ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 35 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 681 - 700 จากข้อมูลทั้งหมด 2031 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
681 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร01 | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชนในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้ส่วนราชการให้ความสำคัญกับการเร่งรัดดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม โดยผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชนฯ ๑.๑ สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประชาชนแจ้งเรื่องร้องทุกข์ผ่านช่องทางต่างๆ รวมทั้งสิ้น ๑๑๗,๑๖๒ ครั้ง โดยผ่านช่องทางสายด่วนของรัฐบาล ๑๑๑๑ มากที่สุด รองลงมาคือ ช่องทางตู้ ปณ. ๑๑๑๑/ไปรษณีย์/โทรสาร ช่องทางเว็บไซต์ (www.1111.go.th) และช่องทางจุดบริการประชาชน ๑๑๑๑ ตามลำดับ ส่วนจำนวนเรื่องร้องทุกข์จำแนกตามประเภท ประชาชนร้องทุกข์ในประเภทเรื่องต่างๆ รวมทั้งสิ้น ๗๙,๗๒๒ เรื่อง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ เรื่องขอให้ซ่อมแซมไฟฟ้ากับขยายและติดตั้งปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า รองลงมาคือ การปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่และการอำนวยความสะดวกในการให้บริการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ และการแก้ไขปัญหาเหตุเดือดร้อนรำคาญจากเสียง/กลิ่นเหม็น ตามลำดับ ๑.๒ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการจำแนกตามหน่วยงาน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งสิ้น ๓๓,๓๓๔ เรื่อง โดยหน่วยงานที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ๓ ลำดับแรก ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รองลงมาคือ กระทรวงยุติธรรม และสำนักนายกรัฐมนตรี ตามลำดับ รัฐวิสาหกิจ ได้แก่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รองลงมาคือ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ตามลำดับ ๑.๓ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการจำแนกตามองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และจังหวัด ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับ อปท. และจังหวัดต่างๆ รวมทั้งสิ้น ๑๙,๘๔๔ เรื่อง โดยเรียงลำดับจาก อปท. และจังหวัดที่ได้รับการประสานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ๓ ลำดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร รองลงมาคือ จังหวัดปทุมธานี และนนทบุรี ตามลำดับ ๒. รับทราบข้อมูลการร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นจากประชาชนในประเด็นที่เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ พบว่า ประชาชนร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวในจังหวัดที่มีพื้นที่ปลูกข้าวมาก ได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ สุโขทัย และพิษณุโลก ตามลำดับ โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ ขอให้เร่งจ่ายเงินรับจำนำข้าว รองลงมาคือ ขอให้ตรวจสอบโรงสีที่เข้าร่วมโครงการ กับขอให้เร่งออกใบประทวนให้กับเกษตรกร ตามลำดับ และให้กระทรวงพาณิชย์ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักนำข้อมูลไปดำเนินการกำหนดนโยบาย แผนงาน และบูรณาการการทำงานระหว่างส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาการดำเนินงานของโครงการรับจำนำข้าวต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
682 | (ร่าง) มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันภาคเหนือ 9 จังหวัด ปี 2556 | ทส | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบ (ร่าง) มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันภาคเหนือตอนบน ปี ๒๕๕๖ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำ (ร่าง) มาตรการฯ ดังกล่าวไปปฏิบัติโดยใช้งบประมาณปกติของหน่วยงานต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้ ให้ปรับข้อความในมาตรการฯ ให้มีขอบเขตกว้างขวางครอบคลุมยิ่งขึ้น จากเดิม “ส่งเสริมภาคเอกชนและภาคีเครือข่ายเข้าร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหา ...” เป็น “ส่งเสริมให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน และภาคีเครือข่ายเข้าร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหา ...” สำหรับสาระสำคัญของ (ร่าง) มาตรการฯ มีดังนี้ ๑.๑ วัตถุประสงค์ เพื่อควบคุม ป้องกัน และแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควัน โดยเน้นการดำเนินมาตรการควบคุมการเผาในพื้นที่ชุมชน พื้นที่เกษตร และพื้นที่ป่า เสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์หมอกควันที่จะเกิดขึ้นในช่วงต้นปี ๒๕๕๖ ผลักดันความร่วมมือในการจัดการปัญหามลพิษหมอกควันข้ามแดนในภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งลดและควบคุมสถานการณ์หมอกควัน และป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ๑.๒ เป้าหมาย คุณภาพอากาศในบรรยากาศ (ฝุ่นละอองขนาดเล็ก : PM10) อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๐ ในช่วง ๘๐ วันอันตราย (๒๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึง ๑๐ เมษายน ๒๕๕๖) ในพื้นที่เป้าหมาย ๙ จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา แม่ฮ่องสอน และตาก ๑.๓ มาตรการหลักในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันภาคเหนือ ๙ จังหวัด ตามหลักการ 2P2R [การป้องกัน (Prevention) การเตรียมพร้อม (Preparation) การรับมือ (Response) และการฟื้นฟู (Recovery)] ประกอบด้วย ๘ มาตรการ ได้แก่ มาตรการที่ ๑ ควบคุมการเผาช่วง “๘๐ วันอันตราย” มาตรการที่ ๒ ป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าอย่างเข้มข้น มาตรการที่ ๓ สนับสนุน “ชุมชนมาตรฐาน หมู่บ้านปลอดการเผา” มาตรการที่ ๔ ส่งเสริมภาคเอกชนและภาคีเครือข่ายเข้าร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควัน มาตรการที่ ๕ สื่อสารประชาสัมพันธ์เชิงรุกสู่กลุ่มเป้าหมาย มาตรการที่ ๖ แจ้งเตือนสถานการณ์หมอกควัน มาตรการที่ ๗ ขยายความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อลดปัญหาหมอกควันข้ามแดน และมาตรการที่ ๘ จัดตั้งศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันภาคเหนือ ๙ จังหวัด (ศปม.) ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) รับไปจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ (workshop) ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อบูรณาการการดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันภาคเหนือตอนบน ปี ๒๕๕๖ ให้เป็นเอกภาพ โดยให้ภาคเอกชนและภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการด้วย และให้มีกลไกการกำกับติดตามการดำเนินงานในลักษณะ single command รวมทั้งให้ใช้การบริหารจัดการเชิงพื้นที่ (area-approach) เป็นหลักในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) รับไปกำกับติดตามให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดกับผู้กระทำผิดเกี่ยวกับการบุกรุกและเผาป่า โดยให้ตำรวจท้องที่ประสานงานกับหน่วยงานของกระทรวงมหาดไทยและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่อย่างใกล้ชิด ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอความร่วมมือในการป้องกันแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันข้ามแดน ๕. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาแนวทางการส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจ (พืชล้มลุก) และการกำหนดพื้นที่เพาะปลูก (Zoning) พืชเศรษฐกิจให้เหมาะสม เพื่อป้องกันปัญหาการบุกรุก แผ้วถางและเผาป่าเพื่อเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น รวมทั้งขอความร่วมมือภาคเอกชนและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินมาตรการงดรับซื้อผลิตผลทางการเกษตรที่เพาะปลูกในพื้นที่บุกรุกป่าด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
683 | แนวทางการจัดอัตรากำลังและการบริหารจัดการในภารกิจบริการด้านสุขภาพ | นร | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบข้อเสนอการจัดอัตรากำลังและการบริหารจัดการในภารกิจบริการด้านสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๕ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จัดสรรอัตราข้าราชการเพิ่มใหม่ซึ่งรวมถึงพยาบาล และบุคลากรทางสาธารณสุขให้แก่กระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๕,๔๙๙ อัตรา โดยรวมกับอัตราว่างที่มีอยู่ในปัจจุบัน จำนวน ๒,๐๔๘ อัตรา เป็นจำนวนทั้งสิ้นสำหรับกระทรวงสาธารณสุข ๗,๕๔๗ อัตรา และเพิ่มเติมอัตราที่จะใช้บรรจุนักศึกษาวิชาแพทยศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ และเภสัชศาสตร์ ที่จะสำเร็จการศึกษาในเดือนเมษายน ๒๕๕๖ อีกจำนวน ๒,๙๔๗ อัตรา รวมเป็นการบรรจุทั้งสิ้น ๑๐,๔๙๔ อัตรา โดยให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการให้ดำรงตำแหน่งในอัตราที่ได้รับอนุมัติ โดยยึดหลักคุณธรรมและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ ก.พ. กำหนด ทั้งนี้ ให้ยกเลิกการยุบเลิกตำแหน่งเกษียณอายุราชการในสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ และ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง โครงการผลิตพยาบาลวิชาชีพเพิ่มเพื่อแก้ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้) และวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ (เรื่อง อนุมัติกำหนดตำแหน่งเพิ่มใหม่) ตามที่ประธานกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเสนอ ๒. ส่วนงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยงบประมาณที่จะใช้ในการรองรับการบรรจุข้าราชการเพิ่มใหม่ จำนวน ๘,๔๔๖ อัตรา โดยการบรรจุข้าราชการเพิ่มใหม่ จำนวน ๕,๔๙๙ อัตรา เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๕๖ (ระยะเวลา ๙ เดือน) และอัตราที่จะใช้บรรจุนักศึกษาวิชาแพทยศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ และเภสัชศาสตร์ ที่จะสำเร็จการศึกษาในเดือนเมษายน ๒๕๕๖ จำนวน ๒,๙๔๗ อัตรา เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน ๒๕๕๖ (ระยะเวลา ๖ เดือน) ประมาณการค่าใช้จ่ายงบประมาณ จำนวนทั้งสิ้น ๑,๑๓๒ ล้านบาท นั้น ให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขเจียดจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รายการผูกพันที่ดำเนินการล่าช้า/คาดว่าจะเบิกจ่ายไม่ทัน จำนวน ๖๐๐ ล้านบาท ส่วนที่เหลือให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๕๓๒ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นเจ้าภาพรวบรวมและศึกษาภาพรวมความต้องการอัตรากำลังของส่วนราชการทั้งระบบ ทั้งในส่วนราชการที่อยู่ภายใต้กำกับดูแลของฝ่ายบริหาร และองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ส่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้รวบรวมเสนอรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) กระทรวงกลาโหม กระทรวงศึกษาธิการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้รวบรวมเสนอรัฐมนตรีเจ้าสังกัด แล้วส่งให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอัตรากำลังของส่วนราชการทั้งระบบต่อไป โดยมีผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการ ก.