ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1510 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 30181 - 30200 จากข้อมูลทั้งหมด 124459 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 30181 | ให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่ออีกหนึ่งวาระ (นายพิทยา พุกกะมาน) | นร04 | 04/09/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอให้ นายพิทยา พุกกะมาน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะครบวาระการดำรงตำแหน่ง ๑ ปี ในวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๕ คงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่ออีกหนึ่งวาระ
|
|||||||||||||||||||||
| 30182 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร04 | 04/09/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันจันทร์ที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๕ ซึ่งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๔ ปีที่ ๒ ครั้งที่ ๑๐ (สมัยสามัญทั่วไป) วันพุธที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๕ และครั้งที่ ๑๑ (สมัยสามัญทั่วไป) วันพฤหัสบดีที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ
|
|||||||||||||||||||||
| 30183 | ยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ | นร | 04/09/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เพื่อให้การดำเนินการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้สามารถขับเคลื่อนต่อไปได้อย่างเป็นระบบมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นทั้งในส่วนของงานป้องกันและงานพัฒนา จึงขอให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเร่งรัดติดตามการดำเนินการเกี่ยวกับการปรับปรุงแผนการดำเนินงานและการใช้จ่ายงบประมาณของกระทรวง กรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับเป้าหมายยุทธศาสตร์ร่วม ๒๙ ข้อ ของแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง แผนการดำเนินงานขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์ในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้) ให้แล้วเสร็จ และให้รายงานนายกรัฐมนตรีโดยด่วน
|
|||||||||||||||||||||
| 30184 | แนวทางการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2554 (เรื่อง การเสนอเรื่องที่อาจเกี่ยวข้องกับบทบัญญัติตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย) | นร | 04/09/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง การเสนอเรื่องที่อาจเกี่ยวข้องกับบทบัญญัติตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย) อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ เพื่อให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีระยะเวลาเพียงพอในการดำเนินการหรือให้ความเห็นประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีได้อย่างรอบคอบ
|
|||||||||||||||||||||
| 30185 | แนวทางการบริหารจัดการน้ำของประเทศ | นร04 | 04/09/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า การจัดงานนิทรรศการ “มุ่งมั่นทำงาน บริหารจัดการน้ำเพื่อประชาชน” เมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๕-๒ กันยายน ๒๕๕๕ ณ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล พลาซ่า ลาดพร้าว เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี มีผู้สนใจเข้าร่วมชมงานเป็นจำนวนมาก โดยแนวทางการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ได้น้อมนำแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มาเป็นแนวทางในการดำเนินการ รวมทั้งได้ปรับกระบวนการทำงานของหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย และคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ให้ประสานสอดคล้องและเชื่อมโยงข้อมูลกันให้เป็นปัจจุบันและมีเอกภาพเสมือนเป็นหน่วยงานเดียวกันที่จะปฏิบัติงานเชื่อมโยงจากส่วนกลางไปยังจังหวัด และให้ทุกจังหวัดมีการจัดตั้งศูนย์ส่วนหน้า (โดยใช้สำนักงานและบุคลากรที่มีอยู่ในปัจจุบัน) เชื่อมโยงต่อไปในระดับอำเภอและท้องถิ่นเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลในภาวะปกติ และเมื่อเกิดเหตุภัยพิบัติก็ให้สามารถรายงานข้อมูลสถานการณ์ภัยพิบัติในระดับต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วทันการณ์ โดยให้กระทรวง หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และทุกจังหวัดมอบหมายเจ้าหน้าที่ในการติดตาม รวบรวม รายงาน และปรับข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์อุทกภัยและข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้องในเว็บไซต์ของหน่วยงานให้ครบถ้วน ถูกต้อง เป็นปัจจุบัน (update) อย่างต่อเนื่อง เพื่อเผยแพร่ให้สาธารณชนได้รับทราบอย่างถูกต้อง ทันเหตุการณ์ รวมทั้งสามารถใช้เป็นข้อมูลในการประกอบการพิจารณาตัดสินใจในการบริหารจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป นอกจากนี้ ให้ กบอ. ประสานงานกับกระทรวงมหาดไทยเพื่อติดตามและเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดอุทกภัยที่อาจได้รับผลกระทบจากลมมรสุมที่พัดผ่านในช่วงนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ลุ่มน้ำยมและลุ่มน้ำน่าน
|
|||||||||||||||||||||
| 30186 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการชลประทานอุดรธานี เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... จำนวน 6 ฉบับ | กษ | 28/08/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวง จำนวน ๓ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำหนองตาไก้ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ คือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำหนองตาไก้ ในท้องที่ตำบลหนองบัว อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำหนองปะโค เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ คือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำหนองปะโค ในท้องที่ตำบลปะโค อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ๑.๓ ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำหนองโอน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ คือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำหนองโอน ในท้องที่ตำบลเชียงพิณ อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ๒. อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ถอนร่างกฎกระทรวง จำนวน ๓ ฉบับ และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยสามพาด เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... ๒.๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำหนองสำโรง เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... ๒.๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยทราย เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. ....
