ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 732 จากทั้งหมด 6214 หน้า แสดงรายการที่ 14621 - 14640 จากข้อมูลทั้งหมด 124278 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
14621 | การจัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร 13 ตุลาคม 2561 | นร01 | 02/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการจัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๑ เพื่อเชิญชวนทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั้งในประเทศและต่างประเทศร่วมแสดงความจงรักภักดี และรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณด้วยการจัดกิจกรรมบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยยึดแนวปฏิบัติเดิมที่ได้ดำเนินการมาแล้วในปี ๒๕๖๐ เช่น พิธีทำบุญตักบาตร พิธีทางศาสนาของศาสนาต่าง ๆ หรือกิจกรรมอื่น ๆ ตามความเหมาะสม ในห้วงก่อนหรือหลังวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14622 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลังพิจารณาร่างพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 02/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง พิจารณาร่างพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยกระทรวงการคลังและธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) ร่วมกันดำเนินการเพื่อออกอนุบัญญัติรองรับการบังคับใช้พระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๑ การดำเนินการของ ธสน. ที่เกี่ยวข้องกับ “การรับประกันภัยต่อ” และกระทรวงการคลังได้ประสานงานกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เพื่อขอให้พิจารณาปรับปรุงประกาศคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย การดำเนินการด้าน “การรับประกันความเสี่ยง” รวมทั้งผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ที่ ธสน. ให้บริการไม่เป็นการแข่งขันกับเอกชน แต่เป็นการเพิ่มความมั่นใจให้กับธนาคารพาณิชย์ในการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการ การพิจารณาเกี่ยวกับการสนับสนุนส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) นอกจากที่ ธสน. ได้จัดทำแผนวิสาหกิจระยะ ๕ ปี และระยะ ๑๐ ปี ซึ่งแผนดังกล่าวได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริม SMEs ให้เป็นผู้ส่งออกและสามารถแข่งขันได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14623 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันค่าเช่าที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทยบริเวณแนวทางรถไฟสายบางซื่อ - คลองตัน | วธ | 02/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงวัฒนธรรม (กรมส่งเสริมวัฒนธรรม) เพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณค่าเช่าที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) บริเวณแนวทางรถไฟสายบางซื่อ-คลองตัน ภายในกรอบวงเงิน ๒๘,๑๙๘,๔๓๔ บาท และให้กระทรวงวัฒนธรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้คงอัตราค่าเช่าในอัตราเดิมก่อนที่ รฟท. จะมีหนังสือแจ้งยืนยันค่าเช่าที่ดินบริเวณดังกล่าวไปยังกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ไปเจรจากับ รฟท. ให้ได้ข้อยุติก่อนดำเนินการทำสัญญาตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้กระทรวงวัฒนธรรมพิจารณาดำเนินการตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของ รฟท. ในรายละเอียดโดยเคร่งครัด และ รฟท. ควรนำรายได้จากการคิดอัตราค่าเช่าที่ดินมาใช้ในการบริหารกิจการเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระงบประมาณที่รัฐจะต้องอุดหนุนในรูปแบบต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ในการดำเนินการต่อสัญญาเช่าที่ดิน รฟท. ในครั้งต่อไป ให้กระทรวงวัฒนธรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรขอความร่วมมือ รฟท. ในการปรับปรุงอัตราค่าเช่าสำหรับหน่วยงานราชการในลักษณะผ่อนปรนต่ำสุด โดยการปรับปรุงค่าเช่าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๕ ของอัตราที่เคยเรียกเก็บอยู่ก่อนหมดอายุสัญญา หรือการพิจารณาให้ต่ออายุสัญญาเช่าระยะยาว (มากกว่า ๓ ปี) เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงในกรณีที่ราคาประเมินมูลค่าที่ดิน ณ ปีที่ต่ออายุสัญญาเพิ่มสูงขึ้นมาก ไปเจรจากับ รฟท. ให้ได้ข้อยุติก่อนดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14624 | รายงานผลการดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเรื่อง แนวทางการใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ศูนย์บริการร่วม ณ จุดเดียว (One Stop Service) การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลภาครัฐ (Government Data Center) และความก้าวหน้าผลการดำเนินการคณะกรรมการบูรณาการฐานข้อมูล 4 คณะ (ประจำเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2561) (กรกฎาคม 