ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1035 จากทั้งหมด 6215 หน้า แสดงรายการที่ 20681 - 20700 จากข้อมูลทั้งหมด 124293 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
20681 | รัฐบาลราชอาณาจักรเดนมาร์กเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย (กระทรวงการต่างประเทศ) [นายอุฟเฟอ โวล์ฟเฮชเชิล (Mr. Uffe Wolffhechel)] | กต | 31/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายอุฟเฟอ โวล์ฟเฮชเชิล (Mr. Uffe Wolffhechel) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งราชอาณาจักรเดนมาร์กประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายมีคาเอล เฮมนีตี วินเดอร์ (Mr. Mikael Hemniti Winther) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
20682 | ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ปช | 31/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ เกี่ยวกับคุณสมบัติของพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ซึ่งจะได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งพนักงานไต่สวนกระบวนการหรือขั้นตอนการแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน หรือการไต่สวนข้อเท็จจริง ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป โดยให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงยุติธรรม ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับการคำนึงถึงสถานะความเหมาะสมในการแต่งตั้งพนักงานไต่สวนการกระทำความผิด การคำนึงถึงความเหมาะสมและความยากง่ายของสำนวนในแต่ละคดีเป็นสำคัญโดยจะต้องมีประสิทธิภาพควบคู่กับปริมาณ รวมทั้งควรมีการกำหนดกลไกในการกำกับดูแลให้พนักงานไต่สวนมีการใช้อำนาจเท่าที่จำเป็น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. รับทราบแผนการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ |
|||||||||||||||||||||
20683 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคุณสมบัติ การแต่งตั้ง การปฏิบัติหน้าที่ และการกำกับดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ปง | 31/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคุณสมบัติ การแต่งตั้ง การปฏิบัติหน้าที่ และการกำกับดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเพิ่มเติมให้พนักงานราชการของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเป็นผู้มีสิทธิได้รับแต่งตั้งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน จากเดิมที่กำหนดไว้เพียงข้าราชการเท่านั้น ตามที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา ๒. ให้รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเกี่ยวกับกรณีบุคลากรที่ไม่เพียงพอในการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ขณะนี้อยู่ระหว่างคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐพิจารณาคำขอเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว และในการแต่งตั้งพนักงานราชการเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ควรจะระบุเฉพาะว่าเป็น “พนักงานราชการประเภททั่วไป (เฉพาะกลุ่มงานบริหารทั่วไป กลุ่มวิชาชีพเฉพาะ และกลุ่มงานเชี่ยวชาญเฉพาะ หรือยกเว้นกลุ่มงานบริการ และกลุ่มงานเทคนิค)” หรือไม่ ไปประกอบการพิจารณาด้วยแล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||
20684 | การปรับปรุงแก้ไขภาคผนวก 4 และ 8 ของความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน | พณ | 31/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการปรับปรุงแก้ไขภาคผนวก ๔ ของความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ASEAN Trade in Goods Agreement : ATIGA) เพื่อปรับโอนบัญชีรายการสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology Agreement : ITA) ของอาเซียน จากระบบ AHTN 2007 เป็นระบบ AHTN 2012 เพื่อให้สอดคล้องกับระบบฮาร์โมไนซ์ (HS) 2012 ขององค์การศุลกากรโลก ๑.