามภาระที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปีงบประมาณนั้น ๑.๗ รับทราบประมาณการหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในช่วงปีงบประมาณ ๒๕๖๒-๒๕๗๑ และมอบหมายให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินโครงการลงทุนให้เป็นไปตามแผนที่กำหนด เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ๒. ให้กระทรวงเจ้าสังกัดและหน่วยงานเจ้าของวงเงินกู้กำกับติดตามการดำเนินแผนงาน/โครงการให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด โปร่งใส และตรวจสอบได้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการบริหารหนี้สาธารณะให้สอดคล้องกับความต้องการเบิกจ่ายเงินในแต่ละช่วงเวลาได้ภายใต้ความร่วมมือและการประสานงานอย่างใกล้ชิดของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการติดตามและเร่งรัดให้หน่วยงานภาครัฐสามารถดำเนินการเบิกจ่ายเงินได้สอดคล้องกับแผนการกู้เงิน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) เร่งรัดดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้ของ ขสมก. ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๐ (เรื่อง แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑) ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ๔. ให้กระทรวงคมนาคม และ ขสมก. เร่งดำเนินการเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการตามแผนการแก้ไขปัญหาองค์กร ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๑ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14667 | กรอบและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2562 | นร11 | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบกรอบและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ วงเงินดำเนินการ จำนวน ๒,๐๕๘,๑๙๖ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๖๓๘,๙๔๓ ล้านบาท และการลงทุนที่ใช้เงินงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เห็นควรให้ดำเนินการได้เมื่อได้รับอนุมัติตามขั้นตอนแล้ว ทั้งนี้ กำหนดเป้าหมายให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๕ ของกรอบวงเงินอนุมัติเบิกจ่ายลงทุน ๑.๒ เห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติปรับวงเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ให้สอดคล้องกับผลการจัดสรรงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ และการอนุมัติลงทุนเพิ่มเติมตามมติคณะรัฐมนตรี ๑.๓ มอบหมายให้คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้พิจารณาอนุมัติการเปลี่ยนแปลงงบลงทุนระหว่างปีในส่วนงบลงทุนเพื่อการดำเนินงานปกติและโครงการต่อเนื่องที่การเปลี่ยนแปลงไม่มีผลกระทบต่อสาระสำคัญและกรอบวงเงินโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้ว ๑.๔ ให้รัฐวิสาหกิจรายงานผลความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการลงทุนปี ๒๕๖๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบภายในทุกวันที่ ๕ ของเดือนอย่างเคร่งครัด และให้กระทรวงเจ้าสังกัดรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ระดับกระทรวง และระดับองค์กร ไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะและความก้าวหน้าการดำเนินโครงการลงทุนทุกไตรมาส เพื่อประโยชน์ในการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและการลงทุนของรัฐวิสาหกิจได้อย่างต่อเนื่อง ๑.๕ รับทราบประมาณการงบทำการประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ ๑๑๗,๑๑๐ ล้านบาท และประมาณการแนวโน้มการดำเนินงานช่วงปี ๒๕๖๓-๒๕๖๕ ของรัฐวิสาหกิจในเบื้องต้นที่คาดว่าจะมีการลงทุนเฉลี่ยประมาณปีละ ๖๑๒,๗๑๑ ล้านบาท และผลประกอบการจะมีกำไรสุทธิเฉลี่ยประมาณปีละ ๑๓๓,๙๐๙ ล้านบาท ๑.๖ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาจัดกลุ่มรัฐวิสาหกิจตามประเภทการดำเนินกิจการ โดยอาจนำแนวทางการปรับสถานะและความจำเป็นในการดำรงอยู่ของรัฐวิสาหกิจที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเสนอคณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจให้ความเห็นชอบไว้แล้วในปี ๒๕๕๘ มาประกอบการพิจารณา ๑.๗ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจมีบทบาทในกระบวนการพิจารณาการลงทุนของรัฐวิสาหกิจร่วมกัน ๑.