ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1032 จากทั้งหมด 6215 หน้า แสดงรายการที่ 20621 - 20640 จากข้อมูลทั้งหมด 124293 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
20621 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การปฏิรูปกลไกการบริหารจัดการ ทรัพยากรน้ำและร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ....) | กษ | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การปฏิรูปกลไกการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ....) ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรน้ำและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาข้อเสนอแนะดังกล่าวแล้วมีความเห็นสอดคล้องกันที่จะให้มีกฎหมายระดับพระราชบัญญัติเพื่อให้เป็นกฎหมายกลางในการบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศเป็นไปในทิศทางเดียวกัน มีความเป็นเอกภาพและมีประสิทธิภาพ โดยในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า ควรผลักดันร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. .... ประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายโดยเมื่อใช้บังคับในระยะหนึ่ง หากเห็นว่ากลไกในกฎหมายมีข้อบกพร่องส่วนใด กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสามารถเสนอแก้ไขเพิ่มเติมในภายหลังได้ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งรายงานผลการพิจารณาของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการกำหนดบทบัญญัติให้หน่วยงานของรัฐที่มีภารกิจตามกฎหมายในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำด้านต่าง ๆ สามารถดำเนินการตามภารกิจและอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายเฉพาะนั้นได้ให้ไว้ การกำหนดบทบัญญัติเพิ่มเติมในกรณีแหล่งน้ำสาธารณะที่มีการเชื่อมโยงหรือติดต่อกับแหล่งน้ำที่มีหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดูแล ก่อนการอนุญาตให้ใช้น้ำจากแหล่งน้ำสาธารณะจะต้องได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดังกล่าว การพิจารณารายได้จากการเก็บค่าน้ำเพื่อเข้ากองทุนแยกเป็นในเขตชลประทานและนอกเขตชลประทาน การกำหนดคำจำกัดความของ “พนักงานเจ้าหน้าที่” ให้มีความชัดเจน การควบคุมและตรวจตราทรัพยากรน้ำตามมาตรา ๘๓ ๘๔ และ ๘๖ การมอบหมายให้ผู้มีอำนาจสูงสุดในพื้นที่ลุ่มนำสาขานั้น ๆ เป็นประธานในคณะกรรมการลุ่มน้ำสาขาควรมอบหมายให้ผู้มีอำนาจสูงสุดในพื้นที่ลุ่มน้ำสาขานั้น ๆ และกรณีที่สภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอให้มีการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเป็นหน่วยงานของรัฐระดับกรมจะต้องปฏิบัติตามหลักการและขั้นตอนตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ ที่ต้องเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการพัฒนาโครงสร้างระบบราชการของกระทรวงและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ เพื่อพิจารณาความเหมาะสมของการจัดตั้งสำนักงาน ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี รวมทั้งกรณีการจัดตั้งกองทุนหมุนเวียนของหน่วยงานของรัฐจะต้องดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอจัดตั้ง การดำเนินงาน และการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๗ และมีความสอดคล้องกับระบบการจัดตั้งกองทุนในปัจจุบัน รวมถึงบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้คณะกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) เพื่อพิจารณาความสอดคล้องและความเหมาะสมกับการปฏิรูปประเทศต่อไป และให้แจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20622 | การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป รายการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา ช่วงที่ 7 ตอนทางแยกต่างระดับสระบุรี | คค | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบกรณีกรมทางหลวงก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป รายการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา ช่วงที่ ๗ ตอนทางแยกต่างระดับสระบุรี ระยะทาง ๓.๖๐๐ กิโลเมตร ในวงเงิน ๑,๕๐๙,๕๘๕,๓๑๒.