ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1508 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 30141 - 30160 จากข้อมูลทั้งหมด 124459 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 30141 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่ ตำบลหนองตำลึง อำเภอพานทอง และตำบลดอนหัวฬ่อ อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... | คค | 04/09/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่ ตำบลหนองตำลึง อำเภอพานทอง และตำบลดอนหัวฬ่อ อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลหนองตำลึง อำเภอพานทอง และตำบลดอนหัวฬ่อ อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี เพื่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟ บริเวณทางหลวงชนบท ชบ. ๓๐๒๒ เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
| 30142 | รายงานประจำปี 2554 คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร01 | 04/09/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๕๔ ของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยรายงานดังกล่าวมีสาระสำคัญ ๓ ส่วน ดังนี้
๑. ส่วนที่ ๑ กล่าวถึงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของ กกถ. รวมทั้งคณะอนุกรรมการคณะต่าง ๆ ที่ กกถ. แต่งตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือ กำกับ ดูแล ในภารกิจสำคัญในด้านนั้น ๆ ก่อนที่จะเสนอ กกถ. พิจารณา ๒. ส่วนที่ ๒ กล่าวถึงผลการปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของ กกถ. และคณะอนุกรรมการคณะต่าง ๆ ดังนี้ ๒.๑ การรวบรวมผลการดำเนินงานในเรื่องแผนการกระจายอำนาจ ได้แก่ การถ่ายโอนภารกิจตามแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) การจัดทำแผนการกระจายอำนาจ การกระจายอำนาจด้านสาธารณสุข และหลักสูตรการเรียนรู้ด้วยตนเอง (E-learning) ๒.๒ การรวบรวมผลการดำเนินงานในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ การกำหนดสัดส่วนรายได้ของ อปท. การกำหนดหลักเกณฑ์การจัดสรรภาษีและเงินอุดหนุนให้แก่ อปท. หลักเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ การจัดสรรเงินอุดหนุนเพื่อเป็นรางวัลสำหรับ อปท. ที่มีการบริหารจัดการที่ดี และที่มีการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ เป็นต้น ๒.๓ สรุปผลการดำเนินงานเกี่ยวกับผลการดำเนินงานการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการฯ ร่างพระราชบัญญัติการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... และการวินิจฉัยและให้ความเห็นทางกฎหมาย ๒.๔ การรวบรวมผลการดำเนินงานด้านการติดตามประเมินผลในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านงานส่งเสริมคุณภาพชีวิต ด้านการจัดระเบียบชุมชน สังคม และการรักษาความสงบเรียบร้อย และด้านการบริหารจัดการและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ๓. ส่วนที่ ๓ กล่าวถึงผลการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปี ๒๕๕๔ ได้แก่ การพัฒนาและฝึกอบรมด้านต่าง ๆ การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์และรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันฑ์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
|
||||||||||||||||||
| 30143 | ร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวงที่ออกตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 | พณ | 04/09/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวง รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาแก้ไขประเภทธุรกิจตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๔๒ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขประเภทธุรกิจใน (๑๓) ของบัญชีสาม ท้ายพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยยกเว้นการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย โดยไม่มีการส่งมอบหรือรับมอบสินค้าเกษตรภายในประเทศ ๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดธุรกิจบริการที่ไม่ต้องขอใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดธุรกิจบริการที่ยกเว้นไม่อยู่ใน (๒๑) ของบัญชีสาม ท้ายพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๔๒ จำนวน ๑๘ รายการ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประสานสำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพื่อให้สามารถจัดทำฐานข้อมูลการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวในประเทศไทยได้อย่างครบถ้วนและเป็นระบบ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
| 30144 | รายงานผลการลงนามในสัญญาเงินกู้โครงการปรับปรุงถนนในนครหลวง เวียงจันทน์ เพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพประชุมสุดยอดผู้นำเอเชีย - ยุโรป (ASEM Summit) ครั้งที่ 9 | กค | 04/09/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการลงนามในสัญญาเงินกู้ระหว่างสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) กับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) สำหรับโครงการปรับปรุงถนนในนครหลวงเวียงจันทน์ เพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพประชุมสุดยอดผู้นำเอเชีย - ยุโรป (ASEM Summit) ครั้งที่ ๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สพพ. ได้ดำเนินการลงนามในสัญญากู้เงินกับธนาคารออมสิน เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เพื่อนำไปให้กู้ต่อแก่ สปป.ลาว โดยมีเงื่อนไขทางการเงิน ๑.๑ วงเงินกู้ จำนวน ๑๙๐.๗๐ ล้านบาท ๑.๒ อัตราดอกเบี้ยลอยตัวเท่ากับอัตราต่ำสุดของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน บวกส่วนต่างร้อยละ ๑.๖๕ ต่อปี (เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยทุก ๖ เดือน ปัจจุบันคิดเป็นดอกเบี้ยร้อยละ ๔.