2561) | ดศ | 02/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเรื่อง แนวทางการใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ศูนย์บริการร่วม ณ จุดเดียว (One Stop Service) การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลภาครัฐ (Government Data Center) และความก้าวหน้าผลการดำเนินการคณะกรรมการบูรณาการฐานข้อมูล ๔ คณะ (ประจำเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ๒๕๖๑) โดยมีผลการดำเนินการที่สำคัญ ได้แก่ (๑) การขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายเพื่อใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) มีการขับเคลื่อนการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ของกระทรวงต่าง ๆ (๒) ศูนย์บริการร่วม ณ จุดเดียว (One Stop Service) มีการให้บริการข้อมูลภาครัฐแก่ประชาชน (๓) การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลภาครัฐ (Government Data Center) พบว่า มี ๑๘ กระทรวงที่มีนโยบายที่จะดำเนินการจัดให้มีศูนย์ข้อมูลระดับกระทรวง และ (๔) ความก้าวหน้าผลการดำเนินการคณะกรรมการบูรณาการฐานข้อมูล ๔ คณะ มีการพัฒนาระบบสารสนเทศข่าวกรอง และการแจกจ่ายและติดตามการใช้งานเครื่องอ่านบัตร Smart Card ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรายงานความก้าวหน้าการขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายเพื่อใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และผลการดำเนินการของคณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาการฐานข้อมูลกลางภาครัฐ โดยบูรณาการข้อมูลให้มีความกระชับและมีผลการดำเนินการที่เป็นปัจจุบัน ทั้งนี้ ให้รายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบทุก ๓ เดือน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14625 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย - จีน (JC เศรษฐกิจไทย - จีน) ครั้งที่ 6 การประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และการจัดกิจกรรมคู่ขนาน | พณ | 02/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีน (JC เศรษฐกิจไทย-จีน) ครั้งที่ ๖ การประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และการจัดกิจกรรมคู่ขนาน เมื่อวันที่ ๒๒-๒๖ สิงหาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด โดยผลการประชุม JC เศรษฐกิจไทย-จีน ครั้งที่ ๖ ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ ด้านการค้า ด้านการลงทุน ความเชื่อมโยงด้านดิจิทัล ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และอวกาศ ด้านการท่องเที่ยว ด้านการเงิน ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และความร่วมมือระดับภูมิภาค รวมทั้งการลงนามในเอกสารผลลัพธ์การประชุม JC เศรษฐกิจไทย-จีน ครั้งที่ ๖ และบันทึกความเข้าใจ/พิธีสารของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวม ๖ ฉบับ ได้แก่ (๑) ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุม JC เศรษฐกิจไทย-จีน ครั้งที่ ๖ (๒) ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อส่งเสริมการค้าอย่างไร้อุปสรรคระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงพาณิชย์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (๓) ร่างพิธีสารระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยกับสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยหลักเกณฑ์การตรวจสอบ การกักกัน และสุขอนามัยทางสัตวแพทย์ เพื่อการส่งออกเนื้อสัตว์ปีกแช่แข็งและชิ้นส่วนสัตว์ปีกจากประเทศไทยไปยังประเทศจีน (๔) ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนแห่งราชอาณาจักรไทยกับสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแห่งประเทศจีน (๕) ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกกับกระทรวงพาณิชย์ของสาธารณรัฐประชาชนจีน และ (๖) ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศของไทยกับสถาบันอวกาศแห่งชาติของสาธารณรัฐประชาชนจีน เรื่อง ความร่วมมือด้านอวกาศ และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยเร่งรัดดำเนินการเพื่อให้ผลการประชุม JC เศรษฐกิจไทย-จีน ครั้งที่ ๖ เกิดผลเป็นรูปธรรม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ เช่น ผลการประชุม JC เศรษฐกิจไทย-จีน ครั้งที่ ๖ ในส่วนจำนวนเอกสารที่ได้มีการลงนามระหว่างการประชุมรวม ๖ ฉบับนั้น บันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนแห่งราชอาณาจักรไทยกับสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแห่งประเทศจีน ไม่ได้มีการปรับแก้ไขร่างเอกสารตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องก่อนการลงนาม ในขณะที่เอกสารอีก ๕ ฉบับ ได้มีการแก้ไขในสาระสำคัญแล้ว เป็นต้น ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นที่ไม่ปรับแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนแห่งราชอาณาจักรไทยกับสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแห่งประเทศจีน ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารที่จะมีการลงนามในระหว่างการประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีน ครั้งที่ ๖) ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ไปยังคณะรัฐมนตรีต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14626 | ขอความเห็นชอบต่อเอกสารที่จะมีการลงนามในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่ 40 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | กษ | 02/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนาม (๑) ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของรัฐสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือด้านอาหารและการเกษตร มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างการแลกเปลี่ยนความร่วมมือระหว่างประเทศภาคี ส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านการเกษตรในภูมิภาค ส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของผลิตภัณฑ์การเกษตร และสร้างความมั่นใจเรื่องความปลอดภัยด้านอาหารและความมั่นคงทางอาหารในภูมิภาค และ (๒) ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของรัฐสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านการเกษตรและป่าไม้ รวม ๒ ฉบับ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการเกษตร ป่าไม้ ความมั่นคงทางอาหาร ความปลอดภัยทางอาหาร ในบริบทของภาคอาหารและการเกษตร การจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน การตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ การขจัดความยากจน การส่งเสริมการให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิคเพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการป้องกันการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม รวมทั้งการส่งเสริมและกระชับความร่วมมือที่มีอยู่ระหว่างทั้งสองฝ่าย โดยจะมีการลงนามในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่ ๔๐ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๑-๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ทั้ง ๒ ฉบับ ๑.๓ มอบหมายกระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ทั้ง ๒ ฉบับ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ภายใต้ร่างบันทึกความเข้าใจฯ ทั้ง ๒ ฉบับ มีกิจกรรมความร่วมมือหลายด้าน ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรมีการหารือและจัดเตรียมประเด็นท่าทีและกรอบแนวทางการดำเนินงานในด้านต่าง ๆ บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุวัตถุประสงค์ความร่วมมือด้านการเกษตร ความปลอดภัยและความมั่นคงด้านอาหาร และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในด้านความร่วมมือทางวิชาการ การแลกเปลี่ยนข้อมูล บุคลากร การวิจัยร่วมด้านการเกษตร อาหาร และป่าไม้ ตลอดจนรูปแบบความร่วมมือที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ภายใต้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14627 | ร่างยุทธศาสตร์กรุงโตเกียว ค.ศ. 2018 เพื่อความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น | กต | 02/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างยุทธศาสตร์กรุงโตเกียว ค.ศ. ๒๐๑๘ เพื่อความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น และให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองร่างยุทธศาสตร์ฯ ในการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๑๐ ในวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยร่างยุทธศาสตร์ฯ มีสาระสำคัญครอบคลุมสาขาความร่วมมือระหว่างกัน (๖ ประเทศ คือ กัมพูชา ลาว เมียนมา ไทย เวียดนาม และญี่ปุ่น) แบ่งออกเป็น ๓ เสาหลัก ได้แก่ (๑) การพัฒนาความเชื่อมโยงที่ดีและมีประสิทธิภาพที่หลายรูปแบบทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ (๒) การสร้างสังคมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางผ่านความเชื่อมโยงระดับประชาชนและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และ (๓) การสร้างความเป็นรูปธรรมและความตระหนักรู้ต่ออนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงสีเขียว โดยการดำเนินการความร่วมมือในสาขาดังกล่าวจะดำเนินการภายใต้ความร่วมมือที่เกี่ยวข้องที่ผ่านมาที่ครอบคลุมใน ๓ ประเด็น ได้แก่ การดำเนินการตามแผนแม่บทยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง ระยะ ๕ ปี (ค.