ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1506 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 30101 - 30120 จากข้อมูลทั้งหมด 124459 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 30101 | ข้อเสนอแนะแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตเกี่ยวกับการซื้อขายประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู | ปช | 11/09/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อเสนอแนะแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตเกี่ยวกับการซื้อขายประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ ทั้งนี้ เพื่อให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติราชการ หรือวางแผนโครงการของส่วนราชการ เพื่อป้องกันหรือปราบปรามการทุจริตต่อหน้าที่ การกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ตามนัยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ มาตรา ๑๙ (๑๑) โดยข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ประกอบด้วย ข้อเสนอแนะต่อคุรุสภา ข้อเสนอแนะต่อสภามหาวิทยาลัย ข้อเสนอแนะต่อสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา รวมทั้งข้อเสนอแนะต่อผู้กำหนดนโยบาย (รัฐบาล และกระทรวงศึกษาธิการ) ๒. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอว่า วิชาชีพครูเป็นวิชาชีพควบคุมต้องได้รับอนุญาตประกอบวิชาชีพครูจากคุรุสภาจึงจะมีสิทธิประกอบวิชาชีพครูได้ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการแสวงหาผลประโยชน์หรือมีการทุจริตเกี่ยวกับการซื้อขายประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู กระทรวงศึกษาธิการจึงขอรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในเรื่องนี้ไปหารือร่วมกับสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา สภามหาวิทยาลัย สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา คณะกรรมการ ป.ป.ช. และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตในเรื่องดังกล่าวต่อไป ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดให้มีการหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางที่ต้องดำเนินการตามข้อเสนอแนะดังกล่าวให้เป็นไปตามแนวทางเดียวกันเพื่อให้มีผลปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม การนำกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดกรอบการบริหารและการจัดการศึกษาในภาคเอกชน เช่น พระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. ๒๕๔๖ ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีการกำกับ ติดตาม การประเมินคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของเอกชนให้เป็นไปเช่นเดียวกับสถานศึกษาของรัฐ มาเป็นแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตเกี่ยวกับการซื้อขายประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู การให้ความสำคัญในการควบคุมและตรวจสอบมาตรฐานการจัดหลักสูตรอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รวมทั้งการให้บุคลากร/เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตระหนักถึงบทบาทของตนในการปฏิบัติหน้าที่อย่างโปร่งใส โดยสุจริต และไม่แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 30102 | ร่างพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พณ | 11/09/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. ๒๕๓๔ ดังต่อไปนี้ ๑.๑ ยกเลิกบทบัญญัติที่ห้ามขอจดทะเบียนสำหรับสินค้าต่างจำพวกกันในคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าหนึ่งฉบับ ๑.๒ แก้ไขบทบัญญัติเกี่ยวกับคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า โดยเพิ่มเติมคำว่า “พิธีสาร” เพื่อให้ครอบคลุมถึงพิธีสารมาดริดด้วย ๑.๓ เพิ่มเติมการขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในกรณีที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีแห่งอนุสัญญา พิธีสาร หรือความตกลงระหว่างประเทศ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง ๑.๔ เพิ่มเติมหมวด ๑/๑ การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าภายใต้พิธีสารมาดริด ๑.๕ กำหนดฐานความผิดเรื่องการใช้หีบห่อหรือภาชนะที่แสดงเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่จดทะเบียนไว้ ๑.๖ กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการจัดเตรียมและจัดส่งคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าภายใต้พิธีสารมาดริด ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดกระบวนการในการบังคับใช้กฎหมายภายใต้พิธีสารมาดริด และมาตรการในการส่งเสริมและสนับสนุนให้วิสาหกิจของไทยสามารถเข้าสู่กระบวนการจดทะเบียนเพื่อคุ้มครองเครื่องหมายการค้าระหว่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ การกำหนดบทลงโทษให้ครอบคลุมถึงกรณีการใช้เครื่องหมายรับรองแสดงไว้ที่สถานประกอบการโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของเครื่องหมายรับรองนั้น รวมทั้งมีการให้ความคุ้มครองผู้บริโภคจากการใช้สินค้าเลียนแบบที่มีคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน เนื่องจากความเข้าใจผิด และการป้องกันผลกระทบทางลบต่อการเข้าถึงบริการหรือผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ รวมถึงด้านสุขภาพและด้านการศึกษา ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 30103 | การแต่งตั้งองค์ประกอบคณะผู้แทนรัฐบาลไทยและการแต่งตั้งคณะผู้แทนฯ สำหรับการเจรจาจัดทำอนุสัญญาหรือความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนระหว่างไทยกับต่างประเทศ | กค | 11/09/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติองค์ประกอบของคณะผู้แทนรัฐบาลไทยสำหรับการเจรจาจัดทำอนุสัญญาหรือความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนระหว่างไทยกับต่างประเทศ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งคณะผู้แทนรัฐบาลไทยสำหรับการเจรจาจัดทำอนุสัญญาหรือความตกลงฯ ทั้งภายในและภายนอกประเทศในแต่ละครั้งได้ โดยให้เป็นไปตามองค์ประกอบคณะผู้แทนรัฐบาลไทยฯ ดังนี้ ๑.๑ การเจรจาภายในประเทศ ได้แก่ อธิบดีหรือรองอธิบดีกรมสรรพากร หรือที่ปรึกษาฯ กรมสรรพากร หัวหน้าคณะ ผู้อำนวยการสำนักวิชาการแผนภาษี กรมสรรพากร หรือผู้แทน จำนวน ๑ คน ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย กรมสรรพากร หรือผู้แทน จำนวน ๑ คน เจ้าหน้าที่สำนักวิชาการแผนภาษี กรมสรรพากร จำนวนไม่เกิน ๔ คน ผู้แทนสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง จำนวน ๑ คน ผู้แทนกรมสนธิสัญญาและกฎหมายกระทรวงการต่างประเทศ จำนวน ๑ คน และผู้แทนกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ จำนวน ๑ คน ๑.๒ การเจรจาภายนอกประเทศ ได้แก่ อธิบดีหรือรองอธิบดีกรมสรรพากร หรือที่ปรึกษาฯ กรมสรรพากร หัวหน้าคณะ ผู้อำนวยการสำนักวิชาการแผนภาษี กรมสรรพากร หรือผู้แทน จำนวน ๑ คน ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย กรมสรรพากร หรือผู้แทน จำนวน ๑ คน เจ้าหน้าที่สำนักวิชาการแผนภาษี กรมสรรพากร จำนวนไม่เกิน ๒ คน ผู้แทนสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง จำนวน ๑ คน ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศจากสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำ (หรือมีเขตรับผิดชอบถึง) ประเทศที่จะเจรจาด้วยจำนวน ๑ คน ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดขอบเขตและอำนาจหน้าที่ของคณะผู้แทนฯ ให้ชัดเจน และควรประสานกับกระทรวงการต่างประเทศในการเร่งรัดการดำเนินการทางการทูต เพื่อให้อนุสัญญาภาษีซ้อนที่ลงนามไปแล้วกับประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะกับประเทศในอาเซียนให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว ไปพิจารณาด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 30104 | ขออนุมัติลงนามในบันทึกการประชุมคณะทำงานเพื่อความร่วมมือไทย (ภาคเหนือ) - ยูนนาน ครั้งที่ 4 | กต | 11/09/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกการประชุมคณะทำงานเพื่อความร่วมมือไทย (ภาคเหนือ) - ยูนนาน ครั้งที่ ๔ (Record of Discussion) โดยสาระสำคัญของบันทึกการประชุมฯ ระบุถึงข้อเสนอและแนวทางในการขยายผลความร่วมมือในรายสาขาระหว่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเชื่อมโยงเครือข่ายคมนาคมและการอำนวยความสะดวกด้านโลจิสติกส์ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังได้บรรจุข้อเสนอโครงการความร่วมมือในด้านการศึกษา วัฒนธรรม สาธารณสุข และพลังงาน เป็นต้น ไว้ด้วย เพื่อผลักดันความร่วมมือให้กว้างขวางและลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยได้มีการระบุข้อความว่า บันทึกการประชุมฯ ไม่ก่อให้เกิดและไม่มีเจตนาที่จะก่อให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายแก่ทั้งสองฝ่าย ๒. อนุมัติให้อธิบดีกรมเอเชียตะวันออกหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในบันทึกการประชุมฯ ๓. หากมีความจำเป็นที่ต้องแก้ไขปรับปรุงบันทึกการประชุมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนมีการลงนาม ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง |
||||||||||||||||||||||||
| 30105 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อนำไปชำระคืนเงินต้นเงินกู้และดอกเบี้ยที่ถึงกำหนดในปีงบประมาณ 2556 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 11/09/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กู้เงินเพื่อนำไปชำระคืนเงินต้นเงินกู้และดอกเบี้ยที่ถึงกำหนดจากการกู้เงิน ชำระหนี้ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าเหมาซ่อม ค่าเช่ารถพร้อมดอกเบี้ย และซื้อรถโดยสารปรับอากาศยูโรทู ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๑๔,๖๖๔.๘๕๗ ล้านบาท ประกอบด้วย การไถ่ถอนพันธบัตรและชำระคืนเงินต้นเงินกู้ที่ถึงกำหนดในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๑๑,๖๘๖.๘๓๓ ล้านบาท และชำระค่าดอกเบี้ยที่ถึงกำหนดในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒,๙๗๘.๐๒๔ ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ กำหนดวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ในการกู้เงิน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรเร่งดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก. โดยด่วนที่สุด และปรับปรุงเส้นทางการเดินรถประจำทางใหม่โดยปรับระยะทางและกำหนดท่าต้นทางและปลายทางให้เหมาะสม รวมทั้งวางแผนจัดการปัญหาภาระหนี้สินที่มีอยู่เป็นจำนวนมากให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น และปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานเพื่อให้ประชาชนหันมาใช้บริการสาธารณะเพิ่มมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม (ขสมก.) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดจัดทำและปรับปรุงแผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก. ให้แล้วเสร็จ เพื่อเป็นกรอบแนวทางในการแก้ไขปัญหาหนี้สินและปรับปรุงประสิทธิภาพและประสิทธิผลการดำเนินงานของ ขสมก. โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำแผนปรับปรุงการบริหารจัดการและบริการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพเพื่อลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มรายได้ และเร่งรัดการแก้ไขปัญหาโครงสร้างทางการเงินเพื่อลดภาระหนี้สินที่สะสมอย่างต่อเนื่องทุกปี รวมทั้งการจัดทำแนวทางและหรือมาตรการในการบริหารจัดการหนี้ให้ชัดเจน ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ๓. ให้แยกแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ที่ได้กำหนดให้ดำเนินการขึ้นใหม่แยกออกจากการดำเนินการที่เป็นหนี้สินเดิมของ ขสมก. ให้ชัดเจนเพื่อให้สามารถติดตามและประเมินผลการดำเนินงาน (performance) ตลอดจนความเหมาะสม คุ้มค่าของแต่ละแผนงาน/โครงการตามต้นทุนที่แท้จริงได้อย่างถูกต้อง รวมตลอดถึงการแก้ไขปัญหาหนี้สินที่สะสมอยู่ และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 30106 | ขออนุมัติกู้เงินในประเทศเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ในปีงบประมาณ 2555 วงเงิน 6,500.00 ล้านบาท โดยการกู้ Roll-Over | คค | 11/09/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กู้เงินในประเทศเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ของ กทพ. ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๖,๕๐๐.๐๐ ล้านบาท โดยการกู้ Roll-Over ทั้งนี้ สำหรับเงินกู้จำนวน ๑,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ที่ กทพ. ได้รับเงินกู้มาแล้ว (รวมอยู่ในวงเงิน ๖,๕๐๐.๐๐ ล้านบาท) ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 30107 | (ร่าง) กรอบนโยบายการพัฒนานาโนเทคโนโลยีของประเทศไทย (พ.ศ. 2555 - 2564) และ (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยและจริยธรรมนาโนเทคโนโลยี (พ.ศ. 2555 - 2559) | วท | 11/09/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบ (ร่าง) กรอบนโยบายการพัฒนานาโนเทคโนโลยีของประเทศไทย (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๖๔) เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนานาโนเทคโนโลยีของประเทศไทยให้เข้มแข็งและเป็นไปในแนวทางเดียวกัน และ (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยและจริยธรรมนาโนเทคโนโลยี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) สำหรับใช้ในการกำกับดูแล เฝ้าระวัง และบริหารจัดการด้านความปลอดภัยและจริยธรรมในการใช้ประโยชน์นาโนเทคโนโลยีอย่างยั่งยืน และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ สรุปสาระสำคัญของ (ร่าง) กรอบนโยบายการพัฒนานาโนเทคโนโลยีฯ และ (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยฯ ได้ ดังนี้ ๑.๑ (ร่าง) กรอบนโยบายการพัฒนานาโนเทคโนโลยีฯ ประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ การยกระดับคุณภาพชีวิต สุขภาพ การแพทย์และสาธารณสุขด้วยนาโนเทคโนโลยี การเพิ่มขีดความสามารถของภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมการผลิตด้วยนาโนเทคโนโลยี การเสริมความมั่นคงทางพลังงาน อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วยนาโนเทคโนโลยี การพัฒนากำลังคนด้านนาโนเทคโนโลยี และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและปัจจัยเอื้อ ๑.๒ (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยฯ ประกอบด้วย ๓ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ การสร้างและบริหารจัดการองค์ความรู้ด้านความปลอดภัยและจริยธรรมนาโนเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์นาโน การพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของมาตรการและกลไกการกำกับดูแลและบังคับใช้ และการสร้างความเข้มแข็งและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เกี่ยวกับการกำหนดเกณฑ์คุณสมบัติด้านสิ่งแวดล้อมให้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเป็นส่วนหนึ่งของการออกฉลากผลิตภัณฑ์นาโน การเสริมสร้างการมีส่วนร่วมและการพัฒนาศักยภาพของประชาชน การรณรงค์ให้เครือข่ายภาคประชาชน ชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีจิตสำนึกที่ดี มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมร่วมกันในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอันเนื่องมาจากนาโนเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์นาโน โดยดำเนินการให้ครอบคลุมทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องตั้งแต่การวิจัย การผลิต การใช้ประโยชน์ จนถึงการกำจัดซากผลิตภัณฑ์และของเสียจากนาโนเทคโนโลยีอย่างถูกต้องปลอดภัย