ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1033 จากทั้งหมด 6215 หน้า แสดงรายการที่ 20641 - 20660 จากข้อมูลทั้งหมด 124293 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
20641 | ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร07 | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว พร้อมเอกสารประกอบงบประมาณ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นเรื่องด่วนต่อไป ๒. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) |
||||||||||||||||||||||||
20642 | การตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร07 | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๕๐ ท่าน โดยกำหนดสัดส่วนของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เป็นกรรมาธิการที่คณะรัฐมนตรีเสนอชื่อจำนวนไม่เกิน ๑ ใน ๕ ของคณะกรรมาธิการฯ หรือจำนวนไม่เกิน ๑๐ ท่าน และกรรมาธิการในสัดส่วนสภานิติบัญญัติแห่งชาติ จำนวน ๔๐ ท่าน ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ทั้งนี้ ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
|
||||||||||||||||||||||||
20643 | แต่งตั้งผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค (นายเสรี ศุภราทิตย์) | มท | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนาย เสรี ศุภราทิตย์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค ตามมติคณะกรรมการการประปาส่วนภูมิภาค ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๙ ส่วนค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์อื่น รวมทั้งเงื่อนไขการจ้างและการประเมินผลการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
|
||||||||||||||||||||||||
20644 | การรับโอนข้าราชการมาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี (นายรังสรรค์ มณีเล็ก) | นร | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรับโอน นายรังสรรค์ มณีเล็ก ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๙/๒๕๕๘ ลงวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๘ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
20645 | รายงานผลการเบิกจ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | นร07 | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเบิกจ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘-๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ตามที่สำนักงบประมาณและกรมบัญชีกลางเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบประมาณทั้งสิ้น ๒,๗๒๐,๐๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว ๑,๗๘๙,๐๗๖ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๕.๗๗ เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๙ จำนวน ๑๖๘,๐๘๙ ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายร้อยละ ๐.๗๗ (เป้าหมายภาพรวม ร้อยละ ๖๕.๐๐) ประกอบด้วย รายจ่ายประจำ จำนวน ๒,๑๗๕,๖๔๖ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑,๕๖๓,๘๑๑ ล้านบาท หรือร้อยละ ๗๑.๘๘ และรายจ่ายลงทุน จำนวน ๕๔๔,๓๕๔ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒๒๕,๒๖๕ ล้านบาท หรือร้อยละ ๔๑.๓๘ ๒. งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบประมาณทั้งสิ้น ๕๖,๐๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว ๑๐,๗๗๔ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๙.๒๔ ประกอบด้วย รายจ่ายประจำ จำนวน ๔๑,๐๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑๐,๗๑๐ ล้านบาท หรือร้อยละ ๒๖.๑๒ และรายจ่ายลงทุน จำนวน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๖๔ ล้านบาท หรือร้อยละ ๐.๔๓ ๓. เงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี พ.ศ. ๒๕๔๙-๒๕๕๘ รวมทั้งสิ้น ๓๐๗,๘๕๑ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑๘๔,๐๔๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕๙.๗๘ เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๙ จำนวน ๑๒,๘๙๙ ล้านบาท มีการก่อหนี้แล้ว จำนวน ๒๖๔,๑๓๑ ล้านบาท หรือร้อยละ ๘๕.