พ. อธิบดีกรมบัญชีกลาง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะทำงาน โดยให้เลขาธิการ ก.พ. เป็นฝ่ายเลขานุการ และให้สำนักงาน ก.พ. เป็นเจ้าภาพเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงองค์กรตามรัฐธรรมนูญ เช่น ศาล สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อมาประชุมปรึกษาร่วมกันก่อน แล้วจัดทำข้อมูลการวิเคราะห์อัตรากำลังในภาพรวมและข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาอัตรากำลังคนและการบริหารจัดการโดยคำนึงถึงสัดส่วนให้เหมาะสมกับภารกิจของแต่ละหน่วยงาน รวมถึงงบประมาณโดยรวมของประเทศด้วย ทั้งนี้ ให้เร่งรัดการดำเนินการให้แล้วเสร็จแล้วเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาภายในวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๖ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
684 | การบูรณาการงบประมาณและการจัดทำแผนปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด ปี พ.ศ. 2556 | นร | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดอย่างยั่งยืน ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และเห็นชอบในหลักการการบูรณาการงบประมาณและการจัดทำแผนปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดสรรและตัดโอนงบประมาณลงสู่พื้นที่ให้แล้วเสร็จอย่างช้าภายในวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ และแจ้งศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ (ศพส.)/สำนักงาน ป.ป.ส. ทราบด้วย ๑.๒ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณานำงบประมาณที่ได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาลในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ (ซึ่งรัฐบาลจัดสรรผ่านกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) มาใช้ในการสนับสนุนและเสริมการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยเฉพาะการดำเนินโครงการ “ชุมชนอุ่นใจได้ลูกหลานกลับคืน” ปฏิบัติการปิดล้อม X-Ray เชิงรุก ๙๐ วัน พื้นที่แพร่ระบาดทั่วประเทศ ๑.๓ ให้จังหวัดทุกจังหวัดพิจารณานำงบพัฒนาจังหวัดที่ได้รับในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ มาใช้ในการสนับสนุนและเสริมการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยเฉพาะการดำเนินโครงการ “ชุมชนอุ่นใจได้ลูกหลานกลับคืน” ปฏิบัติการปิดล้อม X-Ray เชิงรุก ๙๐ วัน พื้นที่แพร่ระบาดทั่วประเทศ ๑.๔ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและกลไกเฉพาะที่จัดตั้งขึ้นจัดทำแผนปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด ปี ๒๕๕๖ โดยเฉพาะศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดจังหวัด (ศพส.จ.)/ศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดอำเภอ (ศพส.อ.) ให้กำหนดเป้าหมายในแต่ละแผนงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัญหายาเสพติดให้แล้วเสร็จอย่างช้าภายในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ และส่งให้ ศพส./สำนักงาน ป.ป.ส. ต่อไป ๑.๕ ให้กระทรวงสาธารณสุขพัฒนากระบวนการคัดกรองผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด และพัฒนาระบบการติดตามผู้ผ่านการบำบัดรักษาให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อลดอัตราเสพซ้ำให้ได้ตามเป้าหมายที่กำหนด ๑.๖ ให้กระทรวงศึกษาธิการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการผลิตวิทยากรป้องกันฯ ให้ครบถ้วนตามเป้าหมาย ได้แก่ วิทยากรโครงการการให้การศึกษาเพื่อต่อต้านการใช้ยาเสพติดในสถานศึกษา (Drug Abuse Resistance Education : D.A.R.E) วิทยากรพระ วิทยากรครูทหาร วิทยากรตำรวจ วิทยากรที่เป็นครูในโรงเรียน และป้องกันเยาวชนก่อนวัยเสี่ยง (ระดับชั้น ป.๕-ป.๖) ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ๑.๗ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกรมการพัฒนาชุมชนเป็นเจ้าภาพหลักในการป้องกันและแก้ไขปัญหากลุ่มเยาวชนนอกสถานศึกษา โดยบูรณาการการทำงานร่วมกับ ศพส.จ./ศพส.อ. ๑.๘ ให้ ศพส.จ./ศพส.อ. ดำเนินการเร่งรัดปฏิบัติการรณรงค์ ประชาสัมพันธ์เพื่อจูงใจให้ผู้เสพเข้าบำบัดโดยสมัครใจทั่วประเทศ โดยการจัดทำแผนพัฒนาระบบการบำบัดรักษาอย่างครบวงจร รวมทั้งการเร่งรัดการดำเนินงานแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ที่มีปัญหายาเสพติดรุนแรง ตามโครงการ “ชุมชนอุ่นใจได้ลูกหลานกลับคืน” ปฏิบัติการปิดล้อม X-Ray เชิงรุก ๙๐ วัน ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินงานและการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ โดยให้ ศพส. ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการในเรื่องข้อมูลของผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดที่เข้ารับการบำบัดรักษาให้มีความถูกต้องและเป็นปัจจุบัน ทั้งนี้ ให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เกี่ยวกับการดำเนินการในลักษณะบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องมีการพิจารณาแผนดำเนินงานอย่างรอบคอบเพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อนในภารกิจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน และในการใช้จ่ายเงินงบประมาณ และกลุ่มเป้าหมาย การพิจารณาจัดกลุ่มเป้าหมายในการเข้าร่วมโครงการ “ชุมชนอุ่นใจได้ลูกหลานกลับคืน” ต้องมีการกำหนดขั้นตอนที่ชัดเจนและพิจารณาด้วยความละเอียดรอบคอบเพื่อให้ได้กลุ่มเป้าหมายที่มีความสุ่มเสี่ยงกับยาเสพติดอย่างแท้จริง รวมทั้งการบูรณาการในเรื่องงบประมาณและแผนปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดควรมีการกำกับดูแลติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง ต่อเนื่องและสม่ำเสมอ และมีการตรวจสอบการบริหารจัดการงบประมาณให้เกิดความโปร่งใส และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เกิดความเข้าใจร่วมกันเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดได้อย่างแท้จริง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณด้านการบำบัดรักษาผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดให้กับ ศพส.อ. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. ให้กระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น โรงเรียน วัด ชุมชน ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ๕. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงทำความเข้าใจกับบุคลากรภายในหน่วยงานและภาคเอกชนถึงความสำคัญและจำเป็นของการให้โอกาสแก่ผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดซึ่งพ้นจากสภาพการใช้ยาเสพติดที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้มีสิทธิที่จะสมัครสอบแข่งขันหรือคัดเลือกเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการ พนักงานราชการ หรือลูกจ้าง ตลอดจนขอความร่วมมือกับภาคเอกชนในการรับบุคคลดังกล่าวเข้าทำงานหรือศึกษาต่อ เพื่อให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน รวมทั้งเสริมสร้างเจตคติที่ดีต่อผู้เสพ/ผู้ติดยาซึ่งพ้นจากสภาพการใช้ยาเสพติดว่าสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างเป็นสุข |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
685 | การสนับสนุนมาตรการผลักดันการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนพิการและทุกคนในสังคมเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ | พม | 20/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการสนับสนุนมาตรการผลักดันการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนพิการและทุกคนในสังคมเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ ตามมติคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดย ๑.๑ ให้สำนักงบประมาณสนับสนุนงบประมาณสำหรับการก่อสร้างอาคารใหม่ของหน่วยงานหรืออาคารเก่าต้องปรับปรุง หรือจัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนพิการและทุกคนในสังคมเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ของหน่วยงานราชการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง ขอมติคณะรัฐมนตรีให้หน่วยงานราชการสำรวจและจัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนพิการเข้าถึงได้) โดยจัดสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานสำหรับคนพิการ ไม่น้อยกว่า ๕ ประเภท ได้แก่ ทางลาด ห้องน้ำ ที่จอดรถ ป้ายและสัญลักษณ์และบริการข้อมูลข่าวสาร ตามที่หน่วยงานขอรับการสนับสนุน ทั้งนี้ การประมาณการงบประมาณสำหรับการจัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานสำหรับคนพิการ ครบทั้ง ๕ ประเภท แห่งละ ๓๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๒ ให้ทุกหน่วยงานกำหนดเป้าหมายการจัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) ๑.๓ ให้ทุกหน่วยงานรายงานผลการดำเนินงานทุกรอบ ๖ เดือน พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลความจำเป็นกรณีไม่สามารถดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมายที่หน่วยงานกำหนดไว้ได้ โดยให้สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นผู้รวบรวมรายงานผลการดำเนินงานเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานตำรวจแห่งชาติกำหนดเป้าหมาย แผนการดำเนินงาน และแผนการใช้จ่ายเงินในการจัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) และเสนอแผนดังกล่าวในที่ประชุมเชิงปฏิบัติการการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อเป็นกรอบการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานดังกล่าวรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรขยายนิยามของ “หน่วยงานราชการ” ให้หมายรวมถึงหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ด้วย เช่น กระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นซึ่งมีฐานะเทียบเท่ากรม เป็นต้น เพื่อประโชนต่อคนพิการ และสนับสนุนงบประมาณสำหรับการจัดการสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานสำหรับคนพิการ ครบ ๕ ประเภท ให้ครอบคลุมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกประเภท รวมทั้งกำหนดเป้าหมายและรายงานผลการดำเนินงานทุกรอบ ๖ เดือน โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
