ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1503 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 30041 - 30060 จากข้อมูลทั้งหมด 124459 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 30041 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - สาธารณรัฐอาร์เมเนีย | คค | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบบันทึกข้อตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐอาร์เมเนีย ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐอาร์เมเนีย และร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอาร์เมเนีย รวม ๓ ฉบับ และให้เสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ สาระสำคัญของบันทึกข้อตกลงฯ คณะผู้แทนของสาธารณรัฐอาร์เมเนียแจ้งว่า ตนไม่มีอำนาจเต็มในการลงนามในร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศและบันทึกความเข้าใจ ดังนั้น ทั้งสองฝ่ายจึงได้ตกลงให้นำความตกลงดังกล่าวไปขอความเห็นชอบต่อไป ๑.๒ สาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๒.๑ ความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศ ทั้งสองฝ่ายตกลงจัดทำร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างกัน โดยสาระสำคัญส่วนใหญ่เป็นไปตามร่างมาตรฐานไทย ๑.๒.๒ ใบพิกัดเส้นทางบิน ทั้งสองฝ่ายตกลงให้ใบพิกัดเส้นทางบินที่ระบุไว้ในภาคผนวกของความตกลงฯ เป็นดังนี้ ฝ่ายไทย จุดต่าง ๆ ในไทย-จุดต่าง ๆ ในอาร์เมเนีย ฝ่ายอาร์เมเนีย จุดต่าง ๆ ในอาร์เมเนีย-จุดต่าง ๆ ในไทย ๑.๒.๓ ความจุความถี่ของบริการ ทั้งสองฝ่ายตกลงให้สายการบินที่กำหนดของแต่ละฝ่ายสามารถทำการบินได้ ๒ เที่ยวต่อสัปดาห์ ด้วยอากาศยานแบบใด ๆ ๑.๒.๔ สิทธิรับขนการจราจร ทั้งสองฝ่ายตกลงให้สายการบินที่กำหนดของแต่ละฝ่ายมีสิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๓ และ ๔ ได้อย่างเต็มที่ ๑.๒.๕ การทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน ทั้งสองฝ่ายตกลงระบุข้อบทเรื่องการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน ๑.๓ สาระสำคัญของร่างความตกลงฯ ๑.๓.๑ สายการบินที่กำหนดสายหนึ่ง (หรือหลายสาย) ของภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายจะมีโอกาสอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียมกัน ในอันที่จะรับขนโดยบริการที่ตกลงซึ่งการจราจรที่รับขึ้นในอาณาเขตของภาคีผู้ทำความตกลงฝ่ายหนึ่ง และขนลงในอาณาเขตของภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่งหรือกลับกัน และจะถือว่าการจราจรที่รับขึ้นหรือขนลงในอาณาเขตของภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่งไปยังและมาจากจุดต่าง ๆ ในเส้นทางมีลักษณะเป็นการจราจรเพิ่มเติมในการจัดความจุเพื่อการรับขนการจราจรที่รับขึ้นในอาณาเขตของภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่ง และขนลง ณ จุดต่าง ๆ ในเส้นทางที่ระบุหรือกลับกัน สายการบินที่กำหนดสายหนึ่ง (หรือหลายสาย) ของภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายจะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ปฐมมูลของสายการบินที่กำหนดสายหนึ่ง (หรือหลายสาย) ของภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่งในการเจรจาเช่นนั้น ๑.๓.๒ กฎหมายและข้อบังคับของภาคีผู้ทำความตกลงฝ่ายหนึ่ง ซึ่งใช้บังคับกับการเข้ามาและการออกจากอาณาเขตของตนของอากาศยานซึ่งใช้ในการเดินอากาศระหว่างประเทศ หรือเที่ยวบินของอากาศยานเช่นว่านั้น เหนืออาณาเขตนั้น จะใช้บังคับแก่สายการบินที่กำหนดสายหนึ่ง (หรือหลายสาย) ของภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่งด้วย ๑.๓.๓ โดยสอดคล้องกับสิทธิและหน้าที่ของตนตามกฎหมายระหว่างประเทศ ภาคีผู้ทำความตกลงยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า ภาระหน้าที่ของตนซึ่งกันและกันที่จะรักษาความปลอดภัยของการบินพลเรือนจากการกระทำอันเป็นการแทรกแซงโดยมิชอบด้วยกฎหมายเป็นส่วนหนึ่งของความตกลงฉบับนี้ โดยไม่เป็นการจำกัดสิทธิและภาระหน้าที่ของตนภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ภาคีผู้ทำความตกลงจะต้องกระทำโดยสอดคล้องกับข้อบัญญัติแห่งอนุสัญญาว่าด้วยความผิดและการกระทำอื่นบางประการที่กระทำบนอากาศยาน ลงนามที่กรุงโตเกียว เมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน ค.ศ. ๑๙๖๓ ฯลฯ ๑.๓.๔ ภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายอาจร้องขอให้มีการปรึกษาหารือในเวลาใด ๆ เกี่ยวกับมาตรฐานความปลอดภัยที่คงไว้โดยภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่ง ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินอากาศ ลูกเรือการบิน อากาศยาน และการปฏิบัติการบินของอากาศยาน การปรึกษาหารือเช่นว่านี้จะต้องมีขึ้นภายในสามสิบวันนับแต่ที่มีการร้องขอ ๑.๓.๕ ภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายมีสิทธิที่จะกำหนดสายการบินสายหนึ่งหรือหลายสาย เพื่อความมุ่งประสงค์ในการดำเนินบริการที่ตกลง การกำหนดนั้นให้กระทำโดยแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างเจ้าหน้าที่การเดินอากาศของภาคีผู้ทำความตกลงทั้งสองฝ่าย ๑.๓.๖ ภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายมีสิทธิที่จะเพิกถอนใบอนุญาตดำเนินการ หรือพักการใช้สิทธิที่ระบุในข้อ ๒ แห่งความตกลงฉบับนี้ โดยสายการบินที่กำหนดสายหนึ่ง (หรือหลายสาย) ของภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่ง หรือตั้งบังคับเงื่อนไขตามที่ตนเห็นว่าจำเป็นแก่การใช้สิทธิเช่นว่านั้น สิทธิเช่นว่านั้น จะใช้ได้ต่อเมื่อได้มีการปรึกษาหารือกับภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่งแล้วเท่านั้น ๑.๓.๗ ใบสำคัญสมควรเดินอากาศ ใบสำคัญความสามารถ และใบอนุญาตที่ภาคีผู้ทำความตกลงฝ่ายหนึ่งออกให้หรือกระทำให้สมบูรณ์ ในระหว่างระยะเวลาที่มีผลใช้ได้ จะได้รับการยอมรับนับถือจากภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่ง โดยมีเงื่อนไขว่าข้อกำหนดในการออกให้หรือกระทำให้สมบูรณ์ซึ่งใบสำคัญหรือใบอนุญาตเช่นว่านั้น จะต้องเท่าเทียมกัน เหนือกว่ามาตรฐานขั้นต่ำ ซึ่งอาจกำหนดขึ้นตามอนุสัญญา ๑.๓.๘ อากาศยานที่ใช้ดำเนินบริการระหว่างประเทศโดยสายการบินที่กำหนดสายหนึ่ง (หรือหลายสาย) ของภาคีผู้ทำความตกลงฝ่ายหนึ่ง ตลอดจนเครื่องบริภัณฑ์ปกติของตนซึ่งอยู่บนอากาศยาน เชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่น และพัสดุอากาศยาน รวมทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และยาสูบ ซึ่งอยู่บนอากาศยานนั้นจะได้รับการยกเว้นค่าอากรหรือภาษีทั้งปวงเมื่อนำเข้ามาในอาณาเขตของภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่ง โดยมีเงื่อนไขว่า เครื่องบริภัณฑ์ซึ่งอยู่บนอากาศยาน สัมภาระ และพัสดุอากาศยานนั้น ต้องอยู่บนอากาศยานจนกระทั่งถูกนำกลับออกไป ๑.๓.๙ พิกัดอัตราค่าขนส่งซึ่งสายการบินที่กำหนดแต่ละสายเรียกเก็บในการรับขนส่งไปยังและมาจากอาณาเขตของภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่ง จะต้องกำหนดในระดับที่มีเหตุผลสมควรโดยคำนึงถึงปัจจัยทั้งปวงที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน กำไรอันสมควร ลักษณะของแต่ละบริการและบรรดาพิกัดอัตราที่เรียกเก็บโดยสายการบินอื่น ๆ ๑.๓.๑๐ ความตกลงฉบับนี้จะต้องได้รับความเห็นชอบโดยภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายตามกระบวนการทางกฎหมายของตน และจะมีผลใช้บังคับในวันที่มีการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันความเห็นชอบนั้น ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการเพื่อให้มีการลงนามร่างบันทึกความเข้าใจฯ และร่างความตกลงฯ และแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตระหว่างกันต่อไป หลังจากรัฐสภาให้ความเห็นชอบบันทึกข้อตกลงฯ ร่างบันทึกความเข้าใจฯ และร่างความตกลงฯ ดังกล่าวแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30042 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - สเปน | คค | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรสเปน และหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรสเปน รวม ๒ ฉบับ และให้เสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ สาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๑.