๘๐ ๔. นโยบายสำคัญของรัฐบาล ๔.๑ โครงการตามมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล (ตำบลละ ๕ ล้านบาท) จัดสรรงบประมาณให้กระทรวงมหาดไทย (จังหวัด) แล้ว จำนวน ๓๖,๔๖๒ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒๘,๙๕๘ ล้านบาท หรือร้อยละ ๗๙.๔๒ มีการก่อหนี้แล้ว จำนวน ๓๔,๕๘๑ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๔.๘๔ ๔.๒ มาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ กรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ รวมทั้งสิ้น ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท จัดสรรงบประมาณแล้ว จำนวน ๓๗,๙๐๗ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว ๓๓,๓๒๑ ล้านบาท หรือร้อยละ ๘๗.๙๐ มีการก่อหนี้แล้ว จำนวน ๓๔,๔๖๘ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๐.๙๓ ๔.๓ โครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ (หมู่บ้านละ ๒ แสนบาท) จัดสรรงบประมาณแล้ว จำนวน ๑๔,๙๑๘ ล้านบาท โอนจัดสรรงบประมาณเข้าบัญชีหมู่บ้านแล้ว จำนวน ๑,๑๒๖ ล้านบาท หรือร้อยละ ๗.๕๕ และหมู่บ้านเบิกจ่ายแล้ว ๑๘ โครงการ จำนวน ๓ ล้านบาท ๕. เงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจ (ที่ไม่ได้เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณ) แผนการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ (ที่ไม่ได้เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณ) จำนวน ๓๐๐,๕๓๐ ล้านบาท ณ สิ้นเดือนเมษายน ๒๕๕๙ เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๗๑,๙๖๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๒๓.๙๕ ของแผนการลงทุนทั้งปี |
||||||||||||||||||||||||
20646 | การยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2559 เรื่อง รายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริง และการแก้ปัญหาสุขภาพและสิ่งแวดล้อมจากการทำเหมืองแร่ของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) | อก | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๙ เรื่อง รายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงและการแก้ไขปัญหาสุขภาพและสิ่งแวดล้อมจากการทำเหมืองแร่ของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นการรายงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับผลการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้ง ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพจากการทำเหมืองแร่ทองคำของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ในรูปแบบวีดิทัศน์ โดยไม่มีเอกสารเสนอคณะรัฐมนตรี จึงให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวและมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรายงานในรูปแบบวีดิทัศน์ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบเกี่ยวกับการดำเนินการของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้ง ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพจากการทำเหมืองแร่ทองคำของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ให้เป็นที่เข้าใจอย่างถูกต้องตรงกัน ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเรื่องนี้ให้เป็นไปตามข้อกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
20647 | วีดิทัศน์เรื่อง รายงานการกล่าวสุนทรพจน์ของนายกรัฐมนตรีในการประชุม "SEP in Business : G77 Forum on the Implementation of the Sustainable Development Goals" | อื่นๆ | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรายงานด้วยวีดิทัศน์เกี่ยวกับการกล่าวสุนทรพจน์ของนายกรัฐมนตรีในการประชุม “SEP in Business : G77 Forum on the Implementation of the Sustainable Development Goals” ณ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๙ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ นายกรัฐมนตรีได้เปิดการประชุมประเทศสมาชิกกลุ่ม ๗๗ และนำเสนอเกี่ยวกับการใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสำหรับภาคธุรกิจ โดยย้ำถึงความสำคัญของการส่งเสริมหุ้นส่วนความร่วมมือระดับโลกโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยเฉพาะความร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) และย้ำถึงความพร้อมของไทยที่จะแบ่งปันประสบการณ์แก่ประเทศต่าง ๆ ในการพัฒนาประเทศตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยส่งเสริมการบริหารจัดการที่ยั่งยืนในภาคธุรกิจ ตลอดจนแลกเปลี่ยนประสบการณ์การปฏิรูประบบโครงสร้างทางเศรษฐกิจสู่โมเดล “ประเทศไทย 4.0” เพื่อหลุดพ้นจาก “กับดักรายได้ปานกลาง” โดยใช้พลังกลไก “ประชารัฐ” ๑.