686 | การคุ้มครองประกันสังคมแก่แรงงานนอกระบบ | รง | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการดำเนินงานคุ้มครองประกันสังคมแก่แรงงานนอกระบบ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงแรงงานได้ตั้งเป้าหมายการดำเนินงานให้แรงงานนอกระบบได้รับความคุ้มครองประกันสังคม ภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ จำนวน ๑.๒๐ ล้านคน โดยมอบหมายให้สำนักงานประกันสังคมดำเนินการรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ ส่งเสริมให้แรงงานนอกระบบเกิดความเข้าใจ และสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ๑.๒ ในการส่งเงินเข้ากองทุนประกันสังคม แรงงานนอกระบบที่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ สามารถจ่ายเงินสมทบผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้แก่ สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานคร พื้นที่ ๑-๑๒ สำนักงานประกันสังคมจังหวัดและสาขา หักบัญชีเงินฝากของผู้ประกันตนผ่านธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และจ่ายผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส ห้างเทสโก้ โลตัส และไปรษณีย์ ๑.๓ การดำเนินงาน ณ วันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๕ มีแรงงานนอกระบบได้รับการประกันสังคม จำนวน ๑,๐๖๘,๘๓๙ คน หรือร้อยละ ๘๙.๐๗ ของเป้าหมาย โดยแรงงานนอกระบบที่สมัครเข้าเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ จ่ายเงินสมทบเพื่อรับสิทธิประโยชน์ในทางเลือกที่ ๑ อัตราเงินสมทบเดือนละ ๑๐๐ บาท ได้รับสิทธิ ๓ กรณีคือ เจ็บป่วย ทุพพลภาพ และตาย (การรักษาพยาบาลใช้สิทธิระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) จำนวน ๕,๔๖๘ คน หรือร้อยละ ๐.๕๐ ของผลการดำเนินงาน และทางเลือกที่ ๒ อัตราเงินสมทบเดือนละ ๑๕๐ บาท ได้รับสิทธิ ๔ กรณีคือ เจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตาย และบำเหน็จชราภาพ (การรักษาพยาบาลใช้สิทธิระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) จำนวน ๑,๐๖๓,๓๗๑ คน หรือร้อยละ ๙๙.๕๐ ของผลการดำเนินงาน ๑.๔ การเบิกจ่ายเงินอุดหนุนของรัฐบาล ตามทางเลือกที่ ๑ และ ๒ นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๔ ถึงเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ รวมระยะเวลา ๑๖ เดือน เบิกจ่ายแล้วเป็นจำนวน ๓๕๑,๒๗๖,๙๕๐ บาท ในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ คงเหลือเงินงบประมาณที่สามารถเบิกจ่ายได้ จำนวน ๑๑๗,๙๒๓,๐๕๐ บาท โดยที่จำนวนผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เฉพาะในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ มีการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนของรัฐบาล จำนวน ๓๐,๕๗๔,๖๙๐ บาท และในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ มีการเบิกจ่าย จำนวน ๓๑,๑๐๒,๒๑๐ บาท หากใช้ข้อมูลในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ เป็นฐานในการประมาณการ คาดว่าจะสามารถเบิกจ่ายเงินอุดหนุนได้ถึงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ บางส่วน ๑.๕ เนื่องจากกระทรวงแรงงานอยู่ระหว่างการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ในมาตรา ๔๐ เพื่อให้รัฐบาลสามารถจ่ายเงินสมทบร่วมกับผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ และคาดว่าเงินงบประมาณที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติจัดสรรให้แก่กระทรวงแรงงานเบิกจ่ายเพื่อสนับสนุนช่วยเหลือบรรเทาภาระของประชาชนแรงงานนอกระบบที่สมัครเข้าเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ มีจำนวนไม่เพียงพอ อาจจะส่งผลให้การดำเนินงานประกันสังคมแก่แรงงานนอกระบบไม่ต่อเนื่อง จึงมีความจำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อสนับสนุนช่วยเหลือบรรเทาภาระของประชาชนไปพลางก่อน ๒. อนุมัติหลักการจัดสรรเงินอุดหนุนเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนแรงงานนอกระบบที่สมัครเข้าเป็นผู้ประกันตน ตามมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในกรอบวงเงินไม่เกิน ๑๔๕,๕๓๔,๗๐๐ บาท เนื่องจากสำนักงานประกันสังคมมีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เหลือจ่าย จำนวน ๑๑๗,๙๒๓,๐๕๐ บาท ซึ่งคาดว่าจะเพียงพอต่อการอุดหนุนค่าใช้จ่ายของประชาชนแรงงานนอกระบบดังกล่าวไปจนถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ จึงเห็นสมควรให้สำนักงานประกันสังคมตรวจสอบและใช้จ่ายจากวงเงินดังกล่าวไปก่อน และเมื่อมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเพิ่มเติม ก็ขอให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเป็นรายเดือนเพื่อขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ในส่วนค่าตอบแทนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และการประชาสัมพันธ์รณรงค์ให้แรงงานนอกระบบสมัครเข้าเป็นผู้ประกันตน ตามมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ให้ใช้จ่ายจากเงินกองทุนประกันสังคม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ หากกระทรวงแรงงานไม่สามารถใช้จ่ายจากเงินกองทุนประกันสังคมได้ ให้หารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป ๔. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มช่องทางในการให้และรับบริการให้ครอบคลุมประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลเพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถเข้าถึงระบบการคุ้มครองทางสังคมได้อย่างสะดวก รวดเร็วในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะการพัฒนาช่องทางการจ่ายเงินสมทบผ่านเครือข่ายการทำงานร่วมของภาคประชาชน องค์กรชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
687 | ขออนุมัติการดำเนินโครงการบำบัดน้ำเสียรวม พื้นที่เทศบาลนครอ้อมน้อย จังหวัดสมุทรสาคร | ทส | 06/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕ (ฝ่ายการเกษตรและการท่องเที่ยว) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายชุมพล ศิลปอาชา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕ (ฝ่ายการเกษตรและการท่องเที่ยว) เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๑.๑ เห็นชอบโครงการบำบัดน้ำเสียเทศบาลนครอ้อมน้อย จังหวัดสมุทรสาคร โดยให้องค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) ลงทุนเฉพาะในระยะที่ ๑ วงเงินลงทุน ๒,๗๕๐.๖๓ ล้านบาทก่อน ส่วนการลงทุนในระยะที่ ๒ ซึ่งเป็นการผูกพันงบประมาณระยะยาวถึงปี พ.ศ. ๒๕๗๓ ควรประเมินผลการดำเนินการในระยะที่ ๑ รวมทั้งศึกษาทบทวนข้อสมมติต่าง ๆ ก่อนเสนอขออนุมัติตามขั้นตอนต่อไป โดยให้ปรับลดระยะเวลาในการบริหารจัดการเดินระบบบำบัดจาก ๒๕ ปี เป็น ๑๕ ปี เพื่อเร่งถ่ายโอนภารกิจให้เทศบาลนครอ้อมน้อย ๑.๒ ให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสาคร และเทศบาลนครอ้อมน้อย ร่วมลงทุนในโครงการฯ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับโครงการฯ ทำให้เกิดการมีส่วนร่วมและสร้างความเป็นเจ้าของโครงการฯ โดยให้ อจน. เร่งเจรจาและจัดทำข้อตกลงเรื่องสัดส่วนการร่วมลงทุนกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และเทศบาลนครอ้อมน้อยโดยเร็ว โดยเงินร่วมลงทุนดังกล่าว ให้หักจากเงินอุดหนุนประจำปีที่จัดสรรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั้งสอง ๑.๓ ให้ อจน. เร่งประสานเทศบาลนครอ้อมน้อยให้มีการตราเทศบัญญัติในการจัดเก็บค่าบริการบำบัดน้ำเสียและค่าบริการระบายน้ำทิ้งให้แล้วเสร็จก่อนเริ่มดำเนินโครงการฯ รวมทั้งจัดทำข้อตกลงกับเทศบาลนครอ้อมน้อยให้รับภาระค่าบริการบำบัดน้ำเสียและค่าบริการระบายน้ำทิ้งส่วนที่ไม่สามารถจัดเก็บได้ตามเป้าหมาย โดยต้องมีการตกลงในเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ชัดเจนพร้อมทั้งปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ๑.๔ ให้ อจน เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้จากการให้บริการจัดการน้ำเสียและเร่งสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนและโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่เพื่อลดการต่อต้านในการจัดเก็บค่าบริการและเพื่อลดภาระจากการพึ่งพาเงินงบประมาณแผ่นดิน และให้ อจน. จัดเตรียมแผนและดำเนินการถ่ายทอดเทคโนโลยีและความรู้ให้กับเทศบาลนครอ้อมน้อยในการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสีย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของเทศบาลนครอ้อมน้อยให้พร้อมรับถ่ายโอนภารกิจได้ภายในระยะเวลาของโครงการฯ ๑.๕ ให้ อจน. ร่วมมือกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด และกรมควบคุมมลพิษ ในการติดตามตรวจสอบและบังคับใช้พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ และพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ อย่างเคร่งครัด เพื่อควบคุมและป้องกันการลักลอบระบายมลพิษลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ และร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเพื่อขอความร่วมมือโรงงานอุตสาหกรรมในการจัดการน้ำเสียโรงงานและการชำระค่าบริการบำบัดน้ำเสีย ๒. เห็นควรกำหนดเป็นเงื่อนไขในการอนุมัติโครงการ ให้เทศบาลนครอ้อมน้อยต้องรับผิดชอบในการสมทบเงินค่าใช้จ่ายในการเดินระบบและบำรุงรักษาระบบบำบัดน้ำเสีย หากการจัดเก็บค่าบริการบำบัดน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมและชุมชนได้ไม่เพียงพอ รวมทั้งให้มีการตกลงในเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ชัดเจนก่อนเริ่มดำเนินโครงการฯ ๓. สำหรับการก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียในระยะที่ ๒ หรือระยะต่อไป ให้พิจารณาจากความต้องการและความจำเป็นโดยพิจารณาจากความรุนแรงของปัญหาหรือปริมาณน้ำเสียที่เกิดขึ้นว่ามีมากน้อยเพียงใด หากปริมาณน้ำเสียมีมากขึ้นจึงค่อยพิจารณาขยายระบบต่อไป โดยคำนึงถึงความต่อเนื่องในการดำเนินการบำบัดน้ำเสียและระยะเวลาในการก่อสร้าง ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการขาดช่วงในการบำบัดน้ำเสีย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