๑ การปรับปรุงความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศ ทั้งสองฝ่ายได้จัดทำร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างไทยและสเปน เป็นเอกสารแนบ ๒ ของบันทึกความเข้าใจ และตกลงที่จะทำเป็นอักษรเข้มใส่วงเล็บในข้อบทที่มีความเห็นต่างกันเพื่อที่จะได้หารือกันต่อไป ทั้งนี้ จนกว่าร่างความตกลงฉบับใหม่นี้จะบรรลุถึงข้อสรุป เจ้าหน้าที่การเดินอากาศของทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะปรับใช้ข้อบทต่าง ๆ ในร่างความตกลงนี้ เท่าที่สามารถกระทำได้ภายใต้ขอบเขตของอำนาจของตนเป็นการชั่วคราว ๑.๑.๒ การกำหนดสายการบิน ทั้งสองฝ่ายตกลงให้กำหนดสายการบินที่กำหนดได้หลายสายการบินแทนการกำหนดสายการบินที่กำหนดได้สายการบินเดียว ๑.๑.๓ ใบพิกัดเส้นทางบิน ทั้งสองฝ่ายตกลงกันดังต่อไปนี้ เส้นทางบินที่จะดำเนินบริการเดินอากาศโดยสายการบินที่กำหนดของราชอาณาจักรสเปน ดังนี้ จุดต่าง ๆ ในสเปน-จุดระหว่างทางต่าง ๆ-จุดต่าง ๆ ในไทย-สามจุดพ้น และกลับ และเส้นทางบินที่จะดำเนินบริการเดินอากาศโดยสายการบินที่กำหนดของราชอาณาจักรไทย ดังนี้ จุดต่าง ๆ ในไทย-จุดระหว่างทางต่าง ๆ-จุดต่าง ๆ ในสเปน-สามจุดพ้น และกลับ ๑.๑.๔ ความจุความถี่ และสิทธิรับขนการจราจร ทั้งสองฝ่ายตกลงกำหนดกรอบการดำเนินการบริการที่ตกลงตามเส้นทางบินที่ระบุว่า จะขออนุญาตให้สายการบินที่กำหนดของภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายดำเนินบริการรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๓ และ ๔ ได้ไม่จำกัดจำนวนความถี่ และแบบของอากาศยานที่ใช้ และมีสิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๕ ได้สัปดาห์ละ ๓ เที่ยว นอกจากนั้น ให้สายการบินที่กำหนดของแต่ละฝ่ายสามารถทำการบินเชื่อมจุดสองจุดในอาณาเขตของภาคีผู้ทำความตกลงอีกฝ่ายหนึ่งได้ด้วย ๑.๑.๕ การทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะใช้ข้อบทใหม่เกี่ยวกับการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน ซึ่งจะเป็นการไม่จำกัดจำนวนบริการสำหรับสายการบินที่มิได้ทำการบินเอง (marketing carrier) แทนข้อบทเดิมที่ใช้หลักการนับหักสิทธิความจุความถี่จากสายการบินที่มิได้ทำการบินเองด้วย ๑.๒ สาระสำคัญของร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ได้แก่ การกำหนดสายการบิน ใบพิกัดเส้นทางบิน ความจุความถี่ และสิทธิรับขนการจราจร รวมทั้งการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจฯ โดยในหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับบันทึกความเข้าใจฯ ซึ่งระบุถึงการปรับปรุงความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรสเปน โดยได้มีการจัดทำร่างความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางอากาศระหว่างราชอาณาจักรสเปนและราชอาณาจักรไทย (Draft of Air Transport Agreement between the Kingdom of Spain and the Kingdom of Thailand) และอยู่ระหว่างการเจรจาโดยยังไม่ได้ข้อยุติ จึงเข้าลักษณะเป็นการดำเนินการเกี่ยวกับหนังสือสัญญาตามมาตรา ๓๐๕ (๕) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ที่ต้องนำบทบัญญัติมาตรา ๑๙๐ วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญฯ มาใช้บังคับกับการดำเนินการที่ยังคงค้างอยู่และต้องดำเนินการต่อไป จึงควรที่จะได้มีการเสนอกรอบการเจรจาในเรื่องนี้ต่อรัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบ สำหรับการกำหนดให้เจ้าหน้าที่การเดินอากาศทั้งสองฝ่ายนำหลักการในร่างความตกลงฯ ไปปรับใช้เป็นการชั่วคราวจนกว่าร่างความตกลงฯ จะได้ข้อยุติ โดยให้เป็นไปภายในขอบเขตอำนาจหน้าที่ของตน นั้น ควรพิจารณาด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง เพราะอาจจะสุ่มเสี่ยงต่อการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และกระทรวงคมนาคมควรถือปฏิบัติและดำเนินการให้สอดคล้องกับรูปแบบที่กำหนดในความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศฯ ในโอกาสต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30043 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป. ลาว สำหรับโครงการพัฒนาถนนจากเมืองหงสา - บ้านเชียงแมน (เมืองจอมเพชร แขวงหลวงพระบาง) สปป.ลาว | กค | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินโครงการพัฒนาถนนจากเมืองหงสา - บ้านเชียงแมน (เมืองจอมเพชร แขวงหลวงพระบาง) สปป.ลาว ทั้งนี้ เพื่อให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการศึกษา สำรวจออกแบบรายละเอียดการก่อสร้างให้เสร็จเรียบร้อย แล้วนำผลศึกษาประมาณราคาค่าใช้จ่ายเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติรูปแบบ วิธีการ และเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือทางการเงินที่เหมาะสมแก่โครงการดังกล่าวต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดย สพพ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรหารือกับ สปป.ลาว กำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์เส้นทางคมนาคมอย่างยั่งยืน อาทิ การวางระบบและจัดหาเครื่องมือกำกับดูแลน้ำหนักของรถบรรทุก การพัฒนาศักยภาพการบำรุงรักษาเส้นทาง การจัดตั้งสถานีบริการน้ำมัน และจุดแวะพักริมทาง โดยอาจพิจารณากำหนดให้เป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขในสัญญาเงินกู้ เพื่อให้การใช้ประโยชน์จากเส้นทางที่ได้รับการพัฒนาจากความช่วยเหลือของประเทศไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 30044 | การแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร | กค | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร โดยมีอธิบดีกรมสรรพสามิต เป็นประธานกรรมการ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานหรือผู้แทน และที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต กรมสรรพสามิต เป็นรองประธานกรรมการ กรรมการอื่นอีก ๑๓ คน โดยมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการตรวจสอบสรรพสามิต กรมสรรพสามิต เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่กำกับ ดูแล ให้การปฏิบัติตามโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง เกิดความรัดกุม และมีประสิทธิภาพ ประสานงานกับหน่วยงานและบุคคลต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมการดำเนินงานและเพื่อแก้ไขปัญหาที่อาจมีขึ้นจากการดำเนินโครงการ ประเมินผลโครงการ และรายงานผลของโครงการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติทราบ และมีอำนาจขอข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการเชิญมาประชุมชี้แจงเมื่อมีความจำเป็น ตลอดจนมีอำนาจแต่งตั้งคณะที่ปรึกษา คณะอนุกรรมการ คณะทำงาน หรือบุคคล เพื่อให้ดำเนินการเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้เพิ่มผู้แทนจากศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลเป็นกรรมการในคณะกรรมการดังกล่าวด้วย เพื่อประโยขน์ต่อการประสานงานในภาพรวมระหว่างคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักรกับหน่วยงานในศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ตามความเห็นของกระทรวงกลาโหม โดยกระทรวงการคลังไม่ต้องออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการดังกล่าวอีก |
|||||||||||||||||||||||||||