การศึกษาวิจัยถึงผลกระทบและแนวทางการป้องกันปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการใช้นาโนเทคโนโลยี การให้ความรู้ความเข้าใจแก่เกษตรกรและผู้ประกอบการในการประยุกต์ใช้นาโนเทคโนโลยีอย่างถูกต้องปลอดภัย การวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่เพื่อใช้ในการจัดการมลพิษที่เหมาะสมกับพื้นที่ที่ไม่ยุ่งยาก และประหยัดค่าใช้จ่าย เพื่อให้เกิดการนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง การจัดทำตัวชี้วัดที่ชัดเจนในแต่ละยุทธศาสตร์เพื่อใช้ในการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน รวมทั้งการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมและการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรวิจัยเพื่อให้สอดคล้องกับสาระของมาตรการ และแก้ไขปัญหาการขาดกำลังคนที่ทำการวิจัยด้านความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยี โดยจัดแบ่งระยะเวลาดำเนินการเป็นแต่ละช่วงที่สอดคล้องกับการขับเคลื่อนตัวชี้วัดเพื่อให้การดำเนินงานทั้งหมดบรรลุผลสัมฤทธิ์เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาของแผนฯ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. สำหรับงบประมาณที่จะใช้จ่ายตามกรอบนโยบายการพัฒนานาโนเทคโนโลยีฯ และแผนยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยฯ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี และเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามความเหมาะสมและจำเป็นต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
| 30108 | ขอความเห็นชอบในการรับรองปฏิญญาเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก | คค | 11/09/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการรับรองปฏิญญาเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. ปฏิญญาเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเป็นปฏิญญาสำหรับรัฐมนตรีที่รับผิดชอบด้านการขนส่งของสมาชิก ๒๑ เขตเศรษฐกิจเอเปค ประกอบด้วย ออสเตรเลีย บรูไนดารุสซาลาม แคนาดา ชิลี สาธารณรัฐประชาชนจีน ฮ่องกง อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี มาเลเซีย เม็กซิโก นิวซีแลนด์ ปาปัวนิวกินี เปรู ฟิลิปปินส์ สหพันธรัฐรัสเซีย สิงคโปร์ จีนไทเป ไทย สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม มีสาระสำคัญคือ มุ่งเน้นคามสำคัญของห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อถือได้ เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน และธำรงไว้ซึ่งความมั่นคงด้านพลังงาน เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมในระดับภูมิภาคและระดับโลก ซึ่งเป็นไปตามแผนปฏิบัติการว่าด้วยการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานของเอเปคที่มีเป้าหมายที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทานโดยการลดค่าใช้จ่าย เวลา และความไม่แน่นอนของการเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการในกระบวนการเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทานลงให้ได้ร้อยละ ๑๐ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ๒. ปฏิญญาเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเป็นการยืนยันเจตนารมณ์ของรัฐมนตรีที่เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีขนส่งเอเปคสมัยพิเศษในการที่จะดำเนินการตามแผนปฏิบัติการว่าด้วยการเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทานในเอเปค เพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการในภูมิภาค โดยมีเป้าหมายในระบบการเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทานลงให้ได้ร้อยละ ๑๐ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งแผนปฏิบัติการดังกล่าวเป็นความร่วมมือที่สมาชิกเอเปคต่างก็รับไปปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่ผู้นำเอเปคได้กำหนดเป็นนโยบายไว้ |
||||||||||||||||||||||||
| 30109 | รายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลและการให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรม | อก | 11/09/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลและการให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น ได้แก่ การจัดงาน OUTLET เพื่อประชาชน “มหกรรมสินค้าช่วยค่าครองชีพส่งตรงจากโรงงาน” ครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ ระหว่างวันที่ ๓ - ๕ สิงหาคม ๒๕๕๕ ณ บริเวณศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ ๑ จังหวัดเชียงใหม่ มีประชาชนเข้าร่วมซื้อสินค้าในงานรวม ๖๓,๙๗๕ คน ผู้ประกอบการนำสินค้ามาจำหน่าย จำนวน ๒๐๐ ราย มียอดขายสินค้ารวมทั้งสิ้น ๑๒,๑๘๕,๙๐๑ บาท ๒. โครงการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย ได้รับจัดสรรงบประมาณเพื่อช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย จำนวน ๘ โครงการ เป็นเงิน ๗๒๔.๑๘๔๒ ล้านบาท ได้แก่ โครงการจัดตั้งศูนย์พักพิงอุตสาหกรรม เป็นเงิน ๔๗.๔ ล้านบาท โครงการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม และกากอุตสาหกรรมในสถานประกอบการที่ประสบอุทกภัย เป็นเงิน ๒๒ ล้านบาท โครงการตรวจสอบคุณภาพน้ำ ดิน และสารปนเปื้อนของสารพิษอุตสาหกรรมในสถานประกอบการทั้งในและนอกนิคม เป็นเงิน ๒๕ ล้านบาท โครงการศูนย์สารพัดช่างเพื่อการฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัย เป็นเงิน ๕๑.