๒ ที่ประชุมเห็นว่า แนวทางการพัฒนาประเทศตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมีความสอดคล้องกับ SDGs จึงสนับสนุนให้มีการนำไปปรับใช้ในประเทศต่าง ๆ ๑.๓ กิจกรรมอื่น ๆ เช่น (๑) การจัดเสวนาเกี่ยวกับการนำแนวทางการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในภาคธุรกิจโดยเฉพาะในบริษัทขนาดใหญ่ และ (๒) การจัดนิทรรศการอย่างมีส่วนร่วมในลักษณะ “World Cafe” ของมูลนิธิมั่นพัฒนา เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้มีโอกาสเรียนรู้และแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กที่ประสบความสำเร็จจากการนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในการดำเนินการ ๑.๔ ในเดือนกันยายน ๒๕๕๙ ประเทศไทยจะจัดการประชุมด้านเศรษฐกิจพอเพียงในระดับรัฐมนตรีกลุ่มประเทศ ๗๗ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งประเทศไทยมุ่งมั่นที่จะผลักดันให้มีการบรรจุหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในร่างปฏิญญาของรัฐมนตรีกลุ่มประเทศ ๗๗ ด้วย ๒. นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำข้อมูลและแนวทางในการนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ที่องค์การสหประชาชาติใช้กำหนดทิศทางการพัฒนาของโลกในอีก ๑๕ ปีข้างหน้า (ค.ศ. ๒๐๑๖-๒๐๓๐) และแจ้งให้ส่วนราชการทราบและดำเนินการให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
20648 | ข้อคิดเห็นของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี | อื่นๆ | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลและการบริหารราชการแผ่นดินของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ดังนี้
๑. รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) รายงานว่า คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ ๑ (ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และระบบการศึกษา) ได้จัดทำแผนการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และระบบการศึกษา ได้แก่ ๑.๑ ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทุกช่วงวัย มีเป้าหมายให้คนไทยในอนาคตต้องมีศักยภาพเพียงพอ มีความมั่นคงในชีวิต มีครอบครัวที่อยู่ดีมีสุข ทุกภาคส่วนร่วมมือและรับผิดชอบต่อสังคม มีตัวชี้วัดในการประเมินและติดตาม ครอบคลุมเด็กและเยาวชน สตรีและครอบครัว คนพิการ ผู้สูงอายุ คนไร้ที่พึ่ง/ขอทาน/ผู้ด้อยโอกาส ๑.๒ ด้านการศึกษา มีเป้าหมายพัฒนาระบบการศึกษาที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ ประชากรทุกช่วงวัยเข้าถึงโอกาสและความเสมอภาค ผู้เรียนแต่ละระดับได้รับการพัฒนาขีดความสามารถ มีทรัพยากรและทุนเพียงพอ มีระบบบริหารและจัดการที่มีประสิทธิภาพ ๑.๓ ด้านแรงงาน มีเป้าหมายในการจัดหา คุ้มครอง พัฒนา และสร้างหลักประกันให้แก่แรงงาน เพื่อให้คนไทยมีงานทำ มีทักษะฝีมือ มีรายได้สูง ได้รับการคุ้มครองและมีหลักประกัน ๑.๔ ด้านปัจจัยแวดล้อม ประกอบด้วยด้านสังคม เช่น การเข้าสู่สังคมสูงวัยของโลก การพัฒนาศักยภาพและระดับคุณภาพชีวิตให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฐานความรู้ ด้านเศรษฐกิจ เช่น การค้ามีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปสู่การค้าเสรีมากขึ้น มีการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี เช่น การเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม ๔.