๐๒๕) ๑.๓ อายุเงินกู้ ๑๐ ปี (นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา) ๑.๔ ระยะเวลาการเบิกเงิน ๒ ปี (นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา) ๒. สพพ. ได้ลงนามในสัญญาเงินกู้กับรัฐบาล สปป.ลาว สำหรับโครงการฯ เมื่อวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๕ โดยมีเงื่อนไขทางการเงิน ๒.๑ วงเงินกู้ จำนวน ๑๙๐.๗๐ ล้านบาท ๒.๒ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๑.๕ ต่อปี ๒.๓ อายุสัญญา ๒๐ ปี (รวมระยะเวลาปลอดหนี้ ๕ ปี) ๒.๔ กำหนดชำระดอกเบี้ย วันที่ ๒๐ พฤษภาคม และ ๒๐ พฤศจิกายน ของทุกปี ๒.๕ การชำระคืนเงินกู้ เริ่มชำระคืนวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐ และสิ้นสุดวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๗๔ ๒.๖ ระยะเวลาสิ้นสุดการเบิกจ่าย วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||
| 30145 | ขออนุมัติให้เอกชนร่วมงานในโครงการพัฒนาที่ดินบริเวณพื้นที่สยามสแควร์บางส่วน (อาคารกลุ่ม L) ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 | กค | 04/09/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการให้เอกชนเข้าร่วมงานในโครงการพัฒนาที่ดินบริเวณพื้นที่สยามสแควร์บางส่วน (อาคารกลุ่ม L) ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้จัดสรรพื้นที่สยามสแควร์บางส่วน (อาคารกลุ่ม L) ไว้เป็นพื้นที่สำหรับประกอบกิจกรรมเชิงพาณิชย์ในรูปแบบอาคารสูงขนาด ๓๔ ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ ๘๐,๐๐๐ ตารางเมตร ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้รับข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลังไปพิจารณาดำเนินการด้วย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพิจารณาปรับปรุงหลักการคิดประเมินผลประโยชน์ตอบแทนนอกเหนือจากค่าเช่าที่ดินของโครงการ โดยกำหนดให้มีผลตอบแทนในลักษณะส่วนแบ่งรายได้จากกิจกรรมเชิงพาณิชย์ประเภทต่าง ๆ ของโครงการในกรณีที่โครงการมีรายได้สูงกว่าที่ประมาณการไว้เช่นเดียวกับโครงการพัฒนาบริเวณแยกปทุมวัน (MBK) และโครงการโรงแรมโนโวเทลสยามสแควร์ รวมทั้งกำหนดให้มีการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนการได้สิทธิ (Upfront) เพื่อสร้างความมั่นใจและเป็นหลักประกันการดำเนินโครงการของเอกชน ๑.๒ ที่ตั้งของโครงการอยู่ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจ หากมีการใช้ประโยชน์และเปิดบริการเชิงพาณิชย์เต็มพื้นที่จะมีผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมาก ส่งผลต่อปัญหาการจราจรในโครงข่ายถนนโดยรอบ จึงควรพิจารณาลดผลกระทบดังกล่าว โดยอาจประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการวางแผนการจัดการจราจรที่เหมาะสม และในขั้นตอนการออกแบบโครงการ ควรกำหนดเงื่อนไขให้เอกชนจัดทำแผนการลดผลกระทบการจราจรบริเวณโดยรอบโครงการดังกล่าว รวมทั้งจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) ตามขั้นตอนของกฎหมาย และให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลการดำเนินการตามมาตรการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของโครงการอย่างเคร่งครัดด้วย ๒. ให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่เสนอไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด การเปิดโอกาสให้เอกชนเสนอรูปแบบการพัฒนาที่เหมาะสม การคัดเลือกเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ของโครงการ การให้ความสำคัญกับการจัดทำแผนการบริหารจัดการพื้นที่จอดรถและการสัญจรภายในโครงการ โดยมีการออกแบบทางเข้า - ออกโครงการ และจุดรับส่งรถบัสขนาดใหญ่อย่างเหมาะสม รวมทั้งจัดหาพื้นที่จอดรถอย่างพอเพียง การสรรหาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการบริหารจัดการโครงการเชิงพาณิชย์และสร้างความร่วมมือกับเอกชนในการถ่ายทอดองค์ความรู้ในการบริหารจัดการกิจการเชิงพาณิชย์รูปแบบต่าง ๆ การจัดพื้นที่สีเขียวและพื้นที่จัดกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ เช่น สวนสาธารณะ และศูนย์การเรียนรู้สำหรับประชาชน นอกจากนี้ ให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ พิจารณาหลักเกณฑ์ และแนวทางการจัดทำ Market Sounding ที่เหมาะสม เพื่อใช้เป็นคู่มือในการปฏิบัติงานของหน่วยงานต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
| 30146 | ผลการเยือนไทยเพื่อเจรจาทำงาน (Working Visit) ของประธานาธิบดีศรีลังกา | นร04 | 04/09/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนไทยเพื่อเจรจาทำงาน (Working Visit) ของประธานาธิบดีศรีลังกา ในโอกาสเยือนไทย ระหว่างวันที่ ๒๙ - ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการเยือนในประเด็นต่าง ๆ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. นายกรัฐมนตรีเสนอให้ทั้งสองฝ่ายเพิ่มมูลค่าการค้า จาก ๕๘๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน โดยเน้นการแลกเปลี่ยนระหว่างภาคเอกชนของทั้งสองฝ่าย และเสนอให้ภาคเอกชนไทยเข้าไปมีส่วนร่วมในการก่อสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานของศรีลังกา รวมทั้งช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรม ซึ่งประธานาธิบดีศรีลังกาเห็นพ้องกับข้อเสนอดังกล่าว พร้อมทั้งเสนอให้ภาคเอกชนไทยไปลงทุนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการโรงแรมเพื่อขยายความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวและการเชื่อมโยง (connectivity) ซึ่งรวมการท่องเที่ยวเชิงพุทธศาสนาในลักษณะ Combined Destination และการขยายการลงทุนในธุรกิจอัญมณีในศรีลังกา โดยจะได้หารือกันภายใต้กรอบคณะกรรมาธิการร่วม ไทย - ศรีลังกา ต่อไป ๒. นายกรัฐมนตรีเสนอให้มีความร่วมมือจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองครบรอบ ๒๖๐ ปี ของการสถาปนาสยามนิกายในศรีลังกาในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยขอให้ศรีลังกาสนับสนุนการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับพระอุบาลีมหาเถระที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์อันใกล้ชิดระหว่างกัน และขอให้กระทรวงวัฒนธรรมของทั้งสองฝ่ายหารือในรายละเอียดต่อไป ในการนี้ ประธานาธิบดีศรีลังกาได้เชิญนายกรัฐมนตรีเยือนศรีลังกาในโอกาสเฉลิมฉลองดังกล่าว ซึ่งนายกรัฐมนตรีตอบรับในหลักการ โดยขอให้ประสานช่วงเวลาสำหรับการเยือนผ่านช่องทางการทูต ๓. ประธานาธิบดีศรีลังกาขอให้ไทยพิจารณาให้ความร่วมมือเพิ่มเติมในสาขาการประมง การอบรมและพัฒนาทรัพยากรบุคคล ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรียินดีให้การสนับสนุน โดยขอหารือในรายละเอียดกับสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศต่อไป ๔. ประธานาธิบดีศรีลังกาเสนอให้ทั้งสองฝ่ายขยายความร่วมมือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในด้านความมั่นคง โดยเฉพาะการต่อต้านการก่อการร้าย รวมทั้งบทบาทของสตรีและชุมชนที่มีส่วนสำคัญในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นว่าการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ดังกล่าวน่าจะเป็นประโยชน์ และขอให้เอกอัครราชทูตศรีลังกาประจำประเทศไทยหารือกับกระทรวงกลาโหมของไทยต่อไป ๕. นายกรัฐมนตรีเสนอให้ทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันในกรอบความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (Bay of Bengal Initiative for Multi - Sectoral Technical and Economic Cooperation : BIMSTEC) และกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue : ACD) เพื่อผลักดันความเชื่อมโยงระดับภูมิภาค พร้อมทั้งได้ขอให้ศรีลังกาสนับสนุนไทยในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UN Human Rights Council : HRC) วาระปี ค.ศ. ๒๐๑๕ ส่วนประธานาธิบดีศรีลังกาขอบคุณไทยที่ให้การสนับสนุนศรีลังกาในร่างข้อมติเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในศรีลังกาในการประชุม HRC ๖. นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีศรีลังกาเป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการต่างประเทศไทย - ศรีลังกา ว่าด้วยการหารือทางการเมืองทวิภาคี และบันทึกวาจา (Proces - Verbal) การแลกเปลี่ยนสัตยาบันสารของสนธิสัญญาระหว่าง ไทย - ศรีลังกา ว่าด้วยความช่วยเหลือซึ่งกันและกันทางกฎหมายในเรื่องทางอาญา
|
||||||||||||||||||
| 30147 | การปรับปรุงสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล ประเภทค่าธรรมเนียมการแพทย์หรือเรียกชื่ออย่างอื่นให้พนักงานสำนักงานธนานุเคราะห์ คู่สมรส และบุตร | พม | 04/09/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ ที่เห็นชอบให้สำนักงานธนานุเคราะห์ปรับปรุงสวัสดิการเกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลของพนักงานสำนักงานธนานุเคราะห์ให้มีสิทธิการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล ประเภทค่าธรรมเนียมการแพทย์ หรือที่เรียกชื่ออย่างอื่นได้เฉพาะตัวพนักงาน คู่สมรส และบุตร กรณีเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของทางราชการนอกเวลาราชการประเภทผู้ป่วยนอกเท่าที่จ่ายจริงครั้งละไม่เกิน ๓๐๐ บาท รวมปีละไม่เกิน ๓,๖๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
||||||||||||||||||
| 30148 | ผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติแห่งชาติในเชิงยุทธศาสตร์ พ.ศ. 2553 - 2562 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | มท | 04/09/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติแห่งชาติในเชิงยุทธศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๖๒ [Strategic National Action Plan (SNAP) on Disaster Risk Reduction] ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้แจ้งหน่วยงานที่มีส่วนร่วมในแผนปฏิบัติการลดความเสี่ยงฯ จำนวน ๑๓๖ หน่วยงาน เพื่อขอความร่วมมือให้รายงานแผนงานปกติและแผนงานภาคบังคับที่เกี่ยวข้องกับการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติภายใต้แผนปฏิบัติการลดความเสี่ยงฯ ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทราบภายในเดือนตุลาคมทุกปีงบประมาณเพื่อให้การขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการลดความเสี่ยงฯ บรรลุวัตถุประสงค์ ๒. ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้รับรายงานผลการดำเนินการในส่วนเกี่ยวข้องกับการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติภายใต้แผนปฏิบัติการลดความเสี่ยงฯ จากหน่วยงานที่ร่วมบูรณาการ จำนวนทั้งสิ้น ๘๔ หน่วยงาน โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ๒.๑ แผนงานภาคบังคับ มีหน่วยงานที่ร่วมบูรณาการรายงานผลการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ จำนวนทั้งสิ้น ๓๗๓ แผนงาน/โครงการ ครอบคลุม ๕๘ กิจกรรมหลัก ๒๐ ประเด็นยุทธศาสตร์ และ ๔ ยุทธศาสตร์ (ด้านป้องกันและลดผลกระทบ ด้านการเตรียมความพร้อม ด้านการบริหารจัดการฉุกเฉิน และด้านการจัดการหลังเกิดภัย) ๒.๒ แผนงานปกติ หน่วยงานที่ร่วมบูรณาการรายงานผลการดำเนินงานเพื่อลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ รวมจำนวน ๕๖๓ แผนงาน/โครงการ ได้แก่ ด้านการป้องกันและลดผลกระทบ จำนวน ๒๐๘ โครงการ ด้านการเตรียมความพร้อม จำนวน ๒๗๙ โครงการ ด้านการบริหารจัดการฉุกเฉิน จำนวน ๔๖ โครงการ และด้านการจัดการหลังเกิดภัย จำนวน ๓๐ โครงการ
|
||||||||||||||||||