๑๓ บาท โดยก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20623 | รายงานการพิจารณาศึกษาผลกระทบมาตรการผ่านแดน - ถ่ายลำของประเทศต่อการจัดเก็บภาษีสินค้า ของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง | สว | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาผลกระทบมาตรการผ่านแดน-ถ่ายลำของประเทศต่อการจัดเก็บภาษีสินค้า เพื่อหาแนวทางหรือมาตรการต่าง ๆ ในการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของแผ่นดิน และแก้ไขหรือป้องกันผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและผู้ประกอบการภายในประเทศ โดยเฉพาะการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในประเทศและการแข่งขันทางการค้าอย่างเป็นธรรม รวมทั้งปกป้องผลประโยชน์ของชาติ พร้อมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณากำหนดมาตรการป้องกันไม่ให้มีการนำของผ่านแดนมาซื้อขายภายในประเทศ รวมทั้งให้มีการตรวจสอบของผ่านแดนให้ครบถ้วนอย่างเข้มงวดและรัดกุม |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20624 | การมีผลบังคับใช้ของความตกลงทางการค้าระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย (Trade Agreement between the Government of the Islamic Republic of Iran and the Government of the Kingdom of Thailand) | พณ | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ความตกลงทางการค้าระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย (Trade Agreement between the Government of the Islamic Republic of Iran and the Government of the Kingdom of Thailand) มีผลบังคับใช้ตามข้อ ๑๑ ของความตกลงฯ ที่ระบุว่า ความตกลงฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ได้รับแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งสุดท้ายโดยภาคีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งถึงภาคีคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งระบุว่าได้ดำเนินการตามกฎหมายและกฎระเบียบของตนเพื่อการมีผลบังคับใช้ของความตกลงนี้เรียบร้อยแล้ว เพื่อให้ความตกลงฯ มีผลบังคับใช้โดยสมบูรณ์ และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือแจ้งการมีผลบังคับใช้ของความตกลงฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20625 | การประชาสัมพันธ์การจัดงาน Eco - Products International Fair 2016 | อก | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการประชาสัมพันธ์การจัดงาน Eco-Products International Fair 2016 โดยสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ สถาบันเครือข่ายของกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และองค์การเพิ่มผลผลิตแห่งเอเชีย เป็นเจ้าภาพจัดงานดังกล่าวภายใต้แนวความคิด “24-Hour Eco Life รักษ์โลกง่าย ๆ ทำได้ ๒๔ ชั่วโมง” ระหว่างวันที่ ๘-๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๙ ณ โถงนิทรรศการ ๑๐๖ (EH 106) ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงสินค้า นวัตกรรม และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจากผู้ผลิตและหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนนิทรรศการพิเศษในการให้ความรู้ และสร้างความตระหนักถึงผู้บริโภคในการเข้าถึงและหันมาสนใจใช้สินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยกิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย (๑) มหกรรมการแสดงนิทรรศการและการแลกเปลี่ยนผลิตภัณฑ์นวัตกรรมและเทคโนโลยีของผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (๒) Eco-Kids นิทรรศการเพื่อการเรียนรู้การใช้ชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับเด็กและเยาวชน (๓) สัมมนาวิชาการนานาชาติ (International Conference) และ (๔) การเจรจาจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20626 | รายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2559 (ครั้งที่ 14) | มท | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ (ครั้งที่ ๑๔) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลงานสะสมที่ทำได้ คิดเป็นร้อยละ ๑๘.๕๓ ๑.๒ การส่งมอบพื้นที่ก่อสร้าง มีการส่งมอบพื้นที่เพิ่มเติม ๐-๒-๓๗ ไร่ โดยส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างอาคารหลักทั้งหมดตั้งแต่วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๗ เหลือพื้นที่ยังไม่ได้ส่งมอบ ๑๙-๒-๙๐.๕ ไร่ ๑.