ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 678 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 13541 - 13560 จากข้อมูลทั้งหมด 124231 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
13541 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีกระบวนการโคลัมโบ ครั้งที่ 6 และการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโส กระบวนการโคลัมโบ ครั้งที่ 5 ณ กรุงกาฐมาณฑุ สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล | รง | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีกระบวนการโคลัมโบ (Colombo Process : CP) ครั้งที่ ๖ และการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกระบวนการโคลัมโบ ครั้งที่ ๕ ระหว่างวันที่ ๑๕-๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ กรุงกาฐมาณฑุ สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน (พลตำรวจเอก อำนาจ อันอาตม์งาม) เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกระบวนการโคลัมโบ ครั้งที่ ๕ เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ (๑) ที่ประชุมฯ มีมติรับทราบความก้าวหน้าของผลการดำเนินงานของคณะทำงานประเด็นหลัก (Thematic Area Working Groups : TAWGs) ภายใต้ CP ทั้ง ๕ คณะ โดยในส่วนของการวิเคราะห์ตลาดแรงงานที่ไทยเป็นประธานคณะทำงาน นั้น ได้มีการรายงานว่า ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๖๐-ปัจจุบัน ได้มีการดำเนินกิจกรรมที่สำคัญ ได้แก่ โครงการศึกษาระบบข้อมูลตลาดแรงงานในประเทศสมาชิก CP ซึ่งเป็นโครงการเกี่ยวกับการจัดทำข้อมูลสถานการณ์ตลาดแรงงาน และนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประกอบการตัดสินใจในการจัดทำนโยบายด้านการจ้างแรงงานในต่างประเทศของรัฐบาลประเทศสมาชิก CP (๒) ที่ประชุมฯ มีมติสนับสนุนร่างข้อตกลงระหว่างการโยกย้ายถิ่นฐานแรงงานระหว่างประเทศและร่างข้อตกลงระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานที่ปลอดภัย เป็นระเบียบ และปกติ (Global Compact for Safe, Orderly and Regular Migration : GCM) และนำข้อกำหนดภายใต้วัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องของ GCM ไปเป็นแนวทางในการดำเนินการด้านการจ้างงานในต่างประเทศและแรงงานที่มีสัญญาจ้างทั้งในระดับภูมิภาคและระดับทวิภาคี เพื่อส่งเสริมให้บรรลุเป้าหมายหลักของ CP คือ การโยกย้ายถิ่นฐานแรงงานที่ปลอดภัยในทุกขั้นตอนของการโยกย้ายถิ่นฐาน แรงงานเข้าถึงการทำงานที่มีคุณภาพในประเทศผู้รับ และ (๓) ที่ประชุมฯ ได้พิจารณาเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมฯ จำนวน ๒ ฉบับ ได้แก่ ร่างรายการข้อกำหนดของความตกลงการโยกย้ายถิ่นฐานแรงงานระหว่างรัฐหรือร่างประเด็นที่จำเป็นในการจัดทำบันทึกข้อตกลงทวิภาคีด้านแรงงาน ที่ประชุมฯ มีมติเห็นชอบไม่เสนอร่างรายการข้อกำหนดฯ ให้ที่ประชุมรัฐมนตรีกระบวนการโคลัมโบก ครั้งที่ ๖ รับรอง เนื่องจากร่างดังกล่าวจัดทำโดยผู้เชี่ยวชาญประเทศกระบวนการโคลัมโบ ประจำการ ณ นครเจนีวา เพียงฝ่ายเดียว โดยไม่ผ่านการหารือจากประเทศสมาชิกกระบวนการโคลัมโบ (ในส่วนของเมืองหลวง) และร่างปฏิญญากาฐมาณฑุหรือร่างปฏิญญารัฐมนตรีกระบวนการโคลัมโบ ที่ประชุมฯ เห็นชอบให้ปรับแก้ร่างปฏิญญาฯ โดยไม่กระทบต่อสาระสำคัญ และให้เสนอต่อที่ประชุมรัฐมนตรีกระบวนการโคลัมโบ ครั้งที่ ๖ ต่อไป ๒. ผลการประชุมรัฐมนตรีกระบวนการโคลัมโบ ครั้งที่ ๖ เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ที่ประชุมฯ ได้รับรองร่างปฏิญญากาฐมาณฑุหรือร่างปฏิญญารัฐมนตรีกระบวนการโคลัมโบ ซึ่งเป็นฉบับที่ปรับแก้ไขตามมติที่ประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกระบวนการโคลัมโบ ครั้งที่ ๕ แล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13542 | แผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน พ.