688 | การตรวจติดตามสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาภัยแล้ง | ทส | 06/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการตรวจติดตามสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาภัยแล้งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ โดยได้ดำเนินการตรวจเยี่ยมและให้การช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ขาดแคลนน้ำดื่มสะอาด และพื้นที่ประสบภัยแล้ง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับทราบแนวทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและมอบหมายให้กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมทรัพยากรน้ำ บูรณาการร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งต่อไป ดังนี้
๑. จังหวัดลพบุรีและสระบุรี ตรวจติดตามโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อสนับสนุนระบบน้ำดื่มสะอาดให้กับโรงเรียนทั่วประเทศ เพื่อสร้างเครือข่ายช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติ ณ โรงเรียนท่าวุ้งวิทยาคาร ตำบลท่าวุ้ง อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี และตรวจเยี่ยมพื้นที่ประสบปัญหาภัยแล้ง พร้อมปล่อยขบวนคาราวานรถเจาะน้ำบาดาล ส่งมอบบ่อน้ำบาดาลและระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำภาคสนาม ณ องค์การบริหารส่วนตำบลโคกใหญ่-หรเทพ อำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี ๒. จังหวัดกาฬสินธุ์ ตรวจการเจาะน้ำบาดาลและสูบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร และช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านหนองคอนเตรียม หมู่ ๓, ๙ ตำบลหลักเหลี่ยม อำเภอนามน จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ๓. จังหวัดอุดรธานี ตรวจการเจาะน้ำบาดาลและสูบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร และช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านเชียงกรม หมู่ ๑๔ ตำบลนาม่วง อำเภอประจักษ์ศิลปาคม และบ้านหนองไผ่น้อย หมู่ ๖ ตำบลหนองไผ่ อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล รวมทั้งตรวจการสูบน้ำระยะไกลเพื่อแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านหนองไผ่ หมู่ ๖ ตำบลหนองไผ่ อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พร้อมทั้งตรวจการสูบน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ ตำบลสุมเส้า อำเภอเพ็ญ และบ้านหนองบุ่งหวาย หมู่ ๑๓ บ้านจอมตาลใต้ ตำบลจอมศรี อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี โดยกรมทรัพยากรน้ำ ๔. จังหวัดสกลนคร ตรวจการเจาะน้ำบาดาลและสูบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร และช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านใต้ อำเภอสว่างแดนดิน และตรวจการสูบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านดอนดู่ หมู่ ๓ ตำบลนาตงวัฒนา อำเภอโพนนาแก้ว จังหวัดสกลนคร โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล รวมทั้งตรวจการเจาะน้ำบาดาลและสูบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร และช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง และนำรถผลิตน้ำดื่มสะอาดแจกจ่ายแก่ประชาชน ณ บ้านโพนแคใหญ่ หมู่ ๒ ตำบลนาดงวัฒนา อำเภอโพนนาแก้ว จังหวัดสกลนคร โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ๕. จังหวัดบึงกาฬ ตรวจการสูบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ วัดสอนเจริญราษฎร์ หมู่ ๑ ตำบลนาสิงห์ อำเภอศรีวิไล จังหวัดบึงกาฬ โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๖. จังหวัดหนองคาย ตรวจการแก้ไขปัญหาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง โดยจัดทำจุดจ่ายน้ำ และสาธิตการสูบน้ำระยะไกล ณ บ้านดงคำพี้ หมู่ ๗ ตำบลวัดหลวง อำเภอโพนพิสัย และจัดทำจุดจ่ายน้ำ และแจกจ่ายน้ำให้แก่ประชาชน ณ บ้านเบิด หมู่ ๖ ตำบลวัดธาตุ อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมทั้งตรวจการแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านน้ำสวย หมู่ ๑๑ ตำบลสระไคร อำเภอสระไคร จังหวัดหนองคาย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
689 | ขอความเห็นชอบให้ข้าราชการลาเข้าร่วมอุปสมบทในโครงการอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2555 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 12 สิงหาคม 2555 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ 28 กรกฎาคม 2555 | วธ | 22/10/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ข้าราชการทุกประเภท (ยกเว้นข้าราชการการเมืองและข้าราชการส่วนท้องถิ่น) พนักงานราชการ รวมถึงลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๕ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เป็นระยะเวลา ๑๕ วัน (ตั้งแต่เตรียมการอุปสมบทถึงลาสิกขา) โดยไม่ถือเป็นวันลา เสมือนเป็นการปฏิบัติราชการและได้รับเงินเดือนตามปกติ ๑.๒ การใช้สิทธิการลาเพื่อเข้าร่วมอุปสมบทในโครงการฯ ให้สิทธิแก่ข้าราชการ (ยกเว้นข้าราชการการเมืองและข้าราชการส่วนท้องถิ่น) พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจที่เคยลาอุปสมบทระหว่างรับราชการมาแล้ว สามารถลาอุปสมบทเพื่อเฉลิมพระเกียรติตามมติคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ได้อีก สำหรับผู้ที่ไม่เคยลาอุปสมบทระหว่างรับราชการ หากได้ลาอุปสมบทเพื่อเฉลิมพระเกียรติตามมติคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้แล้ว ไม่มีผลกระทบสิทธิในการลาอุปสมบทในอนาคต ซึ่งเป็นการใช้สิทธิการลาอุปสมบทครั้งแรกตั้งแต่เริ่มราชการ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยยังคงได้สิทธิการลาอุปสมบทและยังคงได้สิทธิในการรับเงินเดือนตามปกติ ตามพระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน พ.ศ. ๒๕๓๕ ๑.๓ การใช้สิทธิตามมติคณะรัฐมนตรี ผู้ลาจะต้องเข้าร่วมอุปสมบทในโครงการที่ส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐ หรือภาคเอกชนจัดขึ้นเป็นโครงการอย่างชัดเจน และเข้าร่วมอบรมตามหลักสูตรศาสนศึกษา สำหรับผู้บวชระยะสั้นตามที่กรมการศาสนาหรือคณะสงฆ์กำหนด ทั้งนี้ ให้ลาได้ตามระยะเวลาที่กำหนดของโครงการแต่ไม่เกิน ๑๕ วัน หากอุปสมบทเป็นเอกเทศโดยไม่ได้เข้าร่วมโครงการ จะไม่ได้รับสิทธิในการลาดังกล่าว ๒. หากมีส่วนราชการ หรือหน่วยงานอื่น ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนกำหนดจัดโครงการอุปสมบท เนื่องในโอกาสมหามงคลดังกล่าว และมีความประสงค์ให้ข้าราชการเข้าร่วมอุปสมบท ระยะเวลา ๑๕ วัน แต่วันที่ดำเนินการไม่ตรงกัน ให้ได้รับสิทธิในการลาอุปสมบทโดยไม่ถือเป็นวันลาเช่นเดียวกันด้วย ตามความเห็นของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
690 | โครงการแนวร่วมดูแลคูคลอง "รวมแรงไทยรักษาน้ำใสทุกคูคลอง" | นร04 | 22/10/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการ “รวมแรงไทยรักษาน้ำใสทุกคูคลอง” ไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ให้ชัดเจนทั่วถึง และให้เพิ่มมหาวิทยาลัยมหิดลเป็นผู้รับผิดชอบการบริหารจัดการ ตลอดจนการอบรมและสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ประชาชนเกี่ยวกับโครงการดังกล่าว ตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย) เสนอ ๒. ขอความร่วมมือให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมตลอดถึงภาคเอกชนและชุมชนต่าง ๆ ให้การสนับสนุนการดำเนินโครงการ “รวมแรงไทยรักษาน้ำใสทุกคูคลอง” โดยให้แต่ละหน่วยงานแจ้งผลการดำเนินการไปยังรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย) เพื่อรายงานคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยนำแนวทางการดำเนินโครงการนี้ไปปรับใช้กับการดูแลรักษาคูคลองต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยประสานงานและขอความร่วมมือให้กรุงเทพมหานครและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนและร่วมดำเนินการให้บรรลุผลอย่างยั่งยืน ๔. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายชุมพล ศิลปอาชา) รับไปดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสร้างจิตสำนึกความเป็นเจ้าของและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการดูแลรักษาคูคลองให้อยู่ในสภาพดี รวมทั้งสนับสนุนให้มีการตกแต่งคูคลองให้เรียบร้อยสวยงาม เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