ศ. ๒๐๑๙-๒๐๒๓) ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกที่เสรีและเปิดกว้าง และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างยุทธศาสตร์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ภายใต้เสาหลักที่ ๑ การพัฒนาความเชื่อมโยงที่ดีและมีประสิทธิภาพ ในส่วนของความเชื่อมโยงด้านอุตสาหกรรม ควรมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย อาทิ Internet of Things (IoT) และอุปกรณ์ดิจิทัลต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตที่มีศักยภาพ นอกจากนี้ ไทยและญี่ปุ่นควรมุ่งเน้นความร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตที่มีศักยภาพ อันจะนำไปสู่การเสริมสร้างความแข็งแกร่งของห่วงโซ่มูลค่าตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (EWEC) แนวระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้ (SEC) และโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านตามหลักการ Thailand Plus One ซึ่งจะก่อให้เกิดการขยายตัวของมูลค่าการค้าและการลงทุนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินโครงการในส่วนที่เกี่ยวข้องภายใต้ร่างยุทธศาสตร์ฯ ให้บรรลุเป็นรูปธรรมโดยเร็วภายในกรอบเวลาที่กำหนดไว้ ให้สอดคล้องกับแผนการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14628 | ร่างแถลงการณ์ร่วม (Joint Communique) ว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและ UNIDO | อก | 02/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วม (Joint Communique) ว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Industrial Development Organization : UNIDO) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ประกาศเจตนารมณ์ตามความร่วมมือของร่างแถลงการณ์ร่วมฯ (ไม่มีการลงนาม) ในวันพุธที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๖๑ ในช่วงพิธีเปิดการประชุม Green Industry Conference ครั้งที่ ๕ ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพมหานคร โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฯ มีสาระสำคัญเป็นการกล่าวถึงความร่วมมือในโครงการต่าง ๆ ของไทยกับ UNIDO ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นการเป็นสมาชิกจนถึงปัจจุบัน และระบุถึงการใช้โอกาสที่ นาย Li Yong ผู้อำนวยการใหญ่ UNIDO มีกำหนดการเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ ๓-๕ ตุลาคม ๒๕๖๑ ในการกระชับความเป็นหุ้นส่วนระหว่างกันภายใต้กรอบความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๔) ระหว่างไทยและ UNIDO ที่ได้ลงนามไปแล้วเมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย และให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายการดำเนินงานภายใต้กรอบความร่วมมือที่อาจจะเกิดขึ้นภายหลังการแถลงการณ์ร่วมฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ขอให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเป็นลำดับแรก สำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป เห็นควรให้จัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14629 | ร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีในการมีความร่วมมือระดับภูมิภาคเพื่อใช้ประโยชน์จากอวกาศเพื่อการพัฒนาแบบยั่งยืน และแผนปฏิบัติการว่าด้วยการใช้ประโยชน์จากอวกาศเพื่อการพัฒนาแบบยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (Asia - Pacific Plan of Action on Space Applications for Sustainable Development) ค.ศ. 2018 - 2030 | ดศ | 02/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบ (ร่าง) ปฏิญญาระดับรัฐมนตรีในการมีความร่วมมือระดับภูมิภาคเพื่อใช้ประโยชน์จากอวกาศเพื่อการพัฒนาแบบยั่งยืน และ (ร่าง) แผนปฏิบัติการว่าด้วยการใช้ประโยชน์จากอวกาศเพื่อการพัฒนาแบบยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (Asia-Pacific Plan of Action on Space Applications for Sustainable Development) ค.ศ. ๒๐๑๘-๒๐๓๐ เป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีว่าด้วยการใช้ประโยชน์จากอวกาศเพื่อการพัฒนาแบบยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สมัยที่ ๓ ในวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๑ ณ ศูนย์ประชุมเอสแคป กรุงเทพมหานคร โดย (ร่าง) ปฏิญญาฯ และ (ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ มีสาระสำคัญคือ การแนะแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศ ภูมิสารสนเทศ และนวัตกรรมดิจิทัลที่เกี่ยวข้อง เพื่อการประเมิน เฝ้าระวัง บริหารจัดการ และแก้ไขประเด็นปัญหาเฉพาะทั้งหมด ๖ ประเด็น ได้แก่ (๑) การบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติ (๒) การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ (๓) ความเชื่อมโยงในภูมิภาค (๔) การพัฒนาทางสังคม (๕) พลังงาน และ (๖) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ๑.