ศ. 2561 - 2564 | มท | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติแผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๔ เพื่อเป็นกรอบแนวทางการดำเนินงานของทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านความปลอดภัยทางถนน ตามที่คณะกรรมการนโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติเสนอ และให้คณะกรรมการนโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงบประมาณ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น (๑) ควรกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบในแต่ละตัวชี้วัดและกลยุทธ์ ควรกำหนดโครงการที่มีความสำคัญในระดับพื้นที่ ควรตรวจสอบแผนงาน/โครงการภายใต้แผนแม่บทฯ ในประเด็นการเข้าข่ายการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (๒) ควรให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การปฏิรูประบบการจัดการด้านความปลอดภัยทางถนนให้เกิดความชัดเจนโดยเร็ว ควรพิจารณาจัดทำแผนปฏิบัติการ โดยให้ความสำคัญกับการกำหนดแนวทางการขับเคลื่อนกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่ไม่มีหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรง และในกรณีที่แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติประกาศใช้แล้ว เห็นควรให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยพิจารณาปรับปรุงแผนแม่บทฯ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๔ ให้มีความสอดคล้องและเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน พ.ศ. ๒๕๕๔ ข้อ ๕ (๑) อีกครั้งหนี่งต่อไป และ (๓) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรบูรณาการการดำเนินการตามกรอบแนวทางที่กำหนดไว้ โดยกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบ เป้าหมาย และตัวชี้วัดให้ชัดเจน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการบริหารจัดการจราจรอย่างเป็นระบบ และสามารถแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดคับคั่งได้อย่างเหมาะสมกับสภาพการณ์ในแต่ละพื้นที่ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา เช่น การควบคุมสัญญาณไฟจราจรที่ควรปรับเปลี่ยนระยะเวลาการให้สัญญาณหยุดรถและเดินรถได้อย่างอัตโนมัติ สอดคล้องกับปริมาณการจราจรจริงในสายทางนั้น ๆ และเชื่อมโยงกับสภาพการจราจรในพื้นที่ข้างเคียง การแจ้งเตือนพื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่นหรือเป็นจุดเสี่ยงอันตราย รวมทั้งการพิจารณาปรับปรุงการกำหนดอัตราความเร็วของรถให้มีความเหมาะสมกับสภาพการจราจรในพื้นที่ต่าง ๆ และสอดคล้องกับมาตรฐานสากลด้วย เช่น อัตราความเร็วสูงของรถบนทางหลวงและทางหลวงพิเศษ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13543 | การจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการในสังกัดกระทรวงพลังงานและกระทรวงแรงงานและการสนับสนุนงบประมาณให้กับสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อใช้สำหรับการบรรจุอัตราพนักงานตั้งใหม่ | นร10 | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับกระทรวงพลังงาน (กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ) และกระทรวงแรงงาน (กรมการจัดหางานและสำนักงานประกันสังคม) โดยไม่ให้นำตำแหน่งที่ได้รับจัดสรรมายุบเลิกเพื่อปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งอื่นเป็นระดับสูงขึ้น ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๑ และครั้งที่ ๕/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ตามลำดับ ตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะกรรมการและเลขานุการร่วม คปร. เสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการดังกล่าว หากมีความจำเป็นต้องสรรหาอัตราบุคลากรตั้งใหม่และสามารถบรรจุได้ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เห็นควรให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณไว้แล้วในแผนงานบุคลากรภาครัฐไปดำเนินการเป็นลำดับแรกก่อน โดยขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ส่วนภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ การใช้จ่ายงบประมาณเพื่อการดังกล่าวจะต้องเป็นไปตามความจำเป็นและทันต่อสถานการณ์อย่างเหมาะสมตามความสามารถในการใช้จ่ายตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัดด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพลังงานและกระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาพัฒนาศักยภาพบุคคลที่มีอยู่เดิมทั้งข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้างให้มีความพร้อมที่จะรองรับภารกิจที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้การใช้กำลังคนมีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่า รวมทั้งให้เร่งดำเนินการบรรจุและแต่งตั้งบุคคลในอัตราข้าราชการ/พนักงานตั้งใหม่ให้แล้วเสร็จ เพื่อให้สามารถปฏิบัติภารกิจที่เพิ่มขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล ยุทธศาสตร์ชาติ และแผนปฏิรูปประเทศ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้บรรลุผลสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. รับทราบผลการพิจารณาของ คปร. ครั้งที่ ๕/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ เกี่ยวกับอัตราพนักงานตั้งใหม่ของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และให้สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13544 | ขอความเห็นชอบการจัดทำโครงการบ้านพักข้าราชการ (บ้านหลวง) ของกระทรวงยุติธรรม ภายใต้แผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) | พม | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการบ้านพักข้าราชการ (บ้านหลวง) ภายใต้แผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) ดำเนินการโดยกระทรวงยุติธรรม จำนวน ๘๗ โครงการ รวม ๓,๑๙๐ หน่วย ภายในวงเงินงบประมาณ ๓,๐๒๒.๔๓๘ ล้านบาท สำหรับการใช้จ่ายงบประมาณ ให้กระทรวงยุติธรรมทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณต่อไป ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควร (๑) ให้ความสำคัญในการควบคุม กำกับดูแลโครงการให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด (๒) ให้คำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัด เป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ และผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นในการดำเนินโครงการ ตามนัยของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ พร้อมทั้งจัดทำรายละเอียด แบบรูปรายการ ประมาณการค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างให้เป็นมาตรฐานเดียวกันในแต่ละระดับสอดคล้องกับร่างบัญชีราคามาตรฐานการออกแบบอาคารที่ทำการ อาคารอยู่อาศัยรวม และบ้านพัก ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๙ โดยเคร่งครัด และจัดลำดับความสำคัญของโครงการตามความจำเป็นเร่งด่วน แผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และ (๓) ควรพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายเข้าพักอาศัยในโครงการให้มีความชัดเจน โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มข้าราชการผู้มีรายได้น้อยเป็นลำดับแรก และจัดทำแนวทางการบริหารจัดการเกี่ยวกับที่พักอาศัย เช่น การจัดระเบียบการพักอาศัย การเก็บค่าใช้จ่ายส่วนกลางสำหรับใช้ในการบำรุงรักษาอาคารและสภาพแวดล้อมทั่วไปเพื่อลดภาระเงินงบประมาณในอนาคต และการกำหนดเงื่อนไขระยะเวลาในการพักอาศัยของโครงการ เช่น เมื่อผู้พักอาศัยมีระดับรายได้เกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนดต้องออกจากโครงการและไปใช้สิทธิอื่น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13545 | รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2560 | รง | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ของกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ประกอบด้วยงบแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองแล้วเห็นว่า ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังประกาศใช้แล้ว ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้กระทรวงแรงงานเร่งรัดดำเนินการเพื่อนำรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ และรายงานฯ ของปีต่อ ๆ ไป เสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13546 | การชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนไม่ปรับแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนแห่งราชอาณาจักรไทยกับสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแห่งประเทศจีน | นร13 | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบเหตุผลและความจำเป็นที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) ไม่ปรับแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนแห่งราชอาณาจักรไทยกับสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแห่งประเทศจีน ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๑ ที่ให้ สกท. ชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นที่ไม่ปรับแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวไปยังคณะรัฐมนตรี โดย สกท. ชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นว่า