๐๒ ล้านบาท โครงการฟื้นฟูซ่อมแซมหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย เป็นเงิน ๑.๗๖๙๗ ล้านบาท โครงการบริหารจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ประสบอุทกภัย เป็นเงิน ๑๗.๓๗๖๘ ล้านบาท โครงการฟื้นฟูภาพลักษณ์ประเทศไทย เป็นเงิน ๔๑๑.๖๑๗๗ ล้านบาท และโครงการคลินิกอุตสาหกรรมเพื่อการฟื้นฟูสถานประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย เป็นเงิน ๑๔๘ ล้านบาท ๓. มาตรการช่วยเหลือเยียวยาด้านเครื่องจักร ได้รับรองการเป็นผู้ประกอบการที่มีสถานประกอบการประสบอุทกภัย และอนุมัติการนำเข้าเครื่องจักรแล้ว จำนวนทั้งสิ้น ๗,๐๑๙ รายการ คิดเป็นมูลค่า ๑๕.๘๐๘ ล้านบาท ๔. ความคืบหน้าการก่อสร้างเขื่อน นิคมอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม และสวนอุตสาหกรรม (ข้อมูล ณ วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๕) นิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร ไม่สามารถก่อสร้างเขื่อนป้องกันน้ำท่วมถาวรให้แล้วเสร็จในปีนี้ ดังนั้น จะสร้างคันดินเพื่อป้องกันน้ำท่วมบริเวณคันดินเดิมไปก่อน เขตประกอบการอุตสาหกรรมโรจนะ มีความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๙๓ นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า (ไฮเทค) มีความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๘๓.๐๖ เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมนวนคร มีความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๙๔ และสวนอุตสาหกรรมบางกะดี มีความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๗๖.๖๓
|
||||||||||||||||||||||||
| 30110 | การจัดงานฉลองพระชันษาสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก 100 ปี 3 ตุลาคม 2556 | นร01 | 11/09/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงาน ดังนี้
๑. สำนักพระราชวัง สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ประชุมหารือเมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ เพื่อพิจารณาจัดงานฉลองพระชันษาสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ๑๐๐ ปี ในวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๖ ซึ่งที่ประชุมเห็นควรให้มีการดำเนินงานพระราชพิธี รัฐพิธี ศาสนพิธี โครงการ และกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งนี้ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้จัดตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไว้แล้ว เป็นเงิน ๑๐๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๒. นายกรัฐมนตรีได้ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๙๙/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๕ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการจัดงานฉลองพระชันษาสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ๑๐๐ ปี ๓ ตุลาคม ๒๕๕๖ ซึ่งคณะกรรมการอำนวยการจัดงานฯ ประกอบด้วย คณะที่ปรึกษาฝ่ายบรรพชิต คณะที่ปรึกษาฝ่ายฆราวาส และคณะกรรมการอำนวยการจัดงานฯ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่พิจารณาแนวทางการดำเนินงานฉลองพระชันษาสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พิจารณามอบหมายภารกิจตามแผนงาน โครงการ และกิจกรรมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ รวมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ หรือคณะทำงานฝ่ายต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือการปฏิบัติงานตามที่เห็นสมควร และดำเนินการอื่น ๆ ในส่วนที่เกี่ยวข้อง
|
||||||||||||||||||||||||
| 30111 | ขออนุมัติให้ข้าราชการได้รับสิทธิประโยชน์รถประจำตำแหน่งหรือค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถประจำตำแหน่ง | นร04 | 11/09/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและอนุมัติให้ผู้ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ ที่ ก.พ. กำหนดเงื่อนไขการแต่งตั้งให้ได้รับสิทธิประโยชน์อื่นตามที่ได้รับอยู่เดิม ซึ่งเคยมีสิทธิได้รับรถประจำตำแหน่งหรือรับเงินค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถประจำตำแหน่ง ให้ได้รับสิทธิได้รับรถประจำตำแหน่งหรือเงินค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถประจำตำแหน่งนับตั้งแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 30112 | ขอรับการสนับสนุนเงินชดเชยพิเศษให้กับกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยเพื่อผลิตเอทานอล จังหวัดตาก | มท | 11/09/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีมติ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลความก้าวหน้าการดำเนินการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารแคดเมียมในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่ตาว จังหวัดตาก และการดำเนินงานตามแผนบูรณาการงานพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำแม่ตาว พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๗ ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับการปรับเปลี่ยนระบบการเพาะปลูกพืชอาหารจากข้าวเป็นการปลูกอ้อยเพื่อนำไปผลิตเอทานอล ซึ่งเป็นการตัดห่วงโซ่อาหารในพื้นที่ปนเปื้อนสารแคดเมียมอย่างยั่งยืน และให้คณะกรรมการจัดทำแผนพัฒนาการทำเกษตรกรรมในพื้นที่ที่มีการปนเปื้อนสารแคดเมียมที่เหมาะสมพิจารณาปรับปรุงยุทธศาสตร์และแนวทางการใช้ประโยชน์ที่ดิน พร้อมศึกษาความเป็นไปได้ในการเวนคืนพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบในแต่ละระดับความเข้มข้นของสารแคดเมียม โดยให้นำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองฯ พิจารณาภายใน ๓ เดือน ๑.