| 30045 | การดำเนินโครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืนไทย - เมียนมาร์ (พ.ศ. 2555-2561) | ยธ | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบโครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืนไทย - เมียนมาร์ ระยะเวลา ๖ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๖๑) และกรอบวงเงินงบประมาณในเบื้องต้นสำหรับดำเนินโครงการฯ จำนวน ๓๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ สำหรับงบประมาณที่จะนำมาใช้ตามโครงการฯ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ไปแล้ว จำนวน ๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท และสำนักงบประมาณได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไว้จำนวน ๘๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ - ๒๕๖๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30046 | ขออนุมัติขยายเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ การเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ | สผ | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเปลี่ยนแปลงระยะเวลาทำสัญญา และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณการเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ จากเดิมตั้งแต่ปีปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ รวมระยะเวลา ๓ ปี เป็น ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ รวมระยะเวลา ๕ ปี ในวงเงินรวมทั้งสิ้น ๑๖,๓๖๘,๐๐๐ บาท ประกอบด้วย รายการค่าเช่ารถยนต์นั่งส่วนกลางพร้อมพนักงานขับรถ จำนวน ๘ คัน และรายการค่าเช่ารถยนต์โดยสารส่วนกลางพร้อมพนักงานขับรถ จำนวน ๔ คัน โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๔,๐๙๒,๐๐๐ บาท สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๙ สำนักงบประมาณจะจัดสรรงบประมาณรายจ่ายส่วนที่เหลือจนครบสัญญาต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30047 | สรุปผลการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ.2012 (United Nations Conference on Sustainable Development: UNCSD) หรือ Rio+20 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง | ทส | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดย ๑.๑ รับทราบสรุปผลการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๑๒ (United Nations Conference on Sustainable Development : UNCSD) หรือ Rio+20 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๓-๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ ณ นครรีโอเดจาเนโร สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ ผู้นำของแต่ละประเทศได้กล่าวถ้อยแถลงโดยมีสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการพัฒนาที่ยั่งยืนและความท้าทายในการดำเนินงานเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมทั้งเน้นย้ำความสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืนภายใต้เอกสารผลลัพธ์ “The Future We Want” และส่งเสริมให้ประเทศสมาชิกนำไปปฏิบัติอีกด้วย ๑.๑.๒ กระบวนการจัดทำเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) จะต้องมีการหารืออย่างต่อเนื่องและต้องบูรณาการเรื่องสุขภาพของมนุษย์เป็นหนึ่งในเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยสหประชาชาติควรมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนระหว่างภูมิภาค ๑.๑.๓ เนื่องจากเอกสารผลลัพธ์ “The Future We Want” มีลักษณะเป็นกรอบการดำเนินงานของประชาคมโลก เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และเอกสารดังกล่าวยังเป็นการริเริ่มการดำเนินงานหลายประการ อาทิ กระบวนการในการกำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) การจัดตั้งเวทีการหารือระดับสูงทางการเมืองว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน (High-Level Political Forum on Sustainable Development) และกระบวนการในการเสริมสร้างสมรรถนะขององค์กรแห่งสหประชาชาติในการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ซึ่งการดำเนินงานตามผลลัพธ์ของการประชุม Rio+20 ครอบคลุมการดำเนินงานในสาขาต่าง ๆ ทั้งประเด็นทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ภายใต้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน และจำเป็นต้องมีกลไกภายในประเทศเพื่อขับเคลื่อนการอนุวัตตามผลลัพธ์ดังกล่าวให้เกิดประสิทธิผล ๑.๑.๔ ที่ประชุมได้ให้การรับรองเอกสารผลลัพธ์ “The Future We Want” อย่างเป็นเอกฉันท์ โดยเอกสารประกอบด้วย ๒๘๓ ข้อบท แบ่งออกเป็น ๖ ส่วน ได้แก่ (๑) วิสัยทัศน์ร่วม (Our common vision) (๒) การยืนยันพันธกรณีทางการเมือง (Renewing political commitment) (๓) เศรษฐกิจสีเขียวในบริบทของการพัฒนาที่ยั่งยืนและการขจัดปัญหาความยากจน (Green economy in the context of sustainable development and poverty eradication) (๔) กรอบสถาบันระหว่างประเทศด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน (Institutional framework for sustainable development) (๕) กรอบแนวทางในการดำเนินงาน (Framework for Action and follow up) และ (๖) กลไกหรือเครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินงาน (Means of implementation) ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามผลลัพธ์จากการประชุม Rio+20 ในประเด็นต่าง ๆ ๑.๓ ให้จัดตั้งคณะกรรมการใหม่ หรือทบทวน “คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” เป็นคณะกรรมการระดับชาติ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีกระทรวงที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ และมีสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะที่เป็นหน่วยงานหลักในการวางแผนและจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศสู่ความสมดุลและยั่งยืน เป็นกรรมการและเลขานุการ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นสามเสาหลักของการพัฒนาที่ยั่งยืนให้เป็นไปได้อย่างสอดคล้องกัน และเพื่อกำหนดนโยบายการพัฒนาอย่างบูรณาการ ตลอดจนกำกับและขับเคลื่อนการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการอนุวัตตามผลลัพธ์ของการประชุม Rio+20 อย่างเป็นระบบทั้งในส่วนของการดำเนินงานในระดับประเทศ และระดับโลก โดยเฉพาะในเรื่องของการกำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ซึ่งเป็นการต่อยอดจากเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals : MDGs) ๒. การจัดตั้ง “คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ให้สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมเป็นกรรมการและเลขานุการ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมพัฒนาที่ดิน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมเป็นกรรมการ ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้มีหน่วยงานหรือองค์กรหลักในการประสานระหว่างกระทรวงต่าง ๆ และกำหนดนโยบายการพัฒนาประเทศเพื่อให้แต่ละสามเสาหลักให้สามารถพัฒนาไปได้อย่างสมดุล เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการกำหนดนโยบายสำหรับการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่จะมีขึ้นภายหลังปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นปีครบกำหนดการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals) ส่วนการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามผลลัพธ์จากการประชุม Rio+20 ในประเด็นต่าง ๆ เห็นควรกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบหลักในแต่ละประเด็นให้ครบถ้วนชัดเจน และเป็นที่ยอมรับร่วมกัน พร้อมทั้งจัดลำดับความสำคัญของกิจกรรม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 30048 | ผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของรองประธานาธิบดีเวียดนาม (ระหว่างวันที่ 20 - 24 มิถุนายน 2555) | นร04 | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของรองประธานาธิบดีเวียดนาม (นางเหวียน ถิ ซวาน) ระหว่างวันที่ ๒๐ - ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๕ ของกระทรวงการต่างประเทศตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. วัตถุประสงค์การเยือน เพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือทวิภาคีและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยและเวียดนาม รวมทั้งปูทางสำหรับการจัดการเยือนระดับสูงและกิจกรรมส่งเสริมความสัมพันธ์ในอนาคตต่อไป ๒. ผลการหารือข้อราชการระหว่างรองประธานาธิบดีเวียดนาม (นางเหวียน ถิ ซวาน) กับนายกรัฐมนตรี ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกันในทุกระดับอย่างสม่ำเสมอ และแสดงความเชื่อมั่นว่า การประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมอย่างไม่เป็นทางการ (Joint Cabinet Retreat) ครั้งที่ ๒ ที่ประเทศไทยในปลายปีนี้ และการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้าไทย - เวียดนาม ครั้งที่ ๑ ซึ่งเวียดนามจะเป็นเจ้าภาพในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ จะช่วยกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทั้งนี้ มีประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายผลักดัน ดังนี้ ๒.๑ ประเด็นที่ฝ่ายเวียดนามผลักดัน ได้แก่ ๒.๑.