ภายหลังจากที่ได้รับหนังสือแจ้งให้แก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวจากกระทรวงการต่างประเทศแล้ว สกท. ได้ปรับแก้ตามกระทรวงการต่างประเทศแก้ไขทุกประการ รวมทั้งเสนอเลขาธิการ สกท. ให้ความเห็นชอบในวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๑ และในวันเดียวกันได้แจ้งฝ่ายจีนโดยการโทรศัพท์ไปยังผู้ประสานงานฝ่ายสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแห่งประเทศจีน (Ms. Wang Life) ว่าร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวมีการปรับแก้เพิ่มเติม ซึ่งฝ่ายจีนได้ตอบกลับมาด้วยว่า ฝ่ายจีนได้เสนอร่างบันทึกความเข้าใจฉบับเดิมเพื่อขอความเห็นชอบตามขั้นตอนและได้รับความเห็นชอบเรียบร้อยแล้ว และหากมีการปรับแก้จากบันทึกความเข้าใจฉบับเดิมที่ตกลงกันไว้ สภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแห่งประเทศจีนจะไม่ร่วมลงนาม และเนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ ระบุว่า หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบในภายหลัง ประกอบกับ สกท. พิจารณาแล้วเห็นว่า การลงนามบันทึกความเข้าใจดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมความร่วมมือด้านการลงทุนระหว่างไทยและจีน สอดคล้องกับยุทธศาสตร์และนโยบายด้านเศรษฐกิจของไทยต่อจีน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อไทย และการปรับเปลี่ยนถ้อยคำมิใช่สาระสำคัญ จึงได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ตามที่ สกท. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13547 | การเข้าร่วมกับความร่วมมือ Climate and Clean Air Coalition (CCAC) ของประเทศไทย ด้านที่ 3 | ทส | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการเข้าร่วมกับความร่วมมือ Climate and Clean Air Coalition (CCAC) ของประเทศไทย ด้านที่ ๓ การประเมินมลสาร Short-Lived Climate Pollutants (SLCPs) (คาร์บอนดำและโอโซน) ในระดับภูมิภาค ซึ่งเป็นกรอบความร่วมมือที่โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme : UNEP) ได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๕ และจะสิ้นสุดในปี พ.ศ. ๒๕๖๕ (ปัจจุบันมีประเทศที่เข้าร่วมกับความร่วมมือ CCAC เพื่อลดมลสาร SLCPs จำนวน ๖.๑ ประเทศ) และมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษเป็นหน่วยงานกลางประสานการดำเนินงาน (National Focal Point) CCAC ของประเทศไทย และดำเนินการตามขั้นตอนในการเข้าร่วมกับความร่วมมือ CCAC รวมถึงกำหนดรายละเอียดการดำเนินงานและกรอบเวลาร่วมกับ UNEP ต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น (๑) การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีและในหนังสือแจ้งเข้าร่วมกับความร่วมมือ CCAC ควรระบุด้านการดำเนินการเกี่ยวกับมลสารช่วงชีวิตสั้นที่ส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศที่ประเทศไทยสนใจ เป็น “การประเมินมลสาร SLCPs (คาร์บอนดำและโอโซน) ในระดับภูมิภาค” แทนการระบุด้านที่ ๓ เพราะในความร่วมมือ CCAC มิได้กำหนดเลขหมายไว้ อาจทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนได้ (๒) ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานหารือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในประเทศและหน่วยงานภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรมในการพิจารณากำหนดรายละเอียดการดำเนินงานภายใต้ความร่วมมือ CCAC เพื่อลดมลสาร SLCPs และ (๓) หากมีค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป เห็นควรให้จัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่าย รวมทั้งแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณานำองค์ความรู้ที่จะได้รับจากการเข้าร่วมกับความร่วมมือ CCAC มาประยุกต์ใช้กับการดำเนินการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ในกรุงเทพมหานคร/ปริมณฑล และในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและมีความยั่งยืนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13548 | ขอความเห็นชอบต่อคณะรัฐมนตรีในการแก้ไขข้อบทที่ 20 วรรค 1 ของอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (Convention on the Elimination of all Forms of Discrimination Against Women - CEDAW) | พม | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการแก้ไขข้อบทที่ ๒๐ วรรค ๑ ของอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (Convention on the Elimination of all Forms of Discrimination Against Women-CEDAW) เพื่อให้คณะกรรมการการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบสามารถขยายระยะเวลาการประชุมได้มากกว่า ๒ สัปดาห์ต่อปี ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการให้ส่วนราชการเจ้าของเรื่องจะต้องมีหนังสือแจ้งกระทรวงการต่างประเทศเพื่อดำเนินการจัดทำตราสารยอมรับ (Instrument of Acceptance) ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13549 | ขออนุมัติโครงการและงบประมาณดำเนินงานโครงการรักษาระดับปริมาณและคุณภาพข้าวหอมมะลิ ปีการผลิต 2562/63 | กษ | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติโครงการรักษาระดับปริมาณและคุณภาพข้าวหอมมะลิ ปีการผลิต ๒๕๖๒/๖๓ และอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณ ภายในวงเงินทั้งสิ้น ๒๗๕,๑๔๗,๕๒๐ บาท ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิ รวมค่าขนส่ง จำนวน ๑๐,๐๐๐ ตัน วงเงิน ๒๗๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากทุนหมุนเวียนเพื่อผลิตและขยายพันธุ์พืชและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการ วงเงิน ๕,๑๔๗,๕๒๐ บาท โดยกรมการข้าวดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ๑.๒ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณแผ่นดินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ให้แก่กรมการข้าว จำนวน ๒๗๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ทดแทนทุนหมุนเวียนเพื่อผลิตและขยายพันธุ์พืชที่ถูกใช้ไป ๑.๓ ให้กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลาง พิจารณายกเว้นโดยไม่นำเอาต้นทุนการผลิตเมล็ดพันธุ์ที่ใช้สำหรับสนับสนุนเกษตรกรในโครงการฯ มารวมคำนวณในตัวชี้วัดของทุนหมุนเวียนเพื่อผลิตและขยายพันธุ์พืช ประจำปีบัญชี ๒๕๖๒ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของสำนักงบประมาณ ได้แก่ (๑) กรณีที่เงินทุนหมุนเวียนเพื่อผลิตและขยายพันธุ์พืชมีเหตุปัจจัยที่มีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินงานและไม่สามารถควบคุมได้ เช่น การดำเนินโครงการฯ ทุนหมุนเวียนสามารถชี้แจงเหตุผลพร้อมทั้งจัดส่งเอกสารหลักฐานต่าง ๆ เพื่อให้กระทรวงการคลังใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาปรับค่าเกณฑ์วัดผลการดำเนินงานหรือยกเว้นตัวชี้วัดดังกล่าวได้ (๒) การช่วยเหลือตามโครงการฯ จะต้องตรวจสอบพื้นที่ความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงให้ชัดเจน โดยไม่ซ้ำซ้อนกับการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติของภาครัฐ และกำกับดูแลจัดการเมล็ดพันธุ์ที่ใช้เพาะปลูกของเกษตรกร โดยคำนึงถึงความสมดุลระหว่างอุปสงค์-อุปทาน และราคาจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ที่จะสูงขึ้น (๓) ควรพิจารณาถึงความพร้อมและความสามารถในการดำเนินการที่จะก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างแท้จริง และนำผลการดำเนินงาน ปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะต่าง ๆ ที่ผ่านมา เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา ทั้งกระบวนการ ขั้นตอน ระยะเวลา วิธีการดำเนินงาน เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ที่กำหนดไว้ (๔) พิจารณาดำเนินการตามข้อสังเกต ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะของคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวอย่างเคร่งครัด ทั้งในด้านกระบวนการที่ต้องชัดเจนตรงกับบุคคลเป้าหมาย วิธีการบริหารจัดการสมดุลกับอุปสงค์-อุปทานของเมล็ดพันธุ์ข้าว พื้นที่เป้าหมายต้องสอดคล้องกับพื้นที่เสียหายจากฝนแล้ง ฝนทิ้งช่วง และการช่วยเหลือเมล็ดพันธุ์ข้าวต้องพิจารณาความซ้ำซ้อนกับการช่วยเหลือผู้ประสบภัยอื่นด้วย และ (๕) ควรกำหนดกลไกการติดตามผลการดำเนินงานและผลสำเร็จของโครงการฯ วิเคราะห์ปัญหาอุปสรรค และแนวทางในการแก้ไขให้กับสถานการณ์ และรายงานคณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13550 | ขออนุมัติงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และกรอบงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 | สปสช. | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ จำนวนรวม ๒๐๑,๘๙๖,๕๐๗,๘๐๐ บาท และให้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป โดยให้นำข้อเสนอแนะของคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๑ เช่น การเตรียมจัดทำคำของบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๖๓ เพื่อรองรับ Rotavirus vaccine และการประเมินประสิทธิภาพระบบการบริหารจัดการยาและวัคซีน การทบทวนขอบเขต นิยามกลุ่มเป้าหมายบริการผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงที่มีภาวะพึ่งพิงทุกสิทธิ และการทบทวนกลุ่มเป้าหมายนำร่องบริการป้องกันการติดเชื้อ HIV (PrEP) เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย ๒. ในส่วนของกรอบงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ รวมทั้งกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติวางแผนขอรับการจัดสรรงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติประจำปีให้สอดคล้องกับปฏิทินงบประมาณ ตลอดจนแนวทางต่าง ๆ ตามที่สำนักงบประมาณกำหนดต่อไปด้วย ๓. ให้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรบริหารจัดการและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณค่ารักษาพยาบาล โดยเฉพาะการบริการผู้ป่วยในให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพตามมาตรฐาน และควรมีการศึกษาถึงรูปแบบการเงินการคลังที่มีแหล่งเงินที่หลากหลาย อาทิ การจ่ายเงินสมทบจากค่าจ้าง การร่วมจ่ายตามระดับรายได้ที่มีการจำกัดเพดานค่าใช้จ่ายสูงสุด และการใช้เงินภาษีท้องถิ่น เพื่อสร้างความยั่งยืนให้แก่ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในระยะยาว รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับงบประมาณสำหรับค่าชดเชยป้องกัน หัด คางทูม และหัดเยอรมัน (MMR) เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดในภาคใต้ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒ จำนวน ๔๕,๐๑๕,๐๐๐ บาท เนื่องจากเป็นกรณีที่กรมควบคุมโรคได้ยืมวัคซีนดังกล่าวจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หากจะขอตั้งงบประมาณเพื่อชดใช้การยืมดังกล่าวแทนการคืนพัสดุ จะต้องขอผ่อนผันการปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ข้อ ๒๑๐ ด้วย สำหรับค่าใช้จ่ายบุคลากรตามบริหารจัดการของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เห็นควรให้ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13551 | การดำเนินการเกี่ยวกับคดีข้อพิพาทดาวเทียมไทยคม 7 และดาวเทียมไทยคม 8 | ดศ | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติมอบอำนาจหรือมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเป็นผู้รับมอบอำนาจหรือรับมอบหมายให้ดำเนินคดีโดยกระบวนการทางอนุญาโตตุลาการและหรือกระบวนการทางศาล เพื่อเรียกร้องให้บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) และบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ปฏิบัติตามข้อสัญญาชำระค่าตอบแทนต่าง ๆ ตามสัญญา ชำระค่าปรับ และค่าเสียหายต่าง ๆ ตามรายละเอียดจำนวนที่ตรวจสอบได้และประสงค์จะเรียกร้องแทนรัฐบาล ซึ่งเป็นไปตามแนวทางที่สำนักงานการยุติการดำเนินคดีแพ่งและอนุญาโตตุลาการ สำนักงานอัยการสูงสุด แจ้งให้ดำเนินการ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13552 | การจัดสรรอัตราข้าราชการตำรวจตั้งใหม่ให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ | นร10 | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดสรรอัตราข้าราชการตำรวจตั้งใหม่ให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน ๕,๙๗๐ อัตรา เพื่อปฏิบัติงานรองรับสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน ๔,๗๐๐ อัตรา และภารกิจด้านการถวายความปลอดภัย จำนวน ๑,๒๗๐ อัตรา ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๑ และครั้งที่ ๖/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คปร. เสนอ สำหรับการจัดสรรข้าราชการตำรวจตั้งใหม่เพื่อปฏิบัติภารกิจด้านการถวายความปลอดภัย ให้เปลี่ยนชื่อกองบังคับการ จากเดิม “กองบังคับการถวายความปลอดภัยและปฏิบัติการพิเศษ” เป็น “กองบังคับการตำรวจมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ๙๐๔” ตามนัยกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ.๒๕๖๒ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ในส่วนของงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรและค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมที่จะต้องดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เห็นควรให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณมาดำเนินการตามความจำเป็นและเหมาะสมเป็นลำดับแรกก่อน หากไม่เพียงพอให้เสนอขอรับการสนับสนุนงบกลางต่อไป สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน โดยคำนึงถึงลำดับความจำเป็นและความเร่งด่วนในการบรรจุประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาของบุคลากรควบคู่กับการเพิ่มอัตรากำลังข้าราชการตำรวจดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13553 | การกำหนดวิธีการปฏิบัติราชการและการบริหารงาน การบริหารบุคคล การจัดโครงสร้าง การแบ่งส่วนงาน หน้าที่และอำนาจของส่วนงาน อัตรากำลัง และกรอบอัตรากำลังข้าราชการในระยะเริ่มแรกของสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง | นร | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13554 | ร่างข้อมติรัฐมนตรีเรื่อง Enhancing Cooperation, Harmonization and Integration in the Era of Transport Automation | คค | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างข้อมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง Enhancing Cooperation, Harmonization and Integration in the Era of Transport Automation มีสาระสำคัญเป็นการนำเสนอเกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือและการบูรณาการด้านการขนส่งในยุคดิจิทัล โดยการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ เช่น ระบบขนส่งอัจฉริยะ ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ การนำร่องด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์และการขนส่งสินค้าทางเรืออัจฉริยะ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่ง และสามารถแก้ไขปัญหาด้านการขนส่ง ทั้งนี้ จะมีการรับรองข้อมติฯ ซึ่งถือเป็นผลลัพธ์ของการประชุมระดับสูง (High-level Policy Segment) ในวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการประชุมประจำปีของคณะกรรมการว่าด้วยการขนส่งทางบก ครั้งที่ ๘๑ ภายใต้คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจแห่งสหประชาชาติสำหรับยุโรป (United Nations Economic Commission for Europe : UNECE) ระหว่างวันที่ ๑๗-๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการใช้ประโยชน์จากการแลกเปลี่ยนข้อมูลจากผลการประชุมดังกล่าว เพื่อประกอบการพิจารณากำหนดกรอบศึกษาวิจัย และแนวทางการเตรียมความพร้อมทางด้านโครงสร้างพื้นฐานทั้งในด้านกายภาพและระบบเทคโนโลยีดิจิทัล รวมทั้งกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการเข้าสู่ระบบขนส่งอัตโนมัติในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างข้อมติฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13555 | การแต่งตั้งผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน สำหรับวาระระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2562-31 ธันวาคม 2564 | กต | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบการแต่งตั้ง นางอมรา พงศาพิชญ์ ดำรงตำแหน่งผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน สำหรับวาระระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๒ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๔ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือแจ้งการแต่งตั้ง นางอมรา พงศาพิชญ์ ดำรงตำแหน่งผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน สำหรับวาระระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๒ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๔ ให้เลขาธิการอาเซียนและประเทศสมาชิกอาเซียนทราบ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13556 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้มะพร้าวเป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... | พณ | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้มะพร้าวเป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้สินค้ามะพร้าวเป็นสินค้าที่ต้องนำเข้ามาทางท่าเรือกรุงเทพ หรือท่าเรือแหลมฉบัง โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ (๖) แห่งพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. ๒๕๒๒ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกร ประชาชน และผู้เกี่ยวข้องทราบเกี่ยวกับการกำหนดให้สินค้ามะพร้าวเป็นสินค้าที่ต้องนำเข้ามาในราชอาณาจักรทางท่าเรือกรุงเทพและท่าเรือแหลมฉบัง ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมศุลกากรและกรมวิชาการเกษตรดำเนินงานร่วมกันเพื่อเป็นการเพิ่มความเข้มงวดในการใช้มาตรการดังกล่าว และป้องกันการเข้ามาระบาดของโรคพืชและแมลงที่จะสร้างความเสียหายแก่พื้นที่เพาะปลูกทางการเกษตรของไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13557 | รายงานผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ที่จะได้รับจากการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 (ไตรมาสที่ 1) | นร07 | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลสัมฤทธิ์หรือประโยขน์ที่จะได้รับจากการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ วงเงินงบประมาณ จำนวน ๓,๐๐๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ของหน่วยรับงบประมาณ ไตรมาสที่ ๑ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ถึงวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๑ มีผลการเบิกจ่ายในภาพรวมจำนวน ๘๙๒,๕๗๕.๓๒ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒๙.๗๕ จำแนกเป็นรายจ่ายประจำจำนวน ๘๑๗,๓๔๕.๑๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๔.๗๗ และรายจ่ายลงทุนจำนวน ๗๕,๒๓๐.๒๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑๑.๕๙ สำหรับงบประมาณรายจ่ายกรณีไม่รวบงบกลาง วงเงินงบประมาณจำนวน ๒,๕๒๘,๔๖๘.๐๐ ล้านบาท มีผลการเบิกจ่ายจำนวน ๗๘๘,๔๒๖.๔๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๑.๑๘ ต่ำกว่าเป้าหมาย ร้อยละ ๐.๘๒ (เป้าหมายภาพรวม ร้อยละ ๓๒) รายจ่ายประจำ มีผลการเบิกจ่ายจำนวน ๗๑๓,๑๙๖.๒๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๖.๒๐ สูงกว่าเป้าหมายร้อยละ ๐.๒๐ (เป้าหมายกำหนดไว้ร้อยละ ๓๖) รายจ่ายลงทุนมีการก่อหนี้จำนวน ๒๐๙,๕๕๐.๔๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๗.๕๒ และเบิกจ่ายแล้วจำนวน ๗๕,๒๓๐.๒๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑๓.๔๗ ต่ำกว่าเป้าหมายร้อยละ ๖.๕๓ (เป้าหมายกำหนดไว้ร้อยละ ๒๐) ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13558 | การพิจารณากำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ ในปี 2562 | นร | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า เพื่อให้ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพสกนิกรในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าร่วมกิจกรรมการเตรียมงานและการซ้อมการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกได้อย่างพร้อมเพรียงกัน ในวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๖๒ รวมทั้งเพื่อให้ประชาชนได้มีวันหยุดอย่างต่อเนื่องในช่วงเทศกาลสงกรานต์ด้วย จึงมีมติ ดังนี้
๑. กำหนดให้วันศุกร์ที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๖๒ เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษในปี ๒๕๖๒ อีก ๑ วัน ๒. ในส่วนของรัฐวิสาหกิจ สถาบันการเงิน และภาคเอกชน ให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงแรงงาน พิจารณาความเหมาะสมของการกำหนดเป็นวันหยุดให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องในแต่ละกรณีต่อไป ๓. ในกรณีที่หน่วยงานใดมีภารกิจในการให้บริการประชาชน หรือมีความจำเป็นหรือราชการสำคัญในวันหยุดดังกล่าวโดยได้กำหนดหรือนัดหมายไว้แล้ว ซึ่งหากยกเลิกหรือเลื่อนไปจะเกิดความเสียหายหรือกระทบต่อการให้บริการประชาชน ให้หัวหน้าหน่วยงานนั้นพิจารณาดำเนินการตามที่เห็นสมควร โดยมิให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการและกระทบต่อการให้บริการประชาชน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13559 | การเสนอความเห็นการขอทบทวนการจัดตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาการอุดมศึกษา | กค | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13560 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (นายศักดิ์สีห์ พรหมโยธี) | กต | 12/02/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายศักดิ์สีห์ พรหมโยธี ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูจา สหพันธ์สาธารณรัฐไนจีเรีย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
.....