691 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานธนานุเคราะห์ พ.ศ. ..... | พม | 22/10/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานธนานุเคราะห์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดตั้งสำนักงานธนานุเคราะห์ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้คงวัตถุประสงค์ของสำนักงานธนานุเคราะห์ในการดำเนินกิจการรับจำนำทรัพย์สิน และดำเนินกิจการเกี่ยวกับการรับฝากทรัพย์เพื่อดูแลและช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย และพิจารณารูปแบบที่เหมาะสมในการจัดตั้งสำนักงานธนานุเคราะห์ให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรพิจารณาทบทวนความคุ้มค่าของการดำเนินกิจการเกี่ยวกับการรับฝากทรัพย์ตามวัตถุประสงค์ของมาตรา ๗ เนื่องจากธุรกิจดังกล่าวในปัจจุบันมีผลตอบแทนที่ไม่สูงมากนัก ในขณะที่สำนักงานธนานุเคราะห์อาจมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น และร่างมาตรา ๘(๖) การซื้อขายอนุพันธ์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าตามกฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า รวมทั้งการก่อภาระหรือสิทธิอันเนื่องมาจากการซื้อขายอนุพันธ์ หรือเข้าผูกพันตามอนุพันธ์ หรือการซื้อขายล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการรับจำนำ สมควรได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนดำเนินการ นอกจากนี้ กรณีการขออนุญาตตั้งสถานธนานุเคราะห์ การย้ายสถานธนานุเคราะห์ การเรียกหรือรับดอกเบี้ย ข้อห้ามในการรับจำนำ หน้าที่ของผู้รับจำนำ หรือกรณีอื่นใดตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ. ๒๕๐๕ ยังคงต้องดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติดังกล่าว เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่เห็นควรพิจารณาถึงผลประกอบการที่ผ่านมาของสำนักงานธนานุเคราะห์ วัตถุประสงค์และเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจ ส่วนแบ่งทางการตลาด และโอกาสในการสร้างมูลค่าของกิจการให้สูงขึ้น รวมทั้งประเมินภาระงบประมาณของรัฐที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นและความคุ้มค่าในการลงทุนทั้งทางด้านการเงินและด้านเศรษฐกิจ รวมถึงปัจจัยผลกระทบต่อผู้ประกอบธุรกิจโรงรับจำนำและเกี่ยวเนื่องรายอื่น นอกจากนี้ การดำเนินกิจการของสำนักงานธนานุเคราะห์ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อการดำเนินกิจการในลักษณะเดียวกันหรือใกล้เคียงกันของส่วนท้องถิ่นและภาคเอกชน และความเป็นไปได้ในการถ่ายโอนภารกิจดังกล่าวให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
692 | การส่งเสริมและสนับสนุนให้สหกรณ์เป็นวาระแห่งชาติในโอกาสทศวรรษครบ 100 ปี ของการสหกรณ์ไทย | กษ | 22/10/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการยุทธศาสตร์และแนวทางในการดำเนินงานตามข้อเสนอวาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามยุทธศาสตร์และแนวทางในการดำเนินงาน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สำหรับแนวทางในการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์วาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์ ประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ (๑๓ กลยุทธ์) สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ สร้างและพัฒนาการเรียนรู้และทักษะการสหกรณ์สู่วิถีชีวิตประชาชนในชาติ ประกอบด้วย ๒ กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์ที่ ๑ ผลักดันการจัดการเรียนรู้และทักษะการสหกรณ์สู่วิถีชีวิตประชาชนในระบบการศึกษา และกลยุทธ์ที่ ๒ สร้างและผลักดันการจัดการเรียนรู้และทักษะการสหกรณ์สู่วิถีชีวิตประชาชนนอกระบบการศึกษา ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ สนับสนุนและพัฒนาการรวมกลุ่มของประชาชนด้วยวิธีการสหกรณ์ให้เป็นฐานรากสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ประกอบด้วย ๒ กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์ที่ ๑ สร้างความเข้มแข็งให้กลุ่มเศรษฐกิจและสังคมในชุมชนโดยใช้วิธีการสหกรณ์เป็นแนวทางในการดำเนินงาน และกลยุทธ์ที่ ๒ ส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ใช้ระบบสหกรณ์เป็นกลไกในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ เพิ่มศักยภาพการเชื่อมโยงเครือข่ายระบบการผลิตการตลาดและการเงินของสหกรณ์ ประกอบด้วย ๓ กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์ที่ ๑ การสร้างเครือข่ายกลุ่มผู้ผลิตสินค้าคุณภาพเพื่อยกระดับสินค้าสหกรณ์ให้ได้มาตรฐาน กลยุทธ์ที่ ๒ การสร้างเครือข่ายการตลาดสินค้าสหกรณ์ และกลยุทธ์ที่ ๓ เชื่อมโยงเครือข่ายการเงินสหกรณ์ ๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ สนับสนุนแผนพัฒนาการสหกรณ์ให้เป็นเครื่องมือในการสร้างความเข้มแข็งของขบวนการสหกรณ์ มี ๑ กลยุทธ์ คือ ผลักดันแผนพัฒนาการสหกรณ์สู่การปฏิบัติ ๑.๕ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ ปฏิรูปโครงสร้างหน่วยงานภาครัฐ ขบวนการสหกรณ์ และปรับปรุงกฎหมายสหกรณ์ให้เอื้อต่อการพัฒนา ประกอบด้วย ๔ กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์ที่ ๑ การปฏิรูปโครงสร้างหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวกับงานส่งเสริมสหกรณ์ กลยุทธ์ที่ ๒ ปฏิรูปโครงสร้างสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย กลยุทธ์ที่ ๓ ปรับปรุงโครงสร้างชุมนุมสหกรณ์ และสหกรณ์ และกลยุทธ์ที่ ๔ ปรับปรุงกฎหมายสหกรณ์ให้เอื้อต่อการส่งเสริมและพัฒนาสหกรณ์ ภายใต้หลักการอุดมการณ์ และวิธีการสหกรณ์ให้เหมาะสมกับสหกรณ์แต่ละประเภท ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาทบทวนแนวทางการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์วาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมประเด็นการพัฒนา ให้สหกรณ์ดำเนินการได้อย่างเป็นมืออาชีพ โปร่งใส และตรวจสอบได้ และยุทธศาสตร์ที่ ๕ ในส่วนที่เกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างหน่วยงาน อำนาจหน้าที่ อัตรากำลัง รวมทั้งการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอน ข้อกฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรร่วมกันจัดทำแผนปฏิบัติการตามยุทธศาสตร์ในวาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์ที่มีรายละเอียดของแผนงาน/โครงการ งบประมาณ และหน่วยงานรับผิดชอบในแต่ละประเด็นยุทธศาสตร์อย่างชัดเจน และให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้สหกรณ์ ชุมนุมสหกรณ์ และสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย รวมทั้งเครือข่ายการพัฒนาที่เกี่ยวข้องให้มีการดำเนินการที่เอื้อและส่งเสริมกันและกันอย่างมีเอกภาพ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับสหกรณ์แต่ละประเภทในทุกระดับ มีความเป็นอิสระ มีความคล่องตัวในการดำเนินงาน และมีความสามารถในการพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ๔. สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณมาดำเนินการ ส่วนในปีต่อ ๆ ไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
693 | แผนยุทธศาสตร์ชาติด้านเด็กปฐมวัย (แรกเกิดถึงก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ 1) ตามนโยบายรัฐบาล ด้านเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2555 - 2559 | ศธ | 15/10/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า การพัฒนาเด็กช่วงปฐมวัยเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายด้านสังคมและคุณภาพชีวิตของรัฐบาล ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งและต้องพัฒนาอย่างเป็นองค์รวม โดยมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องอีกหลายด้านและเกี่ยวข้องกับบุคคลหลายช่วงวัย ทั้งสตรี ผู้สูงอายุ ผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการ รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน ดังนั้น เพื่อให้นโยบายดังกล่าวบรรลุตามวัตถุประสงค์และเพื่อให้มีการบูรณาการวิธีการทำงานร่วมกัน จะได้จัดให้มีการประชุมร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือในเรื่องดังกล่าว โดยนายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานในการประชุมและให้ถือเป็นวาระแห่งชาติ และเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ๒. เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์ชาติด้านเด็กปฐมวัย (แรกเกิดถึงก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑) ตามนโยบายรัฐบาล ด้านเด็กปฐมวัย พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ทั้งนี้ แผนยุทธศาสตร์ชาติ ฯ ประกอบด้วย ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ๒.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ เด็กทุกคนได้รับบริการในการพัฒนาเต็มศักยภาพ เป้าหมายคือ (๑) เด็กทุกคนในช่วงอายุแรกเกิดถึง ๕ ปี หรือก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑ ได้รับบริการด้านสุขภาพ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ (๒) เด็กแรกเกิดถึงก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑ ร้อยละ ๙๐ มีพัฒนาการตามวัยในทุกด้าน ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ (๓) เด็กทุกคนในช่วงอายุ ๓ ปี ถึงก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑ ที่มีความต้องการได้รับการพัฒนาในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยในทุกรูปแบบ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ และ (๔) เด็กทุกคนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑ เมื่ออายุครบ ๖ ปี ตามพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ๒.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ ไอโอดีนกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย เป้าหมายคือ (๑) เด็กแรกเกิดถึงก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑ ได้รับไอโอดีนในอาหารอย่างเพียงพอ (๒) หญิงตั้งครรภ์ทุกคนต้องได้รับไอโอดีนในอาหารอย่างเพียงพอ และได้รับยาเม็ดเสริมไอโอดีน และ (๓) หญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ทุกคนระยะ ๖ เดือนแรกต้องได้รับไอโอดีนในอาหารอย่างเพียงพอ และได้รับยาเม็ดเสริมไอโอดีน ๒.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย เป้าหมายคือ เด็กปฐมวัย (แรกเกิดถึงก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑) ทุกคนได้รับการอบรมเลี้ยงดูอย่างมีคุณภาพ เพื่อมีพัฒนาการดีอย่างรอบด้านและตามวัย ๒.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ กลไกการดำเนินงานพัฒนาเด็กปฐมวัย เป้าหมายคือ (๑) กำกับติดตามมาตรการที่แต่ละกระทรวงกำหนดเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและมติของคณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ (ก.พ.ป.) (๒) มีคณะกรรมการระดับจังหวัด ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ และ (๓) ระบบข้อมูลด้านเด็กปฐมวัย การสำรวจข้อมูล การวิจัยต่าง ๆ สามารถช่วยในการวางแผน และติดตามประเมินสถานการณ์อย่างมีประสิทธิภาพ ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่า แผนยุทธศาสตร์ ฯ ควรกำหนดกลยุทธ์การดำเนินการให้ชัดเจนในแต่ละยุทธศาสตร์ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีแนวทาง มาตรการหรือวิธีดำเนินการที่สำคัญ สำหรับเป็นกรอบในการจัดทำแผนงาน/โครงการ/กิจกรรมต่าง ๆ ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์และจุดมุ่งหมายที่กำหนดในแต่ละยุทธศาสตร์ และจัดทำแนวทางการนำยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติ เพื่อให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเกิดความชัดเจนในการดำเนินการ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับมารดากลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมารดาครรภ์แรก มารดาอายุน้อย มารดาเลี้ยงเดี่ยว และมารดาเร่ร่อน ในด้านการให้คำปรึกษาและการเตรียมพร้อมในการมีบุตร รวมทั้งให้ความสำคัญกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรชุมชนและภาคเอกชนในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็กปฐมวัย เพื่อให้การขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ ฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ไปดำเนินการด้วย ๔. ให้นำประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการบูรณาการและการพัฒนาศูนย์เด็กเล็กจัดทำเป็นแผนยุทธศาสตร์เสนอต่อการประชุมที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการตามข้อ ๑ ด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