๑ ขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของสองฝ่ายหาลู่ทางขยายการค้าไทย - เวียดนามและลดการขาดดุลการค้า และขอให้ไทยสนับสนุนภาคเอกชนเวียดนามที่มีความสนใจขยายการลงทุนในไทย ๒.๑.๒ ขอเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเยือนเวียดนาม เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน ๒.๑.๓ ขอให้ฝ่ายไทยสนับสนุนการเปิดศูนย์วัฒนธรรมเวียดนามในไทย เพื่อสอนภาษาเวียดนามและส่งเสริมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างกัน ๒.๑.๔ ขอรับการยืนยันจากฝ่ายไทยว่าจะไม่อนุญาตให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดใช้ดินแดนไทยเป็นฐานในการต่อต้านรัฐบาลเวียดนาม และขอขยายความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ พร้อมทั้งขอขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้สัญชาติแก่คนไทยเชื้อสายเวียดนาม ประมาณ ๑ แสนคน ที่มาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย และขอความอนุเคราะห์ในการพิจารณาให้สัญชาติไทยแก่ชาวเวียดนามอีกประมาณ ๑๐๐ คน ๒.๒ ประเด็นที่ฝ่ายไทยผลักดัน ได้แก่ ๒.๒.๑ ไทยและเวียดนามเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวที่สำคัญ จึงเห็นควรให้มีความร่วมมือเรื่องข้าวทั้งด้านวิชาการและการตลาด ซึ่งฝ่ายเวียดนามเห็นด้วย ๒.๒.๒ ไทยยินดีให้ความร่วมมือเรื่องการบริหารจัดการน้ำ โดยเสนอให้มีการประชุมระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำโขง ซึ่งฝ่ายเวียดนามเห็นด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30049 | มาตรการบังคับให้เกลือบริโภค (โซเดียมคลอไรด์) เสริมไอโอดีนเป็นส่วนผสมในอาหารสัตว์ | สธ | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการมาตรการบังคับให้เกลือบริโภค (โซเดียมคลอไรด์) เสริมไอโอดีนเป็นส่วนผสมในอาหารสัตว์ เพื่อให้ประชาชนได้รับเกลือบริโภคเสริมไอโอดีนถ้วนหน้า โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปเร่งดำเนินการศึกษาทางวิชาการและผลกระทบที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ แล้วรายงานความก้าวหน้าผลการศึกษาดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๓ เดือน ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการบังคับให้เกลือเสริมไอโอดีนเป็นส่วนผสมในอาหารสัตว์ อาจส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่ทำจากเนื้อสัตว์ ซึ่งในท้ายที่สุดอาจทำให้กลุ่มคนที่มีรายได้น้อยที่ขาดสารไอโอดีนไม่สามารถเข้าถึงสินค้าเหล่านี้ได้ จึงเห็นควรเป็นนโยบายที่เสริมไอโอดีนให้กับกลุ่มเป้าหมายที่ขาดเป็นการเฉพาะเจาะจง (Targeted Approach) เนื่องจากแนวทางนี้สามารถแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด มีประสิทธิภาพ และมีต้นทุนที่ต่ำกว่าการใช้นโยบายเกลือเสริมไอโอดีนถ้วนหน้า (Universal Salt Iodization ; USI) นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับการบริโภคไอโอดีนแก่ประชาชน เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มได้รับสารไอโอดีนอย่างเพียงพอและเหมาะสมในแต่ละวัน โดยส่งเสริมให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลมีบทบาทเชิงรุกร่วมกับชุมชนท้องถิ่นในการรณรงค์เกี่ยวกับการบริโภคเกลือไอโอดีนในชุมชนในปริมาณที่เหมาะสมสำหรับประชาชนแต่ละกลุ่มวัย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 30050 | รายงานการโอนงบประมาณรายจ่ายของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ในช่วง 6 เดือนหลัง (1 เมษายน 2554 - 30 กันยายน 2554) | นร07 | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการโอนงบประมาณรายจ่ายของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๖๙ วรรคสาม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ (๑ เมษายน ๒๕๕๔ - ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔) ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ และให้เสนอรัฐสภาเพื่อทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. การโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ในช่วง ๖ เดือนหลัง (๑ เมษายน ๒๕๕๔ - ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔) มีการโอนงบประมาณของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เป็นจำนวน ๑๐,๕๕๐.๓๐๒ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๔๙ ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวนทั้งสิ้น ๒,๑๖๙,๙๖๗.๕๓๑ ล้านบาท จำแนกเป็นการโอนงบประมาณรายจ่ายโดยใช้อำนาจของหัวหน้าส่วนราชการ จำนวน ๔,๔๗๒.๖๔๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๒๑ ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และการโอนงบประมาณรายจ่ายของส่วนราชการที่ต้องขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ จำนวน ๖,๐๗๗.๖๕๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๒๘ ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒. ลักษณะในการโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒.๑ เป็นการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อดำเนินการตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลหรือตามมติคณะรัฐมนตรีและเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานหรือเป้าหมายการดำเนินงานของส่วนราชการ จำนวน ๑๐,๑๗๑,๘๗๗,๑๐๙ บาท ๒.๒ เป็นการโอนงบประมาณเพื่อชดใช้คืนรายการผูกพันที่ยืมจากปีที่ผ่านมา จำนวน ๒๒,๘๐๙,๔๖๐ บาท ๒.๓ เป็นการโอนงบประมาณระหว่างหน่วยงานตามที่กฎหมายกำหนด จำนวน ๕๘,๐๐๖,๑๖๘ บาท ๒.๔ เป็นการโอนไปจ่ายเป็นเงินชดเชยค่างานตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) ค่าสาธารณูปโภค และค่าใช้จ่ายของข้าราชการที่เดินทางไปราชการต่างประเทศชั่วคราว จำนวน ๒๙๗,๖๐๘,๘๖๐ บาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30051 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการระดับสูง ไทย - อินโดนีเซีย ครั้งที่ 6 | กห | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมคณะกรรมการระดับสูงไทย - อินโดนีเซีย ครั้งที่ ๖ ระหว่างวันที่ ๑๕ - ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยมีผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารสูงสุดอินโดนีเซียเป็นประธานร่วม และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้ร่วมลงนามในบันทึกการประชุมคณะกรรมการระดับสูงไทย - อินโดนีเซีย ครั้งที่ ๖ โดยมีประเด็นที่สำคัญของการประชุม ได้แก่ การรายงานทบทวนผลการประชุมคณะกรรมการระดับสูงไทย - อินโดนีเซีย ครั้งที่ ๕ การรายงานความก้าวหน้าการดำเนินการของคณะอนุกรรมการร่วมด้านการข่าว การรายงานความก้าวหน้าการดำเนินการของคณะอนุกรรมการร่วมด้านยุทธการ (JCOSC) และคณะอนุกรรมการร่วมด้านการฝึกและศึกษา (JTESC) แผนการดำเนินงานในห้วงปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๖ และเรื่องอื่น ๆ ๒. ที่ประชุมคณะกรรมการระดับสูง ไทย - อินโดนีเซีย ครั้งที่ ๖ ได้เห็นชอบต่อกิจกรรม ดังนี้ ๒.๑ คณะอนุกรรมการร่วมด้านการข่าวจะดำเนินการประสานและบูรณาการความร่วมมือด้านข่าวกรองระหว่างกรมข่าวทหารทั้งสองประเทศ และกรมข่าวทหารกับสำนักงานข่าวกรองยุทธศาสตร์ของอินโดนีเซีย (BAIS) ต่อไป พร้อมกับนำผลการดำเนินงานระหว่าง BAIS รวมในรายงานของคณะอนุกรรมการร่วมด้านการข่าวด้วย นอกจากนี้ ขอให้ทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนข่าวกรองทุกช่องทางและทุกระดับเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหา ๒.๒ คณะอนุกรรมการร่วมด้านยุทธการดำเนินการประชุมตามระเบียบวาระการประชุมที่ได้รับการเห็นชอบแล้ว ๒.๓ ชะลอโครงการแลกเปลี่ยนการเยือนของนักเรียนเตรียมทหาร เนื่องจากอินโดนีเซียไม่มีสถาบันนักเรียนเตรียมทหารที่เทียบเท่า ๒.๔ กองทัพทั้งสองประเทศริเริ่มดำเนินกิจกรรมหรือการฝึกในรูปแบบที่สามารถขยายสู่ระดับอาเซียนได้ ๒.๕ ปรับเปลี่ยนข้อกำหนดของคณะกรรมการระดับสูงไทย - อินโดนีเซีย และทบทวนภารกิจของคณะอนุกรรมการร่วมด้านยุทธการและคณะอนุกรรมการร่วมด้านการฝึกและศึกษา ๒.๖ มอบหมายคณะอนุกรรมการที่เหมาะสมเพิ่มความร่วมมือด้านการประชาสัมพันธ์ และการแพทย์ทหาร ๒.๗ จัดการประชุมหารือไม่เป็นทางการในรูปแบบ “Senior Staff Talk” ที่สามารถดำเนินการได้บ่อยครั้งตามต้องการในสถานที่ที่ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบ ๒.