๘ ให้กำหนดเงื่อนไขและกรอบระยะเวลาให้กระทรวงเจ้าสังกัดจัดทำแผนการลงทุนของรัฐวิสาหกิจเพื่อกำหนดทิศทางการลงทุนของรัฐวิสาหกิจในระยะยาวให้ชัดเจน โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจด้านคมนาคมขนส่ง ด้านพลังงาน และรัฐวิสาหกิจที่อยู่ในช่วงการฟื้นฟูกิจการ โดยให้เสนอขออนุมัติโครงการตามขั้นตอนที่สอดคล้องกับแผนการลงทุนดังกล่าว และในการเสนอของบลงทุนให้มีรายละเอียดเรื่องการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ด้วย ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ รัฐมนตรี/กระทรวงเจ้าสังกัด/คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ/และรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งรับความเห็นของกระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ รวมทั้งข้อสังเกตและความเห็นเพิ่มเติมของกระทรวงพลังงาน เช่น ควรให้ความสำคัญในการติดตามผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณอย่างต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์ในการวัดผลสัมฤทธิ์จากการใช้จ่ายงบประมาณ รวมถึงเร่งรัดการดำเนินงานและการเบิกจ่ายกรณีที่มีความล่าช้า เพื่อให้การใช้จ่ายและเบิกจ่ายงบลงทุนเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงงบลงทุนระหว่างปีของรัฐวิสาหกิจ ควรพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ที่รัฐบาลให้ความสำคัญ และต้องมีการรายงานผลการดำเนินงานและการเปลี่ยนแปลงให้คณะรัฐมนตรีทราบในโอกาสแรก เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14668 | ข้อเสนอโครงการเสริมสร้างศักยภาพของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ | นร11 | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการข้อเสนอโครงการเสริมสร้างศักยภาพของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกรอบงบประมาณเป็นเงินอุดหนุนสำหรับดำเนินการตามข้อเสนอโครงการเสริมสร้างศักยภาพฯ ในช่วงระยะครึ่งหลังของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕) จำนวน ๑,๐๐๐ ล้านบาท รวมถึงการดำเนินการจัดตั้งสถาบันนโยบายสาธารณะและการพัฒนา (Institute of Public Policy and Development) เป็นหน่วยงานดำเนินโครงการเสริมสร้างศักยภาพของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในรูปแบบสถาบันภายใต้มูลนิธิพระยาสุริยานุวัตร โดยโครงการเสริมสร้างศักยภาพฯ มีแผนงาน/โครงการที่สำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เช่น แผนงานการสร้างฐานสำหรับการวิเคราะห์วิจัยด้านเศรษฐกิจและสังคมเชิงลึก โครงการพัฒนาเครื่องมือและระบบการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อการตัดสินใจเชิงนโยบายทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โครงการพัฒนาระบบเตือนภัยทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่รองรับพลวัตรที่รวดเร็ว แม่นยำ และมีประสิทธิภาพสูง แผนงานการวิเคราะห์คาดการณ์แนวโน้มอนาคตและผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โครงการวิเคราะห์ภาพอนาคต (Scenario) ของการเปลี่ยนแปลงอันเป็นผลจากการดำเนินนโยบายสำคัญของรัฐบาล แผนงานการออกแบบและการพัฒนานโยบายสาธารณะ (Policy Design and Development) โครงการพัฒนานโยบายสร้างพื้นที่เติบโตทางเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ โครงการออกแบบนโยบายพัฒนาสาขาการผลิตและบริการที่จะเป็นเครื่องจักรการเติบโตทางเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ เป็นต้น ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการเสริมสร้างศักยภาพฯ ควรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โดยคำนึงถึงความครอบคลุมของงบประมาณหรือแหล่งเงินนอกงบประมาณให้ครบถ้วน เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม การกำหนดแนวทางในการบริหารจัดการสถาบันฯ ให้มีความชัดเจน โดยเฉพาะการสรรหาบุคลากรและการสร้างกลไกความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้มีความซ้ำซ้อน การกำหนดบทบาทและขอบเขตการทำงานที่แตกต่างและเสริมกันอย่างชัดเจนระหว่างสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสถาบันฯ การสรรหาผู้อำนวยการสถาบันฯ ด้วยกระบวนการและวิธีการที่มีมาตรฐานสูง การสร้างกลไกในลักษณะที่เป็นเครือข่ายการวิจัยร่วมกับหน่วยงานภายนอกทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน และการพิจารณารับดำเนินการโครงการวิจัยให้กับหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อสร้างรายได้ให้กับหน่วยงาน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14669 | การลงทุนจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลา | อก | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการลงทุนจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลา โดยจะจัดตั้งขึ้นในพื้นที่ตำบลสำนักขาม อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา บนพื้นที่ดินราชพัสดุประมาณ ๙๒๗.