๒ เห็นชอบการปรับปรุงแก้ไขภาคผนวก ๘ ของความตกลง ATIGA โดยเพิ่มเติมถ้อยคำในกฎข้อ ๑-๓ และเพิ่มเติมกฎข้อ ๒๖-๓๑ ของระเบียบปฏิบัติในการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าของอาเซียน เพื่อให้ระเบียบปฏิบัติฯ มีถ้อยคำที่รองรับการใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าแบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ภายใต้ระบบ ASEAN Single Window ๑.๓ มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้แจ้งการให้ความเห็นชอบของไทย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชนในแนวทางการจัดทำคู่มือข้อกำหนดทางเทคนิคและวิธีการรับส่งข้อความสำหรับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าแบบอิเล็กทรอนิกส์ให้มีแนวทางที่เหมาะสมกับการดำเนินงานของประเทศไทย และไม่เป็นการเพิ่มอุปสรรคทางการค้าให้แก่ผู้ประกอบการ เพื่อให้วิธีการใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าแบบอิเล็กทรอนิกส์สามารถอำนวยความสะดวกทางการค้าภายใต้ระบบ ASEAN Single Window ได้อย่างแท้จริง ไปพิจารณาต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
20685 | การเข้าร่วมโครงการ The ratification and early implementation of the Minamata Convention on Mercury | ทส | 31/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการของบันทึกข้อตกลงโครงการ The ratification and early implementation of the Minamata Convention on Mercury ซึ่งเป็นการดำเนินการเพื่อประเมินกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการปรอท และการเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท การประเมินผลกระทบและผลประโยชน์ รวมทั้งการวิเคราะห์กฎหมายที่จำเป็นสำหรับการเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาฯ การจัดเตรียมแผนการเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาฯ และการจัดประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาฯ โดยหน่วยงาน United Nation Institute for Training and Research (UNITAR) จะให้การสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินโครงการ ๒๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ๑.๒ เห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเข้าร่วมดำเนินโครงการฯ และมอบหมายให้อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในบันทึกข้อตกลงโครงการฯ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เห็นควรพิจารณาเพิ่มหน่วยงานระดับชาติและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับโครงการในภาคผนวก ๑ ให้ครอบคลุมหน่วยงานที่จะมีส่วนสำคัญในช่วงปฏิบัติการตามอนุสัญญาฯ เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีหน้าที่บริหารจัดการขยะที่สามารถเป็นแหล่งปลดปล่อยปรอทที่สำคัญ ทั้งจากซากผลิตภัณฑ์ที่เติมปรอทที่หมดอายุแล้ว และนำมาทิ้งปะปนกับขยะชุมชน ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่เติมปรอทตามที่ระบุในข้อ ๔ และภาคผนวก A และจากการเผาไหม้ขยะชุมชน ตามที่ระบุในข้อ ๘ การปลดปล่อย และภาคผนวก D ของอนุสัญญาฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
20686 | การแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์ และการปรับเขตกงสุลของสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ นครฮัมบูร์ก สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (กระทรวงการต่างประเทศ) [นายชเตฟัน คาร์สเทิน โครห์น (Mr. Stefan Karsten Krohn)] | กต | 31/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๓๒ เฉพาะในส่วนของการกำหนดเขตกงสุลของสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ นครฮัมบูร์ก สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี จากเดิม มีเขตกงสุลครอบคลุมรัฐฮัมบูร์ก ชเลสวิก-โฮสชไตน์ และเบรเมน เป็น มีเขตกงสุลครอบคลุมรัฐฮัมบูร์ก รัฐชเลสวิก-โฮสชไตน์ และรัฐเมคเลนบูร์ก-ฟอร์พอมเมิร์น ๒. แต่งตั้ง นายชเตฟัน คาร์สเทิน โครห์น (Mr. Stefan Karsten Krohn) เป็นกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ นครฮัมบูร์ก สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี แทน นายวูลฟ์กัง เพาล์ แกร์ฮาร์ด โครห์น (Mr. Wolfgang Paul Gerhard Krohn) กงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ฯ ซึ่งลาออกจากตำแหน่ง |