๘ ดำเนินการตามคำเชิญของกองทัพไทยที่เชิญนายทหารอินโดนีเซียเข้ารับการศึกษาในหลักสูตรวิทยาลัยเสนาธิการทหารของไทย ๒.๙ ดำเนินการตามคำเชิญของกองทัพไทยที่เชิญบุคลากรจากกองทัพอินโดนีเซียเข้าร่วมการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและผลกระทบด้านความมั่นคงในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่กรุงเทพฯ ๓. การประชุมคณะกรรมการระดับสูง ไทย - อินโดนีเซีย ครั้งที่ ๗ จะจัดในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ ที่ประเทศไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30052 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ในสาขาการบริหารจัดการภัยพิบัติระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี | กต | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ในสาขาการบริหารจัดการภัยพิบัติระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี มีสาระสำคัญเป็นความร่วมมือทวิภาคีในหลักการว่าด้วยการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และแนวปฏิบัติที่ดีเกี่ยวกับการจัดการภัยพิบัติ รวมทั้งแสวงหาแนวทางความร่วมมือ และแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อป้องกันและเตรียมการรับมือต่อภัยพิบัติ โดยการติดต่อประสานงาน การประชุมหารือ และการอบรมเสริมสร้างศักยภาพต่าง ๆ ๑.๒ อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทยในบันทึกความเข้าใจฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๑.๓ เห็นชอบให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เป็นหน่วยงานเจ้าของเรื่องในการปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของบันทึกความเข้าใจฯ ภายหลังจากที่มีการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ แล้ว ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับร่างบันทึกความเข้าใจฯ เห็นควรมีสาระสำคัญเกี่ยวข้องกับความร่วมมือทางวิชาการทั้งการบริหารจัดการและเทคโนโลยี ส่วนความร่วมมือในการลงทุน หรือโครงสร้างพื้นฐานควรมีกระบวนการพิจารณาใหม่อีกครั้งหนึ่งโดยการมีส่วนร่วมในการให้ข้อคิดเห็นของภาคประชาชน ไปพิจารณาด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 30053 | ผลการเสด็จฯ เยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนดารุสซาลาม | นร04 | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับผลการเสด็จฯ เยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนดารุสซาลาม ระหว่างวันที่ ๒๙ มิถุนายน-๒ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การเสด็จฯ เยือนประเทศไทยครั้งนี้ประสบความสำเร็จด้วยดี โดยเป็นการยืนยันความสัมพันธ์อันใกล้ชิดและแน่นแฟ้นระหว่างสองประเทศ อันเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาความร่วมมือด้านต่าง ๆ ให้มีความคืบหน้า เกิดผลเป็นรูปธรรม และเกิดประโยชน์แก่ทั้งสองประเทศ ๑.๒ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนดารุสซาลามทรงสนพระทัยด้านกิจการทหารและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ด้านอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างมาก การจัดให้ทอดพระเนตรการแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์และการฝึกซ้อมทางทหารที่กรมทหารราบที่ ๑๑ รักษาพระองค์ จะมีส่วนช่วยให้ความสัมพันธ์ด้านการทหารระหว่างสองประเทศมีความใกล้ชิดยิ่งขึ้น ๑.๓ ไทยและบรูไนดารุสซารามควรใช้ประโยชน์จากความสำเร็จของการเสด็จฯ เยือนครั้งนี้ในการผลักดันความร่วมมือทวิภาคีไทย-บรูไนดารุสซาลามที่กำลังดำเนินอยู่ให้มีความคืบหน้ามากยิ่งขึ้น รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือในมิติใหม่ ๆ ที่ทั้งสองประเทศมีศักยภาพ ได้แก่ ๑.๓.๑ ความร่วมมือด้านการเกษตร บรูไนดารุสซามกำลังส่งเสริมการพัฒนาภาคการเกษตรอย่างจริงจัง เพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหาร ไทยจึงอาจสนับสนุนโดยการส่งเสริมการฝึกอบรมด้านการเกษตร ทั้งด้านวิชาการและเทคโนโลยี ๑.๓.๒ ความร่วมมือด้านสาธารณสุข ไทยและบรูไนดารุสซาลามมีคณะทำงานด้านสาธารณสุขภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุข จึงควรผลักดันให้มีความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ของการสาธารณสุข อาทิ การควบคุมและป้องกันโรคติดต่อ การศึกษาและพัฒนายาสมุนไพร การส่งเสริมโอกาสทางธุรกิจและการลงทุนในภาคสาธารณสุข ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น ๑.๓.๓ ความร่วมมือด้านแรงงาน บรูไนดารุสซารามมีนโยบายพัฒนาระบบสาธารณูปโภค มีโครงการก่อสร้างเป็นจำนวนมาก และต้องพึ่งพาแรงงานต่างชาติในภาคการก่อสร้าง จึงเป็นโอกาสที่ไทยควรส่งเสริมให้แรงงานไทยไปทำงานในบรูไนดารุสซาลามมากขึ้น นอกจากนี้ บรูไนดารุส ซารามมีท่าทีตอบสนองต่อข้อเสนอของไทยในการจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) การจัดส่งแรงงานไทย-บรูไนซารุสซาลามในลักษณะรัฐต่อรัฐ ไทยจึงควรเร่งหาข้อสรุปในเรื่องดังกล่าวเพื่อความคืบหน้าในการจัดทำ MOU ดังกล่าวต่อไป ๑.๓.๔ ความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมฮาลาล บรูไนดารุสซาลามพยายามผลักดันให้ตราฮาลาลของบรูไนดารุสซาลามได้รับการยอมรับในตลาดต่างประเทศ และกำลังต้องการสร้างความร่วมมือกับไทยในด้านวิทยาศาสตร์ฮาลาลและเทคโนโลยีการรับรองคุณภาพอาหารของไทย จึงเป็นโอกาสอันดีที่ไทยควรสนับสนุนและผลักดันความร่วมมือในการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่ได้รับการรับรองมาตรฐานฮาลาลจากบรูไนดารุสซาลามเพื่อส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศที่สาม ๑.๓.๕ ความร่วมมือด้านพลังงาน บรูไนดารุสซาลามเริ่มให้ความสำคัญมากขึ้นกับการพัฒนาพลังงานทางเลือก โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ ไทยจึงควรเร่งส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ด้านพลังงานทดแทน ๑.๓.๖ ความร่วมมือด้านการศึกษา บรูไนดารุสซาลามเป็นประเทศมุสลิมสายกลาง มีสภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมสงบสุข มีระบบการศึกษาที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก ไทยจึงควรพิจารณาให้บรูไนดารุสซาลามเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของนักศึกษาไทยมุสลิมจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกเหนือจากการไปศึกษาที่ประเทศมาเลเซียและสาธารณรัฐอินโดนีเซีย รวมทั้งส่งเสริมการแลกเปลี่ยนบุคลากรครูและนักศึกษา และการสร้างเครือข่ายความเชื่อมโยงระดับสถาบันการศึกษาและระดับรัฐ ๒. ให้ส่วนราชการต่าง ๆ ติดตามและดำเนินการในประเด็นที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ๒.๑ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานงานกับกระทรวงอุตสาหกรรมและทรัพยากรพื้นฐานบรูไนดารุสซาลาม เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการเกษตรกับบรูไนดารุสซาลามทั้งด้านวิชาการและเทคโนโลยี ๒.๒ กระทรวงสาธารณสุขประสานงานกับกระทรวงสาธารณสุขบรูไนดารุสซาลามเพื่อผลักดันการดำเนินการต่าง ๆ ตามกรอบบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุขให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ๒.๓ กระทรวงแรงงานติดตามความคืบหน้าในการจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) การจัดส่งแรงงานไทย-บรูไนดารุสซาลามในลักษณะรัฐต่อรัฐ ๒.๔ กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการขยายความร่วมมือกับบรูไนดารุสซาลามด้านอุตสาหกรรมฮาลาล ๒.๕ กระทรวงพลังงานประสานงานกับกระทรวงพลังงานบรูไนดารุสซาลามเพื่อพัฒนาความร่วมมือด้านพลังงานทางเลือก รวมทั้งประสานงานกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เกี่ยวกับการลงทุนด้านก๊าซธรรมชาติในบรูไนดารุสซาลาม ๒.๖ กระทรวงศึกษาธิการประสานงานกับกระทรวงศึกษาธิการบรูไนดารุสซาลามเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษา โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษามุสลิมจากจังหวัดชายแดนภาคใต้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30054 | การขออนุมัติเงื่อนไขพิเศษ (Special Conditions) เพื่อออกหนังสือรับรอง (Letter of Assurance) และการขออนุมัติให้ใช้ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการในสัญญาการจัดหาเงินกู้ เพื่อชำระค่าเครื่องบินแอร์บัส A380-800 จำนวน 3 ลำ ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) | คค | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบเงื่อนไขพิเศษ (Special Conditions) ในการดำเนินการกู้เงินระยะยาวในรูป Asset Based Financing เพื่อชำระค่าเครื่องบินแอร์บัส A380 - 800 จำนวน ๓ ลำ ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ดังนี้ ๑.