| 30149 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ความคืบหน้าโครงการจัดระบบการปลูกข้าว ปี 2555 | กษ | 04/09/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๔ เรื่อง โครงการจัดระบบการปลูกข้าว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงาน ๑.๑ จัดประชุมคณะกรรมการบริหารและกำกับดูแลโครงการจัดระบบการปลูกข้าวในปี ๒๕๕๕ จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อชี้แจงแนวทางการปฏิบัติงานแก่เจ้าหน้าที่และผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งประชาสัมพันธ์โครงการผ่านสื่อต่าง ๆ ๑.๒ เกษตรกรผู้ใช้น้ำในพื้นที่โครงการกำหนดช่วงเวลาการปลูกข้าวใหม่ เพื่อให้เก็บเกี่ยวข้าวก่อนน้ำท่วม มีการทบทวนช่วงเวลาปลูกพืชหลังนา/พืชปุ๋ยสด หรือเว้นปลูก และการบริหารจัดการน้ำใหม่ เพื่อให้มีความสอดคล้องกับการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาล โดยกำหนดรูปแบบการจัดระบบการปลูกข้าวเป็น ๔ ระบบ คือ ระบบที่ ๑ นาครั้งที่ ๒-นาครั้งที่ ๑-พืชหลังนา/พืชปุ๋ยสด ระบบที่ ๒ นาครั้งที่ ๒-นาครั้งที่ ๑-เว้นปลูก ระบบที่ ๓ นาครั้งที่ ๒-พืชหลังนา-นาครั้งที่ ๑ และระบบที่ ๔ นาครั้งที่ ๒-นาครั้งที่ ๑ [ข้าวน้ำลึก/ข้าวขึ้นน้ำ (ข้าวฟางลอย)] ๑.๓ จัดเวทีชุมชนเพื่อยืนยันความต้องการปลูกพืชหลังนาและพืชปุ๋ยสดของเกษตรกร มีเกษตรกรเข้าร่วมเวทีชุมชน จำนวน ๔๐,๔๖๒ ราย พื้นที่ปลูกข้าวที่เข้าร่วมโครงการ ๑,๑๐๖,๔๒๔ ไร่ โดยเกษตรกรต้องการปลูกพืชหลังนา ๕๓๔,๙๖๕.๕๐ ไร่ (ถั่วเหลือง ๓๘๑ ไร่ ถั่วเขียว ๕๒๘,๐๐๑ ไร่ ถั่วลิสง ๑,๒๔๒.๕๐ ไร่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ๑๔๐ ไร่ ข้าวโพดหวาน ๔,๙๔๒ ไร่ และข้าวโพดฝักอ่อน ๒๕๙ ไร่) เกษตรกรต้องการปลูกพืชปุ๋ยสด ๓๘,๑๕๒ ไร่ (ถั่วพร้า ๕๓๔ ไร่ ถั่วพุ่ม ๑,๒๖๔ ไร่ ถั่วมะแฮะ ๒๒ ไร่ โสนแอฟริกัน ๒๐๓ ไร่ และปอเทือง ๓๖,๑๒๙ ไร่) และเกษตรกรต้องการปลูกข้าวพร้อมกันในพื้นที่เดียวกัน ๗๐๑,๐๐๐ ไร่ ๑.๔ รับซื้อคืนเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวชั้นพันธุ์จำหน่ายจากสมาชิกสหกรณ์ที่มีคุณภาพผ่านมาตรฐานจากสมาชิกสหกรณ์ เพื่อจัดส่งให้กับเกษตรกรนำไปใช้ในโครงการตามความต้องการของเกษตรกรจากผลการจัดเวทีชุมชน จำนวน ๒,๘๗๔.๓๓๗ ตัน และจัดส่งให้เกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการ จำนวน ๒,๑๓๓.๘๘๑ ตัน (จากเป้าหมาย จำนวน ๒,๖๔๐ ตัน) คงเหลือเก็บรักษา จำนวน ๗๔๐.๔๕๖ ตัน ๑.๕ จัดซื้อจัดหาเมล็ดพันธุ์พืชปุ๋ยสดเพื่อจัดส่งให้กับเกษตรกรนำไปใช้ในโครงการตามความต้องการของเกษตรกรจากผลการจัดเวทีชุมชน รวม ๓๐๕.๒๑ ตัน จัดส่งเมล็ดพันธุ์แล้ว จำนวน ๖๕ ตัน ๑.๖ จัดฝึกอบรมเจ้าหน้าที่เพื่อเตรียมความพร้อมในการเป็นวิทยากรฝึกอบรมเกษตรกร ๑.๗ จัดงานมอบเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวเพื่อเป็นการเปิดตัวโครงการ โดยมอบเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวให้เกษตรกรร่วมโครงการของโครงการชลประทานกำแพงเพชร เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๖๓๐ ราย เมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวที่มอบ จำนวน ๑๐๘,๐๐๐ กิโลกรัม ๑.๘ จัดงานรณรงค์การปลูกพืชหลังนา (ถั่วเขียว) เมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ ณ ตำบลวังบัว อำเภอคลองขลุง จังหวัดกำแพงเพชร เพื่อกระตุ้นให้เกษตรกรตระหนักถึงการจัดระบบการปลูกข้าวเพื่อแก้ไขปัญหาในการผลิตข้าว มีเกษตรกรเข้าร่วม จำนวน ๖๐๐ ราย ๑.๙ ส่งเสริมแนะนำตลาดพืชหลังนา โดยประสานกับบริษัทและห้างหุ้นส่วนจำกัด ซึ่งเป็นตลาดรับซื้อเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวรายใหญ่ พ่อค้าเอกชนในพื้นที่ และสหกรณ์ในพื้นที่ที่เป็นแหล่งให้บริการรับซื้อ ทั้งนี้ การซื้อขายเมล็ดถั่วเขียวเป็นไปตามกลไกของตลาด ๒. ปัญหาอุปสรรค ในช่วงปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ ทำให้ข้าวนาปีของเกษตรกรเสียหาย มีผลกระทบต่อการจัดระบบการปลูกข้าว ปี ๒๕๕๕ ที่ได้มีการกำหนดไว้เดิม ๓. แนวทางแก้ไข ต้องมีการทบทวนเพื่อปรับการดำเนินงานโครงการในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ภายหลังน้ำลด โดยกำหนดช่วงเวลาการปลูกข้าวใหม่เพื่อให้เก็บเกี่ยวข้าวก่อนน้ำท่วม มีการเลือกชนิดพันธุ์พืชที่เหมาะสมกับสภาพและศักยภาพของพื้นที่ เช่น การใช้พันธุ์ข้าวทนน้ำท่วม หรือข้าวขึ้นน้ำ และพันธุ์ข้าวที่มีอายุเหมาะสมเพื่อสามารถเก็บเกี่ยวได้ทันก่อนน้ำท่วม เป็นต้น รวมทั้งทบทวนช่วงเวลาปลูกพืชหลังนา/พืชปุ๋ยสด หรือเว้นปลูก และการบริหารจัดการน้ำใหม่ เพื่อให้มีความสอดคล้องกับการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาล และลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมที่ส่งผลทำให้ผลผลิตข้าวเสียหายเนื่องจากไม่สามารถเก็บเกี่ยวหนีน้ำได้
|
||||||||||||||||||
| 30150 | โครงการก่อสร้างเขื่อนยกระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาและน่านเพื่อการเดินเรือของกรมเจ้าท่า | คค | 04/09/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสาระสำคัญและความก้าวหน้าของโครงการก่อสร้างเขื่อนยกระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาและน่านเพื่อการเดินเรือของกรมเจ้าท่า ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นค่าสำรวจออกแบบรายละเอียดและศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการก่อสร้างเขื่อนยกระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาและน่านเพื่อการเดินเรือของกรมเจ้าท่า วงเงินทั้งสิ้น ๒๓๙.๐๑ ล้านบาท (ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตั้งงบประมาณ จำนวน ๓๕.๘๕ ล้านบาท ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ผูกพันงบประมาณ จำนวน ๑๗๒.๐๙ ล้านบาท และปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ผูกพันงบประมาณ จำนวน ๓๑.