๒ อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองในปฏิญญาฯ และแผนปฏิบัติการฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน (ร่าง) ปฏิญญาฯ และ (ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14630 | การเสนอตัวขอเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันกีฬายูธโอลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 5 พ.ศ. 2569 (ค.ศ. 2026) | กก | 02/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอตัวขอเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬายูธโอลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ ๕ พ.ศ. ๒๕๖๙ (ค.ศ. ๒๐๒๖) ทั้งนี้ หากประเทศไทยได้รับคัดเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาดังกล่าว ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความพร้อมในด้านต่าง ๆ ให้ครบถ้วนทุกมิติ รวมทั้งให้จัดทำรายละเอียดของแผนงาน/กิจกรรมที่จะต้องดำเนินการ และประมาณการค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ก่อนตอบรับการเป็นเจ้าภาพอย่างเป็นทางการต่อไป ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14631 | โครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรอย่างยั่งยืน (ลูกหนี้ ธ.ก.ส.) | กษ | 02/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบแนวทางปรับโครงสร้างหนี้ระหว่างเกษตรกรลูกหนี้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดย ธ.ก.ส. จะปรับโครงสร้างหนี้ให้กับเกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรอย่างยั่งยืน (กฟก.) จำนวน ๓๖,๖๐๕ ราย ที่เป็นหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ด้วยการพักเงินต้นครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ ๕๐) และดอกเบี้ยทั้งหมดไว้ก่อน สำหรับเงินต้นอีกครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ ๕๐) ให้เกษตรกรทำสัญญาผ่อนชำระตามกรอบเวลาที่ตกลงกันแต่ไม่เกิน ๑๕ ปี คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-3 เมื่อเกษตรกรผ่อนชำระหนี้ตามสัญญาใหม่เรียบร้อยแล้ว ดอกเบี้ยที่พักไว้ ธ.ก.ส. จะพิจารณายกให้เกษตรกร ส่วนเงินต้นที่เหลืออีกร้อยละ ๕๐ ให้นำมาปรับโครงสร้างใหม่ภายใต้ดุลพินิจของเจ้าหนี้ที่จะพิจารณาศักยภาพของลูกหนี้แต่ละราย โดยใช้หลักการที่เป็นธรรมและไม่มีผลกระทบต่อภาระของเกษตรกร ทั้งนี้ ให้ กฟก. ดำเนินการฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรอย่างเข้มข้น เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ สามารถนำมาชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ได้ภายในกำหนดเวลาและมีรายได้ในการประกอบอาชีพอย่างอื่น ๑.๒ เห็นชอบให้การดำเนินการตามโครงการนี้ของ ธ.ก.ส. เป็นงบการเงินธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA) ภายใต้การกำกับของกระทรวงการคลัง ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับ ธ.ก.ส เร่งรัดดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้เกษตรกรกลุ่มเป้าหมายในปีแรกทั้งจำนวน ๓๖,๖๐๕ ราย และดำเนินการให้แล้วเสร็จทั้งหมดภายใน ๓ ปี นับตั้งแต่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น ควรมุ่งเน้นช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยที่เป็นสมาชิกของ กฟก. ที่เดือดร้อนจริงจากภาระหนี้สินที่เกิดจากการประกอบอาชีพเกษตรกรรม และควรมีกระบวนการจัดการเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อวินัยการก่อหนี้และการชำระหนี้ของเกษตรกรจนก่อให้เกิดปัญหาหนี้เสียในอนาคตอีก (moral hazard) รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีแผนการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรทั้งประเทศที่ชัดเจน และควรมีการติดตามมาตรการต่าง ๆ ที่ออกมาช่วยเหลือเกษตรกรในภาพรวม เพื่อประเมินประสิทธิภาพของมาตรการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้จากการประกอบอาชีพและสามารถนำมาชำระหนี้ได้ภายในกำหนดเวลา เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงการคลังเร่งรัดการตรวจสอบข้อมูลสถานะหนี้สินของเกษตรกรให้เป็นปัจจุบัน และพิจารณากำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรที่เหมาะสมในระยะยาว ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๙ [เรื่อง การแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกร จำนวน ๔๗๘ ราย ตามโครงการปรับโครงสร้างและระบบการผลิตการเกษตร (คปร.) และโครงการแผนพื้นฟูการเกษตร (ผกก.)] ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14632 | การจัดตั้งสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกงประจำประเทศไทย | กต | 02/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกงประจำประเทศไทย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองการดำเนินงานของสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกงประจำประเทศไทย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. เห็นชอบหนังสือของสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทยถึงกระทรวงการต่างประเทศ ที่ TCE/PU 446 (18) ลงวันที่ ๕ กันยายน ค.