๒ ให้กระทรวงพลังงาน โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานพิจารณาหาแนวทางการชดเชยให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยในพื้นที่โครงการพัฒนาลุ่มน้ำแม่ตาวภายใต้ขอบเขตที่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสามารถดำเนินการได้ โดยอ้างอิงการคำนวณเช่นเดียวกับมันสำปะหลังซึ่งนำไปผลิตเป็นเอทานอล พร้อมระบุหน่วยงานและสัดส่วนงบประมาณที่แต่ละหน่วยงานต้องรับผิดชอบในการจ่ายเงินชดเชยดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการกลั่นกรองฯ พิจารณาภายใน ๒ สัปดาห์ ๑.๓ ให้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อนสารแคดเมียมในลุ่มน้ำแม่ตาว จังหวัดตาก อย่างยั่งยืนต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของนายกรัฐมนตรีที่เห็นควรกำหนดแผนระยะยาวและเร่งทำความเข้าใจกับเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ในการให้ความช่วยเหลือทั้งในเรื่องขอบเขตพื้นที่ที่จะได้รับการสนับสนุน รวมถึงวิธีการหรือเงื่อนไขในการให้ความช่วยเหลือ ไปดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 30113 | สรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำท่วมของประเทศไทยประจำสัปดาห์ (ครั้งที่ 3/2555 ณ วันที่ 10 กันยายน 2555) | วท | 11/09/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยสรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำท่วมของประเทศไทย ครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ ณ วันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. สถานการณ์ภูมิอากาศ ในระหว่างวันที่ ๔-๑๐ กันยายน ๒๕๕๕ ยังไม่มีการก่อตัวของพายุหมุนเขตร้อนที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับร่องมรสุมมีกำลังอ่อนมากไม่สามารถวิเคราะห์ได้ เนื่องจากบริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนอ่อนกำลังลงไป และในช่วงวันที่ ๑๒-๑๕ กันยายน ๒๕๕๕ ร่องมรสุมจะเริ่มมีกำลังแรงขึ้นและเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทยและอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้นด้วย ทำให้ประเทศไทยกลับมามีฝนเพิ่มมากขึ้นอีกครั้ง โดยมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยในทั้งประเทศและในแต่ละภูมิภาคต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของปีที่แล้ว (ยกเว้นภาคตะวันตก) แต่สูงกว่าค่าเฉลี่ย ๓๐ ปี ๒. สถานการณ์น้ำท่วม มีดังนี้ ๒.๑ ปริมาณน้ำท่าในบริเวณจุดสำคัญ ได้แก่ ๒.๑.๑ สถานี C.2 ค่ายจิรประวัติ จังหวัดนครสวรรค์ ๑,๘๒๙ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ที่ความจุลำน้ำ ๓,๕๐๐ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ๒.๑.๒ สถานี C.13 เขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท ๑,๘๑๐ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ที่ความจุลำน้ำ ๒,๔๘๐ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ๒.๑.๓ สถานี C.29A ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๑,๕๑๘ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ที่ความจุลำน้ำ ๓,๕๐๐ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ขณะนี้ปริมาณน้ำท่าในแม่น้ำสายหลักยังไม่เกินความจุลำน้ำและไม่มีน้ำล้นตลิ่ง แต่มีน้ำท่วมเป็นการชั่วคราวในพื้นที่ลุ่มต่ำเพียงบางแห่ง เนื่องจากปริมาณน้ำฝนที่ตกหนักในพื้นที่ใกล้เคียง เช่น บริเวณคลองโผงเผงและคลองบางบาล ๒.๒ ระดับความสูงของน้ำในแม่น้ำสายหลัก ได้แก่ ๒.๒.๑ แม่น้ำปิง ที่สถานี P.1 จังหวัดเชียงใหม่ ๓๐๒.๙๙ เมตรระดับน้ำทะเลปานกลาง (ม.รทก.) ต่ำกว่าตลิ่ง ๑.๒๑ เมตร ๒.๒.๒ แม่น้ำวัง ที่สถานี W.10A จังหวัดลำปาง ๖๒๑.๘๑ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๓.๗๙ เมตร ๒.๒.๓ แม่น้ำยม ที่สถานี Y.4 จังหวัดสุโขทัย ๕๐.๑๕ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๐.๗๒ เมตร ๒.๒.๔ แม่น้ำน่าน ที่สถานี N.1 จังหวัดน่าน ๑๙๔.๖๘ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๔.๗๐ เมตร ๒.๒.๕ แม่น้ำเจ้าพระยา ที่สถานี C.2 จังหวัดนครสวรรค์ ๒๓.๓๒ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๒.๘๘ เมตร และที่สถานี C.13 จังหวัดชัยนาท ระดับน้ำท้ายเขื่อน ๑๔.๐๐ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๒.๓๔ เมตร ๒.๓ น้ำในเขื่อน/อ่างเก็บน้ำ ได้แก่ ๒.๓.๑ เขื่อนภูมิพล น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ ๙๓.๘๕ ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำ ๖,๙๖๕ ล้านลูกบาศก์เมตร และใช้การได้จริง ๓,๑๖๕ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒.๓.