|||||||||||||||||||||
20687 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งราชอาณาจักรไทยและคณะกรรมการยาเสพติดแห่งชาติ แห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซียว่าด้วยความร่วมมือในการควบคุมยาเสพติดวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ และการใช้ยาในทางที่ผิด | ยธ | 31/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งราชอาณาจักรไทยและคณะกรรมการยาเสพติดแห่งชาติแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ว่าด้วยความร่วมมือในการควบคุมยาเสพติด วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ และการใช้ยาในทางที่ผิด (Memorandum of Understanding between the Office of the Narcotics Control Board of the Kingdom of Thailand and the National Narcotics Board of the Republic of Indonesia on the Cooperation in Controlling Narcotic Drugs, Psychotropic Substances, their Precursors and Chemicals, and Drug Abuse) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคีสู่สัญญาในการป้องกันและต่อสู้กับยาเสพติด วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ และการใช้ยาในทางที่ผิด โดยมีขอบเขตความร่วมมือในเรื่องต่าง ๆ เช่น มาตรการลดอุปทานและอุปสงค์ของยาเสพติด การแลกเปลี่ยนประสบการณ์และข้อมูลในเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย วิธีการค้นหาและตรวจยึดยาเสพติดที่ถูกซุกซ่อน รูปแบบการกระทำความผิด ความรู้ด้านเทคโนโลยีใหม่ ๆ กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมสำหรับการควบคุมยาเสพติด การป้องกันการใช้ยาในทางที่ผิด หลักสูตรทางการศึกษาและการรณรงค์ต่อต้านยาเสพติด รูปแบบการบำบัดรักษาและฟื้นฟู การพัฒนาทางเลือก การเสริมสร้างศักยภาพ การฝึกอบรมและการแลกเปลี่ยนการเยือนของผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งความร่วมมือด้านอื่น ๆ ๑.๒ อนุมัติให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดในฐานะหัวหน้าหน่วยงานกลางด้านยาเสพติดของไทยเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
|||||||||||||||||||||
20688 | ขอความเห็นชอบการกู้เงินในประเทศเพื่อเป็นเงินลงทุนสำหรับการลงทุนในแผนงานระยะยาวใหม่ ปี 2559 ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค | มท | 31/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) กู้เงินในประเทศ เพื่อเป็นเงินลงทุนสำหรับการลงทุนในแผนงานระยะยาวใหม่ปี ๒๕๕๙ จำนวน ๑๑ แผนงาน ภายในกรอบวงเงินรวม ๒,๒๒๕ ล้านบาท โดยให้กู้เงินมาดำเนินการได้ตามงบประมาณที่ได้รับอนุมัติในแต่ละปี ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจที่เห็นควรเร่งจัดทำรายละเอียดแผนงานดังกล่าวทั้ง ๑๑ แผนงาน ส่งให้กระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาวิธีการ ตลอดจนเงื่อนไขในการกู้เงินและบรรจุเข้าในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีที่จะดำเนินการต่อไป และให้ กฟภ. ทยอยดำเนินการกู้เงินตามความจำเป็นจนกว่างานจะแล้วเสร็จ รวมทั้งพิจารณากู้เงินเพื่อการลงทุนด้วยความระมัดระวังเพื่อลดความเสี่ยงจากภาระหนี้สินขององค์กรในระยะยาว สำหรับวงเงินกู้ในประเทศที่ยังไม่ได้เสนอขอบรรจุอยู่ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปี ให้ กฟภ. ดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้ กฟภ. พิจารณาความเหมาะสมของการใช้แหล่งเงินทุนของแผนงานในปีต่อ ๆ ไปจากเงินรายได้ของ กฟภ. เป็นหลัก
|
|||||||||||||||||||||