694 | แผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 11 พ.ศ.2555 - 2559 | สธ | 09/10/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติแผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ และเห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคีเครือข่ายด้านสุขภาพใช้แผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติฯ เป็นกรอบชี้นำทิศทางการพัฒนาด้านสุขภาพของประเทศ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้ แผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติฯ ประกอบด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาสุขภาพ ๕ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ เสริมสร้างความเข้มแข็งของภาคีสุขภาพในการสร้างสุขภาพ ตลอดจนการพึ่งพาตนเองด้านสุขภาพบนพื้นฐานภูมิปัญญาไทย เพื่อสร้างจิตสำนึกด้านสุขภาพให้สังคม ประชาชน มีความตื่นตัว และให้ความสำคัญในการดูแลรักษาสุขภาพให้เป็นวัฒนธรรมของประชาชน การได้มาซึ่งสุขภาวะที่ดี ประชาชนต้องร่วมสร้างบนพื้นฐานศักยภาพที่เพียงพอ และเพื่อเสริมสร้างการทำงานด้านสุขภาพระหว่างภาคีต่าง ๆ ให้เกิดผลดียิ่งขึ้น รวมถึงภาคีเครือข่ายสุขภาพระหว่างประเทศ รวมทั้งเพื่อให้ภูมิปัญญาไทยมีบทบาทและเป็นทางเลือกในระบบสุขภาพ ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ พัฒนาระบบเฝ้าระวัง เตือนภัย และการจัดการภัยพิบัติ อุบัติเหตุและภัยสุขภาพ เพื่อให้เกิดความพร้อมในการเตรียมการ มีระบบเฝ้าระวังและเตือนภัยที่ทำให้ประชาชนวางใจ และเมื่อเกิดภัยพิบัติสามารถจัดการได้อย่างเหมาะสม ทันการณ์ ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ มุ่งเน้นการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกัน ควบคุมโรค และคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ เพื่อให้คนไทยแข็งแรงทั้งร่างกาย จิตใจ สังคม และปัญญา เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนที่เป็นรากฐานของปัญหาภาระโรคที่สำคัญในปัจจุบัน และเพื่อให้มีการลงทุนและดำเนินกิจกรรมด้านการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคมากขึ้นในระดับที่เพียงพอ ๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ เสริมสร้างระบบบริการสุขภาพให้มีมาตรฐานในทุกระดับเพื่อตอบสนองต่อปัญหาสุขภาพในทุกกลุ่มเป้าหมาย และพัฒนาระบบส่งต่อที่ไร้รอยต่อ เพื่อสร้างระบบบริการสุขภาพที่มีคุณภาพมาตรฐาน ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างทั่วถึง เป็นธรรม และเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ให้และผู้รับบริการ ซึ่งจะทำให้ผู้ให้บริการมีความสุขและผู้รับบริการมีความพึงพอใจ ๑.๕ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ สร้างกลไกกลางระดับชาติในการดูแลระบบบริการสุขภาพ และพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพ เพื่ออภิบาลระบบสุขภาพอย่างมีธรรมาภิบาล เป็นเอกภาพ อันจะส่งผลให้มีความมั่นคง ยั่งยืนของระบบสุขภาพ และเพื่อกำหนดนโยบาย แนวทาง และพัฒนาสิ่งสนับสนุนระบบบริการที่เพียงพอ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขขอความร่วมมือภาคีเครือข่ายด้านสุขภาพใช้แผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติฯ เป็นกรอบชี้นำทิศทางการพัฒนาด้านสุขภาพของประเทศด้วย ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการเร่งดำเนินการถ่ายโอนภารกิจและงบประมาณด้านการสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การฟื้นฟูสภาพและการรักษาพยาบาลเบื้องต้นพร้อมสถานีอนามัย (โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล) ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การผลิตและพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขให้มีปริมาณเพียงพอและมีคุณภาพ โดยคำนึงถึงการกระจายของกำลังคนระหว่างพื้นที่ในเขตเมืองและเขตชนบทให้มีความสมดุล การจัดทำแผนในเชิงลึกสำหรับประเด็นปัญหาสำคัญเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความยั่งยืนของระบบประกันสุขภาพของประเทศ การกระจายอำนาจทางด้านสาธารณสุข และการบริหารจัดการกำลังด้านสุขภาพ แทนการทำแผนในเชิงกว้างที่เน้นความครอบคลุมเป้าหมายทางด้านสุขภาพในทุกมิติ และการจัดลำดับความสำคัญของเป้าหมายที่ต้องพิจารณาความจำกัดของทรัพยากร โดยคำนึงถึงผลกระทบจากทุกมาตรการในยุทธศาสตร์ต่อความยั่งยืนทางการเงินการคลังของสถานพยาบาล เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๔. เห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๔.๑ ให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการเกี่ยวกับการศึกษาภาพรวมอัตรากำลังทั้งระบบและการจัดทำข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาอัตรากำลังคนและการบริหารจัดการภารกิจด้านสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ (เรื่อง การขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นงบประมาณสำหรับอัตรากำลังใหม่ที่ได้รับอนุมัติในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔) ๔.๒ ให้กระทรวงสาธารณสุขวางยุทธศาสตร์การพัฒนาการให้บริการสาธารณสุขที่ได้มาตรฐานด้วยการเร่งพัฒนาศูนย์กลางบริการรักษาพยาบาลเฉพาะทางให้คลอบคลุมทุกภูมิภาคซึ่งประชาชนจะได้ใช้ประโยชน์โดยตรงจากการได้รับบริการที่ทั่วถึงและมีมาตรฐานสูงในระดับสากลและเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้เกิดธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพ ซึ่งจะเป็นการสร้างงานสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
695 | รายงานผลการดำเนินการ กรณีสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ให้ความเห็นและข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี เรื่อง การจัดการปัญหา สารบีพีเอในขวดนมและภาชนะบรรจุอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก | สสป | 09/10/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก (โรงพยาบาลรามาธิบดี) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมประชาสัมพันธ์ กรมวิทยาศาสตร์บริการ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ แผนงานพัฒนาวิทยาการและกลไกการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ประกอบการจำนวน ๔ แห่ง ได้แก่ บริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท เนเจอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด บริษัท มุ่งพัฒนา อินเตอร์แนชชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และบริษัท พีเจ้นอินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด เรื่อง “การจัดการปัญหาสารบีพีเอในขวดนมและภาชนะบรรจุอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก” โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ข้อเสนอต่อหน่วยงานภาครัฐ ๑.๑ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาออกประกาศตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ห้ามใช้สารบีพีเอในภาชนะบรรจุอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๒ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคประกาศให้มีการแสดงฉลากคำเตือนบนภาชนะบรรจุอาหารทุกชนิดที่มีสารบีพีเอเป็นส่วนประกอบ โดยระบุว่า “ภาชนะนี้มีสารบีพีเอเป็นส่วนประกอบอาจมีผลเสียต่อสุขภาพ” ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ หรือประกาศให้ภาชนะบรรจุอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กที่มีสารบีพีเอเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัย ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๓ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมออกมาตรฐานบังคับ (FOOD CONTRACT CONTAINER) สำหรับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ภาชนะบรรจุอาหารทุกชนิด เพื่อให้ผู้บริโภคปลอดภัยจากการใช้สารบีพีเอ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๔ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรณรงค์เผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจกับประชาชนเกี่ยวกับอันตรายของสารบีพีเอ เฝ้าระวังความเสี่ยงและการป้องกันความเสี่ยงในทารก เด็กเล็ก สตรีมีครรภ์ และหญิงให้นมบุตร โดยประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่าง ๆ เช่น วิทยุชุมชน หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น เอกสารประชาสัมพันธ์ของหน่วยงาน ฯลฯ ๑.๕ หน่วยงานภาครัฐควรรณรงค์ส่งเสริมวัฒนธรรมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เนื่องจากการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นการส่งเสริมพัฒนาการและการเจริญเติบโตของเด็กอย่างมีคุณภาพ ๒. ความรับผิดชอบของผู้ประกอบการต่อสังคม ๒.๑ ยกเลิกการผลิตและจำหน่ายขวดนมและภาชนะบรรจุอาหารสำหรับเด็กที่มีสารบีพีเอ ๒.๒ ในระหว่างที่ยังไม่มีประกาศจากรัฐ ผู้ประกอบการสมัครใจดำเนินการปกป้องผู้บริโภค เช่น ไม่ใช้สารบีพีเอในภาชนะบรรจุอาหาร ติดฉลากคำเตือนบนภาชนะบรรจุอาหารทุกชนิดที่มีสารบีพีเอเป็นส่วนประกอบ โดยระบุว่า” ภาชนะนี้มีสารบีพีเอเป็นส่วนประกอบอาจมีผลเสียต่อสุขภาพ” ๓. การสนับสนุนและติดตามการดำเนินงาน ๓.๑ หน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานวิชาการสนับสนุนการดำเนินงานของภาคประชาสังคมในการรณรงค์คุ้มครองความปลอดภัยของทารก เด็กเล็ก และผู้บริโภคจากสารบีพีเอ ๓.๒ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติสนับสนุนการวิจัยเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคที่เกี่ยวกับอันตรายจากสารบีพีเอ ๓.๓ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคประสานส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดทำรายงานผลการดำเนินงานความก้าวหน้าปัญหาอุปสรรค