|
|||||||||||||||||||||
| 30187 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับตราสารศุกูกและ รองรับการออกตราสารศุกูกในรูปแบบใบทรัสต์) | กค | 28/08/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. แก้ไขเพิ่มเติมในข้อ ๒ ของกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ เกี่ยวกับบทนิยามของคำว่า “ใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์แบบ ข” “ใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์แบบ ค” และ “ใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์แบบ ง” เพื่อขยายขอบเขตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ของใบอนุญาตประเภทที่กล่าวให้รวมถึงตราสารศุกูกและใบทรัสต์ ๒. กำหนดให้ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์แบบ ข และผู้ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการค้าหลักทรัพย์ และการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์อันเป็นตราสารแห่งหนี้ ตามกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ที่ได้รับอยู่ก่อนวันที่ร่างกฎกระทรวงฉบับนี้มีผลใช้บังคับ สามารถประกอบธุรกิจหลักทรัพย์สำหรับหลักทรัพย์ที่เป็นตราสารศุกูกได้ ๓. กำหนดให้ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์แบบ ค และ แบบ ง และผู้ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ การค้าหลักทรัพย์ หรือการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ที่เป็นหน่วยลงทุน ตามกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ที่ได้รับอยู่ก่อนวันที่ร่างกฎกระทรวงฉบับนี้มีผลใช้บังคับ สามารถประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ที่เป็นใบทรัสต์ที่มีลักษณะทำนองเดียวกับกองทุนรวมได้
|
|||||||||||||||||||||
| 30188 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนกรกฎาคม 2555 | พณ | 28/08/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๑๕.๘๒ เทียบกับเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๑๕.๔๒ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๓๕ (เดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๖) เป็นการสูงขึ้นของราคาสินค้าที่ไม่ได้เร่งตัวมากนัก โดยดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๐.๔๗ สินค้าประเภทอาหารที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ ข้าวสารเจ้า ปลาและสัตว์น้ำ ผลไม้สด เครื่องปรุงรส เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และอาหารสำเร็จรูป ส่วนสินค้าที่มีราคาลดลงตามปริมาณผลผลิตและภาวะตลาด ได้แก่ ข้าวสารเหนียว เนื้อสัตว์สด ไข่และผลิตภัณฑ์นม และผักสด เป็นต้น สำหรับดัชนีหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๘ จากการสูงขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงขายปลีกในประเทศที่มีการปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันตลาดโลก และจากการสูงขึ้นของราคาสินค้าประเภทผ้าและเสื้อผ้า ค่าเช่าบ้าน วัสดุก่อสร้าง ค่าน้ำประปา ค่าตรวจรักษาและค่ายา ค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล และเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ เป็นต้น ขณะที่สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด และเครื่องรับอุปกรณ์สื่อสาร ปรับลดราคาลงตามการส่งเสริมการจำหน่าย ๒. พิจารณาเทียบกับดัชนีราคาเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๔ สูงขึ้นร้อยละ ๒.๗๓ จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๕.๔๒ โดยดัชนีราคาหมวดข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง สูงขึ้นร้อยละ ๒.๒๗ ปลาและสัตว์น้ำ ร้อยละ ๔.๐๔ ผักและผลไม้ ร้อยละ ๒๑.๔๕ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๒.๙๔ และอาหารสำเร็จรูป ร้อยละ ๔.๗๔ ดัชนีราคาหมวดอื่นๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๑.๐๓ จากการสูงขึ้นของหมวดเคหสถาน ร้อยละ ๒.๕๖ หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล ร้อยละ ๑.๐๕ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า ร้อยละ ๐.๙๓ หมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๐.๖๓ หมวดการบันเทิงการอ่าน การศึกษาและการศาสนา สูงขึ้นร้อยละ ๐.๕๘ ๓. พิจารณาดัชนีเฉลี่ย ๗ เดือนของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เทียบกับระยะเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สูงขึ้นร้อยละ ๒.๙๒ จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๕.๙๔ และดัชนีหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๑.๐๓ ตามการสูงขึ้นของหมวด ข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง ร้อยละ ๒.๕๒ เนื้อสัตว์ เป็ดไก่ และสัตว์น้ำ ร้อยละ ๒.๘๔ ไข่และผลิตภัณฑ์นม ร้อยละ ๑.๑๒ ผักและผลไม้ ร้อยละ ๑๑.๔๙ เครื่องประกอบอาหาร ร้อยละ ๗.๔๙ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๒.๖๖ อาหารสำเร็จรูป ร้อยละ ๗.๐๕ ค่าน้ำประปา ร้อยละ ๕.๒๘ ค่ากระแสไฟฟ้า ร้อยละ ๑๓.๔๔ และหมวดยานพาหนะ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๓๗ ๔. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๐๘.๓๔ เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๓ (เดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๕) จากการเคลื่อนไหวสูงขึ้นของราคาสินค้าและบริการ ได้แก่ ผ้าและเสื้อผ้า ค่าน้ำประปา ค่าเช่าบ้าน วัสดุก่อสร้าง ค่าตรวจรักษาและค่ายา ค่าของใช้ส่วนบุคคล และค่าบริการส่วนบุคคล สำหรับสินค้าที่มีราคาลดลง ได้แก่ สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด และเครื่องรับอุปกรณ์การสื่อสาร เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||