20689 | โครงการขยายเขตไฟฟ้าให้พื้นที่ทำกินทางการเกษตร ระยะที่ 2 | มท | 31/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินโครงการขยายเขตไฟฟ้าให้พื้นที่ทำกินทางการเกษตร ระยะที่ ๒ ในวงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น ๒,๐๓๐ ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ในประเทศ วงเงิน ๑,๕๒๒ ล้านบาท และเงินรายได้ กฟภ. วงเงิน ๕๐๘ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบให้ กฟภ. กู้เงินในประเทศ ภายในกรอบวงเงิน ๑,๕๒๒ ล้านบาท เพื่อเป็นเงินลงทุนของโครงการดังกล่าว โดย กฟภ. จะทยอยดำเนินการกู้เงินตามความจำเป็นจนกว่างานจะแล้วเสร็จ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจความต้องการใช้ไฟฟ้าของเกษตรรายย่อยที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล และสนับสนุนให้เกษตรกรใช้พลังงานทางเลือก เช่น การใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ (Solar cell) ๓. ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเกี่ยวกับการให้ความสำคัญในการวางแผนทางการเงินและการบริหารการลงทุนอย่างรอบคอบ รวมทั้งพิจารณาความเหมาะสมของแหล่งเงินทุน และหากต้องจัดทำโครงการในระยะอื่น ๆ ต่อไป ให้เร่งดำเนินการจัดทำแผนงานและขออนุมัติโครงการล่วงหน้า การเร่งรัดการดำเนินโครงการเพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าของเกษตรกรที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต การเร่งสำรวจจำนวนเกษตรกรที่ไม่มีไฟฟ้าใช้เพื่อประโยชน์ในการประเมินและวางแผนการขยายเขตไฟฟ้าให้กับเกษตรกรในพื้นที่ห่างไกล การศึกษาเปรียบเทียบระหว่างต้นทุนและผลประโยชน์ของการเชื่อมโยงระบบจำหน่ายไฟฟ้าจากระบบหลักกับการพัฒนาระบบผลิตไฟฟ้าภายในพื้นที่ โดยเฉพาะการพัฒนาพลังงานทดแทน การทบทวนหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกเกษตรกรภายใต้โครงการให้มีความสอดคล้องกับความต้องการใช้ไฟฟ้าของเกษตรกรและสามารถเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงระบบไฟฟ้า การสนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพและพัฒนาภาคเกษตรของไทยให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืน การทบทวนแนวทางในการดำเนินมาตรการค่าไฟฟ้าฟรี การกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในกำหนด การสำรวจข้อมูลการมีไฟฟ้าใช้ทั้งในส่วนของพื้นที่ทางการเกษตรและพื้นที่ที่อยู่อาศัยของประชาชนในส่วนภูมิภาคเพื่อนำผลมาเป็นข้อมูลประกอบการวางแผนการจัดหาพลังงานไฟฟ้าให้ครอบคลุมและทั่วถึง การติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการเพื่อนำมาปรับปรุงและพัฒนาโครงการ รวมทั้งการรณรงค์เรื่องการประหยัดพลังงาน เน้นการสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์พลังงานแก่เกษตรกร โดยมีการวางแผนระยะยาวรองรับ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๔. ให้ กฟภ. พิจารณาความเหมาะสมของการใช้แหล่งเงินทุนของโครงการดังกล่าวในปีต่อ ๆ ไป จากเงินรายได้ของ กฟภ. เป็นหลัก |
|||||||||||||||||||||
20690 | การลดหย่อนค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม | กษ | 31/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการลดหย่อนค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ตามอัตราการเรียกเก็บค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมให้เหลือในอัตราร้อยละ ๐.๐๑ ตามราคาประเมินทุนทรัพย์ ออกไปจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ ตามที่ระบุไว้ในร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษตามประมวลกฎหมายที่ดินสำหรับกรณีการโอนอสังหาริมทรัพย์ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งพิจารณาและผลักดันให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ เพื่อให้สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) และคู่สัญญาที่ทำนิติกรรมกับ ส.ป.ก. ได้รับยกเว้นภาษีอากรและค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ไปพิจารณาต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
20691 | การขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันตามมาตรา 23 วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (โครงการบริหารจัดการระบบการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และโครงการตรวจสอบการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559) | กค | 31/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กรมบัญชีกลางทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันโครงการบริหารจัดการระบบการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และโครงการตรวจสอบการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ก่อนได้รับเงินประจำงวด ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
20692 | ขออนุมัติหลักการและวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือเกี่ยวกับที่ดินให้แก่ราษฎรผู้ถือครองและทำประโยชน์ในที่ดินที่หน่วยราชการดูแล เนื่องในการสร้าง ทางหลวง | คค | 31/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๔๑ (เรื่อง ขออนุมัติหลักการเกี่ยวกับการจ่ายเงินช่วยเหลือค่ารื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ค่าทดแทนต้นไม้ยืนต้นและพืชล้มลุกให้ราษฎรในที่ดินที่หน่วยราชการอื่นดูแล เนื่องในการสร้างทางหลวง) โดยให้ปรับปรุงหลักการและวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือเกี่ยวกับที่ดินให้แก่ราษฎรผู้ถือครองและทำประโยชน์ในที่ดินที่หน่วยราชการดูแล เนื่องในการสร้างทางหลวง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ จัดให้มีการรังวัดทำแผนที่ที่ดินที่จะต้องใช้ในโครงการและสำรวจรายชื่อผู้ที่ครอบครองหรือใช้ประโยชน์ในที่ดินแต่ละราย พร้อมทั้งคำนวณเนื้อที่ที่ดินที่อยู่ในโครงการทุกแปลง ๑.๒ แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธานกรรมการ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด นายอำเภอท้องที่ ธนารักษ์พื้นที่ และผู้แทนส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เป็นกรรมการ โดยมีผู้แทนกรมทางหลวง เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่กำกับ ควบคุม และกำหนดแนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับการจ่ายเงินค่าชดเชยที่ดิน ค่าขนย้าย ค่ารื้อย้ายอาคาร บ้านเรือน สิ่งปลูกสร้าง ต้นไม้ยืนต้น พืชล้มลุก ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการของกรมทางหลวง รวมทั้งกำหนดราคาค่าชดเชยที่ดิน ค่าขนย้าย ค่ารื้อย้ายอาคาร บ้านเรือน สิ่งปลูกสร้าง ต้นไม้ยืนต้น พืชล้มลุก ให้แก่ราษฎรผู้ถือครองที่ดินโดยไม่มีเอกสารสิทธิซึ่งได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างทางหลวง ตลอดจนประสานงานและขอความร่วมมือจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินการเกี่ยวกับการจ่ายเงินค่าชดเชยที่ดิน ค่าขนย้าย ค่ารื้อย้ายอาคาร บ้านเรือน สิ่งปลูกสร้าง ต้นไม้ยืนต้น พืชล้มลุก เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ๑.๓ เงื่อนไขการจ่ายเงินช่วยเหลือ (๑) ต้องไม่เป็นผู้บุกรุกที่ดินของรัฐ หรือผู้ครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (๒) ต้องครอบครองหรือทำประโยชน์ในที่ดินก่อนที่จะมีโครงการก่อสร้าง (๓) ในกรณีที่หน่วยราชการใด ซึ่งเป็นผู้ดูแล หรือใช้ประโยชน์ในที่ดิน มีกฎหมาย ระเบียบ คำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย เกี่ยวกับการจ่ายเงินให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างทางหลวงก็ให้นำกฎหมาย ระเบียบ คำสั่งนั้น ๆ มาพิจารณาในการจ่ายเงินช่วยเหลือด้วย และ (๔) สำหรับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๔๑ ส่วนใดที่ขัดหรือแย้งกับขั้นตอนการดำเนินการในครั้งนี้ ให้ใช้ขั้นตอนการดำเนินการที่เสนอในครั้งนี้แทน ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับที่ดินซึ่งสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมถือกรรมสิทธิ์ยังมีสถานะเป็นที่ดินของรัฐ ควรแก้ไขคำว่า “ค่าชดเชยที่ดิน” ที่ปรากฏในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการเป็นถ้อยคำอื่นตามความเหมาะสม และเห็นควรดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง และต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมตามที่เสนอในรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และเห็นควรให้กรมทางหลวงเร่งพิจารณาจัดทำหลักเกณฑ์และวิธีการ รวมทั้งมาตรฐานการคำนวณค่าทดแทนต่าง ๆ ที่เหมาะสม และเป็นธรรม สอดคล้องกับสภาพถือครองที่ดิน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงบประมาณ เรื่อง แนวทางปฏิบัติการพิสูจน์ความถูกต้องจากภาพถ่ายทางอากาศตามมาตรการของคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐและการตรวจสอบเอกสารสิทธิของราษฎรที่นำมาอ้างอิงให้ถูกต้องตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๓๒, และ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๓ โดยคำนึงถึงค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการ |
|||||||||||||||||||||
20693 | การโอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุคืนให้แก่ผู้ยกให้ ราย พระธรรมเสนานุวัตร | กค | 31/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุ แปลง น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๕๖๗ ๕๖๘ และ ๓๓๑๙ ตำบลวังพิกุล อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก เนื้อที่ประมาณ ๒๕-๐-๗๗ ไร่ คืนให้แก่ พระธรรมเสนานุวัตร ผู้ยกให้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
20694 | รายงานผลความคืบหน้าของการดำเนินการตามโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ | มท | 31/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานผลความคืบหน้าของการดำเนินการตามโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ สรุปได้ ดังนี้
๑. สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นให้แก่จังหวัด โดยให้ที่ทำการปกครองจังหวัดเป็นหน่วยเบิกจ่ายให้แก่หมู่บ้าน ๆ ละ ๒๐๐,๐๐๐ บาท งบประมาณทั้งสิ้น ๑๔,๙๑๗,๖๐๐,๐๐๐ บาท และจัดสรรงบประมาณให้แก่กรมการปกครองสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการให้แก่ส่วนกลาง จังหวัด อำเภอ และหมู่บ้าน งบประมาณทั้งสิ้น ๘๒,๔๐๐,๐๐๐ บาท และกรมการปกครองได้โอนจัดสรรให้แก่จังหวัด อำเภอ และหมู่บ้าน เรียบร้อยแล้ว โดยในส่วนของกระทรวงการคลังได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเบิกจ่ายงบประมาณให้จังหวัดถือปฏิบัติ อีกทั้งกระทรวงมหาดไทย โดยกรมการปกครองได้เน้นย้ำให้จังหวัดถือปฏิบัติตามหนังสือกระทรวงการคลังอย่างเคร่งครัด ๒. ผลการดำเนินการตามโครงการฯ ณ วันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๙ หมู่บ้านได้ดำเนินการจัดการประชุมประชาคมเพื่อเสนอโครงการของหมู่บ้าน จำนวนทั้งสิ้น ๗๔,๕๘๘ หมู่บ้าน คิดเป็นร้อยละ ๑๐๐ ของหมู่บ้านทั้งหมด จำนวนโครงการที่หมู่บ้านเสนอให้คณะกรรมการบริหารงานอำเภอและหน่วยงานในพื้นที่พิจารณาอนุมัติแล้ว จำนวน ๘๔,๖๕๙ โครงการ หมู่บ้านได้ดำเนินการเปิดบัญชีโครงการของหมู่บ้านแล้ว จำนวน ๗๔,๑๙๙ หมู่บ้าน คิดเป็นร้อยละ ๙๙.๔๘ ของหมู่บ้านทั้งหมด อยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน ๘๕๕ หมู่บ้าน คิดเป็นร้อยละ ๐.๕๒ ของหมู่บ้านทั้งหมด และจำนวนโครงการที่คณะกรรมการบริหารงานอำเภอและหน่วยงานในพื้นที่พิจารณาอนุมัติแล้ว จำนวน ๘๓,๓๙๓ โครงการ คิดเป็นร้อยละ ๘๑.๔๕ ๓. ผลการดำเนินการที่สามารถดำเนินการได้ก่อนกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในขั้นตอน ได้แก่ จำนวนโครงการที่ได้รับความเห็นชอบของผู้ว่าราชการจังหวัดแล้ว จำนวน ๔๖,๑๕๑ โครงการ คิดเป็นร้อยละ ๗๐.๑๘ จากจำนวนโครงการที่อำเภอส่งให้จังหวัด และจำนวนโครงการที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักจัดทำงบประมาณเขตพื้นที่ ๑-๑๘ แล้ว จำนวน ๒,๐๔๒ โครงการ คิดเป็นร้อยละ ๕.๕๕ จากจำนวนโครงการที่จังหวัดส่งให้สำนักจัดทำงบประมาณเขตพื้นที่ ๑-๑๘
|
|||||||||||||||||||||