๙๒๕ ไร่ ซึ่งปัจจุบันได้ทำสัญญาเช่าที่ดินประมาณ ๖๒๙.๔๒๕ ไร่ (ระยะที่ ๑) กับกรมธนารักษ์เป็นเวลา ๕๐ ปี เรียบร้อยแล้ว ส่วนที่เหลือ (ระยะที่ ๒) จะทำสัญญาเช่าจนครบเต็มพื้นที่ต่อไป โดยใช้เงินลงทุนโครงการรวม ๒,๘๙๐.๔๐๒ ล้านบาท มีอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ อุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมเบา อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานพาหนะหรือเครื่องจักร อุตสาหกรรมเครื่องไฟฟ้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมบริการ โดยระยะที่ ๑ คาดว่าจะใช้เวลาพัฒนาโครงการประมาณ ๑๕ เดือน ส่วนระยะที่ ๒ เริ่มก่อสร้างในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ คาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ ๑๒ เดือน และคาดว่าจะให้เช่าพื้นที่แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมและนักลงทุนได้หมดภายใน ๖ ปี ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาความสอดคล้องกับนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ จังหวัดสงขลา ในการดำเนินการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลาต่อไป รวมทั้งให้นำเสนอจุดเด่นของนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลาเพื่อดึงดูดให้ผู้ประกอบการ/นักลงทุนเข้ามาลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมฯ ได้อย่างรวดเร็วด้วย สำหรับแหล่งเงินทุนที่จะนำมาใช้ดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยใช้จ่ายจากรายได้ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นลำดับแรกก่อน และหากมีความจำเป็นก็เห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อขอสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีสำหรับเป็นค่าก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลาตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรมีการรับฟังความคิดเห็นและความต้องการของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนในพื้นที่ในการร่วมกันกำหนดรูปแบบของนิคมอุตสาหกรรม ควรคำนึงถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ตลอดจนการเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพของประเทศเพื่อรองรับการทดสอบและรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลาควบคู่กันไปด้วย ควรพิจารณาเพิ่มเติมอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สอดคล้องกับร่างยุทธศาสตร์ชาติซึ่งมุ่งเน้นอุตสาหกรรมสมัยใหม่ที่สร้างมูลค่าสูง หรือมีการใช้ระบบการผลิตอัตโนมัติที่ทันสมัย และเศรษฐกิจฐานชีวภาพ (Bioeconomy) รวมทั้งไม่ควรเน้นอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งทางตรงและทางอ้อม และควรเร่งรัดให้เกิดการลงทุนได้อย่างรวดเร็วและให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษสงขลาภายใต้แนวคิดอุตสาหกรรมนิเวศ โดยมีแผนการตลาดและกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14670 | การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2561 เรื่อง การยกระดับการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศสู่ Thailand 4.0 | นร12 | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์กลางในการบริหารองค์การมหาชนด้านการวิจัย เพื่อให้องค์การมหาชนที่จัดตั้งโดยพระราชกฤษฎีกาออกตามความในพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะนำไปใช้เป็นแนวปฏิบัติต่อไป รวมทั้งให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติเป็นองค์การมหาชนด้านการวิจัย และสามารถดำเนินการได้ตามหลักเกณฑ์กลางที่กำหนดไว้ โดยหลักเกณฑ์กลางดังกล่าวมีสาระสำคัญครอบคลุม ๒ ประเด็นหลัก ได้แก่ (๑) ลักษณะขององค์การมหาชนที่จะถือว่าเป็นองค์การมหาชนด้านการวิจัย เช่น กฎหมายจัดตั้งองค์การมหาชนกำหนดให้มีภารกิจ “ดำเนินการวิจัย” เป็นหลัก มีงบประมาณเพื่อดำเนินการวิจัยเป็นหลัก มีค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรวิจัยเป็นหลัก และจำนวนบุคลากรวิจัยมากกว่าบุคลากรสายงานอื่น และ (๒) แนวทางการบริหารองค์การมหาชนด้านการวิจัย ได้แก่ การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้อำนวยการองค์การมหาชนที่ยังคงหลักการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๗ แนวทางการจ่ายเงินเพิ่มพิเศษแก่ผู้อำนวยการองค์การมหาชน ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรขององค์การมหาชนที่กำหนดว่าหากเกินกว่าร้อยละ ๓๐ ของแผนการใช้จ่ายเงิน ก็ให้เสนอคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนพิจารณายกเว้นให้เป็นรายกรณี การประเมินผลการปฏิบัติงาน และแนวทางการดำเนินการเพื่อเข้าร่วมเป็นองค์การมหาชนด้านการวิจัย ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรกำหนดตัวชี้วัดด้านการวิจัยที่สามารถวัดผลการปฏิบัติงานด้านการวิจัยที่มีประสิทธิภาพและแสดงถึงความคุ้มค่า รวมทั้งควรเพิ่มตัวชี้วัดระดับของการนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ให้ชัดเจน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. เร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑ (ที่กำหนดให้สำนักงาน ก.