| 30189 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนที่วัด วัดทุ่งน้อย ตำบลทุ่งน้อย อำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร ให้แก่กรมชลประทาน พ.ศ. .... | พศ | 28/08/2555 | ||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||
| 30190 | สรุปผลการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปค ครั้งที่ 7 | กก | 28/08/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปค ครั้งที่ ๗ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ เมืองคาบารอฟสค์ สหพันธรัฐรัสเซีย โดยการประชุมจัดขึ้นภายใต้หัวข้อหลักเอเปค ๒๐๑๒ “บูรณาการเพื่อการเติบโต นวัตกรรมเพื่อความรุ่งเรือง” (Integrate to Grow, Innovate to Prosper) มีวัตถุประสงค์ให้ประเทศสมาชิกส่งเสริมการค้าและการลงทุนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปคได้ร่วมรับรองปฏิญญาคาบารอฟสค์ ซึ่งมีสาระสำคัญ ได้แก่ ๑.๑ การยกระดับความสำคัญของการท่องเที่ยว ๑.๑.๑ รัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปคสนับสนุนให้ผู้นำเล็งเห็นและระบุความสำคัญของการท่องเที่ยวในฐานะกลไกการสร้างเศรษฐกิจไร้พรมแดนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในปฏิญญาวลาดิวอสต็อกในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจเอเปคในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ ณ เมืองวลาดิวอสต็อก สหพันธรัฐรัสเซีย ๑.๑.๒ รัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปคสนับสนุนให้ทุกเขตเศรษฐกิจเอเปคอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยวในฐานะกลไกการสร้างงานและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยให้คณะทำงานด้านการท่องเที่ยวเอเปคส่งเสริมการอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยวอย่างมีประสิทธิภาพและกระบวนการตรวจลงตราเพื่อเพิ่มปริมาณการเดินทางและการท่องเที่ยว ตลอดจนเตรียมการศึกษาผลกระทบของการอำนวยความสะดวกด้านการตรวจลงตราต่อการสร้างงานในภูมิภาคเอเปค ทั้งนี้ ได้แสดงความยินดีในโอกาสที่เม็กซิโกสามารถผลักดันให้ระบุความสำคัญของการท่องเที่ยวในปฏิญญา G20 ในระหว่างการประชุมกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำและประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ๒๐ แห่ง (The Group of Twenty Finance Ministers and Central Bank Governors-G20) ระหว่างวันที่ ๑๘-๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ ณ เมืองลอสคาบอส ประเทศเม็กซิโก ๑.๑.๓ รัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปคแสดงความยินดีในโอกาสที่สาธารณรัฐเกาหลีสามารถผลักดันให้ระบุความสำคัญของ “การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน” (Sustainable Tourism) ในเอกสารผลลัพธ์ (Outcome Document) ชื่อว่า “The Future We Want” ในระหว่างการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาอย่างยั่งยืน (RIO+20) เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ ณ เมืองริโอ เดอ จาเนโร สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ๑.๒ การดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวเอเปค พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๘ (APEC Tourism Strategic Plan : ATSP 2012 -2015) รัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปคสนับสนุนการดำเนินงานของคณะทำงานด้านการท่องเที่ยวเอเปคตามแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวเพื่อใช้เป็นแนวทางการดำเนินงานในอนาคต โดยผ่านการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด (Best Practices) ตามเป้าหมาย ได้แก่ การท่องเที่ยวในฐานะกลไกสำคัญในการเติบโตและความมั่งคั่งในภูมิภาคเอเปค การเติบโตอย่างเท่าเทียมของอุตสาหกรรมการเดินทางและการท่องเที่ยว ความยั่งยืนของธุรกิจท่องเที่ยวและแหล่งท่องเที่ยว และการรวมตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเปค ๑.๓ ความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว รัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปคได้ร่วมรับรอง “คู่มือการป้องกันความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว” (APEC Guidelines on Ensuring Tourist Safety) เพื่อให้ทุกเขตเศรษฐกิจเอเปคสามารถนำไปปรับใช้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เอเปคเป็นจุดหมายปลายทางที่ปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยว ๑.