20695 | การทบทวนกลไกการดำเนินการในกรอบอาเซียน | กต | 31/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานผลการจัดทำแนวทางทบทวนกลไกในการขับเคลื่อนการดำเนินการในกรอบอาเซียนที่ได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีแล้ว โดยนำคณะกรรมการอาเซียนแห่งชาติที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นประธาน ซึ่งมีอยู่แล้วตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๕๗ กลับมาใช้เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนการดำเนินการในกรอบอาเซียน โดยมีการประสานงานเรื่องแผนงาน/โครงการที่เกี่ยวข้องกับประชาคมอาเซียนกับรองนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณากลั่นกรองก่อนที่จะนำเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีสมัยพิเศษ (เป็นการประชุมต่อเนื่องภายหลังจากการประชุมคณะรัฐมนตรีปกติ โดยอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วยได้และจะหารือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอาเซียน) พิจารณาให้ความเห็นชอบ หลังจากนั้น คณะกรรมการอาเซียนจะประสานกับคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินให้ช่วยขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการดังกล่าว เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางของนายกรัฐมนตรีที่จะให้รองนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการกลั่นกรองและขับเคลื่อนแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ในกรอบอาเซียน ทั้งนี้ แนวทางดังกล่าวมีจุดแข็ง คือ มีความคล่องตัวในการประสานงานสูง และเน้นบทบาทของรองนายกรัฐมนตรีในการช่วยกลั่นกรองและเร่งรัดติดตามการดำเนินการต่าง ๆ ในกรอบอาเซียน โดยใช้ประโยชน์จากกลไกที่มีอยู่แล้ว จึงสามารถช่วยลดความซ้ำซ้อนของกลไกและไม่เป็นการเพิ่มภาระให้แก่รองนายกรัฐมนตรี
|
|||||||||||||||||||||
20696 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่าย งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 เพื่อเป็นค่าปรับปรุงเพิ่มเติม อาคารที่ทำการศาลปกครองนครสวรรค์ | นร07 | 31/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี จำนวน ๔๔,๒๖๓,๓๐๐ บาท ให้สำนักงานศาลปกครองเพื่อเป็นค่าปรับปรุงเพิ่มเติมและค่าควบคุมงานอาคารที่ทำการศาลปกครองนครสวรรค์ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
20697 | เงินช่วยเหลือเบื้องต้นกรณีผู้ให้บริการได้รับความเสียหายจากการให้บริการสาธารณสุข | สธ | 31/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้มีการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นกรณีผู้ให้บริการได้รับความเสียหายจากการให้บริการสาธารณสุข ซึ่งสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๐ งบอุดหนุน (เงินอุดหนุนทั่วไป) รายการเงินช่วยเหลือเบื้องต้นกรณีผู้ให้บริการได้รับความเสียหายจากการให้บริการสาธารณสุข จำนวน ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นเงินชดเชยแก่ผู้ให้บริการของหน่วยบริการที่ได้รับความเสียหายจากการให้บริการ ภายหลังจากมีการจัดทำระเบียบหลักเกณฑ์รองรับการจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยให้กระทรวงสาธารณสุขหารือร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่มีภารกิจในการให้บริการสาธารณสุขและเร่งรัดการจัดทำระเบียบหลักเกณฑ์เพื่อรองรับการจ่ายเงินตามขั้นตอนของกฎหมาย ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรจัดเตรียมแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม รวมทั้งพิจารณาตรวจสอบการเสนอขอตั้งงบประมาณมิให้เกิดความซ้ำซ้อนกับการเสนอขอตั้งงบประมาณของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
20698 | ร่างแผนบริหารจัดการชายแดนด้านความมั่นคง (พ.ศ. 2559 - 2564) | นร08 | 31/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบร่างแผนบริหารจัดการชายแดนด้านความมั่นคง (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔) ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ วิสัยทัศน์ “พื้นที่ชายแดนเป็นพื้นที่ที่มีความมั่นคง ปลอดภัย และสามารถพัฒนาได้อย่างยั่งยืน” ๑.๒ แนวทางการดำเนินงานตามแผนฯ ได้แก่ (๑) จัดระบบป้องกันพื้นที่ชายแดน (๒) พัฒนาระบบการแจ้งเตือนภัยความมั่นคง (๓) จัดทำการเชื่อมโยงฐานข้อมูลการสัญจรข้ามแดนประกอบด้วยสินค้า และยานพาหนะ (๔) พัฒนาระบบการสัญจรข้ามแดนให้สามารถป้องกันและควบคุมการลักลอบเข้าเมือง และปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ (๕) จัดระบบแรงงานต่างด้าวข้ามแดน (๖) พัฒนาระบบการตรวจโรคระบาดและระบบส่งต่อผู้ป่วยข้ามพรมแดน (๗) ดำเนินการจัดระเบียบพื้นที่ที่มีเงื่อนไขของปัญหาความมั่นคงหรือควบคุมการใช้พื้นที่ที่มีปัญหาเส้นเขตแดนทับซ้อน (๘) พัฒนาระบบการข่าว (๙) สนับสนุนและพัฒนาปฏิบัติการจิตวิทยาในพื้นที่ชายแดน และ (๑๐) จัดเฝ้าตรวจพื้นที่ชายฝั่งทะเล ๑.๓ กลไกการบริหารจัดการ ได้แก่ (๑) ระยะปีแรก (ปี ๒๕๕๙) ให้คณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการชายแดนเพื่อรองรับการรวมเป็นประชาคมอาเซียนภายใต้คณะกรรมการร้อยกรองงานของสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นหน่วยขับเคลื่อนการดำเนินการ และ (๒) ระยะตั้งแต่ปี ๒๕๖๐ เป็นต้นไป สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ โดยคณะกรรมการร้อยกรองงานของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ประสานงานกระทรวง กรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันกำหนดองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะทำงาน นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ/มอบหมายให้หน่วยรับผิดชอบดำเนินการต่อไป ๒. ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรขยายการเชื่อมโยงฐานข้อมูลการสัญจรข้ามแดนไปยังฐานข้อมูลบุคคลข้ามแดน และควรพัฒนาระบบการตรวจโรคระบาดและระบบส่งต่อผู้ป่วยข้ามพรมแดนให้มีความครอบคลุมไปถึงการเก็บข้อมูลของบุคคลและอาการต่าง ๆ ที่อาจสงสัยว่าจะเป็นโรคระบาด รวมทั้งควรกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบหลักที่มีความพร้อมทั้งบทบาท ภารกิจ บุคลากรและงบประมาณ เพื่อให้การดำเนินงานระหว่างหน่วยงานรับผิดชอบหลักและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น เป็นไปตามแผนดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
20699 | รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ งานจ้างก่อสร้างอุโมงค์ส่งน้ำ และอาคารประกอบพร้อมส่วนประกอบอื่น อุโมงค์ส่งน้ำช่วงแม่แตง - แม่งัด สัญญาที่ 1 และสัญญาที่ 2 โครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จังหวัดเชียงใหม่ | กษ | 31/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ งานจ้างก่อสร้างอุโมงค์ส่งน้ำ และอาคารประกอบพร้อมส่วนประกอบอื่น อุโมงค์ส่งน้ำช่วงแม่แตง-แม่งัด สัญญาที่ ๑ วงเงิน ๒,๘๕๗,๔๑๓,๔๕๐ บาท และสัญญาที่ ๒ โครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จังหวัดเชียงใหม่ วงเงิน ๒,๑๓๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งกรมชลประทานได้ดำเนินการประกวดราคาจ้างก่อสร้างโครงการแล้ว โดยผลการประกวดราคาต่ำกว่าวงเงินตามกรอบมติคณะรัฐมนตรีและราคากลาง และไม่เกินวงเงินที่สำนักงบประมาณได้ให้ความเห็นชอบความเหมาะสมของราคาค่าก่อสร้างไว้ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ติดตามความก้าวหน้างานจ้างก่อสร้างอุโมงค์ส่งน้ำ และอาคารประกอบพร้อมส่วนประกอบอื่น อุโมงค์ส่งน้ำช่วงแม่แตง-แม่งัด สัญญาที่ ๑ และสัญญาที่ ๒ โครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จังหวัดเชียงใหม่ โดยให้เร่งดำเนินโครงการดังกล่าว รวมทั้งเร่งรัดดำเนินโครงการที่ได้รับงบประมาณสำหรับการเพิ่มการเก็บกักน้ำในพื้นที่ต่าง ๆ เช่น ลุ่มน้ำมูล ลุ่มน้ำชี ให้เห็นเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๖๐ ด้วย |
|||||||||||||||||||||
20700 | การปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศ (ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....) | กค | 31/05/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศ และอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศ เกี่ยวกับเงื่อนไขให้การลงทุนในทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรและอาคารถาวรที่จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๖๐๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ จากต้องได้เครื่องจักรหรืออาคารถาวรนั้นมาและอยู่ในสภาพพร้อมใช้การได้ตามประสงค์ภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ เป็นไม่จำเป็นต้องได้เครื่องจักรหรืออาคารถาวรนั้นมาและอยู่ในสภาพพร้อมใช้การได้ตามประสงค์ภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
.....