๓ ปัญหา/อุปสรรค ได้แก่ การส่งมอบพื้นที่ที่เหลือยังส่งมอบไม่ได้ตามสัญญาก่อสร้างกระทบกับแผนงานก่อสร้างตามที่ได้รับอนุมัติ แบบรูปรายการและรายละเอียดตามสัญญาจ้างมีรายละเอียดขัดแย้งกันหรือแบบไม่สมบูรณ์ ทำให้ต้องใช้เวลาในการพิจารณามาก และโครงการก่อสร้างของหน่วยงานภายนอกที่กระทบกับรูปแบบและการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ๑.๔ ระยะเวลาการก่อสร้างตามสัญญา ปัจจุบันดำเนินการก่อสร้างมาแล้วถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ เป็นระยะเวลา ๑,๐๒๘ วัน คงเหลือระยะเวลาก่อสร้างอีก ๒๕๙ วัน ซึ่งผู้รับจ้างอยู่ระหว่างขอขยายระยะเวลาการก่อสร้าง ครั้งที่ ๒ ออกไปอีก ๖๑๑ วัน เนื่องจากการส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างไม่เป็นไปตามสัญญาและปัญหาอุปสรรคงานจากดิน ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาโดยคณะกรรมการตรวจการจ้าง ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลและติดตามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการแล้วเสร็จตามกำหนดต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20627 | ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดยาเสพติดตามแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด (มีนาคม พ.ศ. 2559) | ทก | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดยาเสพติด ตามแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด (มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๙) โดยผลการสำรวจความคิดเห็นฯ พบว่า ประชาชนร้อยละ ๖๐.๘ ระบุว่ายังมีปัญหาการแพร่ระบาดยาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชน โดยมีสาเหตุเกิดจากการมีผู้ค้า/ผู้ลักลอบค้ายาเสพติด และผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดเพิ่มขึ้น รวมทั้งเจ้าหน้าที่ไม่ปราบปรามอย่างจริงจัง รองลงมาคือปัญหาผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชน ซึ่งประชาชนร้อยละ ๕๘.๔ ระบุว่ามีปัญหา และปัญหาด้านผู้ค้า/ผู้ลักลอบค้ายาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชน ประชาชนร้อยละ ๓๒.๐ ระบุว่ามีปัญหา โดยพบว่าประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาดังกล่าวมากที่สุดในเรื่องการลักขโมย ปล้น จี้ ขณะที่ประชาชนเพียงร้อยละ ๘.๗ ระบุว่ามีปัญหายาเสพติดแพร่ระบาดในโรงเรียน/สถานศึกษา และประชาชนถึงร้อยละ ๘๒.๐ ระบุว่าไม่มีปัญหา นอกจากนี้ประชาชนให้ข้อเสนอแนะแนวทางการป้องกัน/แก้ไขปัญหายาเสพติดที่สำคัญ ๕ อันดับแรก คือ การปราบปรามอย่างจริงจังและต่อเนื่อง (ร้อยละ ๖๑.๒) การใช้กฎหมายลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดอย่างเด็ดขาด (ร้อยละ ๕๓.๑) การให้ทหารช่วยดูแลปราบปรามอย่างจริงจัง (ร้อยละ ๑๖.๔) การประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับยาเสพติด (ร้อยละ ๑๕.๙) และการลงโทษผู้ผลิตและผู้ค้ายาเสพติดด้วยวิธีประหารชีวิต (ร้อยละ ๑๔.๙)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20628 | รายงานผลการปฏิบัติงานตามแผนการกำจัดผักตบชวา ประจำปี 2559 | มท | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานผลความก้าวหน้าการปฏิบัติงานตามแผนการกำจัดผักตบชวา ประจำปี ๒๕๕๙ โดยผลการกำจัดผักตบชวา ตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ พื้นที่ลุ่มน้ำภาคกลางตอนล่าง กรมโยธาธิการและผังเมือง กำจัดได้ปริมาณ ๑๒๐,๘๐๐ ตัน กรมเจ้าท่า กำจัดได้ปริมาณ ๗๙,๑๐๘ ตัน สำหรับพื้นที่บริเวณประตูระบายน้ำในแม่น้ำสายหลัก แม่น้ำป่าสัก และคลองในระบบชลประทาน กรมชลประทาน กำจัดได้ปริมาณ ๑,๒๑๔,๗๖๔ ตัน และในส่วนของแหล่งน้ำขนาดเล็กและแหล่งน้ำเชื่อมโยงในพื้นที่ขนาดเล็ก กรมการปกครอง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานทหาร และภาคประชาชน กำจัดได้ปริมาณ ๒,๒๓๙,๕๐๑ ตัน สรุปผลการปฏิบัติงานตามแผนการกำจัดผักตบชวาประจำปี ๒๕๕๙ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ สามารถกำจัดได้จำนวน ๓,๖๕๔,๑๗๓ ตัน คิดเป็นร้อยละ ๖๔.๗๑ ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพิจารณาดำเนินการศึกษา ค้นคว้า และวิจัยวิธีการในการกำจัดวัชพืชในแหล่งน้ำโดยเฉพาะผักตบชวา เพื่อยับยั้งไม่ให้มีการแพร่พันธุ์เพิ่มขึ้นต่อไป ทั้งนี้ จะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศของแหล่งน้ำด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20629 | การยกเลิกและผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ 2231 (ค.