๔ ข้อริเริ่มด้านการอำนวยความสะดวกด้านการเดินทาง (Travel Facilitaiton Initiative : TFI) รัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปคสนับสนุนข้อริเริ่มดังกล่าว ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อลดอุปสรรคด้านการเดินทางภายในภูมิภาคเอเปค และให้คณะทำงานด้านการท่องเที่ยวเอเปคสนับสนุนการดำเนินงานตามข้อริเริ่มดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนงาน Airport Partnership Program (APP) และเห็นชอบให้ขยายการมีส่วนร่วมของคณะทำงานด้านการท่องเที่ยวเอเปคไปยังแผนงานต่าง ๆ ของ TFI เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของธุรกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวภายในภูมิภาคเอเปค ตลอดจนประสานงานกับคณะทำงานสาขาอื่น ๆ อย่างใกล้ชิด ๑.๕ ความเชื่อมโยงการคมนาคมทางอากาศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (Air Transport Connectivity) รัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปคเน้นย้ำความสำคัญของความเชื่อมโยงการคมนาคมทางอากาศ รวมทั้งผลกระทบของการเปิดเสรีด้านการบริการทางอากาศต่อการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเปค โดยให้คณะทำงานด้านการท่องเที่ยวเอเปคประสานงานอย่างใกล้ชิดกับคณะทำงานด้านการขนส่งของเอเปคและสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้หารือระดับทวิภาคีกับประธานการบริหารการท่องเที่ยวแห่งชาติจีนเกี่ยวกับการจัดตั้งสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ณ นครกวางโจว เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวจีนได้มากขึ้น ฝ่ายจีนรับจะมอบหมายผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป และหารือกับรัฐมนตรีท่องเที่ยวสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) เกี่ยวกับการยกเว้นการตรวจลงตราระหว่างกัน ฝ่ายไต้หวันรับจะไปหารือกับกระทรวงการต่างประเทศต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 30191 | สรุปผลการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน ครั้งที่ 11 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | สธ | 28/08/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงสาธารณสุขรายงานสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน ครั้งที่ ๑๑ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒-๖ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดภูเก็ต หัวข้อหลักของการประชุม คือ “ประชาคมอาเซียน : โอกาสและความท้าทายต่อสุขภาพ (ASEAN Community 2015 : Opportunities and Challenges to Health)" ประกอบด้วยการประชุม ๒ ระดับ ดังนี้
๑. การประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส เพื่อรายงานความคืบหน้าการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ นับจากการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนครั้งผ่านมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๓ รวมทั้งการเตรียมการเพื่อเสนอประเด็นสำหรับการประชุมระดับรัฐมนตรีในครั้งนี้ ๒. การประชุมระดับรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาและหารือประเด็นสำคัญต่าง ๆ ประกอบด้วย ๒.๑ การประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน ครั้งที่ ๑๑ อย่างไม่เป็นทางการ (11th AHMM Retreat) เกี่ยวกับเรื่อง โรคไม่ติดต่อ (Non -Communicable Diseases : NCD) รัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนได้แลกเปลี่ยนความเห็นและหารือกันเกี่ยวกับเรื่อง การควบคุมการบริโภคยาสูบ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ๒.๒ การประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน ครั้งที่ ๑๑ (11th ASEAN Health Ministers Meeting) รัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนเห็นชอบให้มีการจัดการประเด็นด้านสาธารณสุขที่เป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะภาระจากโรคไม่ติดต่อที่เพิ่มขึ้น การเพิ่มขึ้นของการบริโภคยาสูบ ความพยายามในการป้องกันไม่ให้มีผู้ป่วยเอดส์รายใหม่ และการเตรียมความพร้อมเพื่อการรองรับภัยพิบัติและสถานการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ โดยมอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสหารือเกี่ยวกับการจัดตั้งเครือข่ายอาเซียนด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (ASEAN network on UHC) และสนับสนุนให้เครือข่ายการฝึกอบรมนักระบาดวิทยาของอาเซียนบวกสาม (ASEAN Plus Three FETN) ใช้ Minimum Standards on Joint Multi-sectoral Outbreak Investigation and Response (MS JMOIR) ในการศึกษาและสำรวจร่วมกัน โดยส่งเสริมให้มีการดำเนินงานร่วมกับองค์การอนามัยโลกและหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulation : IHR) ทั้งนี้ ที่ประชุมได้รับรองแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) ของการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน ครั้งที่ ๑๑ ๒.