๑ ตราบเท่าที่กระทรวงการคลังหรือหน่วยงานอื่นภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลังถือหุ้นบริษัท การบินไทยฯ ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๒๕ หรือกระทรวงการคลังหรือหน่วยงานอื่นของรัฐบาลยังคงกำกับควบคุมบริษัท การบินไทยฯ อยู่ หากบริษัท การบินไทยฯ จำเป็นต้องส่งมอบเครื่องบินคืนตามเงื่อนไขของสัญญาเช่าซื้อ กระทรวงการคลังพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับการถอนทะเบียน การส่งมอบเครื่องบิน และการนำเครื่องบินออกนอกประเทศตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ๑.๒ การกู้เงินในรูปแบบ Asset Based Financing ในครั้งนี้จะได้รับการยกเว้นภาษีหัก ณ ที่จ่ายและภาษีมูลค่าเพิ่ม ๑.๓ ในอนาคตถ้าหากบริษัท การบินไทยฯ จะทำ Asset Based Financing โดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน กระทรวงการคลังจะต้องให้คำมั่นว่าจะให้การค้ำประกันสำหรับการกู้เงินของบริษัท การบินไทยฯ ในครั้งนี้ด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมออกหนังสือรับรอง (Letter of Assurance) ให้แก่สถาบันการเงิน European Export Credit Agencies (ECAs) และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจัดทำความเห็นทางกฎหมายสำหรับการกู้เงินในครั้งนี้ ๓. อนุมัติให้บริษัท การบินไทยฯ ใช้ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทสำหรับสัญญาจัดหาเงินกู้เพื่อชำระค่าเครื่องบินแอร์บัส A380 - 800 จำนวน ๓ ลำ |
|||||||||||||||||||||||||||
| 30055 | รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 3 ปีงบประมาณ 2555 | กค | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๓ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ (เมษายน - มิถุนายน ๒๕๕๕) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้า มีมูลค่านำเข้ารวม ๖๗๑.๘๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ (เมษายน - มิถุนายน ๒๕๕๔) จำนวน ๑๑๕.๒๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๒๐.๗๐ ๒. มูลค่าการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้า เปรียบเทียบกับมูลค่านำเข้ารวมของสินค้าทุกชนิดในไตรมาสที่ ๓ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ (๖๒,๗๗๖.๕๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ) มูลค่านำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้า มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ ๑.๐๗ ของมูลค่านำเข้ารวม ๓. มูลค่านำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยในช่วงไตรมาสที่ ๓ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีมูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้น ๑๑ กลุ่มสินค้า ตั้งแต่ร้อยละ ๓.๑๒ ถึง ๔๓.๔๐ ๔. สินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ น้ำหอมและเครื่องสำอาง มูลค่านำเข้า ๑๑๕.๓๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๒๒.๔๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๒๔.๑๗ เลนส์ มูลค่านำเข้า ๘๙.๙๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๒๐.๕๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๒๙.๖๓ กระเป๋าหนังและเข็มขัดหนัง มูลค่านำเข้า ๘๔.๙๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๒๒.๑๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๓๕.๓๕ ๕. สินค้าฟุ่มเฟือยในไตรมาสที่ ๓ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้น ๑๑ กลุ่มสินค้า เมื่อเปรียบเทียบ (ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ) กับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และ ๕ อันดับแรก ที่มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ ไฟแช็คและอุปกรณ์ ผลไม้ กล้องถ่ายรูปและอุปกรณ์ สูท เสื้อ กระโปรง กางเกงสำหรับบุรุษ สตรี เด็กชาย เด็กหญิง และเนคไท กระเป๋าหนังและเข็มขัดหนัง มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๔๓.๔๐, ๓๙.๔๒, ๓๙.๓๕, ๓๕.๓๖ และ ๓๕.๓๕ ตามลำดับ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30056 | ผลการประชุมคณะทำงานแก้ไขปัญหาอุปสรรคและผลักดันการส่งออกของไทย ครั้งที่ 1/2555 | พณ | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะทำงานแก้ไขปัญหาอุปสรรคและผลักดันการส่งออกของไทย ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมได้สรุปสถานการณ์ส่งออกของไทยในระยะ ๖ เดือนของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ (มกราคม - มิถุนายน) มีมูลค่า ๑๑๒,๒๖๔.๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ ๑.๙๗ โดยได้รับผลกระทบจากปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจยุโรปและสภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นหลัก ๒. ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับปัญหา กลยุทธ์ และข้อเสนอแนวทางการดำเนินงานเพื่อผลักดันการส่งออก ๒.๑ การผลักดันการส่งออกไปยังตลาดภูมิภาคยุโรปและตลาดศักยภาพอื่น ๆ ๒.๑.๑ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการส่งออก ได้แก่ ผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจในตลาดหลัก กฎระเบียบทางการค้า มาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี (NTBs) การเจรจาเขตการค้าเสรีต่าง ๆ คุณภาพสินค้าและบริการของไทย และการประสานงานระหว่างองค์กรภายในประเทศ เป็นต้น ๒.๑.๒ กลยุทธ์ในการผลักดันการส่งออก ได้แก่ การแสวงหาโอกาสในตลาดเดิมหรือตลาดที่มีปัญหา และแสวงหาโอกาสในตลาดใหม่และตลาดที่มีศักยภาพอื่น ๆ ๒.๑.๓ แนวทางการดำเนินงาน ได้แก่ ส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศและแก้ปัญหาการถูกโจมตีในประเด็นการใช้แรงงานและการทำลายสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการผลิตสินค้า Organic & Sustainable Farming ส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่ม การปรับปรุงกระบวนการผลิต และการเร่งรัดการเจรจาการค้าเสรีกรอบ FTA ไทย - สหภาพยุโรป เป็นต้น ๒.๒ การส่งเสริมการสร้างฐานการผลิตในประเทศเพื่อนบ้านและการค้าชายแดน ๒.๒.๑ ปัญหาอุปสรรคทางการค้าและการลงทุน ได้แก่ ด่านชายแดนมีจำนวนจำกัด ความตกลงว่าด้วยการขนส่งสินค้าข้ามแดน/ผ่านแดนในกรอบ GMS และ ASEAN ยังไม่มีผลบังคับใช้ กฎระเบียบทางการค้าของประเทศเพื่อนบ้าน การลักลอบนำเข้าส่งออก อาชญากรรม และความรุนแรง และขาดการศึกษาวิจัยตลาดประเทศเพื่อนบ้านเชิงลึก ๒.๒.๒ แนวทางการส่งเสริมการค้าชายแดน ได้แก่ การปรับปรุงกฎระเบียบและลดขั้นตอน การขอหนังสือรับรองการนำเข้าส่งออก พัฒนาระบบโลจิสติกส์ให้ทันสมัยและเพียงพอ ยกระดับมาตรฐานสินค้าและบริการของไทยสู่ระดับมาตรฐานระดับอาเซียน และสร้างสิ่งจูงใจเพื่อส่งเสริมการไปลงทุนในต่างประเทศ ๒.๓ ปัญหาในการผลักดันการส่งออกรายสินค้า ๒.๓.๑ อาหาร ได้แก่ ไก่สดแช่เย็นและแช่แข็งและแปรรูป เช่น ปริมาณอาหารสัตว์ที่ผลิตได้ในประเทศมีไม่เพียงพอ คุณภาพต่ำ และยังต้องพึ่งพิงการนำเข้าจากต่างประเทศสูง ปัญหาด้านสุขอนามัยและปัญหาเทคนิคกับกลุ่มตลาดหลัก การเตรียมการเพื่อรองรับการเปิดตลาด AEC เป็นต้น กุ้งสดแช่เย็นและแช่แข็งและแปรรูป เช่น ขาดแคลนพ่อพันธุ์แม่พันธุ์กุ้ง ปัญหาขาดแคลนแรงงาน ราคาไม่มีเสถียรภาพและปริมาณผลผลิตไม่สม่ำเสมอ สินค้ามีแนวโน้มถูกตัดสิทธิ GSP ของสหภาพยุโรปในสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๖ การถูกกล่าวหาจากประเทศคู่ค้าว่าทำลายสภาพแวดล้อมและกดขี่แรงงาน รวมทั้ง Lab ของเอกชนคิดค่าใช้จ่ายสูง เป็นต้น ผักและผลไม้ เช่น ปัญหาด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช ขาดแคลนแรงงานในภาคเกษตร การขยายพื้นที่เพาะปลูกพืชพลังงานทำให้พื้นที่เพาะปลูกพืชอาหารลดลง ๒.๓.