พ.ร. จัดให้มีกลไกในการทบทวนความเหมาะสมของสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรขององค์การมหาชนแต่ละแห่งอย่างต่อเนื่อง โดยให้คำนึงถึงภารกิจ รายได้ และเงินทุนสะสมของแต่ละองค์การมหาชน รวมทั้งยึดหลักการที่มิให้มีค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรเกินกว่าจำเป็น และไม่เป็นภาระงบประมาณของประเทศ/และนำเสนอคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนเพื่อพิจารณาเป็นประจำทุกปีด้วย เพื่อให้การบริหารทรัพยากรบุคคลขององค์การมหาชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้พิจารณาให้ครอบคลุมถึงความเหมาะสมของสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรขององค์การมหาชนด้านการวิจัยด้วย ๓. ให้คณะกรรมการพิจารณาโครงสร้างหน่วยงานและระบบค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๙ เกี่ยวกับการพิจารณาปรับปรุงระบบค่าตอบแทนของบุคลากรภาครัฐในภาพรวมทั้งระบบ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาระบบบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐให้สามารถดึงดูด รักษา จูงใจผู้มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานได้อย่างเป็นมืออาชีพสอดคล้องตามแผนปฏิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดิน (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๕) ต่อไป ๔. ให้กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และองค์การมหาชนด้านการวิจัย สถาบันการศึกษา และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรมประสานงานและบูรณาการการดำเนินโครงการ/แผนงานด้านการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรมในเรื่องต่าง ๆ ร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนและยกระดับการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรมของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เกิดความซ้ำซ้อน และตอบสนองต่อเป้าหมายในการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศสู่ Thailand 4.0 ต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14671 | ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 24 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT) | นร11 | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒๔ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT) (Draft Joint Statement of the Twenty-Forth Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle Ministerial Meeting) และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมร่วมกับรัฐมนตรีของประเทศสมาชิกให้การรับรองร่างแถลงการณ์ฯ โดยไม่มีการลงนาม ในการประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงาน IMT-GT ครั้งที่ ๒๔ ในวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ ณ เมืองมะละกา รัฐมะละกา ประเทศมาเลเซีย โดยร่างแถลงการณ์ฯ มีสาระสำคัญเป็นการชื่นชมความก้าวหน้าในการดำเนินงานในรอบปี ๒๕๖๐-๒๕๖๑ และการขับเคลื่อนแผนดำเนินงานระยะห้าปี ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔ (IB2017-2021) เพื่อบรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ปี ๒๕๗๙ ของ IMT-GT ซึ่งได้รับรองในที่ประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๑๑ แผนงาน IMT-GT ตลอดจนเป็นการยืนยันเจตนารมณ์ในการพัฒนาความร่วมมือในด้านต่าง ๆ เช่น การขับเคลื่อนโครงการด้านการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน ความร่วมมือด้านการเกษตรเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารในอนุภูมิภาค การพัฒนายุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยว การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการฮาลาล และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เป็นต้น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับการขับเคลื่อนโครงการพื้นฐานสำหรับการเชื่อมโยงทางกายภาพ (Physical Connectivity Project : PCP) ของแผนงาน IMT-GT ในโครงการสะพานถนนเชื่อมโยงจังหวัดสตูล-รัฐเปอร์ลิส