๓ การประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ ๕ (5th ASEAN Plus Three Health Ministers Meeting) รัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนบวกสามได้ร่วมกันหารือ Roundtable discussion หัวข้อหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Universal Health Coverage : UHC) โดยส่งเสริมให้มีการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในการลดความยากจนและให้มีการเข้าถึงการบริการสุขภาพที่จำเป็น โดยมอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนบวกสามหารือเกี่ยวกับการจัดตั้งเครือข่ายอาเซียนบวกสามด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (ASEAN Plus Three network on UHC) และส่งเสริมให้มีความร่วมมือในสาขาการแพทย์พื้นบ้าน อนามัยแม่และเด็ก และโรคติดต่อทั่วไปและโรคติดต่ออุบัติใหม่ เช่น การริเริ่มเครือข่ายการฝึกอบรมนักระบาดวิทยา (FETN) การสื่อสารความเสี่ยง (Risk Communication) ความร่วมมือด้านห้องทดลอง (Partnership Laboratories) เป็นต้น ทั้งนี้ ที่ประชุมได้รับรองแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) ของการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ ๕ ๒.๔ การประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน-จีน ครั้งที่ ๔ (4th ASEAN-China Health Ministers Meeting) รัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน-จีนได้ร่วมกันหารือ Roundtable discussion หัวข้อการควบคุมการบริโภคยาสูบ (Tobacco Control) โดยส่งเสริมให้มีความร่วมมือในสาขาโรคติดต่อทั่วไปและโรคติดต่ออุบัติใหม่ ได้แก่ โรคมาลาเรีย โรคไข้หวัดใหญ่ โรคไข้เลือดออก โรคเอดส์ การแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์ทางเลือก รวมทั้งลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของรัฐสมาชิกของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุข ประกอบด้วย ความร่วมมือในสาขาการป้องกันควบคุมโรคติดต่อ กลไกเพื่อสนองตอบต่อภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข และศักยภาพในการบรรเทาผลกระทบสุขภาพที่เกิดจากภัยธรรมชาติ การป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ ความปลอดภัยด้านอาหาร และระบบการเตือนภัยฉุกเฉิน การพัฒนาบุคลากรด้านสาธารณสุข การพัฒนาการแพทย์ดั้งเดิม และการพัฒนาเภสัชกรรมและวัคซีน โดยมอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียน-จีนจัดทำแผนปฏิบัติการต่อไป ทั้งนี้ ที่ประชุมได้รับรองแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) ของการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน-จีน ครั้งที่ ๔ ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้หารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีสาธารณสุขสิงคโปร์ บรูไนดารุสซาลาม และเมียนมาร์ รวมทั้งประเทศเวียดนามจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน ครั้งที่ ๑๒ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ประมาณสัปดาห์แรกของเดือนสิงหาคม ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ณ เมืองดาลัด
|
|||||||||||||||||||||
| 30192 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้าง เพิ่มวงเงินค่าควบคุมงาน และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการอาคารเรียนเทคโนโลยีและการพัฒนาชุมชน (ส่วนที่ก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ) ของมหาวิทยาลัยทักษิณ | ศธ | 28/08/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้มหาวิทยาลัยทักษิณเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการอาคารเรียนเทคโนโลยีและการพัฒนาชุมชน ๑ หลัง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. เพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างอาคารเรียนเทคโนโลยีและการพัฒนาชุมชน ๑ หลัง ภายในวงเงิน ๖๔,๖๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งได้ดำเนินการก่อสร้างและเบิกจ่ายค่าก่อสร้างไปแล้ว จำนวน ๓๙,๑๐๐,๐๐๐ บาท และก่อสร้างในส่วนที่ยังไม่แล้วเสร็จอีก จำนวน ๒๕,๕๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี จำนวน ๑๘,๔๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายแล้ว และใช้เงินนอกงบประมาณสมทบ จำนวน ๗,๑๐๐,๐๐๐ บาท ๒. เพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการค่าควบคุมงานอาคารเรียนเทคโนโลยีและการพัฒนาชุมชน ๑ หลัง ภายในวงเงิน ๑,๔๕๘,๒๕๐ บาท โดยค่าควบคุมงานในส่วนที่เพิ่มขึ้น จำนวน ๔๗๑,๒๕๐ บาท ให้ใช้จากเงินนอกงบประมาณสมทบ ๓. ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากเดิมปีงบประมาณ ๒๕๕๑ - ๒๕๕๓ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๕๕
|
|||||||||||||||||||||
| 30193 | การจัดทำความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมสำหรับความร่วมมือทวิภาคีระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรโมร็อกโก | กต | 28/08/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. ยืนยันมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๔๘ ที่เห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมสำหรับความร่วมมือทวิภาคีระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรโมร็อกโก และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามในความตกลงฯ ในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ทั้งนี้ ร่างความตกลงฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกรอบแม่บทสำหรับความร่วมมือด้านต่าง ๆ ระหว่างกัน