๐ ด้านการบริหารจัดการภาครัฐ เช่น บทบาทประเทศมหาอำนาจในภูมิภาคอาเซียน การสรรหาและพัฒนาข้าราชการที่มีคุณภาพทดแทนข้าราชการที่เกษียณอายุ เป็นต้น ๒. รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รายงานเกี่ยวกับการขับเคลื่อนงานด้านกฎหมาย ระบบราชการ กระบวนการยุติธรรม ได้แก่ ๒.๑ ด้านกฎหมาย ได้ดำเนินการเร่งรัดการออกกฎหมายโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบแล้ว จำนวน ๑๗๒ ฉบับ และดำเนินการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าหรือเร่งด่วนทางบริหารหรือนิติบัญญัติ โดยออกเป็นคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติซึ่งใช้อำนาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ รวมทั้งขับเคลื่อนกฎหมายสำคัญทางด้านกฎหมายเศรษฐกิจ กฎหมายที่ออกตามพันธกรณีระหว่างประเทศ กฎหมายที่ลดความเหลื่อมล้ำ กฎหมายเกี่ยวกับสวัสดิการ มนุษยธรรมและแก้ปัญหาสังคม กฎหมายเกี่ยวกับการรักษาความสงบเรียบร้อย ๒.๒ ด้านระบบราชการ ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาระบบราชการ โดยให้มีการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายทุก ๕ ปีที่กฎหมายใช้บังคับ ตามพระราชกฤษฎีกาการทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๕๘ รวมทั้งวางหลักเกณฑ์ในการจัดทำแบบตรวจสอบความจำเป็นในการตราพระราชบัญญัติ (Checklist) รวม ๑๐ ประการ และเพิ่มประสิทธิภาพในระบบราชการ โดยออกพระราชบัญญัติอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ ๒.๓ ด้านกระบวนการยุติธรรม ได้มีการเร่งรัดนำคดีที่คั่งค้างเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แก้ไขปัญหาด้านวิธีพิจารณาคดีให้รวดเร็วขึ้น โดยแก้ไขให้มีการโอนคดีได้ การให้คดีแพ่งสิ้นสุดในศาลอุทธรณ์ ให้มีการจัดตั้งแผนกคดีค้ามนุษย์ ยาเสพติด และให้มีการจัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ รวมทั้งให้มีกองทุนยุติธรรมขึ้นเพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับใช้จ่ายเกี่ยวกับการช่วยเหลือประชาชนในการดำเนินคดี ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรายงานว่า ตามที่ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้อาคารในพื้นที่ต่าง ๆ เช่น กรณีการเกิดเพลิงไหม้อาคาร ๗ ชั้น บริเวณซอยนราธิวาสราชนครินทร์ ๑๘ กรุงเทพมหานคร และกรณีเพลิงไหม้ที่พักนักเรียนหญิง โรงเรียนพิทักษ์เกียรติวิทยา อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ก่อให้เกิดความเสียหายต่อร่างกาย ชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนเป็นจำนวนมาก จากการตรวจสอบพบว่า อาคารที่เกิดเพลิงไหม้ส่วนใหญ่ไม่มีระบบป้องกันหรือระงับอัคคีภัย ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้มีมาตรการด้านต่าง ๆ เกี่ยวกับความปลอดภัยด้านอัคคีภัยในอาคาร ได้แก่ ๓.๑ มีกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมอาคารซึ่งจะบังคับใช้ในพื้นที่ที่กฎหมายกำหนด ๓.๒ การกำหนดประเภทของอาคารที่ต้องตรวจสอบ ๙ ประเภท เช่น อาคารสูง อาคารขนาดใหญ่พิเศษ อาคารชุมนุมคน ซึ่งจะต้องจัดให้มีการตรวจสอบอาคารทุกปีและตรวจสอบใหญ่ในทุก ๕ ปี ตลอดอายุการใช้งาน หากผลการตรวจสอบไม่ผ่านหลักเกณฑ์จะต้องปรับปรุงแก้ไขอาคารเพื่อให้มีความปลอดภัยต่อการใช้งานได้ตามเกณฑ์มาตรฐานต่อไป กรณีมีการฝ่าฝืนกฎหมายได้กำหนดบทลงโทษไว้ ๓.๓ พื้นที่นอกเขตควบคุมอาคารที่ต้องตรวจสอบมี ๔ ประเภท ได้แก่ อาคารสูง อาคารขนาดใหญ่พิเศษ อาคารชุมนุมคน และโรงมหรสพ ไม่ว่าจะตั้งอยู่ที่ใดให้ถือว่าเป็นพื้นที่บังคับใช้กฎหมายควบคุมอาคารด้วย ๓.๔ กระทรวงมหาดไทยได้สั่งการให้ทุกจังหวัดและกรุงเทพมหานครให้แจ้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งให้สำรวจและแจ้งให้เจ้าของอาคารที่เข้าข่ายต้องตรวจสอบตามกฎหมายดำเนินการตรวจสอบอาคารให้แล้วเสร็จทั้งหมดโดยเร็ว และรายงานผลให้กระทรวงมหาดไทยทราบภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๙ ๓.๕ กรณีอาคารอื่น ๆ ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ดัดแปลงหรือรื้อถอนอาคาร ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นติดตามตรวจสอบให้เป็นไปตามกฎหมาย หากพบการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่อย่างเคร่งครัดต่อไป ๓.