๐๗ ล้านบาท) ๒. ปัจจุบันกรมเจ้าท่ากำลังดำเนินการคัดเลือกที่ปรึกษาเพื่อดำเนินการสำรวจออกแบบรายละเอียดและศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ ซึ่งกรมเจ้าท่าจะได้นำความเห็นและข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปใช้เป็นข้อกำหนดในร่างขอบเขตของงานที่ศึกษา (Term of Reference : TOR) ต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 30151 | การดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน 2554 - 2563 | สธ | 04/09/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงสาธารณสุขรายงานการดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน ๒๕๕๔ - ๒๕๖๓ โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมประชุมสรุปผลการดำเนินงานเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๕๕ กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) กระทรวงคมนาคม (สำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร/กรมการขนส่งทางบก) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อเน้นย้ำมาตรการที่ดำเนินงานผ่านมา และร่วมหารือเพื่อบูรณาการงานที่จะดำเนินการต่อไปในอนาคตต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยเน้นปัจจัยเสี่ยงหลักที่มีผลต่อการเกิดอุบัติเหตุ ๔ ประเด็น ดังนี้
๑. ประเด็นการสวมหมวกนิรภัย ได้แก่ การขยายปีรณรงค์สวมหมวกนิรภัย ๑๐๐% ไปถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยตั้งเป้าให้สวมเพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ ๒๐ ต่อปี การเร่งรัดการบังคับใช้กฎหมาย และรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัยในหน่วยงานทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ๒. ประเด็นการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการดื่มแล้วขับ ได้แก่ การเร่งรัดการบังคับใช้กฎหมาย การผลักดันการแก้ไขกฎหมายกรณีผู้ขับขี่ที่ปฏิเสธการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ให้สันนิษฐานว่าเมา การผลักดันการออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเพิ่มเติมในเรื่องการห้ามดื่มหรือขายบนทางสาธารณะ การผลักดันให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สามารถนำเงินที่ได้จากการเปรียบเทียบปรับในส่วนของการกระทำความผิดพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ ไปซื้อวัสดุ อุปกรณ์สนับสนุนงานป้องกันอุบัติเหตุทางถนนได้ เช่น เครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ รวมทั้งรณรงค์ส่งเสริมให้ประชาชนมีการรับรู้และตระหนักถึงความสูญเสียจากการเมาแล้วขับ ๓. ประเด็นการขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนด ได้แก่ การเร่งรัดการบังคับใช้กฎหมาย การผลักดันให้ อปท. สามารถนำเงินที่ได้จากการเปรียบเทียบปรับในส่วนของการกระทำความผิดพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ ไปซื้อวัสดุ อุปกรณ์สนับสนุนงานป้องกันอุบัติเหตุทางถนนได้ เช่น เครื่องมือตรวจจับความเร็ว และการศึกษาและประเมินผลการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการควบคุมความเร็วรถตู้สาธารณะ ๔. ประเด็นการใช้เข็มขัดนิรภัย ได้แก่ การเร่งรัดการบังคับใช้กฎหมาย การให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการปรับปรุง แก้ไข กฎ ระเบียบ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับผู้ใช้รถใช้ถนน เช่น ให้มีกฎหมายบังคับใช้เข็มขัดนิรภัยในผู้โดยสารที่นั่งตอนหลังของรถ และให้มีการบังคับติดตั้งเข็มขัดนิรภัยในรถโดยสารสาธารณะทุกที่นั่ง ให้มีการใช้เก้าอี้นิรภัยสำหรับเด็ก รวมทั้งรณรงค์ส่งเสริมการใช้เข็มขัดนิรภัยในหน่วยงานทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน
|
||||||||||||||||||
| 30152 | การสมัครขอรับเป็นเจ้าภาพจัดงาน ITU TELECOM WORLD 2013 | ทก | 04/09/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้ประเทศไทยเสนอรับเป็นเจ้าภาพจัดงาน ITU TELECOM WORLD 2013 ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามคำเชิญของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union : ITU) ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการในนามของรัฐบาลไทยเพื่อจัดทำหนังสือสมัครรับเป็นเจ้าภาพจัดนิทรรศการ ITU TELECOM WORLD 2013 และลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกันในการเป็นเจ้าภาพจัดงาน ITU TELECOM WORLD 2013 (Host Country Agreement) หากประเทศไทยได้รับคัดเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดงานในครั้งนี้ ๓. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารพิจารณาจัดตั้งคณะกรรมการอำนวยการจัดงานและคณะอนุกรรมการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีผู้แทนจากกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวง ทบวง กรม และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการและอนุกรรมการ |
||||||||||||||||||
| 30153 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นางจิตรมณี สุวรรณพูล) | กค | 04/09/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางจิตรมณี สุวรรณพูล ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาฐานภาษี (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||
| 30154 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในท้องที่ตำบลหนองนาง อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 04/09/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลหนองนาง อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ที่ดินในเขตท้องที่ตำบลหนองนาง อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
| 30155 | รายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ประจำปี 2554 | นร09 | 04/09/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ โดยมีผลงานในรอบปีสรุปได้ ดังนี้