และสนับสนุนการแลกเปลี่ยนการเยือนที่สม่ำเสมอ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของคู่สัญญาหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะทำหน้าที่ประธานร่วม โดยการประชุมฯ จะจัดสลับกันในภาคีคู่สัญญาและคณะกรรมาธิการร่วมจะกำหนดกฎและระเบียบวิธีการประชุมฯ รวมทั้งอาจมีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการ คณะทำงานถาวรหรือเฉพาะกิจเมื่อจำเป็น นอกจากนี้ ร่างความตกลงฯ จะเป็นกรอบแม่บทและกลไกสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์ด้านการเมืองและเศรษฐกิจ ตลอดจนส่งเสริมความเข้าใจและปฏิสัมพันธ์ระดับประชาชนของทั้งสองประเทศ ๒. หากก่อนการลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมสำหรับความร่วมมือทวิภาคีระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรโมร็อกโกในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ โดยถ้อยคำดังกล่าวสอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาดำเนินการได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง |
|||||||||||||||||||||
| 30194 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่วัด วัดบางปลา ตำบลบางปลา อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม ให้แก่กรมชลประทาน พ.ศ. .... | พศ | 28/08/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่วัด วัดบางปลา ตำบลบางปลา อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม ให้แก่กรมชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ โอนกรรมสิทธิ์ที่วัด วัดบางปลา ตำบลบางปลา อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม ตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๖๘๑๔ (บางส่วน) เนื้อที่ ๘ ไร่ ๒ งาน ๑๕ ตารางวา ให้แก่กรมชลประทาน ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
| 30195 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลแม่สอย อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นกรณีที่มี ความจำเป็นโดยเร่งด่วน | กษ | 28/08/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลแม่สอย อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลแม่สอย อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อประโยชน์แก่การชลประทาน เก็บกักน้ำสำหรับพื้นที่การเกษตร การอุปโภคและบริโภค ตลอดจนรักษาสมดุลของระบบนิเวศน์ และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์ได้ทันตามกำหนดเวลา ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
| 30196 | แนวทางการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ | มท | 28/08/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางในการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
๑. ตั้งคณะกรรมการกำหนดแนวทางในการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ในส่วนกลาง จังหวัด และอำเภอ ได้แก่ ๑.๑ คณะกรรมการกำหนดแนวทางในการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ในส่วนกลาง ประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรี/รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน ส่วนราชการและผู้ที่เกี่ยวข้อง เป็นกรรมการ อธิบดีกรมการปกครอง เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่กำหนดนโยบาย แนวทางการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ และให้คำปรึกษา แนะนำคณะกรรมการฯ ระดับจังหวัด และอำเภอในการดำเนินงาน ๑.๒ คณะกรรมการกำหนดแนวทางในการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ระดับจังหวัด ประกอบด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธาน ส่วนราชการและผู้ที่เกี่ยวข้อง เป็นกรรมการ ปลัดจังหวัด เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่กำหนดแนวทางการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ในพื้นที่จังหวัด และให้คำแนะนำคณะกรรมการฯ ระดับอำเภอในการดำเนินงาน ๑.๓ คณะกรรมการกำหนดแนวทางในการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ระดับอำเภอ ประกอบด้วย นายอำเภอ เป็นประธาน หัวหน้าส่วนราชการระดับอำเภอและผู้ที่เกี่ยวข้อง เป็นกรรมการ ปลัดอำเภอหัวหน้ากลุ่ม/ฝ่ายบริหารงานปกครอง เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่ขับเคลื่อนการดำเนินงานโดยกำหนดรูปแบบ แนวทาง และวิธีการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ในพื้นที่ระดับหมู่บ้าน จัดประชุมสัมมนาและรับฟังความคิดเห็นเพื่อกำหนดแนวทางในการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ๒. จัดประชุมสัมมนาและรับฟังความคิดเห็นเพื่อกำหนดแนวทางในการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ผู้เข้าร่วมสัมมนาประกอบด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดจังหวัด นายอำเภอ ทั่วประเทศ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ปลัดกรุงเทพมหานคร และผู้อำนวยการเขตในกรุงเทพมหานคร ๓. จัดเวทีสัมมนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญระดับจังหวัดทุกจังหวัดและกรุงเทพมหานคร ๔. จัดเวทีประชาคมหมู่บ้าน/ชุมชน เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ทุกหมู่บ้าน/ชุมชน ทั่วประเทศ ๕. จัดเวทีประชาคมชุมชนในกรุงเทพมหานครเพื่อรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ๖. สรุปผลการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ
|
|||||||||||||||||||||
| 30197 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 [มาตรการภาษีและค่าธรรมเนียมของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund)] | กค | 28/08/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๗ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕๑ (พ.ศ. ๒๕๔๙) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ดังนี้
๑. กำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์กรณีกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเป็นผู้รับโอนหรือเป็นผู้โอน ร้อยละ ๐.๐๑ แต่อย่างสูงไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ๒. กำหนดค่าจดทะเบียนการจำนอง กรณีกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเป็นผู้ขอจดทะเบียน ร้อยละ ๐.๐๑ แต่อย่างสูงไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ๓. กำหนดค่าจดทะเบียนการเช่า กรณีกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเป็นผู้เช่า ผู้เช่าช่วง ผู้ให้เช่า หรือผู้ให้เช่าช่วง ร้อยละ ๐.๐๑ แต่อย่างสูงไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
|
|||||||||||||||||||||
| 30198 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา เรื่อง ผลการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 | สว | 28/08/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา เรื่อง ผลการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ พร้อมข้อเสนอแนะ กับผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะดังกล่าวที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยในส่วนรายงานของคณะกรรมาธิการฯ พร้อมข้อเสนอแนะ มีดังนี้
๑. ความยากลำบากในการดำเนินคดี ควรหามาตรการ แนวทางในการพิจารณาช่วยเหลือ หรือกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว รวมทั้งแนะนำแนวทางในการดำเนินงานได้อย่างถูกต้อง เหมาะสมและปลอดภัยต่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ๒. ขาดงบประมาณด้านการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ รัฐบาลควรพิจารณาจัดสรรอย่างเพียงพอและต่อเนื่อง ๓. การดำเนินงานตามมาตรา ๓๕ และมาตรา ๓๗ การเรียกร้องสินไหมทดแทนให้ผู้เสียหายต้องผ่านขั้นตอนการได้รับแจ้งจากปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จึงไม่คล่องตัว และควรผลักดันกฎกระทรวงให้มาตรา ๓๗ ดำเนินการปฏิบัติได้ ๔. ภาษาและการสื่อสารกับผู้เสียหายที่คลาดเคลื่อน ควรมีระบบการสนับสนุนล่ามให้พอเพียงกับความต้องการของหน่วยงานในด้านการบังคับใช้กฎหมายและการคุ้มครองช่วยเหลือผู้เสียหาย ๕. การแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย ควรเร่งรัดดำเนินการฝึกอบรมและแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ๖. ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติไม่เข้าใจในขั้นตอนกระบวนการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาอบรม สัมมนาให้กับผู้ปฏิบัติทุกพื้นที่ รวมทั้งอบรมพนักงานสอบสวนโดยตรง ๗. ความไม่ชัดเจนในเรื่องการคัดแยกผู้เสียหาย ควรจัดทำเอกสารแนวทางการพิจารณาองค์ประกอบของความผิดฐานค้ามนุษย์เพื่อแจกจ่าย รณรงค์ และให้ความรู้ ๘. ความล่าช้าในการดำเนินคดี ควรเร่งรัดการดำเนินคดีให้รวดเร็วขึ้นโดยตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาหาแนวทางมาตรการ และควรส่งเสริมให้ผู้เสียหายมีนันทนาการ และมีรายได้ ๙. การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ในพื้นที่ ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์จังหวัดควรดำเนินการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์พระราชบัญญัติดังกล่าวให้เครือข่าย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนทั่วไป หรือผลิตคู่มืออธิบายพระราชบัญญัติฯ ๑๐. การสร้างกลไกและทีมสหวิชาชีพ ควรทบทวนการดำเนินงานเพื่อสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมจากทีมสหวิชาชีพ การช่วยเหลือผู้เสียหายหรือผู้อาจตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ รวมทั้งซักซ้อมความเข้าใจในการปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงระดับพื้นที่หรือระดับภาค ๑๑. ระดับนโยบาย ควรจัดตั้งคณะติดตามและประเมินผลการทำงานด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ รวมทั้งให้คำแนะนำ ปรึกษาแนวทางปฏิบัติและข้อกฎหมายต่าง ๆ ๑๒. การศึกษาในอนาคต ควรทำการศึกษาใน ๒ ประเด็น คือการวิจัยเชิงคุณภาพโดยเก็บข้อมูลเชิงลึกจากผู้เสียหายในพื้นที่ที่มีการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย และศึกษาระบบการคุ้มครองพยานตามพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๖ |
|||||||||||||||||||||