ควรดำเนินการอย่างรัดกุมบนพื้นฐานผลประโยชน์ของไทยเป็นสำคัญ และควรมีการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA) ส่วนการขับเคลื่อนโครงการก่อสร้างด่านศุลกากรสะเดาและด่านศุลกากรบูกิตกายูฮิตัมแห่งใหม่ ฝ่ายไทยควรสงวนท่าทีการหารือในประเด็นการขยายเวลา ๒๔ ชั่วโมง และการขยายความเชื่อมโยงของด่านศุลกากรดังกล่าว โดยให้นำประเด็นดังกล่าวหารือและเจรจาในกรอบทวิภาคีระหว่างไทยและมาเลเซีย นอกจากนี้ ไทยควรสงวนท่าทีการเร่งรัดสำหรับจัดทำกรอบความร่วมมือระหว่างกัน (Framework of Cooperation : FOC) ในด้านความร่วมมือด้านศุลกากร การตรวจคนเข้าเมือง และการตรวจโรคพืชและสัตว์ (Custom Immigration Quarantine : CIQs) เนื่องจากกรอบความร่วมมือดังกล่าวจะมีผลผูกพันกับหน่วยงานที่ทำการที่ด่านศุลกากรของไทย โดยมีความจำเป็นต้องหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จก่อน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14672 | การเป็นเจ้าภาพร่วมและการรับรองเอกสาร Global Call to Action on the World Drug Problem | ยธ | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการเป็นเจ้าภาพร่วมกิจกรรม Global Call to Action on the World Drug Problem และเห็นชอบร่างเอกสาร Global Call to Action on the World Drug Problem รวมทั้งมอบหมายให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทย (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ) ที่เข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ ครั้งที่ ๗๓ หรือผู้แทนเป็นผู้รับรองเอกสาร Global Call to Action on the World Drug Problem ในนามผู้แทนรัฐบาลไทย โดยมีกำหนดการประชุมระหว่างวันที่ ๑๘-๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งกิจกรรมและเอกสารดังกล่าวเป็นการแสดงออกถึงความมุ่งมั่นทางการเมืองระหว่างประเทศในกลุ่มประเทศที่มีความคิดเห็นในทิศทางเดียวกัน ตลอดจนต้องการให้เป็นที่ยอมรับและได้รับการสนับสนุนจากรัฐสมาชิกสหประชาชาติอื่น ๆ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในการแก้ไขปัญหายาเสพติดที่ส่งผลกระทบต่อทุกภูมิภาคทั่วโลก และเรียกร้องให้รัฐสมาชิกสหประชาชาติให้ความสำคัญกับปัญหาดังกล่าวด้วย ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสาร Global Call to Action on the World Drug Problem ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14673 | การกำหนดแนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | นร07 | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และการกำหนดปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14674 | ขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเงินสินบนและรางวัลนำจับ | ยธ | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี งบรายจ่ายอื่น รายการเพิ่มทุนสถาบันการเงินเฉพาะกิจ จำนวน ๒,๐๐๐.๑๐ ล้านบาท จนถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนตุลาคม ๒๕๖๑ เพื่อให้กระทรวงการคลังมีแหล่งเงินเพียงพอรองรับการเพิ่มทุนให้กับธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) และเพื่อให้กระทรวงการคลังสามารถดำเนินการเพิ่มทุนให้กับ ธอท. ได้ตามแผนที่กำหนดไว้ (ภายในปี ๒๕๖๑) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาของ ธอท. จะต้องเร่งดำเนินการให้ทันต่อสถานการณ์อย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นแก่การเงินการคลังของรัฐอย่างรอบคอบ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14675 | ขออนุมัติดำเนินงานโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลักฤดูทำนา | กษ | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังชี้แจงว่า การพิจารณากิจกรรม มาตรการหรือโครงการที่รัฐบาลรับภาระจะชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ในการดำเนินการตามนัยมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ จะพิจารณาจากกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการที่จะก่อให้เกิดภาระทางการคลังของรัฐในอนาคต แต่ในกรณีโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนา ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอในครั้งนี้ เป็นการขอใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จึงไม่เข้าข่ายการดำเนินการตามมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ๒. อนุมัติในหลักการโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนา มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้เพียงพอกับความต้องการใช้ภายในประเทศ กระจายผลผลิตให้ออกสู่ตลาดสม่ำเสมอ เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทดแทนการปลูกข้าวที่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่า โดยมีมาตรการจูงใจเกษตรกร ๔ มาตรการ ได้แก่ (๑) การสนับสนุนในการจัดหาปัจจัยการผลิตและการเตรียมดิน โดยให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรขอรับสินเชื่อจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร วงเงินไร่ละ ๒,๐๐๐ บาท (ไม่เกิน ๑๕ ไร่/ราย) โดยเกษตรกร/สถาบันเกษตรกรจ่ายดอกเบี้ยร้อยละ ๐.