ศ ๒๐๑๘ ซึ่งแจ้งว่า รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ให้ความเห็นชอบต่อการจัดตั้งสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกง (Hong Kong Economic and Trade Office : HKETO) ประจำประเทศไทย และร่างหนังสือกระทรวงการต่างประเทศถึงสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เพื่อตอบหนังสือสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทยถึงกระทรวงการต่างประเทศ ที่ TCE/PU 446 (18) ลงวันที่ ๕ กันยายน ค.ศ. ๒๐๑๘ แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๓. อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือตอบสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ในนามรัฐบาลไทย เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้เห็นชอบหนังสือของสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทยฯ และร่างหนังสือกระทรวงการต่างประเทศถึงสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทยฯ และร่างพระราชบัญญัติฯ มีผลใช้บังคับแล้ว ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องและผู้ประกอบการให้ทราบถึงการจัดตั้ง HKETO ประจำประเทศไทย และประโยชน์ที่จะได้รับเกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือในทุกด้าน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ การค้า และการท่องเที่ยวระหว่างประเทศไทยกับเขตบริหารพิเศษฮ่องกง และภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๕. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14633 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อการจัดตั้งสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าที่จัดตั้งขึ้นในประเทศไทยตามที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีตามข้อผูกพันที่ได้ทำขึ้น) | กค | 02/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการ ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้อัตราร้อยละ ๐ ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับการประกอบกิจการการขายสินค้าหรือการให้บริการกับองค์การสหประชาชาติ ทบวงการชำนัญพิเศษของสหประชาชาติ สถานเอกอัครราชทูต สถานทูต สถานกงสุลใหญ่ สถานกงสุล องค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ ที่ประเทศไทยมีพันธกรณีตามความตกลงที่จะต้องให้ผลปฏิบัติเท่าเทียมกับสถานเอกอัครราชทูต องค์การสหประชาชาติ หรือทบวงการชำนัญพิเศษของสหประชาชาติ สำนักงานเศรษฐกิจและการค้าที่จัดตั้งขึ้นในประเทศไทยตามที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีตามข้อผูกพันที่ได้ทำขึ้น ทั้งนี้ เฉพาะการขายสินค้าหรือการให้บริการที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ยกเว้นบรรดารัษฎากรประเภทต่าง ๆ ซึ่งเรียกเก็บตามประมวลรัษฎากรแก่สำนักงานเศรษฐกิจและการค้าที่จัดตั้งขึ้นในประเทศไทยตามที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีตามข้อผูกพันที่ได้ทำขึ้น และเจ้าหน้าที่ของสำนักงานนั้นในส่วนของ (๑) สถานทำการของสำนักงาน ที่อยู่ของหัวหน้าของสำนักงาน (๒) ยานพาหนะของสำนักงาน และรถยนต์นั่งส่วนบุคคลของเจ้าหน้าที่ของสำนักงาน และ (๓) เงินเดือน ค่าตอบแทน และค่าเบี้ยเลี้ยงที่เจ้าหน้าที่ของสำนักงานได้รับจากสำนักงาน เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ในประเทศไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติตามข้อ ๑.๑ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างความรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้กำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน เพื่อใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศตามนัยของกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14634 | ขออนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นางวรรณพร เทพหัสดิน ณ อยุธยา และนางปิยนุช วุฒิสอน) | ดศ | 02/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้เกษียณอายุราชการ และทดแทนตำแหน่งที่จะว่าง ตามลำดับ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ดังนี้