๑. คณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองได้ให้คำปรึกษาแก่เจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ โดยตอบข้อหารือแก่หน่วยงานของรัฐ ได้แก่ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สำนักงานเทศบาลตำบลสระยายโสม สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข จังหวัดอ่างทอง สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จังหวัดอุดรธานี สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ๒. การดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาซึ่งทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง มีดังนี้ ๒.๑ จัดฝึกอบรมข้าราชการของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อเป็นวิทยากรออกไปเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองตามที่หน่วยงานของรัฐต่าง ๆ ร้องขอทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น โดยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้จัดวิทยากรไปบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองให้แก่กรมบัญชีกลาง สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สำนักงานสรรพากรภาค ๑ กรมวิชาการเกษตร สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๒.๒ จัดเจ้าหน้าที่ไว้ให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์แก่เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ และประชาชนที่ต้องการปรึกษาปัญหาเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง โดยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มีการให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์ จำนวนทั้งสิ้น ๑๓๒ ครั้ง ๒.๓ เผยแพร่เอกสารที่จัดพิมพ์ขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ และประชาชนที่สนใจเป็นระยะ ๆ โดยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้มีการจัดนิทรรศการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับสิทธิและประโยชน์ของประชาชนตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง ที่ห้างเทสโก้โลตัส สาขาปิ่นเกล้า ระหว่างวันที่ ๗ - ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ที่สถานีขนส่งหมอชิต ระหว่างวันที่ ๗ - ๘ เมษายน ๒๕๕๔, ๒๘ - ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๔ และที่โรงพยาบาลวชิรพยาบาล ระหว่างวันที่ ๒๒ - ๒๓ กันยายน ๒๕๕๔
|
||||||||||||||||||
| 30156 | สรุปผลการจัดประชุม World Economic Forum on East Asia ระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม - 1 มิถุนายน 2555 และการติดตามผล | นร04 | 04/09/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอสรุปผลการจัดการประชุม World Economic Forum (WEF) on East Asia และการติดตามผลตามรายงานของกระทรวงการต่างประเทศ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การประชุม WEF on East Asia จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๓๐ พฤษภาคม - ๑ มิถุนายน ๒๕๕๕ ที่กรุงเทพฯ โดยหัวข้อหลักของการประชุม คือ การกำหนดอนาคตภูมิภาคโดยการเชื่อมโยง (Shaping the Region’s Future through Connectivity) ซึ่งต่อยอดจากการประชุมประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ของ WEF ณ เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยที่ประชุมเห็นร่วมกันว่าการเพิ่มความเชื่อมโยงจะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม และเชื่อมั่นว่าอาเซียนจะเป็นจักรกลสำคัญต่อการเจริญเติบโตในภูมิภาค รวมทั้งให้ความสนใจกับพัฒนาการของเมียนมาร์ที่จะช่วยเสริมสร้างพลวัตการพัฒนาของอาเซียน โดยเมียนมาร์จะเป็นเจ้าภาพการประชุม WEF on East Asia ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ณ เนปีดอ นอกจากนี้ ที่ประชุมยังให้ความสนใจกับการเข้าร่วมการประชุมของนางออง ซาน ซู จี ผู้นำฝ่ายค้านเมียนมาร์ ซึ่งเดินทางออกจากประเทศมายังประเทศไทยเป็นประเทศแรกในรอบ ๒๔ ปี ๒. ประโยชน์จากการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม WEF on East Asia ของไทยในครั้งนี้ เป็นการส่งสัญญาณที่สำคัญว่าไทยได้รับการยอมรับจากประชาคมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในด้านเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจ และบทบาทนำในภูมิภาคของไทย รวมทั้งเป็นการขยายโอกาสทางธุรกิจและการชักจูงการค้าการลงทุนสู่ไทยผ่านการประชาสัมพันธ์อย่างเป็นระบบและการจัดกิจกรรมเสริม ตลอดจนการเสนอความคิดเห็นผ่านมุมมองของผู้แทนรัฐบาลและเอกชนไทย นอกจากนี้ รัฐบาลประสบความสำเร็จในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของเอกชนไทยที่มีความเข้มแข็งและมีศักยภาพสูงในด้านธุรกิจยุคใหม่ โดยปัจจุบันมีบริษัทไทยเป็นสมาชิก WEF จำนวน ๑๘ บริษัท ซึ่งเป็นจำนวนมากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ๓. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการติดตามผลการประชุม WEF on East Asia ต่อไป ดังนี้ ๓.๑ กระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนติดตามปริมาณการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศภายหลังการจัดการประชุม ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๓.๒ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและกระทรวงการต่างประเทศติดตามการผลักดันให้ภาคเอกชนใช้ประโยชน์จากเวที WEF ตลอดจนจากเครือข่ายความร่วมมืออื่น ๆ ในกรอบ WEF ๓.๓ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและกระทรวงพาณิชย์ผลักดันการยกระดับการจัดลำดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในกรอบ WEF ๓.๔ กระทรวงที่เกี่ยวข้องติดตามและส่งเสริมความร่วมมือของภาครัฐและภาคเอกชนกับ WEF ในด้านที่เกี่ยวข้องอันเป็นผลมาจากการประชุมร่วมกับภาคเอกชน (Private Sessions) เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕
|