ศ. 2015) | กต | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบและรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) ที่ ๒๒๓๑ (ค.ศ. ๒๐๑๕) เกี่ยวกับการยกเลิกและผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน ซึ่งเป็นการรับรองแผนปฏิบัติการร่วมฉบับสมบูรณ์ (Joint Comprehensive Plan of Action : JCPOA) ซึ่งจำกัดขอบเขตการพัฒนาโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน และกำหนดขั้นตอนการผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรของสหประชาชาติเพื่อนำไปสู่การยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรในอนาคต ๑.๒ มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และธนาคารแห่งประเทศไทย ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด โดยให้เป็นไปตามอำนาจและกรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือเกี่ยวกับการดำเนินการตามข้อมติฯ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่าการดำเนินการตามข้อมติฯ เป็นการดำเนินการตามพันธกรณีที่ประเทศไทยมีอยู่ ตามข้อ ๒๕ แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ ในฐานะที่เป็นรัฐสมาชิก มิใช่การทำหนังสือสัญญาขึ้นใหม่ กรณีจึงไม่เข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ และเมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบการดำเนินการตามข้อมติฯ แล้ว การดำเนินการตามข้อมติฯ จะต้องเป็นไปตามกฎหมายภายในของประเทศไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20630 | การปรับปรุงความตกลงที่ใช้ก่อตั้งกองทุนร่วมเพื่อสินค้าโภคภัณฑ์ (Common Fund for Commodities: CFC) | กษ | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างความตกลงที่ใช้ก่อตั้งกองทุนร่วมเพื่อสินค้าโภคภัณฑ์ (Common Fund for Commodities : CFC) ฉบับปรับปรุง โดยการแก้ไขปรับปรุงความตกลงฯ เป็นการปรับปรุงโครงสร้างของกองทุนร่วมเพื่อสินค้าโภคภัณฑ์ เพื่อให้สามารถดำเนินงานได้คล่องตัวยิ่งขึ้น โดยลดขั้นตอนการดำเนินงานที่ซ้ำซ้อน ลดขนาดและภารกิจขององค์กรให้มีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการศึกษาเงื่อนไข รายละเอียด และติดตามประเมินผลการเข้าเป็นสมาชิกตามความตกลงฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อพิจารณาแนวทางความเป็นไปได้ในการใช้ประโยชน์จากกองทุนร่วมเพื่อสินค้าโภคภัณฑ์ให้เกิดประโยชน์กับประเทศมากที่สุด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20631 | การปรับปรุงอาคารศาลเยาวชนและครอบครัวกลางหลังเดิมเป็นที่ทำการสำนักประธานศาลฎีกา | ศย | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๓๑ (เรื่อง ข้อเสนอของคณะกรรมการพิจารณาสถานที่ทำงานของหน่วยราชการในกรุงเทพมหานครและเมืองหลัก เรื่อง แผนการใช้ที่ดินของหน่วยงานของรัฐในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล) และเห็นชอบให้สำนักงานศาลยุติธรรมดำเนินการปรับปรุงอาคารศาลเยาวชนและครอบครัวกลางหลังเดิมเป็นที่ทำการสำนักประธานศาลฎีกา ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20632 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2558 ในส่วนความเห็นของกระทรวงการคลังและขออนุมัติกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้และดอกเบี้ย ที่จะครบกำหนดในปีงบประมาณ 2560 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้และดอกเบี้ยที่จะครบกำหนดในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๑๕,๘๑๕.๘๖๘ ล้านบาท (ปรับโครงสร้างหนี้ โดยการไถ่ถอนพันธบัตรและชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน ๑๒,๔๖๙.๓๐๐ ล้านบาท และชำระดอกเบี้ยที่จะครบกำหนด จำนวน ๓,๓๔๖.