| 30199 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์การพัฒนาคนเพื่อการพัฒนาประเทศ" | สสป | 28/08/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์การพัฒนาคนเพื่อการพัฒนาประเทศ" ดังนี้ ๑.๑ นโยบายรัฐบาลเกี่ยวการพัฒนาคน รัฐบาลควรถือเป็นวาระสำคัญของชาติโดยเร่งด่วน ๑.๒ รัฐบาลควรจัดให้มียุทธศาสตร์การพัฒนาคนเพื่อการพัฒนาประเทศ ๑.๓ รัฐบาลควรแต่งตั้งกรรมการยุทธศาสตร์การพัฒนาคนเพื่อการพัฒนาประเทศโดยเร่งด่วนโดยมีนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายเป็นประธาน มีคณะกรรมการประกอบด้วย ผู้แทนส่วนราชการ และภาคส่วนต่าง ๆ รวมทั้งผู้ทรงคุณวุฒิ ๒. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับเรื่อง "ยุทธศาสตร์การพัฒนาคนเพื่อการพัฒนาประเทศ" ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบให้การพัฒนาคนเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ควรกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ โดยให้มีการติดตามประเมินผลความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง และเห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลัก ๒.๒ ไม่ควรกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาคนเพื่อการพัฒนาประเทศขึ้นใหม่ เนื่องจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙) ได้น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นปรัชญานำทางในการพัฒนาประเทศอย่างต่อเนื่อง และในยุทธศาสตร์ที่ ๒ ได้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาคนสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างยั่งยืนไว้แล้ว และเห็นชอบให้ส่วนราชการทีเกี่ยวข้องตระหนักถึงข้อเสนอของสภาที่ปรึกษาฯ และให้ถือเป็นประเด็นสำคัญ ประกอบการพิจารณากำหนดยุทธศาสตร์ตามภารกิจของหน่วยงานให้มีความครอบคลุม ๒.๓ เห็นสมควรให้มีคณะกรรมการติดตามประเมินผลตามความสำเร็จในการขับเคลื่อนการพัฒนาคน ซึ่งมีคณะกรรมการเฉพาะเรื่อง เช่น ด้านการศึกษา สุขภาพ สตรี เด็กและเยาวชน แรงงาน เป็นต้น ซึ่งมีคณะกรรมการระดับชาติและมีนายกรัฐมนตรี/รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ตามภารกิจของส่วนราชการ หากแต่งตั้งคณะการกรรมยุทธศาสตร์การพัฒนาคนเพื่อการพัฒนาประเทศจะทำให้เกิดความซ้ำซ้อน โดยผู้แทนสภาที่ปรึกษาฯ มีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า คณะกรรมการติดตามฯ ควรมีอำนาจหน้าที่ในการเชื่อมโยงและประสานแผน ให้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุง พัฒนา เพื่อให้การดำเนินการตามแผนมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น โดยเห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นหน่วยงานหลัก
|
|||||||||||||||||||||
| 30200 | ร่างพระราชบัญญัติสถาบันวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. .... | ศธ | 28/08/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับร่างพระราชบัญญัติสถาบันวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. .... ไปพิจารณาร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้รับความเห็นของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดการศึกษาในรูปแบบวิทยาลัยชุมชนเป็นการขยายโอกาสทางการศึกษาและการเข้าถึงการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่ต่ำกว่าปริญญา โดยให้ท้องถิ่นสามารถกำหนดหลักสูตรการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความเหมาะสมและความประสงค์ของท้องถิ่นได้ โดยควรพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนให้มีมาตรฐานสามารถเชื่อมโยงกับการศึกษาในระบบ เพื่อให้ผู้ที่จบการศึกษาจากวิทยาลัยชุมชนสามารถศึกษาต่อในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาในระดับปริญญาได้ รวมทั้งความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการกำหนดให้สถาบันวิทยาลัยชุมชนมีอำนาจในการปกครอง ดูแล บำรุงรักษา ใช้และจัดหาประโยชน์จากที่ราชพัสดุ โดยรายได้หรือผลประโยชน์ที่ได้จากที่ราชพัสดุเป็นรายได้ของสถาบันที่ไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้ของแผ่นดิน โดยเห็นควรเพิ่มเติมให้กระทรวงการคลังมีอำนาจกำหนดเงื่อนไขในการใช้ที่ราชพัสดุด้วย ส่วนการกำหนดให้สภาสถาบันมีอำนาจออกข้อบังคับ และระเบียบเกี่ยวกับการเงินของสถาบันนั้น ซึ่งในหลักการ การใช้จ่ายเงินของส่วนราชการโดยทั่วไปต้องถือปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือหลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกำหนดเพื่อให้การใช้จ่ายเงินของส่วนราชการเป็นไปในแนวทางเดียวกัน และไม่เกิดความเหลื่อมล้ำในทางปฏิบัติ และโดยที่สถาบันวิทยาลัยชุมชนมีสถานะเป็นส่วนราชการจึงไม่เห็นสมควรให้สภาสถาบันมีอำนาจดังกล่าว และเห็นควรให้สถาบันวิทยาลัยชุมชนบริหารการใช้จ่ายเงินโดยถือปฏิบัติเช่นเดียวกับส่วนราชการอื่น รวมทั้งควรบัญญัติเพิ่มเติมให้สถาบันวิทยาลัยชุมชนนำเงินรายได้ที่ได้รับฝากไว้กับกระทรวงการคลัง หากจะนำรายได้ไปฝากธนาคารให้ขอความเห็นชอบจากกระทรวงการคลังก่อน และในกรณีที่ปรากฏว่า เงินรายได้ของสถาบันวิทยาลัยชุมชนเหลือเกินความจำเป็น กระทรวงการคลังจะกำหนดให้สถาบันวิทยาลัยชุมชนนำเงินส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินตามจำนวนที่เห็นสมควรก็ได้ นอกจากนี้ รายได้อื่นของสถาบันวิทยาลัยชุมชนที่มาจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เห็นควรให้ใช้จ่ายเกี่ยวกับการลงทุนค่าก่อสร้างและจัดหาครุภัณฑ์ เพื่อไม่ให้เกิดภาวะงบประมาณในภาพรวมอย่างต่อเนื่อง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||
.....