||||||||||||||||||
| 30157 | มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฎิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี (คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี นร ที่ 193/2555 และ นร ที่ 194/2555) | นร04 | 04/09/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๙๓/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๕ เรื่อง การมอบอำนาจตามกฎหมายให้รองนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี เพิ่มเติม โดยมอบอำนาจตามกฎหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) เพิ่มเติม ดังต่อไปนี้ "การดำเนินคดีปกครอง รวมทั้งลงนามมอบอำนาจให้พนักงานอัยการดำเนินคดีปกครองกรณีที่มีการฟ้องนายกรัฐมนตรีในคดีปกครองอื่น เว้นแต่คดีปกครองที่นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไว้แล้ว" ๒. คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๙๔/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๕ เรื่อง ปรับปรุงการมอบหมายและมอบอำนาจให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี โดยให้ยกเลิกความในข้อ ๖.๑.๒ และข้อ ๘.๑.๒ ของคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๓/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕ และมีคำสั่งดังต่อไปนี้ "มอบหมายและมอบอำนาจให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้ - สั่งและปฏิบัติราชการสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี"
|
||||||||||||||||||
| 30158 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ผังเมืองกรุงเทพฯ : เมืองน่าอยู่" | สสป | 04/09/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง "ผังเมืองกรุงเทพฯ : เมืองน่าอยู่" ซึ่งเป็นการพิจารณาอย่างบูรณาการที่เกี่ยวข้องทั้งกฎหมาย ผังเมืองการควบคุมอาคาร การจราจร สิ่งแวดล้อม ฯลฯ โดยมีวัตถุประสงค์ที่ต้องการเห็นกรุงเทพมหานคร เป็นเมืองที่ปลอดภัย น่าอยู่ น่าทำงาน น่าท่องเที่ยว และมีสิ่งแวดล้อมตลอดจนคุณภาพชีวิตดีขึ้นในด้านต่าง ๆ สำหรับประชาชนทุกระดับชั้น สะอาด สวยงามเชิดหน้าชูตา สมกับเป็นเมืองหลวงของประเทศไทย โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ พัฒนาผังเมืองของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ต้องพิจารณาการจัดทำผังเมืองร่วมกัน ๑.๒ เพิ่มความหนาแน่นการใช้ที่ดินของกรุงเทพมหานคร ๑.๓ เปิดโอกาสให้คนรายได้ปานกลางสามารถซื้อบ้านจัดสรรในกรุงเทพมหานครได้ ๑.๔ ปรับอัตราส่วนพื้นที่อาคารรวมต่อพื้นที่ดิน (Floor Area Ratio : FAR) ให้เหมาะสม ๑.๕ กำหนดความกว้างเขตทางที่เหมาะสมสำหรับอาคารใหญ่และอาคารสูง ๑.๖ ปรับความสูงอาคารขนาดใหญ่จาก ๒๓ เมตร เป็น ๓๕ เมตร ๑.๗ เพิ่มพื้นที่สวนสาธารณะในกรุงเทพมหานคร ๑.๘ สร้างทางเดินเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา ๑.๙ ส่งเสริมให้มีการทำสวนบนหลังคา ๑.๑๐ เพิ่มสะพานข้ามแม่น้ำ ทางด่วน พื้นที่ผิวทางเดินเท้า ทางจักรยาน และการเชื่อมซอยตันและคดเคี้ยว ๑.๑๑ ย้ายโรงงานอุตสาหกรรมที่มีมลพิษ อู่ซ่อมรถ อู่ซ่อมเรือ คลังน้ำมัน ออกนอกเมือง และกำหนดเวลาที่แน่นอนที่ต้องย้ายออกจากบริเวณเขตเมืองที่มีประชากรหนาแน่น ๑.๑๒ จัดที่อยู่อาศัยให้ประชาชนคนจนเมืองเพื่อแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่สาธารณะ ๑.๑๓ รวมข้อบัญญัติควบคุมการใช้ที่ดินไว้ในผังเมืองรวม ๑.๑๔ เพิ่มคลองระบายน้ำและถนนวงแหวน เพื่อป้องกันอุทกภัยขนาดใหญ่ ๑.๑๕ สร้างสวนวัฒนธรรม (Cultural Park) ขนาดใหญ่ เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิต การท่องเที่ยว และศิลปวัฒนธรรม ซึ่งประกอบด้วย อาคารพิพิธภัณฑ์ หอชมวิว หอศิลป์ โรงละคร ฯลฯ โดยให้เป็นอาคารที่มีลักษณะเป็นสัญลักษณ์ของกรุงเทพมหานคร (Landmark) และประเทศไทย ๑.๑๖ ควรพัฒนากรุงเทพมหานครให้เป็นเมืองสะอาด และมีสุขอนามัยที่ดีด้วยการพัฒนาการจัดเก็บขยะ การบำบัดน้ำเสียในคูคลองต่าง ๆ ให้ได้มาตรฐานสากล เพื่อให้กรุงเทพมหานครเป็นเมืองปลอดหนู แมลงวัน และยุง ๑.๑๗ ส่งเสริมการให้ความรู้เรื่องผังเมืองแก่ประชาชน เพื่อให้ประชาชนเข้าใจถึงบทบาทภาระหน้าที่ร่วมกัน ในการดูแลกรุงเทพมหานครให้เป็นเมืองน่าอยู่ ๒. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงศึกษาธิการ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) สมาชิกสภาเกษตรกรุงเทพมหานคร และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สรุปได้ว่า โดยส่วนใหญ่มีความเห็นเช่นเดียวกับข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง "ผังเมืองกรุงเทพฯ : เมืองน่าอยู่" ยกเว้นมีความเห็นแตกต่างจากสภาที่ปรึกษาฯ เกี่ยวกับการเพิ่มความหนาแน่นการใช้ที่ดินของกรุงเทพฯ การเปิดโอกาสให้คนรายได้ปานกลางสามารถซื้อบ้านจัดสรรในกรุงเทพฯ ได้ การปรับอัตราส่วนพื้นที่อาคารรวมต่อพื้นที่ดิน (Floor Area Ratio : FAR) ให้เหมาะสม การกำหนดความกว้างเขตทางที่เหมาะสมสำหรับอาคารใหญ่และอาคารสูง และการปรับความสูงอาคารขนาดใหญ่จาก ๒๓ เมตร เป็น ๓๕ เมตร เนื่องจากจำนวนประชาชนกรุงเทพ ฯ มีแนวโน้มลดลง แต่จำนวนพื้นที่อาคารเพิ่มมากขึ้นจนเกินความต้องการ และยังมีพื้นที่อาคารที่ถูกทิ้งร้างจำนวนมาก ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม และเป็นอุปสรรคต่อการป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติต่างๆ รวมถึงภัยพิบัติจากอุทกภัยใหญ่ด้วย สำหรับการพิจารณาอัตราส่วนพื้นที่อาคารรวมต่อพื้นที่ดิน (Floor Area Ratio : FAR) ให้เหมาะสมนั้นจำเป็นต้องศึกษาวิเคราะห์องค์ประกอบหลายด้าน เช่น ระบบสาธารณูปโภค-สาธารณูปการเดิม และขีดจำกัดในการพัฒนา ภาวะเสี่ยงภัยต่าง ๆ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว ไฟไหม้ ฯลฯ เพื่อพิจารณาสัดส่วนที่เหมาะสมที่สุด
|
||||||||||||||||||