๕๖๘ ล้านบาท) และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ในการกู้เงิน ตามที่กระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. เสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. รับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรเร่งรัดให้ ขสมก. ดำเนินการพิจารณาแนวทางปรับปรุงการบริหารจัดการและบริการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ ตลอดจนมาตรการในการบริหารจัดการหนี้ของ ขสมก. โดยเร็ว เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน เพิ่มรายได้จากการบริการ และแก้ไขปัญหาด้านฐานะทางการเงินของ ขสมก. ในระยะยาว เพื่อลดภาระหนี้สินที่สะสมมาอย่างต่อเนื่องทุกปี และเห็นควรให้ ขสมก. เร่งรัดดำเนินการตามแผนการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ได้ให้ความเห็นชอบไว้แล้ว และให้กระทรวงคมนาคมกำกับ ติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนอย่างใกล้ชิด โดยหากมีปัญหาอุปสรรคที่อาจทำให้การดำเนินการไม่เป็นไปตามแผนให้รายงาน คนร. เพื่อพิจารณาแนวทางแก้ไขโดยเร่งด่วน นอกจากนี้ควรจัดทำแผนการฟื้นฟูกิจการเพื่อแก้ปัญหาระยะยาวต่อไป ทั้งนี้ การดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20633 | การถอนข้อสงวนข้อบทที่ 4 ของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ | ยธ | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ประเทศไทยถอนข้อสงวนข้อบทที่ ๔ ของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ (International Convention on the Elimination of All Forms of Racial Discrimination : CERD) ซึ่งเป็นการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติที่ประเทศไทยได้รับไว้ในชั้นการนำเสนอรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศไทยตามกลไก Universal Periodic Review (UPR) รอบที่ ๑ และข้อเสนอแนะของคณะกรรมการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติแห่งสหประชาชาติซึ่งประเทศไทยต้องส่งรายงานผลการดำเนินงานของประเทศไทยตามอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ ภายในปี ๒๕๕๙ ซึ่งการถอนข้อสงวนดังกล่าวจะเป็นพัฒนาการที่สำคัญอีกประการที่ประเทศไทยสามารถนำเสนอต่อเวทีโลกได้ อันจะส่งผลเชิงบวกต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศ ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการถอนข้อสงวนข้อบทที่ ๔ ของอนุสัญญา CERD ต่อไป ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับความพร้อมของประเทศไทยต่อการถอนข้อสงวนข้อบทที่ ๔ ของอนุสัญญา CERD ซึ่งประเทศไทยสามารถถอนข้อสงวนดังกล่าวได้โดยไม่ต้องออกกฎหมายใหม่ โดยได้อ้างอิงถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง นั้น โดยที่กฎหมายเหล่านั้นยังไม่ได้กำหนดฐานความผิดเฉพาะตามข้อบทที่ ๔ ของอนุสัญญา CERD อีกทั้งบทลงโทษระบุเพียงกว้าง ๆ ไม่ระบุโทษที่ชัดเจนตามความผิดที่ปรากฏในอนุสัญญา CERD แต่เป็นการระบุโทษสำหรับความผิดเกี่ยวกับการให้ร้ายและสร้างความเกลียดชัง จึงต้องอาศัยการตีความกฎหมายเหล่านั้นเป็นรายกรณีว่า รวมถึงการกระทำที่เกิดจากการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติหรือไม่ นอกจากนี้ เนื้อหาของอนุสัญญา CERD บางส่วนมีความละเอียดอ่อน ซึ่งอาจนำไปสู่การทำความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน จึงเห็นควรดำเนินการประชาสัมพันธ์เชิงรุกโดยเน้นการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการดำเนินการตามพันธกรณีที่อนุสัญญา CERD กำหนดภายหลังที่ประเทศไทยได้ถอนข้อสงวนดังกล่าวแล้ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20634 | ร่างพระราชบัญญัติปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | พน | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ ของกระทรวงพลังงาน ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ เพื่อกำหนดให้การให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมีทางเลือกให้รัฐสามารถพิจารณานำระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิตหรือระบบสัญญาจ้างสำรวจและผลิตมาใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรปิโตรเลียม นอกเหนือไปจากการพิจารณาให้สัมปทานปิโตรเลียมภายใต้กฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งแก้ไขบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับประโยชน์หรือสิทธิของผู้รับสัมปทานและบทบัญญัติเกี่ยวกับค่าภาคหลวงให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น และแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ เพื่อกำหนดผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ปิโตรเลียมเพิ่มขึ้น