๖ กรณีอาคารเก่าที่เป็นอาคารสาธารณะ หรืออาคารที่มีผู้ใช้สอยจำนวนมาก ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นสำรวจและตรวจสอบอาคาร หากพบว่ามีสภาพไม่ปลอดภัยให้สั่งให้แก้ไขอาคารหรือระบบอุปกรณ์ให้มีความปลอดภัยหรือห้ามใช้อาคารได้ ๓.๗ ให้กระทรวงมหาดไทยสั่งการทุกจังหวัดกำชับเจ้าพนักงานท้องถิ่นตรวจสอบอาคารอย่างสม่ำเสมอทุกปี โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลต่าง ๆ ที่อาจเกิดเหตุสาธารณภัย เช่น อัคคีภัยและวาตภัย ทั้งนี้ เพื่อให้การปฏิบัติงานเกิดประสิทธิภาพและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
|
||||||||||||||||||||||||
20649 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ดังนี้
๑. ให้ทุกส่วนราชการน้อมนำพระราชดำรัสสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เกี่ยวกับการทำนุบำรุงและพัฒนาแหล่งน้ำและป่าไม้ไปดำเนินการขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและสร้างการรับรู้แก่สาธารณชนต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการกำหนดมาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าภายในประเทศ เพื่อให้สามารถนำรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ามาใช้ได้จริงภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๙ ทั้งนี้ ในระยะแรกอาจให้เดินรถภายในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลก่อน โดยให้คำนึงถึงความสะดวกปลอดภัยของประชาชนผู้ใช้บริการเป็นสำคัญด้วย ๓. ให้กระทรวงยุติธรรมร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการของหน่วยงาน กรณีขบวนการทำรถยนต์จดประกอบ ให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย และระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง และให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว ๔. ให้กระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรฐานอาชีพให้ครอบคลุมทุกอาชีพที่มีลักษณะการปฏิบัติงานที่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนและนักท่องเที่ยว เช่น ผู้ให้บริการหรือผู้ควบคุมเครื่องเล่น ผู้ขับขี่ยานพาหนะสาธารณะ ทั้งนี้ ในส่วนอาชีพที่มีการกำหนดมาตรฐานอาชีพอยู่แล้วให้พิจารณายกระดับมาตรฐานอาชีพตามความเหมาะสม รวมทั้งมีมาตรการในการบังคับใช้อย่างเคร่งครัดต่อไป เพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยวผู้ใช้บริการเป็นสำคัญ
|
||||||||||||||||||||||||
20650 | วีดิทัศน์ เรื่อง รายงานผลการจัดงานแสดงสินค้าอาหาร 2559 (THAIFEX 2016) | พณ | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รายงานด้วยวีดิทัศน์เรื่อง รายงานผลการจัดงานแสดงสินค้าอาหาร ๒๕๕๙ (THAIFEX 2016) ว่า กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศร่วมกับหอการค้าไทยและโคโลญเมซเซ (Koelnmesse) สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ได้จัดงาน THAIFEX-World of Food Asia 2016 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ ๓ ของเอเชีย ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าของอุตสาหกรรมอาหารไทยในตลาดโลก มีผู้เข้าแสดงสินค้า ๑,๙๑๙ บริษัท ในจำนวนนี้เป็นผู้เข้าร่วมงานจากต่างประเทศ ๔๐ ประเทศ ภายในงานจัดแบ่งพื้นที่ออกเป็น ๕ กลุ่มสินค้าหลัก ได้แก่ (๑) อาหารและเครื่องดื่มทุกประเภท รวมทั้งสินค้าอาหารฮาลาลและสินค้าเกษตรอินทรีย์ (๒) เทคโนโลยีการผลิตอาหาร (๓) การบริการจัดเลี้ยงและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง (๔) ธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับอาหารและเครื่องดื่ม และ (๕) ธุรกิจค้าปลีกอาหารและแฟรนไชส์ ทั้งนี้ ตลอดการจัดงานทั้ง ๕ วัน มีผู้เข้าชมงานประมาณ ๑๕๐,๐๐๐ คน จาก ๙๐ ประเทศ มีการจับคู่เจรจาธุรกิจ จำนวน ๓๒๖ คู่ สร้างมูลค่าการซื้อขายประมาณ ๖๐๐ ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายภายในงานรวมทั้งสิ้นกว่า ๙,๖๐๐ ล้านบาท ๒. นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการแปรรูปสินค้าเกษตรและส่งเสริมการตลาดให้เกิดความต่อเนื่องและเชื่อมโยงกัน โดยให้นำกลไกประชารัฐมาใช้ในการดำเนินการ