| 30159 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกเอกชนร่วมงานหรือดำเนินโครงการทางพิเศษสายศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครตามมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 | คค | 04/09/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีมติ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมหารือระหว่างกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ในประเด็นความคุ้มค่าระหว่างการให้เอกชนหรือภาครัฐเข้าลงทุนในโครงการทางพิเศษสายศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีต้นทุนทางการเงินและภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนผู้ให้บริการในระยะยาว ความเหมาะสมของการปรับเพิ่มกรอบวงเงินค่าก่อสร้าง และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ความถูกต้องของการประมาณการปริมาณจราจรและผลกระทบจากการปรับเพิ่มอัตราค่าผ่านทางตลอดอายุสัญญา ความเหมาะสมของการกำหนดเส้นทางที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันตามสัญญาโครงการฯ การกำหนดให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เป็นผู้รับภาระค่าภาษีโรงเรือน รวมทั้งความสามารถของ กทพ. ในการส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างให้แก่เอกชนตามสัญญาก่อสร้างโครงการฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๑.๒ เห็นชอบผลการคัดเลือกเอกชนร่วมงานหรือดำเนินโครงการฯ ที่เสนอให้บริษัททางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เป็นเอกชนร่วมลงทุนโครงการฯ และรับทราบเงื่อนไขของสัญญาตามผลการเจรจาต่อรองของคณะกรรมการ ตามมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ เนื่องจาก กทพ. ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ แล้ว โดยให้รับประเด็นข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรพิจารณารายละเอียดของการคำนวณกรอบวงเงินใหม่ ตามมาตรา ๖ ของโครงการฯ ให้รอบคอบ เนื่องจากการลงทุนโดยรวมมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมาก การทำสัญญาร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนในอนาคตจะต้องไม่กำหนดเงื่อนไขที่ให้สิทธิพิเศษกับเอกชนรายใดรายหนึ่ง เพื่อสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขัน และให้มีกลไกติดตามเพื่อให้การส่งมอบพื้นที่เป็นไปตามกำหนดสัญญา รวมถึงการบริหารจัดการสัญญาให้มีความชัดเจนและยุติธรรมทั้งแก่ภาครัฐและเอกชน เพื่อป้องกันปัญหาข้อพิพาทในอนาคต นอกจากนี้ เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าภาพหลักในการประสานการขอใช้พื้นที่ก่อสร้างโครงการฯ กับหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ ได้แก่ การรถไฟแห่งประเทศไทย กรุงเทพมหานคร และกรมทางหลวงชนบท เพื่อให้ กทพ. สามารถส่งมอบพื้นที่โครงการฯ ให้แก่เอกชนได้ตามสัญญา รวมทั้งให้ กทพ. และบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์เรื่องการกำหนดอัตราค่าผ่านทางและการปรับค่าผ่านทางที่ระบุไว้ในสัญญา เพื่อสร้างความเข้าใจและยอมรับแก่ประชาชนผู้ใช้บริการ ไปดำเนินการอย่างเคร่งครัด ๑.๓ ให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อติดตามผลการตรวจร่างสัญญาการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินโครงการฯ ของสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อนำร่างสัญญาที่ผ่านการพิจารณาของสำนักงานอัยการสูงสุดแล้วนั้นเสนอพร้อมกับรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกเอกชนร่วมงานหรือดำเนินโครงการฯ ตามมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในคราวเดียวกัน ๑.๔ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักในการประสานการขอใช้พื้นที่ก่อสร้างโครงการฯ กับหน่วยงานเจ้าของพื้นที่เพื่อให้ กทพ. สามารถส่งมอบพื้นที่โครงการให้แก่เอกชนได้ตามสัญญา เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ต่อไป ๒. เห็นชอบในหลักการร่างสัญญาสัมปทานการลงทุนออกแบบก่อสร้าง บริหารจัดการให้บริการและบำรุงรักษา โครงการทางพิเศษสายศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ที่สำนักงานอัยการสูงสุดได้ตรวจพิจารณาและพิมพ์ยกร่างขึ้นใหม่ และผนวกแนบท้ายสัญญา รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุด ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคม โดย กทพ. รับไปประสานงานกับสำนักงานอัยการสูงสุดอย่างเคร่งครัด โดยให้คำนึงถึงประโยชน์ของรัฐและประโยชน์สาธารณะ แล้วดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป และรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย |
||||||||||||||||||
| 30160 | การเป็นเจ้าภาพร่วมกับสาธารณรัฐเกาหลีในการฝึกซ้อมการบรรเทาภัยพิบัติในปี 2556 ภายใต้กรอบการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก (ASEAN Regional Forum - ARF) | กต | 04/09/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพร่วมกับสาธารณรัฐเกาหลีในการจัดการฝึกซ้อมการบรรเทาภัยพิบัติ (Disaster Relief Exercise - DiREx) ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ภายใต้กรอบการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก (ASEAN Regional Forum - ARF) ครั้งที่ ๓ โดยให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการต่างประเทศ เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก โดยประสานกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ในส่วนของงบประมาณสำหรับการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้ใช้จ่ายภายในวงเงินไม่เกิน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) โดยให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดงบประมาณ โครงการ และกิจกรรม รวมทั้งแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||
.....