๒ เขื่อนสิริกิติ์ น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ ๖๖.๕๘ ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำ ๕,๗๖๔ ล้านลูกบาศก์เมตร และใช้การได้จริง ๒,๙๑๔ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒.๓.๓ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ ๒๗.๑๐ ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำ ๓๑๙ ล้านลูกบาศก์เมตร และใช้การได้จริง ๓๑๖ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒.๓.๔ น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่รวม ๓๓ อ่างทั่วประเทศ ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำ รวม ๔๕,๑๘๔ ล้านลูกบาศก์เมตร ปริมาณน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ สะสมตั้งแต่ต้นปี ๒๕,๒๖๔ ล้านลูกบาศก์เมตร ปริมาณน้ำระบายจากอ่างเก็บน้ำ สะสมตั้งแต่ต้นปี ๓๘,๐๙๗ ล้านลูกบาศก์เมตร และความสามารถในการรับน้ำได้อีก ๒๔,๙๖๗ ล้านลูกบาศก์เมตร ๓. การบริหารน้ำในเขื่อน มีดังนี้ ๓.๑ เขื่อนวชิราลงกรณ ให้เพิ่มการระบายน้ำเป็นวันละ ๒๗ ล้านลูกบาศก์เมตร เริ่มตั้งแต่วันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๕ ๓.๒ เขื่อนป่าสักชลสิทธ์ ให้เพิ่มการระบายน้ำเป็นวันละ ๑.๐-๑.๕ ล้านลูกบาศก์เมตร ๓.๓ เขื่อนลำตะคอง ให้ระบายน้ำอย่างประหยัด เนื่องจากมีปริมาณน้ำกักเก็บ ๒๙% มีน้ำใช้การได้ ๖๓ ล้านลูกบาศก์เมตร ปริมาณน้ำน้อยกว่าปี ๒๕๕๓ ซึ่งเป็นปีที่เกิดภัยแล้ง ๓.๔ เขื่อนลำพระเพลิง ให้ระบายน้ำอย่างประหยัด เนื่องจากมีปริมาณน้ำกักเก็บ ๑๓% มีปริมาณน้ำใช้การได้เพียง ๑๓ ล้านลูกบาศก์เมตร ปริมาณน้ำน้อยกว่าปี ๒๕๕๓ ซึ่งเป็นปีที่เกิดภัยแล้ง ๓.๕ เขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ให้คงการระบายน้ำที่เขื่อนภูมิพลวันละ ๕ ล้านลูกบาศก์เมตร ส่วนเขื่อนสิริกิติ์ให้ลดการระบายน้ำลงเหลือวันละ ๕.๕-๘.๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ทั้งนี้ ให้ทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยบริหารการระบาย โดยไม่ให้เกษตรกรผู้เลี้ยงปลาในกระชังได้รับผลกระทบจากการลดการระบายน้ำ ๔. สถานการณ์อุทกภัย ฝนทิ้งช่วง และน้ำป่า มีดังนี้ ๔.๑ อุทกภัย ตั้งแต่วันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๕-ปัจจุบัน ฝนตกหนักทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากในพื้นที่ ๕ จังหวัด ๑๑ อำเภอ ๒๘ ตำบล ได้แก่ จังหวัดระยอง พิจิตร ตาก สระแก้ว และเพชรบูรณ์ ๔.๒ ฝนทิ้งช่วง ตั้งแต่วันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๕-ปัจจุบัน มีพื้นที่ได้ประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) จำนวน ๕ จังหวัด ๔๖ อำเภอ ๓๓๒ ตำบล ๓,๗๑๘ หมู่บ้าน ได้แก่ จังหวัดบุรีรัมย์ ชัยภูมิ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และพัทลุง ๔.๓ กรมทรัพยากรน้ำได้เตือนภัยสถานการณ์น้ำป่าจากระบบ Early Warning System ณ วันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๕ ดังนี้ ๔.๓.๑ เตือนภัยสีแดง (อพยพ) ๒ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดแพร่ (ตำบลไทรย้อย อำเภอเด่นชัย) และจังหวัดน่าน (ตำบลสถาน อำเภอนาน้อย) ๔.๓.๒ เตือนภัยสีเหลือง (เตือนภัย) ๓ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเลย (ตำบลนาหอ อำเภอด่านซ้าย ตำบลนาดินดำ อำเภอเมืองเลย ตำบลนาดอกคำ อำเภอนาด้วง) จังหวัดน่าน (ตำบลสถาน อำเภอนาน้อย) และจังหวัดแพร่ (ตำบลไทรย้อย อำเภอเด่นชัย) ๔.๓.๓ เตือนภัยสีเขียว (เฝ้าระวัง) ๓ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเลย (ตำบลนาอ้อ อำเภอเมืองเลย) จังหวัดเพชรบูรณ์ (ตำบลศิลา อำเภอหล่มเก่า) และจังหวัดนครสวรรค์ (ตำบลแม่เลย์ อำเภอแม่วงก์)
|
||||||||||||||||||||||||
| 30114 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการการบินพลเรือน (นายประสิทธิ์ ศิริภากรณ์) | คค | 11/09/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายประสิทธิ์ ศิริภากรณ์ เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการการบินพลเรือน ตามนัยมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. ๒๔๙๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเดินอากาศ (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๑ แทนคุณหญิงพรทิย์ จาละ กรรมการที่ลาออก ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๑ กันยายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 30115 | โครงการจัดเวทีประชาเสวนา หาทางออกประเทศไทย | นร | 11/09/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินโครงการจัดเวทีประชาเสวนา หาทางออกประเทศไทย จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงิน ๙๐,๒๖๕,๐๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป และให้กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานเบิกจ่ายงบประมาณ เนื่องจากมีการปรับรูปแบบ แนวทาง วิธีการ จากรูปแบบเดิม วงเงินค่าใช้จ่ายจึงเพิ่มขึ้น จากที่เคยเสนอไว้เดิม จำนวน ๔๑,๔๑๕,๐๐๐ บาท โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง แนวทางปฏิบัติกรณีการขออนุมัติใช้เงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น) ที่อนุมัติให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น กรณีที่มีวงเงินเกินกว่า ๑๐ ล้านบาท ให้สำนักงบประมาณพิจารณานำเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน โดยนายกรัฐมนตรีเห็นสมควรจะเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติหลักการก่อนก็ได้ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