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
696 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | กค | 09/10/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และเห็นชอบข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการจัดทำบัญชีและรายงานการเงินรวมภาครัฐ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยในส่วนของข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลัง มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ให้ผู้บริหารที่กำกับดูแลหน่วยงานทุกกลุ่มพิจารณาให้ความสำคัญการจัดทำบัญชีและรายงานการเงินให้ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน โดยเฉพาะในส่วนของรายงานการเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และกองทุนและเงินทุนหมุนเวียน ทั้งนี้ หากเป็นหน่วยงานที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงที่อาจประสบอุทกภัย ให้กำหนดมาตรการเพื่อเตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุปสรรคของการจัดทำบัญชีและรายงานการเงินที่อาจล่าช้าให้เป็นปัจจุบันโดยเร็ว ๑.๒ การพิจารณาตั้งหน่วยงานรับงบประมาณระดับกรมเพิ่มขึ้น จำเป็นต้องให้ความสำคัญในการบริหาร งาน เงิน และบุคลากรให้เหมาะสม โดยสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนควรพิจารณาจัดสรรอัตรากำลังเพิ่มเติมให้สำนักงานจังหวัดที่ต้องปฏิบัติงานด้านการเงินและบัญชีของหน่วยงานตนเองของจังหวัด และของกลุ่มจังหวัดในฐานะเป็นหน่วยรับงบประมาณ ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นส่วนราชการระดับกรมให้สอดคล้องกับภารกิจและงบประมาณที่ได้รับ ๑.๓ ให้ผู้บริหารหน่วยพิจารณากำหนดนโยบายการบริหารจัดการเกี่ยวกับรายได้และค่าใช้จ่ายให้เหมาะสม และพิจารณาทบทวนการใช้จ่ายเงินให้เป็นไปอย่างประหยัดและคุ้มค่า เพื่อให้ผลการดำเนินงานของหน่วยงานเกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ๑.๔ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นควรกำกับดูแลเร่งรัดให้ อปท. ใช้จ่ายเงินในการดำเนินงานตามแผนงาน/โครงการ และนโยบายของรัฐบาลให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างรวดเร็วและทั่วถึง เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายเงินของ อปท. และควรมีนโยบายให้ อปท. ใช้จ่ายเงินของท้องถิ่นสมทบกับรัฐบาลกลางในการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติต่าง ๆ ในท้องถิ่นเพื่อลดภาระทางด้านงบประมาณของแผ่นดิน ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการเร่งเผยแพร่ข้อเสนอแนะเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ เพื่อให้การจัดทำบัญชีและรายงานการเงินของกลุ่มต่าง ๆ ถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ และน่าเชื่อถือ สามารถใช้เป็นข้อมูลประกอบการบริหารจัดการสินทรัพย์ หนี้สิน รายได้ และค่าใช้จ่ายของแผ่นดิน รวมทั้งการวิเคราะห์ วางแผน และตัดสินใจเชิงนโยบายด้านการเงินการคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ และความเห็นของสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับกรณีรายงานการเงินรวมของรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ในส่วนของค่าใช้จ่ายบุคลากร ควรนำค่าใช้จ่ายที่จ่ายให้แก่บุคลากรที่แทรกอยู่ในค่าใช้จ่ายอื่น มาเป็นค่าใช้จ่ายบุคลากรเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายบุคลากรทั้งหมด และมีผลต่อการคำนวณต้นทุนการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ส่วนกรณีเสนอแนะให้สำนักงาน ก.พ. พิจารณาจัดสรรอัตรากำลังเพิ่มเติมให้สำนักงานจังหวัด เห็นควรให้ อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทยพิจารณาปรับเกลี่ยอัตรากำลังให้สอดคล้องกับภารกิจหรือปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งที่มีอยู่ให้เป็นตำแหน่งนักวิชาการการเงินและบัญชีหรือเจ้าพนักงานการเงินและบัญชีเพื่อปฏิบัติงานดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) ประสานงานกับคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อพิจารณาแนวทางส่งเสริมสนับสนุนให้ อปท. ต่าง ๆ จัดหาและพัฒนาบุคลากรของ อปท. แต่ละแห่งให้มีความรู้ความสามารถด้านการเงินและบัญชีมากยิ่งขึ้น และสามารถจัดทำข้อมูลและรายงานการเงินที่เกี่ยวข้องของ อปท. ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยให้รายงานการเงินรวมภาครัฐมีความสมบูรณ์ครบถ้วนต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
697 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยสิทธิขององค์กรชุมชนและองค์กรเอกชนในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในศูนย์การเรียน พ.ศ. .... | ศธ | 18/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงว่าด้วยสิทธิขององค์กรชุมชนและองค์กรเอกชนในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในศูนย์การเรียน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้องค์กรชุมชนและองค์กรเอกชนอาจจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในรูปแบบการศึกษานอกระบบหรือการศึกษาตามอัธยาศัยได้ตามที่กำหนด ๒. กำหนดแบบคำขอ การยื่นคำขอ และแผนการจัดการศึกษาและการเปลี่ยนแปลงแก้ไขแผนการจัดการศึกษาในการจัดตั้งศูนย์การเรียนขององค์กรชุมชนและองค์กรเอกชน ๓. กำหนดให้คุณสมบัติของผู้เรียนในศูนย์การเรียนขององค์กรเอกชนที่เป็นนิติบุคคลซึ่งไม่ได้จดทะเบียนในประเทศไทยเป็นไปตามที่กำหนด ๔. กำหนดให้ข้อกำหนดเกี่ยวกับคณะกรรมการศูนย์การเรียนเป็นไปตามที่กำหนด และกำหนดหน้าที่ของคณะกรรมการศูนย์การเรียน ๕. กำหนดหลักเกณฑ์การวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้และการออกหลักฐานทางการศึกษา ๖. กำหนดให้ศูนย์การเรียนอาจได้รับสิทธิประโยชน์ด้านเงินอุดหนุนจากรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรเอกชนอื่นสำหรับการจัดการศึกษา ๗. กำหนดหลักเกณฑ์การเลิกศูนย์การเรียน และการเรียกเงินอุดหนุนคืน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
698 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การบริหารจัดการระบบสัญญาณเตือนภัยจากอัคคีภัยและไฟป่า" | สสป | 18/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การบริหารจัดการระบบสัญญาณเตือนภัยจากอัคคีภัยและไฟป่า" โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. อัคคีภัย กรณีชุมชน รัฐบาลควรดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ ด้านมาตรการบังคับใช้กฎหมาย ได้แก่ บังคับใช้กฎหมาย และดำเนินมาตรการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันอัคคีภัยอย่างจริงจังและเด็ดขาด ปรับปรุงกฎระเบียบในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการหรือข้อกำหนดสำหรับการป้องกันอัคคีภัยให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล และการกำหนดนโยบายการให้ความรู้เกี่ยวกับหลักสูตรการป้องกันอัคคีภัย รวมถึงมีการฝึกซ้อมอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ๑.๒ ด้านมาตรการทางด้านการสื่อสารและการประชาสัมพันธ์ ได้แก่ มีมาตรการด้านการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ การสร้างเครือข่ายภาคประชาชน และจัดทำคู่มือการป้องกันและระงับอัคคีภัยพื้นฐานแก่ประชาชน ๑.๓ ด้านมาตรการบริหารจัดการแบบบูรณาการของระบบสัญญาณเตือนภัยอัคคีภัย ได้แก่ การให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นติดตั้งระบบสัญญาณเตือนภัยในชุมชนให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ และตั้งศูนย์ประสานงานช่วยเหลือผู้ประสบภัย ส่งเสริมและสนับสนุนองค์กรเอกชน องค์กรสาธารณะกุศลในการเพิ่มศักยภาพการป้องกันและควบคุมอัคคีภัยในชุมชน ส่งเสริม สนับสนุนงานวิจัย การศึกษาคนคว้า เทคโนโลยีและนวัตกรรมระบบสัญญาณเตือนภัย การป้องกันภัยอัคคีภัย ระบบการควบคุมอัคคีภัย สนับสนุนให้มีหน่วยงานการพิสูจน์หลักฐานเฉพาะด้าน รวมทั้งปรับปรุงโครงสร้างหน่วยงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมถึงต้องมีแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของประเทศที่เป็นแผนงานที่มีความชัดเจน ครอบคลุมหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ๑.๔ ด้านมาตรการกำหนดนโยบายเกี่ยวกับระบบความปลอดภัยจากอัคคีภัย ได้แก่ ส่งเสริมการฝึกอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันอัคคีภัยแก่เจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนในชุมชนอย่างต่อเนื่อง กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออกมาตรการบังคับให้มีการติดตั้งสัญญาณเตือนภัยอัคคีภัยทุกชุมชน และกำหนดนโยบายในการส่งเสริมสนับสนุนอาสาสมัครป้องกันภัยในชุมชนและองค์กรที่สนับสนุนในการป้องกันและระงับอัคคีภัย ๒. อัคคีภัย กรณีโรงงานอุตสาหกรรม รัฐบาลควรดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ด้านมาตรการบังคับใช้กฎหมาย ได้แก่ มีมาตรการให้ผู้ประกอบการต้องติดตั้งระบบสัญญาเตือนภัยให้ครอบคลุมทั้งอาคาร และสามารถเชื่อมโยงสัญญากับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องโดยตรง ปรับปรุง กฎระเบียบในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการหรือข้อกำหนดสำหรับการป้องกันอัคคีภัยในโรงงานและสถานประกอบการให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล การบังคับใช้กฎหมายต้องเด็ดขาดและจริงจัง และควรแก้ไขเพิ่มเติมบทลงโทษสำหรับผู้ประกอบการที่หลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดดังกล่าว และจัดการบูรณาการกฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันอัคคีภัย ให้ยืดหยุ่น ไม่ซ้ำซ้อนและเป็นฉบับเดียวกัน ๒.๒ ด้านมาตรการส่งเสริมและพัฒนาระบบสัญญาณเตือนภัยอัคคีภัย ได้แก่ ส่งเสริมการศึกษาวิจัยและนำผลงานวิจัยเกี่ยวกับระบบสัญญาณเตือนภัยและการป้องกันอัคคีภัย รวมถึงนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้กับระบบป้องกันอัคคีภัยของประเทศ สนับสนุนการศึกษาในสาขาวิชาวิศวกรรมอัคคีภัย และสนับสนุนให้มีหน่วยงานการพิสูจน์หลักฐานเฉพาะด้าน ๓. อัคคีภัย กรณีไฟป่า รัฐบาลควรดำเนินการ ดังนี้ ๓.