รวมถึงกำหนดอัตราและหลักเกณฑ์ในการคำนวณภาษีเงินได้ปิโตรเลียมในระบบการทำสัญญาแบ่งปันผลผลิตตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม และส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงพลังงานและกระทรวงการคลังรับไปดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) เกี่ยวกับโครงสร้างบรรษัทน้ำมันแห่งชาติและการจัดเก็บรายได้จากการปิโตรเลียมของประเทศไทยทั้งระบบ ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๔. ให้กระทรวงพลังงานเร่งเสนอกฎหมายลำดับรองตามร่างพระราชบัญญัติทั้ง ๒ ฉบับ ต่อคณะรัฐมนตรีภายใน ๔ เดือน และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตั้งคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษเพื่อพิจารณากฎหมายลำดับรองดังกล่าวต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20635 | ขอความเห็นชอบโครงการก่อสร้างอาคารเรียน ศูนย์พัฒนาบุคลากรด้านการบิน อาคารฝ่ายอำนวยการและสิ่งก่อสร้างประกอบ พร้อมครุภัณฑ์ ของสถาบันการบินพลเรือน | คค | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้สถาบันการบินพลเรือนดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารเรียนศูนย์พัฒนาบุคลากรด้านการบิน อาคารฝ่ายอำนวยการและสิ่งก่อสร้างประกอบ พร้อมครุภัณฑ์ของสถาบันการบินพลเรือน ในระยะที่ ๑ (ยกเว้นอาคารกีฬา วงเงิน ๗๔.๗ ล้านบาท) ในกรอบวงเงิน ๑, ๒๕๕.๔๘ ล้านบาท สำหรับอาคารกีฬาและการดำเนินโครงการในส่วนที่เหลือ เห็นควรให้ชะลอการลงทุนไปจนกว่าสถาบันการบินพลเรือนจะมีความพร้อมในด้านฐานะทางการเงินโดยให้พิจารณาการลงทุนในส่วนที่มีความสำคัญและจำเป็นที่จะสามารถสนับสนุนการดำเนินการตามภารกิจของสถาบันการบินพลเรือนให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง ตามความเห็นของประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมและสถาบันการบินพลเรือนรับความเห็นของกระทรวงการคลัง คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจที่เห็นว่า โครงการนี้เป็นการลงทุนขนาดใหญ่ที่ใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก ควรให้ความเห็นชอบในการดำเนินโครงการในระยะแรกก่อน ส่วนโครงการในระยะที่สองให้พิจารณาการลงทุนในส่วนที่มีความสำคัญและจำเป็นที่จะสามารถสนับสนุนการดำเนินการตามภารกิจของสถาบันการบินพลเรือนให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง และควรมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมหารือกับสำนักงบประมาณในการพิจารณาแหล่งเงินทุนโครงการให้เกิดความเหมาะสม โดยให้พิจารณาจากสภาพคล่องที่มีอยู่ของสถาบันการบินพลเรือนเป็นลำดับแรกแต่ต้องไม่กระทบกับสภาพคล่องในการดำเนินกิจการปกติขององค์กร นอกจากนี้ สำนักงบประมาณ กระทรวงคมนาคม สถาบันการบินพลเรือน และสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยควรร่วมกันกำหนดแผนธุรกิจในระยะยาวและปรับอัตราค่าเล่าเรียนให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมหารือกับสำนักงบประมาณในการพิจารณาแหล่งเงินทุนโครงการให้เกิดความเหมาะสมต่อไป โดยขอให้พิจารณาจากสภาพคล่องที่มีอยู่ที่ปราศจากภาระผูกพันของสถาบันการบินพลเรือนเป็นลำดับแรกแต่ต้องไม่ให้กระทบกับสภาพคล่องในการดำเนินกิจการปกติขององค์กรต่อไปได้ ตามความเห็นของประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจและกระทรวงการคลัง ๔. ให้กระทรวงคมนาคม (สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย) และกระทรวงกลาโหม (กองทัพอากาศ) เร่งรัดการจัดทำแผนการผลิตนักบินให้สอดคล้องกับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมการบินทั้งในประเทศและระหว่างประเทศโดยพิจารณาร่วมกับสถาบันด้านการบินของทั้งภาครัฐ กองทัพอากาศ และภาคเอกชน โดยเฉพาะในส่วนของปริมาณและประเภทนักบินที่ต้องการ รวมทั้งการแบ่งภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินการระหว่างภาครัฐและเอกชน ทั้งนี้ ให้เร่งรัดการดำเนินการผลิตนักบินให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๕๙ ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๙ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20636 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย - กัมพูชา ครั้งที่ 11 | กห | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ ๑๑ ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๔ มีนาคม ๒๕๕๙ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทย และพลเอก เตีย บันห์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา เป็นประธานร่วม ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ โดยมีประเด็นหารือ ๒ ด้าน สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านความมั่นคงและการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ชายแดน ได้แก่ จุดผ่านแดนและการสัญจรข้ามแดน ความร่วมมือด้านแรงงาน ความร่วมมือด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ายาเสพติด ความร่วมมือด้านการป้องกันและปราบปรามการก่ออาชญากรรมอื่น ๆ ในพื้นที่ชายแดน ความร่วมมือด้านการต่อต้านการก่อการร้าย ความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด การส่งเสริมความปลอดภัยทางทะเล และการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านความมั่นคงของไทยกับหน่วยทหารและตำรวจของกัมพูชาในพื้นที่ชายแดน ๒. ความร่วมมือด้านอื่น ๆ ได้แก่ ความร่วมมือด้านการค้าบริเวณชายแดน ความร่วมมือด้านการเกษตร ความร่วมมือด้านสาธารณสุข ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ความร่วมมือด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม ความร่วมมือด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต การศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ความร่วมมือด้านการบรรเทาสาธารณภัย และความร่วมมือแก้ไขปัญหาที่อาจเป็นข้อขัดแย้งซึ่งส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ ไทย-กัมพูชา (ระหว่างการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนยังไม่แล้วเสร็จ) และประเด็นอื่น ๆ เช่น การสนับสนุนการดำเนินการตามผลการประชุมคณะผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ครั้งที่ ๕ ที่ให้ทั้งสองฝ่ายดำเนินความร่วมมือในเรื่องต่าง ๆ และสนับสนุนผลการประชุมร่วมอย่างไม่เป็นทางการระหว่างคณะรัฐมนตรี (Joint Cabinet Retreat : JCR) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ ๒ ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะเร่งรัดให้สามารถเปิดเดินรถไฟระหว่างกันภายในปี ๒๕๕๙ เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20637 | การจัดทำแผนปฏิบัติการว่าด้วยโครงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินเดีย ระหว่างปี พ.ศ. 2559 - 2562 | วธ | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการว่าด้วยโครงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินเดีย ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๒ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างสองประเทศให้ขยายผลยิ่งขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่องในระยะเวลา ๔ ปี ครอบคลุมกิจกรรมการแลกเปลี่ยนการเยือนและจัดกิจกรรมทางด้านวัฒนธรรมระหว่างกัน มุ่งเน้นการส่งเสริมความร่วมมือในด้านที่ทั้งสองฝ่ายมีความสนใจร่วมกันและมีศักยภาพ อาทิ ด้านโบราณคดี การอนุรักษ์โบราณสถาน ศิลปวัตถุและศาสนสถาน การจัดนิทรรศการด้านพุทธศาสนา การแลกเปลี่ยนการจัดการแสดงของคณะนาฏศิลป์และศิลปะการแสดงพื้นบ้าน รวมทั้งความร่วมมือในสาขาทัศนศิลป์ จดหมายเหตุ หอสมุด สื่อสิ่งพิมพ์ หัตถกรรมพื้นบ้าน และการแปลงานวรรณกรรม เป็นต้น ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในแผนปฏิบัติการฯ ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นผู้ลงนามในแผนปฏิบัติการฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างแผนปฏิบัติการฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงวัฒนธรรมดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20638 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - ยูเครน | คค | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-ยูเครน ร่างพิธีสารแก้ไขความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างไทย-ยูเครน และหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของไทยและยูเครน ซึ่งมีสาระสำคัญในการเพิ่มข้อบทการปรับปรุงแก้ไขความตกลงฯ ได้แก่ ความปลอดภัยการบิน การกำหนดสายการบินและการอนุญาตดำเนินการ พิกัดอัตราค่าขนส่ง การปกป้องการแข่งขัน และการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน รวมถึงการปรับปรุงใบพิกัดเส้นทางบินให้เป็นแบบเปิด และเพิ่มสิทธิความจุความถี่จากเดิมเป็น ๓ เที่ยวต่อสัปดาห์เป็น ๒๑ เที่ยวต่อสัปดาห์ เพื่อให้มีความทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณ์การบินในปัจจุบันและกฎหมายภายในของทั้งสองฝ่าย ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลงนามในพิธีสารแก้ไขความตกลงดังกล่าว และอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลบังคับใช้ของบันทึกความเข้าใจและพิธีสารแก้ไขความตกลงฯ ระหว่างไทย-ยูเครน ต่อไป โดยให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20639 | การขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. 2555 - 2558 | กค | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการพิจารณาการอนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ ที่กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี และเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่นอกเหนือจากพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ๒๕๕๘ ๑.๒ รับทราบการรายงานผลการติดตามการก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี และเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่นอกเหนือจากพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ๒๕๕๘ ๑.๓ อนุมัติให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันได้ถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๕๙ ประกอบด้วย (๑) เงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ ที่กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี จำนวน ๙,๔๐๔.๐๙ ล้านบาท และ (๒) เงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่นอกเหนือจากพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๒,๖๙๕.๖๗ ล้านบาท ทั้งนี้ หน่วยงานใดไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณดังกล่าวได้ทันภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้เงินงบประมาณนั้นพับไป ๒. ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ ที่กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี และเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่นอกเหนือจากพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ๒๕๕๘ ได้ถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๕๙ ในกรณีส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐส่งเรื่องรายการเงินงบประมาณดังกล่าวให้กระทรวงการคลังเพิ่มเติมในภายหลัง และให้กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๓. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณในกรณีที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงรายการที่กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีดังกล่าวไปดำเนินโครงการที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นเร่งรัดดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการ และขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๔๑ ภายในวันทำการสุดท้ายของเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๙ เพื่อให้สามารถก่อหนี้ผูกพันได้ทันภายในวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๕๙ ต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20640 | การเข้าร่วมงานนิทรรศการโลก Astana Expo 2017 ณ ประเทศสาธารณรัฐคาซัคสถาน | พณ | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้ประเทศไทยเข้าร่วมงานนิทรรศการโลก Astana Expo 2017 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๐ มิถุนายน-๑๐ กันยายน ๒๕๖๐ ณ กรุงอัสตานา ประเทศสาธารณรัฐคาซัคสถาน โดยมอบหมายให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบการเข้าร่วมงานฯ และให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเป็นหน่วยงานสนับสนุนการเข้าร่วมงานฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้ครอบคลุมครบถ้วนและเสนอต่อคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง โดยคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า และเห็นควรให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการและสนับสนุนค่าใช้จ่ายร่วมกับภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....