๒ อัญมณีและเครื่องประดับ เช่น ขาดแคลนวัตถุดิบ ต้นทุนการผลิตสูง งานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับในประเทศไทยดึงดูดผู้ซื้อต่างประเทศได้น้อยลง แบรนด์สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยยังไม่เป็นที่รู้จักในตลาดโลก ขาดข้อมูลเชิงลึกในตลาดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับที่สำคัญ และปัญหาโลจิสติกส์ในการจัดส่งวัตถุดิบจากประเทศที่เป็น Free Port ๒.๓.๓ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เช่น มาตรการ Anti-Dumping และ Safeguard ของประเทศคู่ค้า (สินค้าผ้าผืนและเส้นด้าย) ขาดการพัฒนาผลิตภัณฑ์แฟชั่นในเชิงลึกเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ต้องการข้อมูลเชิงลึกของประเทศเพื่อนบ้าน การสนับสนุนในการไปลงทุนตาม JETRO Model ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น การขาดแคลนแรงงาน ขาดแคลนเงินทุนเพื่อนำมาขยายการผลิต เปลี่ยนเครื่องจักร และเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ๓. ที่ประชุมได้กำหนดให้คณะทำงานติดตามสถานการณ์และขับเคลื่อนการส่งออกไปตลาดภูมิภาคยุโรปและตลาดศักยภาพอื่น ๆ คณะทำงานส่งเสริมการสร้างฐานการผลิตในประเทศเพื่อนบ้านและการค้าชายแดน และคณะทำงานแก้ไขปัญหาอุปสรรคและผลักดันการส่งออกรายสินค้า จัดประชุมเพื่อติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกเดือน พร้อมทั้งให้จัดการประชุมคณะทำงานกลุ่มย่อยภาครัฐและเอกชนเพื่อศึกษาวิเคราะห์ สรุปประเด็นปัญหา และแนวทางการแก้ไขให้มีความชัดเจนทั้งในส่วนของรายตลาดและรายสินค้าต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30057 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การบริหารจัดการระบบสัญญาณเตือนภัยจากอัคคีภัยและไฟป่า" | สสป | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การบริหารจัดการระบบสัญญาณเตือนภัยจากอัคคีภัยและไฟป่า" โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. อัคคีภัย กรณีชุมชน รัฐบาลควรดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ ด้านมาตรการบังคับใช้กฎหมาย ได้แก่ บังคับใช้กฎหมาย และดำเนินมาตรการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันอัคคีภัยอย่างจริงจังและเด็ดขาด ปรับปรุงกฎระเบียบในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการหรือข้อกำหนดสำหรับการป้องกันอัคคีภัยให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล และการกำหนดนโยบายการให้ความรู้เกี่ยวกับหลักสูตรการป้องกันอัคคีภัย รวมถึงมีการฝึกซ้อมอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ๑.๒ ด้านมาตรการทางด้านการสื่อสารและการประชาสัมพันธ์ ได้แก่ มีมาตรการด้านการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ การสร้างเครือข่ายภาคประชาชน และจัดทำคู่มือการป้องกันและระงับอัคคีภัยพื้นฐานแก่ประชาชน ๑.๓ ด้านมาตรการบริหารจัดการแบบบูรณาการของระบบสัญญาณเตือนภัยอัคคีภัย ได้แก่ การให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นติดตั้งระบบสัญญาณเตือนภัยในชุมชนให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ และตั้งศูนย์ประสานงานช่วยเหลือผู้ประสบภัย ส่งเสริมและสนับสนุนองค์กรเอกชน องค์กรสาธารณะกุศลในการเพิ่มศักยภาพการป้องกันและควบคุมอัคคีภัยในชุมชน ส่งเสริม สนับสนุนงานวิจัย การศึกษาคนคว้า เทคโนโลยีและนวัตกรรมระบบสัญญาณเตือนภัย การป้องกันภัยอัคคีภัย ระบบการควบคุมอัคคีภัย สนับสนุนให้มีหน่วยงานการพิสูจน์หลักฐานเฉพาะด้าน รวมทั้งปรับปรุงโครงสร้างหน่วยงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมถึงต้องมีแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของประเทศที่เป็นแผนงานที่มีความชัดเจน ครอบคลุมหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ๑.๔ ด้านมาตรการกำหนดนโยบายเกี่ยวกับระบบความปลอดภัยจากอัคคีภัย ได้แก่ ส่งเสริมการฝึกอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันอัคคีภัยแก่เจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนในชุมชนอย่างต่อเนื่อง กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออกมาตรการบังคับให้มีการติดตั้งสัญญาณเตือนภัยอัคคีภัยทุกชุมชน และกำหนดนโยบายในการส่งเสริมสนับสนุนอาสาสมัครป้องกันภัยในชุมชนและองค์กรที่สนับสนุนในการป้องกันและระงับอัคคีภัย ๒. อัคคีภัย กรณีโรงงานอุตสาหกรรม รัฐบาลควรดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ด้านมาตรการบังคับใช้กฎหมาย ได้แก่ มีมาตรการให้ผู้ประกอบการต้องติดตั้งระบบสัญญาเตือนภัยให้ครอบคลุมทั้งอาคาร และสามารถเชื่อมโยงสัญญากับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องโดยตรง ปรับปรุง กฎระเบียบในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการหรือข้อกำหนดสำหรับการป้องกันอัคคีภัยในโรงงานและสถานประกอบการให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล การบังคับใช้กฎหมายต้องเด็ดขาดและจริงจัง และควรแก้ไขเพิ่มเติมบทลงโทษสำหรับผู้ประกอบการที่หลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดดังกล่าว และจัดการบูรณาการกฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันอัคคีภัย ให้ยืดหยุ่น ไม่ซ้ำซ้อนและเป็นฉบับเดียวกัน ๒.๒ ด้านมาตรการส่งเสริมและพัฒนาระบบสัญญาณเตือนภัยอัคคีภัย ได้แก่ ส่งเสริมการศึกษาวิจัยและนำผลงานวิจัยเกี่ยวกับระบบสัญญาณเตือนภัยและการป้องกันอัคคีภัย รวมถึงนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้กับระบบป้องกันอัคคีภัยของประเทศ สนับสนุนการศึกษาในสาขาวิชาวิศวกรรมอัคคีภัย และสนับสนุนให้มีหน่วยงานการพิสูจน์หลักฐานเฉพาะด้าน ๓. อัคคีภัย กรณีไฟป่า รัฐบาลควรดำเนินการ ดังนี้ ๓.๑ ด้านมาตรการบังคับใช้กฎหมาย ได้แก่ บังคับใช้กฎหมายต่อผู้กระทำความผิดอย่างเด็ดขาดและจริงจัง และเพิ่มบทลงโทษทางอาญาและความรับผิดทางแพ่งต่อผู้กระทำผิดโดยเจตนา ๓.๒ ด้านมาตรการเทคโนโลยีระบบสัญญาณเตือนภัยอัคคีภัย ได้แก่ จัดให้มีระบบตรวจจับการเกิดไฟป่า โดยใช้ข้อมูลผ่านดาวเทียมที่พัฒนาโดยหน่วยงานในประเทศ จัดสรรงบประมาณให้เพียงพอต่อการจัดซื้ออุปกรณ์พื้นฐานในการดับไฟป่า และดำเนินการบูรณาการเทคโนโลยีให้สามารถปรับใช้ร่วมกับภูมิปัญญาท้องถิ่น ในการเฝ้าระวังและเตือนภัยให้สอดคล้องกับท้องถิ่น ๓.๓ ด้านมาตรการเทคโนโลยีในการป้องกันและการบริหารจัดการอัคคีภัย ได้แก่ สนับสนุนการค้นคว้าวิจัยในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ระบบสัญญาณเตือนภัย และรวมถึงการนำผลงานวิจัย และหรือนวัตกรรมของนักวิจัยคนไทยมาปรับใช้กับการป้องกันอัคคีภัย ประชาสัมพันธ์และจัดอบรมวิธีการป้องกัน การดับไฟ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องในเรื่องไฟป่าให้กับเจ้าหน้าที่และประชาชนอย่างต่อเนื่อง จัดการบูรณาการหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการทับซ้อนในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเกิดไฟป่าของแต่ละหน่วยงาน และจัดทำโครงการเพื่อจูงใจและสร้างจิตสำนึกในการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรทุกภาคส่วน ตลอดจนพัฒนาระบบการบริหารจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30058 | การรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2555 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2555 | กค | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานะหนี้สาธารณะของประเทศ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕ มีหนี้สาธารณะคงค้าง จำนวน ๔,๔๗๓,๒๐๖.๘๘ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๑.๔๓ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) แบ่งเป็นหนี้ของรัฐบาลกู้โดยตรง จำนวน ๓,๒๖๘,๓๙๙.๘๑ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน จำนวน ๑,๐๓๖,๐๘๒.๒๗ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) จำนวน ๑๖๒,๕๔๔.๘๐ ล้านบาท และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ จำนวน ๖,๑๘๐.๐๐ ล้านบาท ส่วนหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินไม่มีหนี้คงค้าง ๒. คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะได้จัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และปรับปรุงแผนฯ ในระหว่างปี เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการใช้เงินกู้และบริหารหนี้ โดยหลังการปรับปรุงแผนในครั้งที่ ๒ ทำให้วงเงินรวมในแผนฯ ที่จะบริหารจัดการมีจำนวนทั้งสิ้น ๒,๒๔๒,๐๓๙.