๑. แต่งตั้ง นางวรรณพร เทพหัสดิน ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ๒. รับโอน นางปิยนุช วุฒิสอน ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14635 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการกำกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (นางสาริณี อังศุสิงห์) | คค | 02/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาริณี อังศุสิงห์ ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านบริหารกิจการการบินพาณิชย์ในคณะกรรมการกำกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย แทน นายอภิชาต เพ็ญสุภา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากมีอายุครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์ เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๑ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒ ตุลาคม ๒๕๖๑) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14636 | การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา แทนกรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรศาสนาอื่นที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ (นายกิตติพันธ์ ใจดี) | ศธ | 02/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบกรณี นายปานชัย สิงห์สัจเทพ กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรศาสนาอื่นในคณะกรรมการสภาการศึกษา ที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๖๑ เนื่องจากลาออก ๒. เห็นชอบการแต่งตั้ง นายกิตติพันธ์ ใจดี อุปนายกสมาคมนามธารีสังคัตแห่งประเทศไทย (ศาสนาซิกข์) เป็นกรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรศาสนาอื่นในคณะกรรมการสภาการศึกษา แทนผู้ที่พ้นจากตำแหน่ง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒ ตุลาคม ๒๕๖๑) เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14637 | การมอบหมายผู้แทนหน่วยงานภาครัฐเป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการในคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 2/2561 | ปปท. | 02/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒/๒๕๖๑ เรื่อง การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ลงวันที่ ๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๑ และคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓/๒๕๖๑ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ลงวันที่ ๑๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ ๒. มอบหมายให้ผู้แทนสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการในคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติภายในคณะรักษาความสงบแห่งชาติในส่วนของผู้แทนหน่วยงานภาครัฐตามข้อ ๒ (๘) ของคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒/๒๕๖๑ เรื่อง การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ลงวันที่ ๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๑
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14638 | การโอนข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งในกรอบอัตรากำลังชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ ในสำนักนายกรัฐมนตรี ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 16/2558 (นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ และนายมงคลชัย สมอุดร) | นร04 | 02/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรับโอนและแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง และประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ตามข้อ ๑ วรรคหนึ่ง ของคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๖/๒๕๕๘ ลงวันที่ ๑๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอ ดังนี้
๑. นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ๒. นายมงคลชัย สมอุดร ดำรงตำแหน่งนักวิชาการทรงคุณวุฒิพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักวิชาการศึกษาระดับทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14639 | การโอนข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งในกรอบอัตรากำลังชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษในสำนักนายกรัฐมนตรี ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 16/2558 (นายบุญส่ง จำปาโพธิ์) | นร | 02/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรับโอน นายบุญส่ง จำปาโพธิ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ตามข้อ ๑ วรรคหนึ่ง ของคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๖/๒๕๕๘ ลงวันที่ ๑๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14640 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (จำนวน 4 ราย 1. นายสุรเดช วลีอิทธิกุล ฯลฯ) | รง | 02/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงแรงงาน ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๔ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้เกษียณอายุราชการ และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้
๑. นายสุรเดช วลีอิทธิกุล ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงแรงงาน ๒. นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ๓. นายวิวัฒน์ ตังหงส์ ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน ๔. พันตำรวจตรีหญิง รมยง สุรกิจบรรหาร ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงแรงงาน
|
.....