|
||||||||||||||||||||||||
20651 | วีดิทัศน์เรื่อง รายงานผลการดำเนินโครงการพัฒนาครูแกนนำด้านการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ "English Boot Camp" | ศธ | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการรายงานด้วยวีดิทัศน์เรื่อง ความคืบหน้าในการจัดทำโครงการพัฒนาครูแกนนำด้านการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ “English Boot Camp” ว่า โครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อฝึกอบรมพัฒนาทักษะการสอนของครูสอนภาษาอังกฤษ โดยในเบื้องต้นมีครูสอนภาษาอังกฤษเข้ารับการฝึกอบรม จำนวน ๓๕๐ คน ซึ่งเมื่ออบรมแล้วเสร็จ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานจะมีการติดตามและประเมินผลการสอนของครูที่เข้ารับการฝึกอบรม โดยครูที่เข้ารับการฝึกอบรมจะต้องจัดทำวีดิทัศน์ตัวอย่างการสอนเพื่อใช้ประกอบการประเมินผลด้วย ทั้งนี้ ในระยะต่อไปจะนำครูที่เข้ารับการฝึกอบรมที่มีศักยภาพโดดเด่นมาพัฒนาเป็นวิทยากรในการฝึกอบรมเพื่อขยายผลโครงการให้สามารถฝึกอบรมครูสอนภาษาอังกฤษเพิ่มมากยิ่งขึ้นด้วย ๒. นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการว่า ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ กำกับติดตามดูแลครูที่ผ่านการฝึกอบรมให้นำความรู้ที่ได้จากการฝึกอบรมไปปฏิบัติอย่างจริงจัง และให้รายงานปัญหาอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นเพื่อนำไปปรับปรุงพัฒนาเทคนิคการสอนต่อไป รวมทั้งให้มีการประเมินความก้าวหน้าของนักเรียนที่เรียนกับครูที่ผ่านการฝึกอบรม ทั้งนี้ ให้พิจารณานำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาสนับสนุนการดำเนินการการจัดการเรียนการสอนดังกล่าวด้วย ๒.๒ จัดให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการ รวมทั้งครูที่ผ่านการฝึกอบรมในระยะ ๖ เดือน และนำผลการประเมินมาปรับปรุงและขยายผลการดำเนินโครงการเพื่อให้ครูสอนภาษาอังกฤษได้เข้าร่วมโครงการดังกล่าวอย่างทั่วถึงต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
20652 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ | อื่นๆ | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๙ ดังนี้ ๑.๑ ให้เสนอร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ๑.๒ เรื่อง ขอทราบความคืบหน้าการดำเนินการตรากฎหมายลำดับรองตามร่างพระราชบัญญัติที่ผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติและส่งข้อมูลการดำเนินการตรากฎหมายลำดับรองเพื่อปฏิบัติตามกฎหมายเพิ่มเติมของคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตรากฎหมายลำดับรอง ตามร่างพระราชบัญญัติที่ผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ชุดที่ ๒) และชุดที่ (๓) รวมจำนวน ๕๐ ฉบับ และแจ้งผลการดำเนินงานตรากฎหมายลำดับรองไปยังคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) รับข้อสังเกตดังกล่าวประสานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
20653 | พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อื่นๆ | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๙ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
||||||||||||||||||||||||
20654 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (จำนวน 3 ราย 1. นายวีระวุฒิ ศรีเปารยะ ฯลฯ) | กค | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายวีระวุฒิ ศรีเปารยะ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการบริหารเหรียญกษาปณ์และทรัพย์สินมีค่า (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมธนารักษ์ ตั้งแต่วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ ๒. นายจำเริญ โพธิยอด ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี (นักวิชาการศุลกากรทรงคุณวุฒิ) กรมศุลกากร ตั้งแต่วันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๙ ๓. นายเอกวัฒน์ มานะแก้ว ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาการประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมธนารักษ์ ตั้งแต่วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ |
||||||||||||||||||||||||
20655 | ขอทบทวนความคืบหน้าการดำเนินการตรากฎหมายลำดับรองตามร่างพระราชบัญญัติที่ผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติและส่งข้อมูลการดำเนินการตรากฎหมายลำดับรองเพื่อปฏิบัติตามกฎหมายเพิ่มเติม (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | นร | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๙ เรื่อง ขอทราบความคืบหน้าการดำเนินการตรากฎหมายลำดับรองตามร่างพระราชบัญญัติที่ผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติและส่งข้อมูลการดำเนินการตรากฎหมายลำดับรองเพื่อปฏิบัติตามกฎหมายเพิ่มเติมของคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตรากฎหมายลำดับรอง ตามร่างพระราชบัญญัติที่ผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ชุดที่ ๒) และชุดที่ (๓) รวมจำนวน ๕๐ ฉบับ และแจ้งผลการดำเนินงานตรากฎหมายลำดับรองไปยังคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
20656 | ความคืบหน้าในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีและนโยบายของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการตรวจลงตรา | กต | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบมติที่ประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เรื่อง ทบทวนรายชื่อประเทศ/ดินแดนที่คนชาติได้รับสิทธิยกเว้นการตรวจลงตราและสิทธิขอรับการตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๘ และเรื่อง การพิจารณากำหนดสิทธิการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยว เมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๙ โดยที่ประชุมมีมติให้ปรับปรุงบัญชีรายชื่อประเทศที่ได้รับสิทธิขอรับ/ผ่อนผันการตรวจลงตราซ้ำซ้อนกัน โดยหากได้รับสิทธิขอรับการตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa on Arrival : VoA) สิทธิผ่อนผันให้พำนักอยู่ในราชอาณาจักรไทยได้ไม่เกิน ๓๐ วัน (ผ.๓๐) ให้ยึดสิทธิ ผ.๓๐ เป็นหลัก และหากได้รับสิทธิ VoA ผ.๓๐ และสิทธิตามความตกลงยกเว้นการตรวจลงตราซ้ำซ้อนกัน ให้ยึดสิทธิตามความตกลงฯ เป็นหลัก และมีแนวทางในการพิจารณาให้สิทธิ/ถอนสิทธิการตรวจลงตราแก่ประเทศต่าง ๆ โดยนำปัจจัยสำคัญอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความมั่นคง ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ปริมาณนักท่องเที่ยว และผลประโยชน์ของไทยในมิติอื่น ๆ (การสนับสนุนไทยในเวทีระหว่างประเทศ) มาใช้เป็นปัจจัยในการพิจารณาร่วมกับหลักประติบัติต่างตอบแทน ๑.๒ เห็นชอบให้คนชาติของสาธารณรัฐฟิจิและคนชาติของรัฐเอกราชปาปัวนิวกินีสามารถขอรับการตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa on Arrival : VoA) ได้ ๑.๓ รับทราบความคืบหน้าของการจัดทำระบบการยื่นคำร้องขอรับการตรวจลงตราผ่านทางอินเทอร์เน็ต (Electronic Visa) โดยกระทรวงการต่างประเทศอยู่ระหว่างศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมและรอการแจ้งผลในประเด็นข้อกฎหมายจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ประมาณกลางปี ๒๕๖๐ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานในระดับปฏิบัติมีระบบข้อมูลที่สอดคล้องและเชื่อมโยงกันเพื่อไม่ให้สิทธิตามความตกลงยกเว้นการตรวจลงตรา กระทบต่อความเสี่ยงด้านความมั่นคง และไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
20657 | ร่างพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. .... | นร09 | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอว่า เนื่องจากรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) จะขอนำร่างพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. .... ไปหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และกระทรวงยุติธรรม จึงเห็นควรเลื่อนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวไปเป็นวันอังคารที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๙
|