| 30116 | การให้ความเห็นชอบแต่งตั้งบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร (Deputy Chief Executive Officer, DCEO) ขององค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย | พน | 11/09/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายนันทศักดิ์ เจนบุญไทย หัวหน้ากลุ่มงานวิศวกรรมการผลิต สำนักเทคโนโลยีการประกอบกิจการปิโตรเลียม สังกัดกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เข้าดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร (Deputy Chief Executive Officer, DCEO) ขององค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย สำหรับการเลื่อนเงินเดือนให้นายนันทศักดิ์ เจนบุญไทย ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ. ซึ่งเป็นไปตามพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์การสั่งให้ข้าราชการไปทำการซึ่งให้นับเวลาระหว่างนั้นเหมือนเต็มเวลาราชการ พ.ศ. ๒๕๕๐ โดยได้รับเงินเดือน ค่าตอบแทน และสวัสดิการจากองค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย สำหรับข้าราชการผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ลาไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศ หรือถูกสั่งให้ไปทำการใดซึ่งให้นับเวลาระหว่างนั้นเหมือนเต็มเวลาราชการ เมื่อข้าราชการผู้นั้นกลับมาปฏิบัติราชการ ให้ผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจสั่งเลื่อนเงินเดือนพิจารณาตามกฎ ก.พ. ว่าด้วยการเลื่อนเงินเดือน พ.ศ. ๒๕๕๒ และหนังสือสำนักงาน ก.พ. ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๐๐๘.๑/ว ๒๘ ลงวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๒ เรื่อง การเลื่อนเงินเดือนข้าราชการตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 30117 | การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสะพานปลาเพิ่มเติม (นายสถาพร อิ่มใจ) | กษ | 11/09/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายสถาพร อิ่มใจ เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสะพานปลาเพิ่มเติม ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๑ กันยายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป โดยให้มีวาระการดำรงตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการอื่นที่แต่งตั้งไว้แล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 30118 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (จำนวน 11 คน 1. นายกฤษณพงศ์ กีรติกร ฯลฯ) | วท | 11/09/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ จำนวน ๑๑ คน ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๑ กันยายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้
๑. นายกฤษณพงศ์ กีรติกร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ๒. ศาสตราจารย์อมเรศ ภูมิรัตน ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ๓. นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ๔. นายกานต์ ตระกูลฮุน ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ๕. นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ๖. นายวนัส แต้ไพสิฐพงษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ๗. นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์ ๘. ศาสตราจารย์พิเศษเข็มชัย ชุติวงศ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสังคมศาสตร์ ๙. ศาสตราจาย์เกื้อ วงศ์บุญสิน ผู้ทรงคุณวุฒิด้านมนุษยศาสตร์ ๑๐. นายมีชัย วีระไวทยะ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านมนุษยศาสตร์ ๑๑. นายโอฬาร ไชยประวัติ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านบริหารธุรกิจ
|
||||||||||||||||||||||||
| 30119 | ร่างพระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศธ | 11/09/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเป็นเรื่องด่วน และแจ้งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรทราบ โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดนิยามคำว่า “ครูการศึกษาพิเศษ” ๒. กำหนดให้เพิ่มเติมกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ จากเดิมจำนวน ๑๓ คน เป็นจำนวน ๑๔ คน และให้ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานการศึกษาเป็นกรรมการและเลขานุการ ๓. กำหนดบทเฉพาะกาลเพื่อรองรับครูการศึกษาพิเศษที่มีวุฒิทางการศึกษาพิเศษระดับปริญญาตรีซึ่งทำการสอนและได้รับเงินเพิ่ม เป็นครูการศึกษาพิเศษตามพระราชบัญญัตินี้
|
||||||||||||||||||||||||
| 30120 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหาร ระดับสูง (นายจุมพล สงวนสิน) | กษ | 11/09/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายจุมพล สงวนสิน ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทวงเกษตรและสหกรณ์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
.....