๐๑ ต่อปี (๒) ประสานเอกชนในการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ ๘ บาท (๓) สนับสนุนเบี้ยประกันภัย ๖๕ บาทต่อไร่ และ (๔) ให้สินเชื่อผ่านทางสถาบันเกษตรกรเพื่อเสริมสภาพคล่องแก่สถาบันเกษตรกรในการรวบรวมและรับซื้อผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยเงินงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรมีการพิจารณาคุณสมบัติของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการไม่ให้ซ้ำซ้อนกับโครงการปรับเปลี่ยนการผลิตอื่น ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป และดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งพันธกรณีภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนดมาตรการการติดตามและประเมินผลของโครงการอย่างใกล้ชิด รวมถึงสร้างการรับรู้แก่เกษตรกรให้มีความรู้ความเข้าใจถึงจุดประสงค์ของโครงการอย่างถูกต้อง เพื่อให้เกษตรกรร่วมมือกันดำเนินโครงการให้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14676 | ร่างพระราชบัญญัติการเดินอากาศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | คค | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการเดินอากาศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของกระทรวงคมนาคม ที่ตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติมตามประเด็นที่มีการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติ และปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบความจำเป็นในการตราพระราชบัญญัติ (Checklist) แล้วดำเนินการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายอย่างรอบด้านและเป็นระบบ รวมทั้งจัดทำรายงานสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและนำเอกสารดังกล่าวไปเปิดเผยต่อประชาชน ตามมาตรา ๗๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๐ (เรื่อง แนวทางการจัดทำและการเสนอร่างกฎหมายตามบทบัญญัติมาตรา ๗๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย) ตลอดจนปรับปรุงแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว แล้วส่งผลการดำเนินการไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีโดยด่วน ก่อนเสนอคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14677 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (พลตำรวจเอก ธรรมศักดิ์ วิชชารยะ) | นร04 | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรับโอน พลตำรวจเอก ธรรมศักดิ์ วิชชารยะ ข้าราชการตำรวจ ตำแหน่งที่ปรึกษา (สบ ๑๐) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และแต่งตั้งให้เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14678 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายเอนก มีมงคล และนายวิโรจน์ นรารักษ์) | นร11 | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง รวม ๒ ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง และทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ ตามลำดับ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. นายเอนก มีมงคล ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ๒. นายวิโรจน์ นรารักษ์ ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14679 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (จำนวน 3 ราย 1. นายศรัณย์ เจริญสุวรรณ ฯลฯ) | กต | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศ จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. นายศรัณย์ เจริญสุวรรณ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ๒. นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอัสตานา สาธารณรัฐคาซัคสถาน ๓. นายทศพร มูลศาสตรสาทร ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมาปูโต สาธารณรัฐโมซัมบิก
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14680 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นางสาวอัจฉรา วงศ์แสงจันทร์) | วท | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวอัจฉรา วงศ์แสงจันทร์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ
|
.....