||||||||||||||||||||||||
20658 | สรุปผลการพิจารณาดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาคำร้องที่มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เรื่อง สิทธิชุมชน กรณีได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำมันดิบของบริษัท พีทีที โกลเบิล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) รั่วไหลที่จังหวัดระยอง | พน | 31/05/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการพิจารณาดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาคำร้องที่มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เรื่อง สิทธิชุมชน กรณีได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำมันดิบของบริษัท พีทีที โกลเบิล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) รั่วไหลที่จังหวัดระยอง ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยมีข้อเสนอแนะให้มีการกำหนดหลักประกันความเสี่ยงและความเสียหายที่เป็นรูปธรรมกรณีการเกิดเหตุการณ์รุนแรงเกี่ยวกับกิจการปิโตรเลียมทางบกและทะเล และเปิดเผยข้อมูลกิจการปิโตรเลียม กิจการการขนถ่ายปิโตรเลียมและน้ำมัน ตลอดจนข้อมูลเกี่ยวกับการติดตามตรวจสอบการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมหรือภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นต่อสาธารณะ โดยใช้ช่องทางที่ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย ซึ่งกระทรวงพลังงานรายงานว่ากฎหมายเพื่อป้องกันและระงับอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นในการขนถ่ายน้ำมันปิโตรเลียมทางบกและมาตรการการเปิดเผยข้อมูลปิโตรเลียมต่อสาธารณะที่มีอยู่มีความเหมาะสมและครอบคลุมที่จะเป็นหลักประกันความเสี่ยงและความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
20659 | ขอความเห็นชอบให้ข้าราชการลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบทหมู่เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคล เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ 70 ปี 9 มิถุนายน 2559 และเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 12 สิงหาคม 2559 โดยไม่ถือเป็นวันลา | นร01 | 31/05/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ รวมทั้งลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของหน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ที่เข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบท ๗๗๐ รูป เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ ๗๐ ปี ๙ มิถุนายน ๒๕๕๙ และเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ ลาอุปสมบทได้ไม่เกิน ๒๐ วัน โดยนับระยะเวลาตั้งแต่เตรียมการอุปสมบทถึงลาสิกขา และอยู่ระหว่างวันที่ ๒๕ พฤษภาคม-วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ โดยไม่ถือเป็นวันลาเสมือนการปฏิบัติราชการและได้รับเงินเดือนตามปกติ ๒. ให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ รวมทั้งลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ที่ไม่เคยลาอุปสมบทระหว่างรับราชการ หากได้ลาอุปสมบท เพื่อเฉลิมพระเกียรติฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้แล้ว ไม่มีผลกระทบถึงสิทธิในการลาอุปสมบทในอนาคต ซึ่งเป็นการใช้สิทธิลาอุปสมบทครั้งแรกตั้งแต่เริ่มรับราชการ ตามระเบียบว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยยังคงได้รับสิทธิการลาอุปสมบท และยังคงได้สิทธิในการรับเงินเดือนตามปกติตามพระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม |
||||||||||||||||||||||||
20660 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนกำแพงเพชร 6 กับศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 พ.ศ. .... | มท | 31/05/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนกำแพงเพชร ๖ กับศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนกำแพงเพชร ๖ กับศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ ในท้องที่แขวงตลาดบางเขน และแขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|