๔๘ ล้านบาท และในช่วงระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการกู้เงินและบริหารหนี้แล้ว เป็นวงเงินทั้งสิ้น ๔๘๐,๗๓๔.๓๕ ล้านบาท ๓. การดำเนินงานในช่วง ๖ เดือนแรกของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ (ตุลาคม ๒๕๕๔ - มีนาคม ๒๕๕๕) ประกอบด้วย แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงินรวม ๑๗๑,๐๖๖.๒๒ ล้านบาท การก่อหนี้ใหม่ของรัฐวิสาหกิจ วงเงินรวม ๖๓,๑๕๓.๑๖ ล้านบาท แผนการปรับโครงสร้างหนี้ วงเงินรวม ๒๘๗,๐๙๖.๓๘ ล้านบาท แผนการบริหารความเสี่ยง วงเงินรวม ๒,๔๕๒.๐๐ ล้านบาท แผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ วงเงินรวม ๑๐,๑๑๙.๗๕ ล้านบาท และแผนการก่อหนี้ใหม่ของหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ : สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) กู้เงินจำนวน ๑๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ๔. สรุปผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ในช่วง ๖ เดือนแรกของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการบริหารและจัดการหนี้สาธารณะตามกรอบแผนฯ เป็นจำนวน ๔๖๐,๖๑๔.๖๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒๑.๙๕ ของแผนฯ โดยผลการกู้เงินและบริหารจัดการหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ รวมทั้งสิ้น ๑๐,๑๑๙.๗๕ ล้านบาท และผลการกู้เงินของหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ เป็นจำนวนทั้งสิ้น ๑๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ การกู้เงินและการบริหารหนี้ตามแผนฯ แบ่งเป็นหนี้ของรัฐบาล จำนวน ๓๓๙,๙๔๑.๕๔ ล้านบาท หนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน จำนวน ๑๐๓,๐๔๐.๐๐ ล้านบาท หนี้ที่กระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน จำนวน ๒๓,๔๔๙.๗๕ ล้านบาท และการกู้ต่อจากกระทรวงการคลัง จำนวน ๑๔,๓๐๓.๐๖ ล้านบาท ผลของการบริหารหนี้ที่ได้ดำเนินการทั้งในส่วนของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๒๙๑,๗๑๘.๓๘ ล้านบาท สามารถลดยอดหนี้ได้ทั้งสิ้น ๓๑,๙๒๒.๘๕ ล้านบาท ประหยัดดอกเบี้ยได้ จำนวน ๙๕๓.๑๖ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30059 | การให้ความเห็นชอบแต่งตั้งบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร (Chief Executive Officer, CEO) ขององค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย | พน | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนาย Rosli bin Boni เข้าดำรงตำแหน่งหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร (Chief Executive Officer, CEO) ขององค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย โดยมีวาระการดำรงตำแหน่ง ๔ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ - ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30060 | แผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | พม | 18/09/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ที่มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และเพื่อให้ประชากรเป้าหมายเข้าถึงหลักประกันด้านการป้องกันและการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ประกอบด้วยมาตรการในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านการป้องกัน ด้านการดำเนินคดี ด้านการคุ้มครองช่วยเหลือ ด้านการพัฒนากลไกเชิงนโยบาย และด้านการพัฒนาและบริหารข้อมูล โดยการดำเนินโครงการ ๗ โครงการ วงเงินทั้งสิ้น ๑๕๒,๙๖๑,๗๗๒ บาท ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ในรูปแบบแรงงาน มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจและคุ้มครองแรงงาน งบประมาณดำเนินการ ๑๗,๓๓๒,๘๕๐ บาท ๑.๒ โครงการเสริมสร้างศักยภาพการบังคับใช้กฎหมาย มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างทัศนคติและความเชี่ยวชาญในการดำเนินคดี และเพื่อพัฒนาศักยภาพพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ งบประมาณดำเนินการ ๑๑,๓๑๖,๔๐๐ บาท ๑.๓ โครงการพัฒนาประสิทธิภาพในการสืบสวนสอบสวน ขยายผล ปราบปรามและจับกุมขบวนการค้ามนุษย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานสืบสวนและปราบปรามความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ งบประมาณดำเนินการ ๓๕,๙๓๒,๙๒๒ บาท ๑.๔ โครงการพัฒนาการคุ้มครองและส่งกลับ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดบริการทางสังคมให้กับผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือผู้เสียหายในการดำเนินคดี รวมทั้งเพื่อพัฒนากระบวนการส่งกลับ งบประมาณดำเนินการ ๑๘,๔๘๑,๗๐๐ บาท ๑.๕ โครงการเสริมสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังการค้าทุกรูปแบบ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ และเพื่อสร้างหลักประกันการเข้าถึงความปลอดภัยจากการค้ามนุษย์ งบประมาณดำเนินการ ๕๗,๐๖๙,๙๐๐ บาท ๑.๖ โครงการพัฒนานโยบายการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมกระบวนการพัฒนานโยบายเชิงรุก สนับสนุนการศึกษาและวิจัยต่อต้านการค้ามนุษย์ งบประมาณดำเนินการ ๕,๗๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๗ โครงการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการปราบปรามการดำเนินคดีการค้ามนุษย์ และการคุ้มครองผู้เสียหาย รวมทั้งเพื่อติดตามสถานการณ์ป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ งบประมาณดำเนินการ ๗,๑๒๘,๐๐๐ บาท ๒. ส่วนงบประมาณสำหรับดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับแผนดังกล่าว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์รับข้อเสนอของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางนลินี ทวีสิน) เกี่ยวกับการดำเนินการแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ เห็นควรบูรณาการการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีความเป็นเอกภาพ รวมทั้งควรจัดให้มีการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับแผนปฏิบัติการฯ ให้ประชาชนรับทราบด้วย และควรให้กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ ดังกล่าว ในส่วนของโครงการเสริมสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังการค้ามนุษย์ทุกรูปแบบด้วย รวมทั้งความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับกิจกรรมตรวจสอบสภาพการจ้างและการทำงาน โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าวในเรือประมง ที่ควรดำเนินการควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาแรงงานภาคประมงทะเล การพิสูจน์สถานภาพของแรงงานต่างด้าว การพัฒนาระบบฐานข้อมูลแรงงานต่างด้าว การกำหนดมาตรฐานสภาพการจ้าง/การทำงานในเรือประมงให้มีความชัดเจน รวมทั้งการอบรมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ทหารเรือในฐานะพนักงานตรวจแรงงาน การบริหารจัดการเพื่อการนำไปสู่การบรูณาการร่วมกัน โดยเฉพาะในกิจกรรมที่มีหน่วยงานรับผิดชอบหลายหน่วยงาน การระบุเกี่ยวกับเหยื่อการค้ามนุษย์ในคนต่างชาติที่ถูกหลอกมาเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์กับกรณีคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองเพื่อมาทำงานในประเทศไทยต้องมีหลักเกณฑ์การแยกให้ชัดเจน การจัดทำฐานข้อมูลผู้ที่เป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นเจ้าภาพหลักในการกำหนดรายละเอียดของข้อมูลว่าต้องการข้อมูลประเภทใด จากหน่วยงานใด เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและครอบคลุมทุกมิติ การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการตรวจ รักษาพยาบาล ผู้ที่เป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ในกรณีที่เป็นคนต่างชาติ สำหรับโรงพยาบาลนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ควรมีแนวทางในการสนับสนุนงบประมาณที่ชัดเจน รวมทั้งการเร่งดำเนินการติดตามและประเมินผลแผนปฏิบัติการฯ เพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงวิธีการบริหารการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์จากทุกภาคส่วน และการเชื่อมโยงงบประมาณของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ กับปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
.....