๑ ด้านมาตรการบังคับใช้กฎหมาย ได้แก่ บังคับใช้กฎหมายต่อผู้กระทำความผิดอย่างเด็ดขาดและจริงจัง และเพิ่มบทลงโทษทางอาญาและความรับผิดทางแพ่งต่อผู้กระทำผิดโดยเจตนา ๓.๒ ด้านมาตรการเทคโนโลยีระบบสัญญาณเตือนภัยอัคคีภัย ได้แก่ จัดให้มีระบบตรวจจับการเกิดไฟป่า โดยใช้ข้อมูลผ่านดาวเทียมที่พัฒนาโดยหน่วยงานในประเทศ จัดสรรงบประมาณให้เพียงพอต่อการจัดซื้ออุปกรณ์พื้นฐานในการดับไฟป่า และดำเนินการบูรณาการเทคโนโลยีให้สามารถปรับใช้ร่วมกับภูมิปัญญาท้องถิ่น ในการเฝ้าระวังและเตือนภัยให้สอดคล้องกับท้องถิ่น ๓.๓ ด้านมาตรการเทคโนโลยีในการป้องกันและการบริหารจัดการอัคคีภัย ได้แก่ สนับสนุนการค้นคว้าวิจัยในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ระบบสัญญาณเตือนภัย และรวมถึงการนำผลงานวิจัย และหรือนวัตกรรมของนักวิจัยคนไทยมาปรับใช้กับการป้องกันอัคคีภัย ประชาสัมพันธ์และจัดอบรมวิธีการป้องกัน การดับไฟ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องในเรื่องไฟป่าให้กับเจ้าหน้าที่และประชาชนอย่างต่อเนื่อง จัดการบูรณาการหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการทับซ้อนในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเกิดไฟป่าของแต่ละหน่วยงาน และจัดทำโครงการเพื่อจูงใจและสร้างจิตสำนึกในการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรทุกภาคส่วน ตลอดจนพัฒนาระบบการบริหารจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
699 | แผนปฏิบัติการตามแผนแม่บทการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง | นร. | 18/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีมติ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนปฏิบัติการตามแผนแม่บทการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง ตามที่องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) เสนอ โดยสาระสำคัญของแผนปฏิบัติการฯ ประกอบด้วย ๑.๑.๑ วิสัยทัศน์ พัทยา : เมืองน่าอยู่ น่าท่องเที่ยวระดับโลก ด้วยภาพลักษณ์ใหม่เมืองแห่งนวัตกรรมสีเขียว (New Pattaya : The World Class Greenovative Tourism City) ๑.๑.๒ เป้าหมายการพัฒนา ได้แก่ พื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยงมีแหล่งท่องเที่ยวและบริการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นักท่องเที่ยวคุณภาพมาท่องเที่ยวเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยงเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งชุมชนและผู้ประกอบการในพื้นที่ได้รับประโยชน์ทั้งในด้านเศรษฐกิจคุณภาพชีวิตและสภาพสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ๑.๑.๓ ยุทธศาสตร์การพัฒนา ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ พัฒนาสภาพแวดล้อมสะอาด ความปลอดภัย และภูมิทัศน์สีเขียว ยุทธศาสตร์ที่ ๒ พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมท่องเที่ยวที่จะเป็น Green Landmark ของพื้นที่พัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง ยุทธศาสตร์ที่ ๓ ส่งเสริมกิจกรรมท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตชุมชน และยุทธศาสตร์ที่ ๔ พัฒนาระบบคมนาคมขนส่งและระบบสาธารณูปโภคที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ๑.๑.๔ กลุ่มพื้นที่ในการพัฒนา ได้แก่ กลุ่มที่ ๑ เมืองท่องเที่ยวชายทะเล ได้แก่ เมืองพัทยา เกาะล้าน หมู่เกาะไผ่ เทศบาลตำบลนาจอมเทียน เทศบาลตำบลบางละมุง กลุ่มที่ ๒ พื้นที่รองรับการขยายตัวของที่อยู่อาศัยและการลงทุน ได้แก่ เทศบาลเมืองหนองปรือ เทศบาลตำบลตะเคียนเตี้ย เทศบาลตำบลโป่ง และกลุ่มที่ ๓ พื้นที่สีเขียว ท่องเที่ยวธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม ได้แก่ เทศบาลตำบลห้วยใหญ่ องค์การบริหารส่วนตำบลหนองปลาไหล องค์การบริหารส่วนตำบลเขาไม้แก้ว และเทศบาลตำบลเขาชีจรรย์ ๑.๑.๕ งบประมาณดำเนินการตามแผนงาน/โครงการตามแผนปฏิบัติการฯ ระยะ ๘ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๖๒) มีโครงการพัฒนา จำนวน ๗๖ โครงการ วงเงิน ๙,๒๒๙.๔๖๕ ล้านบาท แบ่งเป็นเมืองพัทยา ๑๙ โครงการ วงเงิน ๖,๗๒๐.๕๑๗ ล้านบาท พื้นที่เชื่อมโยงทั้ง ๙ แห่ง จำนวน ๔๐ โครงการ วงเงิน ๑,๔๕๑.๗๔๘ ล้านบาท หน่วยงานส่วนกลาง จำนวน ๑๖ โครงการ วงเงิน ๑,๐๒๗.๒ ล้านบาท และ อพท. จำนวน ๑ โครงการ วงเงิน ๓๐.๐ ล้านบาท ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามแผนปฏิบัติการฯ ดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ กรณีขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีจากคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ หากโครงการใดไม่ได้รับการพิจารณาสนับสนุนงบประมาณและจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการโดยรวม เห็นควรให้หน่วยงานส่วนกลางที่มีภารกิจรับผิดชอบโดยตรงพิจารณาเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีเพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวแทน ๒. ให้ อพท. กำกับ ติดตาม และเร่งรัดการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการฯ โดยร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาจัดลำดับความสำคัญและความจำเป็นเหมาะสมของโครงการในภาพรวมเป็น ๓ ระดับ (tier) คือ เป็นโครงการเพื่อตอบสนองความจำเป็นพื้นฐาน เพื่อแก้ไขปัญหาและลดความเหลื่อมล้ำของประชาชน เป็นโครงการเฉพาะของท้องถิ่นหรือของจังหวัดที่ส่งผลตอบแทนในเชิงเศรษฐกิจ และเป็นโครงการเพื่อตอบสนองนโยบายรัฐบาลในระยะยาว โดยครอบคลุมถึงการพัฒนาการท่องเที่ยวในแต่ละพื้นที่ ๓. สำหรับโครงการใดหากไม่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการ ให้ อพท. ประสานงานกับ กกถ. เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
700 | (ร่าง) กรอบนโยบายการพัฒนานาโนเทคโนโลยีของประเทศไทย (พ.ศ. 2555 - 2564) และ (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยและจริยธรรมนาโนเทคโนโลยี (พ.ศ. 2555 - 2559) | วท | 11/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบ (ร่าง) กรอบนโยบายการพัฒนานาโนเทคโนโลยีของประเทศไทย (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๖๔) เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนานาโนเทคโนโลยีของประเทศไทยให้เข้มแข็งและเป็นไปในแนวทางเดียวกัน และ (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยและจริยธรรมนาโนเทคโนโลยี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) สำหรับใช้ในการกำกับดูแล เฝ้าระวัง และบริหารจัดการด้านความปลอดภัยและจริยธรรมในการใช้ประโยชน์นาโนเทคโนโลยีอย่างยั่งยืน และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ สรุปสาระสำคัญของ (ร่าง) กรอบนโยบายการพัฒนานาโนเทคโนโลยีฯ และ (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยฯ ได้ ดังนี้ ๑.๑ (ร่าง) กรอบนโยบายการพัฒนานาโนเทคโนโลยีฯ ประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ การยกระดับคุณภาพชีวิต สุขภาพ การแพทย์และสาธารณสุขด้วยนาโนเทคโนโลยี การเพิ่มขีดความสามารถของภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมการผลิตด้วยนาโนเทคโนโลยี การเสริมความมั่นคงทางพลังงาน อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วยนาโนเทคโนโลยี การพัฒนากำลังคนด้านนาโนเทคโนโลยี และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและปัจจัยเอื้อ ๑.๒ (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยฯ ประกอบด้วย ๓ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ การสร้างและบริหารจัดการองค์ความรู้ด้านความปลอดภัยและจริยธรรมนาโนเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์นาโน การพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของมาตรการและกลไกการกำกับดูแลและบังคับใช้ และการสร้างความเข้มแข็งและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เกี่ยวกับการกำหนดเกณฑ์คุณสมบัติด้านสิ่งแวดล้อมให้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเป็นส่วนหนึ่งของการออกฉลากผลิตภัณฑ์นาโน การเสริมสร้างการมีส่วนร่วมและการพัฒนาศักยภาพของประชาชน การรณรงค์ให้เครือข่ายภาคประชาชน ชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีจิตสำนึกที่ดี มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมร่วมกันในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอันเนื่องมาจากนาโนเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์นาโน โดยดำเนินการให้ครอบคลุมทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องตั้งแต่การวิจัย การผลิต การใช้ประโยชน์ จนถึงการกำจัดซากผลิตภัณฑ์และของเสียจากนาโนเทคโนโลยีอย่างถูกต้องปลอดภัย การศึกษาวิจัยถึงผลกระทบและแนวทางการป้องกันปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการใช้นาโนเทคโนโลยี การให้ความรู้ความเข้าใจแก่เกษตรกรและผู้ประกอบการในการประยุกต์ใช้นาโนเทคโนโลยีอย่างถูกต้องปลอดภัย การวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่เพื่อใช้ในการจัดการมลพิษที่เหมาะสมกับพื้นที่ที่ไม่ยุ่งยาก และประหยัดค่าใช้จ่าย เพื่อให้เกิดการนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง การจัดทำตัวชี้วัดที่ชัดเจนในแต่ละยุทธศาสตร์เพื่อใช้ในการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน รวมทั้งการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมและการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรวิจัยเพื่อให้สอดคล้องกับสาระของมาตรการ และแก้ไขปัญหาการขาดกำลังคนที่ทำการวิจัยด้านความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยี โดยจัดแบ่งระยะเวลาดำเนินการเป็นแต่ละช่วงที่สอดคล้องกับการขับเคลื่อนตัวชี้วัดเพื่อให้การดำเนินงานทั้งหมดบรรลุผลสัมฤทธิ์เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาของแผนฯ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. สำหรับงบประมาณที่จะใช้จ่ายตามกรอบนโยบายการพัฒนานาโนเทคโนโลยีฯ และแผนยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยฯ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี และเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามความเหมาะสมและจำเป็นต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |