ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 38 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 741 - 760 จากข้อมูลทั้งหมด 2031 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
741 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 3 พ.ศ. 2553 มติ 5 นโยบายสนับสนุนพื้นที่จัดการตนเองเพื่อสังคมสุขภาวะ | สช | 24/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๓ มติ ๕ นโยบายสนับสนุนพื้นที่จัดการตนเองเพื่อสังคมสุขภาวะ ตามมติคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ขอให้คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้การสนับสนุนพื้นที่จัดการตนเองเพื่อสังคมสุขภาวะ เป็นนโยบายสำคัญ โดยมอบให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นแกนประสานการดำเนินงานโดยขอความร่วมมือจากสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย สมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย เพื่อให้เกิดคณะกรรมการที่เป็นกลไกการดำเนินการ ประกอบด้วยตัวแทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการชุมชนท้องถิ่น ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ ภาคประชาชน โดยให้มีผู้แทนชุมชน ในสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๖๐ ๑.๒ ขอให้สมาชิกสมัชชาสุขภาพแห่งชาติพิจารณากำหนดเรื่องพื้นที่จัดการตนเองเพื่อสังคมสุขภาวะเป็นหนึ่งในระเบียบวาระของสมัชชาสุขภาพเฉพาะพื้นที่ ทั้งนี้ เพื่อติดตาม ประเมินผลแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่ทุกระดับภายในจังหวัด ๑.๓ ขอให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยเฉพาะองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นองค์กรหลักในการสนับสนุนงบประมาณ และประสานการดำเนินงานร่วมกับสภาองค์กรชุมชน เครือข่ายองค์กรชุมชน เครือข่ายภาคประชาสังคม เครือข่ายสมัชชาสุขภาพจังหวัด เครือข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในจังหวัดใช้เงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๖ มาตรา ๗๘(๓) มาตรา ๘๗(๑) และ (๔) และมาตรา ๑๖๓ ดำเนินการออกแบบและผลักดันให้ชุมชนท้องถิ่นมีบทบาทในการจัดการตนเองตามรูปแบบที่เหมาะสม ๒. ให้คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการตั้งงบประมาณสนับสนุนจากท้องถิ่น ไม่ควรกำหนดสัดส่วนไว้เป็นการเฉพาะ แต่ควรขึ้นอยู่กับศักยภาพ ความพร้อมและสถานการณ์คลังขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และเห็นควรระบุเจ้าภาพหลักในการประสานการจัดตั้งแกนประสานการดำเนินการเพื่อให้เกิดคณะกรรมการที่มีหน้าที่พัฒนากลไกการจัดการตนเองและพัฒนาศักยภาพชุมชนท้องถิ่นให้จัดการตนเองในทุกระดับ ส่วนการให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เป็นหน่วยงานหลักในการสนับสนุนงบประมาณ ต้องขึ้นอยู่กับศักยภาพและสถานะทางการคลังของ อปท. เป็นหลัก ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามมติที่เกี่ยวข้องต่อไป ดังนี้ ๓.๑ การเข้าไปมีส่วนร่วมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามมติดังกล่าวให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานและอยู่ภายในกรอบของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ๓.๒ กรณีเรื่องงบประมาณให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กฎหมายหรือระเบียบกำหนด ๓.๓ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้รัฐต้องให้ความเป็นอิสระแก่ อปท. และให้ อปท. มีความเป็นอิสระในการกำหนดนโยบาย การบริหาร การเงินการคลัง และมีอำนาจหน้าที่ของตนเองโดยเฉพาะ ดังนั้น การดำเนินการตามมติดังกล่าวต้องไม่ขัดต่อความเป็นอิสระของ อปท. |
|||||||||||||||||||||||||||
742 | ร่างยุทธศาสตร์แก้ปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมืองทั้งระบบ | นร | 24/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติร่างยุทธศาสตร์แก้ปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมืองทั้งระบบ ประกอบด้วยยุทธศาสตร์ย่อยรองรับ ๔ ยุทธศาสตร์ย่อย ได้แก่ ๑.๑.๑ ยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมืองที่อยู่ในประเทศไทย ครอบคลุม ๔ กลุ่มเป้าหมายหลัก คือ ๑.๑.๑.๑ กลุ่มที่อพยพเข้ามานานและกลับประเทศต้นทางไม่ได้ จำนวนประมาณ ๖.๘ แสนคน ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อย/กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่ได้รับการสำรวจจัดทำทะเบียนประวัติไว้แล้ว โดยให้ความสำคัญต่อการตรวจสอบทะเบียนประวัติและความถูกต้องของตัวบุคคล นำไปสู่การพิจารณากำหนดสถานะให้เป็นคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายหรือให้ได้รับสัญชาติไทยภายใต้กฎหมายและหลักเกณฑ์ที่กำหนด ๑.๑.๑.๒ กลุ่มที่มีความจำเป็นทางเศรษฐกิจ ได้แก่ แรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง ๓ สัญชาติ (พม่า ลาว และกัมพูชา) ซึ่งมีจำนวนไม่ต่ำกว่า ๒ ล้านคน มุ่งเน้นการนำแรงงานเข้าสู่ระบบการจ้างงานอย่างถูกต้อง รวมทั้งการนำเข้าอย่างเพียงพอโดยร่วมมือกับประเทศต้นทางเพื่อลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานระดับล่างที่คนไทยไม่ทำ รวมถึงการร่วมมือกับผู้ประกอบการแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในบางสาขาโดยเฉพาะประมง เพื่อลดปัญหาการค้ามนุษย์และการละเมิดสิทธิมนุษยชน ตลอดจนมีการกำหนดทิศทาง/นโยบายเศรษฐกิจของประเทศที่ชัดเจนในการลดการพึ่งพาแรงงานต่างด้าวไร้ฝีมือในระยะยาว ๑.๑.๑.๓ กลุ่มที่มีปัญหาความมั่นคงเฉพาะ จำนวนประมาณ ๑ แสนคน ได้แก่ ผู้หนีภัยการสู่รับจากพม่า ผู้หลบหนีเข้าเมืองชาวโรฮิงยา ชาวเกาหลีเหนือ จะอำนวยความสะดวกให้เดินทางกลับประเทศต้นทางเมื่อสถานการณ์เอื้ออำนวยหรือพิจารณาส่งไปประเทศที่สามโดยร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ แล้วแต่กรณี ๑.๑.๑.๔ กลุ่มผู้หลบหนีเข้าเมืองอื่น ๆ ซึ่งเข้ามาอย่างถูกต้องหรือเข้ามาโดยการปลอมแปลงเอกสารเดินทางแล้วไม่กลับออกไป ให้ระมัดระวัง เข้มงวดในการตรวจลงตรา เพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบตัวบุคคลและการเข้าออก รวมถึงพัฒนาระบบการเข้าออกบริเวณชายแดนและการติดตามเฝ้าระวัง และให้มีการดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองโดยเคร่งครัด ๑.๑.๒ ยุทธศาสตร์การป้องกันการลักลอบหลบหนีเข้ามาใหม่ มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันและสกัดกั้นกลุ่มที่มาจากประเทศเพื่อนบ้านและใกล้เคียง การพัฒนาระบบสารสนเทศการตรวจคนเข้าเมืองและฐานข้อมูลประวัติบุคคลให้ทันสมัยและเป็นปัจจุบัน สามารถเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานได้ เพื่อสนับสนุนการติดตามตรวจสอบตัวกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อทุกภาคส่วน และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนบริเวณชายแดนและชายฝั่งทะเลให้ร่วมมือกับภาครัฐในการป้องกันและสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมือง ๑.๑.๓ ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อป้องกันและแก้ปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมือง เน้นการประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านผ่านกลไกระดับต่าง ๆ ที่มีอยู่ทั้งในระดับทวิภาคและพหุภาคี รวมทั้งให้องค์กรระหว่างประเทศ กลุ่มประเทศอาเซียน และประชาคมโลกเข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือพัฒนาคุณภาพชีวิตประชากร สภาพเศรษฐกิจและสังคมในประเทศต้นทางเพื่อลดการโยกย้ายถิ่นฐานเข้ามาในประเทศไทย ๑.๑.๔ ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการ ประกอบด้วย ๑.๑.๔.๑ ในระยะเร่งด่วน ให้จัดตั้งองค์กรบริหารจัดการรองรับการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ฯ ทั้งในระดับนโยบายและปฏิบัติ โดยระดับชาติมีคณะกรรมการอำนวยการบริหารยุทธศาสตร์แก้ปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมืองทั้งระบบ (กอ.ปร.) เป็นกลไกขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ในภาพรวม มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นเลขานุการ ระดับปฏิบัติมีคณะกรรมการ ๕ คณะ เป็นกลไกสนับสนุนการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ของ กอ.ปร. อย่างบูรณาการ ได้แก่ คณะกรรมการบริหารการแก้ปัญหาสถานะสิทธิของบุคคล คณะกรรมการบริหารฐานข้อมูลผู้หลบหนีเข้าเมือง คณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง คณะกรรมการบริหารการแก้ปัญหาผู้หลบหนีเมืองเมืองกลุ่มเฉพาะ และคณะกรรมการบริหารฐานข้อมูลคนเข้าเมือง ๑.๑.๔.๒ ในระยะต่อไป กำหนดให้มีการจัดทำนโยบายรองรับการโยกย้ายถิ่นฐานและการเคลื่อนย้ายประชากร ทั้งแบบปกติและแบบไม่ปกติภายในประเทศและภูมิภาคให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงและรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเข้าสู่ความเป็นประชาคมอาเซียนอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ๑.๒ อนุมัติการยกเลิกชั้นความลับ เมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบร่างยุทธศาสตร์ฯ ๑.๓ อนุมัติการยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๔๘ เกี่ยวกับยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๔๗ เกี่ยวกับยุทธศาสตร์การบริหารแรงงานต่างด้าวทั้งระบบ ๑.๔ เห็นชอบแนวทางดำเนินการในช่วงเปลี่ยนผ่านเข้าสู่การดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ใหม่ โดยสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติจะได้ประสานหารือส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามยุทธศาสตร์ฯ ในระยะเร่งด่วนในการจัดตั้ง กอ.ปร. และกลไกที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จ รวมทั้งกำหนดแผนงานรองรับการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ฯ รายงานต่อ กอ.ปร. โดยเร็วต่อไป ทั้งนี้ ในระหว่างช่วงเปลี่ยนผ่าน ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามยุทธศาสตร์และแนวทางปฏิบัติเดิมไปพลางก่อนเพื่อให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ๒. ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรปฏิบัติตามร่างยุทธศาสตร์ฯ บนพื้นฐานของความสมดุลระหว่างหลักการความมมั่นคงกับหลักสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ซึ่งอาจรวมถึงความจำเป็นของไทยในการช่วยเหลือบุคคลในบางกรณีเป็นการพิเศษตามหลักมนุษยธรรม รวมทั้งคำนึงถึงมิติความสัมพันธ์และความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านที่เกี่ยวข้อง การทบทวนยุทธศาสตร์และการดำเนินงานของไทยในเรื่องนี้เป็นระยะ โดยคำนึงถึงพัฒนาการระดับภูมิภาคและระดับระหว่างประเทศ อาทิ ในกรอบอาเซียนที่จะมีผลกระทบต่อการโยกย้ายถิ่นฐาน รวมถึงการตอบสนองต่อปัจจัยภายในของไทยในด้านแรงงาน การพัฒนาเศรษฐกิจและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดทำทะเบียนตรวจสอบตัวบุคคลหรือการจัดทำทะเบียนประวัติเพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการดำเนินการได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ การสนับสนุนและส่งเสริมให้ประเทศเพื่อนบ้านได้รับการพัฒนาทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม โดยเฉพาะการศึกษา เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขี้นและสามารถพึ่งพาตนเองได้ เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและสามารถพึ่งพาตนเองได้ ซึ่งอาจจะช่วยแก้ไขปัญหาการหลบหนีเข้าเมืองได้ในระดับหนึ่ง และให้ความสำคัญกับกลไกการบริหารจัดการเพื่อนำไปสู่การบูรณาการร่วมกัน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
743 | ข้อเสนอแผนการส่งเสริมและพัฒนาธรรมาภิบาลในภาคราชการเพื่อการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีอย่างยั่งยืน | นร | 24/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ข้อเสนอแผนการส่งเสริมและพัฒนาธรรมาภิบาลในภาคราชการเพื่อการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีอย่างยั่งยืน เพื่อสนับสนุนหน่วยงานภาคราชการให้สามารถบริหารราชการแผ่นดินร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยมุ่งเน้นการปรับตัวของระบบราชการให้สามารถรองรับต่อยุทธศาสตร์การฟื้นฟูและสร้างอนาคตของประเทศ ตลอดจนการตอบสนองความต้องการของประชาชนตามสภาพแวดล้อมและบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปอันจะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายความสำเร็จในการสร้างคุณค่าแก่ประชาชน ยกระดับธรรมาภิบาลของประเทศ และทำให้ประชาชนมีความเชื่อถือไว้วางใจในการทำงานของภาคราชการ โดยครอบคลุมระยะเวลาดำเนินการรวมทั้งสิ้นประมาณ ๓ ปี เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน ๒๕๕๕ ถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ การดำเนินงานแยกออกเป็น ๓ ส่วน ประกอบด้วย ๘ โครงการสำคัญ ๆ ดังนี้ ๑.๑.๑ ส่วนที่ ๑ การส่งเสริมและพัฒนาการบริหาร/ธรรมาภิบาลในภาคราชการผ่านการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง ประกอบด้วย ๒ โครงการ คือ โครงการส่งเสริมและพัฒนาความเป็นเลิศในการให้บริการประชาชน และโครงการส่งเสริมและยกระดับธรรมาภิบาลในส่วนราชการ ๑.๑.๒ ส่วนที่ ๒ การพัฒนากลไกการขับเคลื่อนธรรมาภิบาลในระบบราชการแบบยั่งยืน ประกอบด้วย ๕ โครงการ คือ โครงการทบทวนบทบาทและโอนถ่ายภารกิจของภาครัฐให้แก่ภาคส่วนอื่น ๆ โครงการส่งเสริมให้ภาคส่วนอื่น ๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารกิจการบ้านเมือง โครงการจัดวางระบบความสัมพันธ์และประสานความร่วมมือระหว่างราชการบริหารส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น โครงการพัฒนาระบบการบริหารงานแบบบูรณาการ และโครงการออกแบบและวางระบบบริหารราชการรูปแบบใหม่ ๑.๑.๓ ส่วนที่ ๓ การพัฒนาระบบสนับสนุนการพัฒนาธรรมาภิบาล ประกอบด้วย ๑ โครงการ คือ โครงการวัดระดับความเชื่อถือและไว้วางใจในการบริหารงานภาครัฐ ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการตามข้อเสนอแผนการส่งเสริมและพัฒนาธรรมาภิบาลในภาคราชการเพื่อการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีอย่างยั่งยืน สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินโครงการตามแผนงาน ให้ใช้จากส่วนที่เหลือจากเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (Structural Adjustment Loan : SAL) ตามแผนปฏิรูประบบบริหารภาครัฐซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ โดยกระทรวงการคลังจะเป็นผู้พิจารณาแผนการใช้เงินในรายละเอียดก่อนโอนเงินให้ดำเนินการต่อไป และให้สำนักงาน ก.พ.ร. รายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีทราบด้วย ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอรายละเอียดแต่ละโครงการตามแนวทางและหลักเกณฑ์ของการใช้จ่ายเงินกู้ SAL ตามแผนปฏิรูประบบบริหารภาครัฐเสนอให้สำนักงบประมาณพิจารณา แล้วเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาแผนการใช้เงินในรายละเอียดก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||
744 | การแต่งตั้งคณะกรรมการสภาการศึกษา | ศธ | 24/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา ประกอบด้วยกรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรเอกชน กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรวิชาชีพ กรรมการที่เป็นพระภิกษุซึ่งเป็นผู้แทนคณะสงฆ์ กรรมการที่เป็นผู้แทนคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรศาสนาอื่นและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน ๔๑ คน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๔ เมษายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
745 | ข้อเสนอเชิงนโยบายที่ประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบล พ.ศ. 2554 | พม | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำความเห็นและข้อเสนอแนะจากที่ประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบล ปี ๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ไปประกอบการพิจารณากำหนดนโยบายและแผนการพัฒนา โดยดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรี ดังนี้ ๑.๑ ข้อเสนอต่อนโยบายด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ด้วยการมุ่งสร้างความเข้มแข็งในภาคเกษตรโดยการลดภาระหนี้สินของเกษตรกร สนับสนุนระบบเกษตรปลอดสารเคมีและเกษตรอินทรีย์ พัฒนาระบบตลาดที่เป็นธรรมด้านราคาของพืชผลการเกษตร เพื่อเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร อันจะนำไปสู่ความมั่นคงทางอาชีพและรายได้ของเกษตรกร รวมถึงสร้างระบบความมั่นคงทางอาหารในสังคมไทย เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าร่วมประชาคมอาเซียน โดยมีประเด็นข้อเสนอ ได้แก่ หนี้สินเกษตรกร การสร้างรายได้ ราคาผลผลิตทางการเกษตร เกษตรพันธะสัญญาและความมั่นคงทางอาหาร การค้าเสรีและประชาคมอาเซียน ๑.๒ ข้อเสนอต่อนโยบายสังคม มุ่งพัฒนาสังคมโดยเน้นแนวทางปลูกจิตสำนึกคุณธรรมจริยธรรม ใช้ศาสนาและวัฒนธรรม เป็นเครื่องมือและให้ชุมชนท้องถิ่นมีบทบาทหลักในการจัดการปัญหายาเสพติดและการพนัน แรงงานข้ามชาติ เด็กและเยาวชน กลุ่มชาติพันธุ์และคนไร้รัฐ บนหลักการสิทธิมนุษยชน โดยมีประเด็นข้อเสนอ ได้แก่ ศาสนาและวัฒนธรรม ยาเสพติดและการพนัน แรงงานข้ามชาติ ผู้หญิง เด็กและเยาวชน กลุ่มชาติพันธุ์และกลุ่มคนไร้รัฐ ๑.๓ ข้อเสนอต่อนโยบายกฎหมาย โครงสร้าง และวิธีปฏิบัติราชการ รัฐบาลควรดำเนินการปฏิรูปโครงสร้างในทุกระดับ โดยให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการปรับปรุงโครงสร้างรัฐและออกแบบโครงสร้างองค์กรปกครองท้องถิ่นให้เหมาะกับบริบทพื้นที่ เนื้อหาสำคัญคือ “การกระจายอำนาจในรูปแบบชุมชน/ท้องถิ่น/จังหวัด จัดการตนเอง” หรืออาจจะเรียกชื่ออื่น ๆ ที่ภาคประชาชนสามารถเข้าใจได้ ภารกิจปฏิรูปประเทศไทยมีเนื้อหาสองประการ คือ นวัตกรรมปรับปรุงกลไกองค์กรและการสร้างขบวนการภาคประชาชน ในการเข้าร่วมภารกิจปฏิรูปประเทศไทย ภารกิจสองประการนี้จะต้องดำเนินการเป็นองค์รวมร่วมกันเพื่อให้เกิดความคืบหน้าความสำเร็จที่วัดผลได้ โดยมีประเด็นข้อเสนอ ได้แก่ กำจัดการทุจริตคอรัปชั่น การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น การพัฒนาภาคใต้ การเสริมสร้างความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พื้นที่ปกครองพิเศษเพื่อให้จังหวัดจัดการตนเอง ๑.๔ ข้อเสนอต่อนโยบายคุณภาพชีวิต ยกระดับการพัฒนาสุขภาวะชุมชนท้องถิ่นสู่การจัดการตนเอง สร้างคุณภาพการศึกษาเพื่อชีวิต จัดให้มีกองทุนชุมชนท้องถิ่นและกองทุนสวัสดิการชุมชนเพื่อยกระดับสังคมไทยให้เป็นสังคมสวัสดิการตลอดชีพ โดยมีประเด็นข้อเสนอ ได้แก่ สุขภาพ กองทุนชุมชนท้องถิ่นและกองทุนสวัสดิการชุมชน การศึกษา ๑.๕ ข้อเสนอต่อนโยบายทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการดูแลอนุรักษ์จัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยคำนึงถึงต้นทุนชีวิต สิทธิชุมชน ระบบนิเวศ เปิดโอกาสให้องค์กรชุมชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และบริหารจัดการบนหลักการมีส่วนร่วม “ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมตรวจสอบ ร่วมติดตามประเมินผล ร่วมรับประโยชน์” โดยมีประเด็นข้อเสนอ ได้แก่ ที่ดิน/ที่อยู่อาศัย การจัดการน้ำ/ลุ่มน้ำ/น้ำโขง การจัดการน้ำและลุ่มน้ำ ป่าไม้ เหมืองแร่ การจัดการภัยพิบัติ การจัดการทรัพยากรชายฝั่ง การจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ พลังงาน และมาตรการเร่งด่วนด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๒. สำหรับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งรัฐธรรมนูญและกฎหมายได้กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความเป็นอิสระในการกำหนดนโยบายการบริหารและอำนาจหน้าที่โดยเฉพาะแล้ว จึงให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ๓. ให้รับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับข้อเสนอเชิงนโยบายดังกล่าวเกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบของหน่วยงานภาครัฐหลายหน่วยงาน จึงควรต้องมีการศึกษาในรายละเอียดเพิ่มเติมก่อนนำมาสู่การปฏิบัติว่า ข้อเสนอเชิงนโยบายดังกล่าวมีความสอดคล้องกับแผนการดำเนินการต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้วหรือไม่อย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดความซ้อนซ้ำในการทำงาน และเพื่อให้ข้อเสนอเชิงนโยบายขององค์กรชุมชนและของภาครัฐเกื้อหนุนซึ่งกันและกันเพื่อประโยชน์ของชุมชนต่อไป นอกจากนี้ บางประเด็นข้อเสนอที่เป็นแนวทางไปสู่การปฏิบัติอาจมีผลกระทบต่อภาคส่วนอื่น ควรมีข้อมูลสนับสนุนเพิ่มเติม โดยเฉพาะการวิเคราะห์เชื่อมโยงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เพื่อความเหมาะสมในการนำมากำหนดเป็นนโยบายและแผนงานทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และเกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาทั้งในระดับชุมชน ท้องถิ่น และระดับชาติต่อไป ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
746 | ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2553 รวม 3 ฉบับ | นร | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓ รวม ๓ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงจัดตั้งสภาวัฒนธรรมเพิ่มเติม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้จัดตั้งสภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร สภาวัฒนธรรมเขต สภาวัฒนธรรมแขวง สภาวัฒนธรรมเทศบาล สภาวัฒนธรรมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ และสภาวัฒนธรรมไทยในต่างประเทศ ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดที่มา คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการได้มา จำนวนกรรมการและสมาชิก วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง การประชุม การบริหารจัดการ และการดำเนินงานของสภาวัฒนธรรม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๒.๑ กำหนดการจดแจ้งเป็นเครือข่ายวัฒนธรรม ๒.๒ กำหนดที่มา คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการได้มา จำนวนกรรมการและสมาชิก วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง การประชุม การบริหารจัดการ และการดำเนินงานของสภาวัฒนธรรมตำบล ๒.๓ กำหนดที่มา คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการได้มา จำนวนกรรมการและสมาชิก วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง การประชุม การบริหารจัดการ และการดำเนินงานของสภาวัฒนธรรมอำเภอ ๒.๔ กำหนดที่มา คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการได้มา จำนวนกรรมการและสมาชิก วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง การประชุม การบริหารจัดการ และการดำเนินงานของสภาวัฒนธรรมจังหวัด ๒.๕ กำหนดที่มา คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการได้มา จำนวนกรรมการและสมาชิก วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง การประชุม หารบริการจัดการ และการดำเนินงานของสภาวัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ๒.๖ กำหนดที่มา คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการได้มา จำนวนกรรมการและสมาชิก วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง การประชุม การบริหารจัดการ และการดำเนินงานของสภาวัฒนธรรมอื่น ๆ ๒.๗ กำหนดหลักเกณฑ์ การออกเสียงลงคะแนน และองค์ประชุมในการประชุมสภาวัฒนธรรม ๒.๘ กำหนดการบริหารจัดการและการดำเนินการของสภาวัฒนธรรม ๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดสาขา คุณสมบัติ หลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือก และประโยชน์ตอบแทนของศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๓.๑ กำหนดให้ศิลปินแห่งชาติมีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านศิลปะในสาขาทัศนศิลป์ สาขาศิลปะการแสดง และสาขาวรรณศิลป์ ๓.๒ กำหนดคุณสมบัติของศิลปินแห่งชาติ ๓.๓ กำหนดให้ศิลปินแห่งชาติจะต้องมีผลงานทางด้านศิลปะที่มีคุณค่าและมาตรฐานตามที่กำหนด ๓.๔ กำหนดให้สภาวัฒนธรรม องค์กรวิชาชีพ สถาบันการศึกษา สถาบันทางศิลปะ และเครือข่ายทางวัฒนธรรมทั่วประเทศเป็นผู้เสนอรายชื่อและผลงานของบุคคลซึ่งสมควรหรือเหมาะสมเป็นศิลปินแห่งชาติ ๓.๕ กำหนดให้จ่ายเงินจากกองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรมเพื่อให้ประโยชน์ตอบแทนของศิลปินแห่งชาติ ๓.๖ กำหนดให้ศิลปินแห่งชาติได้รับประโยชน์ตอบแทนตามที่กำหนด
|
|||||||||||||||||||||||||||
747 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2553 มติ 6 มาตรการในการควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพด้านยาสูบ | สช | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๓ มติ ๖ มาตรการในการควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพด้านยาสูบ ตามมติคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่เกี่ยวข้องต่อไป ดังนี้ ๑.๑ ให้หน่วยงานราชการปฏิบัติตามแนวทางของกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก โดยเฉพาะมาตรา ๕.๓ การป้องกันการแทรกแซงนโยบายการควบคุมยาสูบของรัฐโดยอุตสาหกรรมยาสูบ โดยการกำหนดนโยบายหรือระเบียบภายในหน่วยงานเพื่อป้องกันการแทรกแซงดังกล่าว ๑.๒ ให้กระทรวงการคลังดำเนินการปรับโครงสร้างภาษียาสูบให้สอดคล้องกับบริบทในปัจจุบันเพื่อทำให้ราคาขายปลีกยาสูบโดยเฉลี่ยสูงขึ้น โดยขอให้พิจารณาจัดเก็บภาษีบุหรี่ซิกาแรตทั้งตามสภาพและตามราคาขายปลีก รวมทั้งให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยาสูบปิดแสตมป์ยาสูบบนซองบรรจุยาเส้นที่ทำจากใบยาสูบพันธุ์พื้นเมืองด้วย และดำเนินการทยอยปรับขึ้นภาษียาเส้นและยาสูบประเภทอื่นอย่างค่อยเป็นค่อยไป และห้ามธุรกิจยาสูบทำกิจกรรมภายใต้นโยบายความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจ (Corporate Social Responsibility ; CSR) ๑.๓ ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานประกันสังคม กรมบัญชีกลาง และกระทรวงสาธารณสุข ให้หลักประกันการเข้าถึงการบำบัดโรคติดบุหรี่ รวมถึงการเข้าถึงการรับยา สมุนไพร แพทย์แผนไทยหรือบริการแพทย์ทางเลือกที่จำเป็นต่อการบำบัดโรคติดบุหรี่ และสนับสนุนให้ชุมชนมีส่วนร่วมในงานเลิกบุหรี่ในชุมชน ๑.๔ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารปรับปรุงกฎหมายเพื่อห้ามการโฆษณา และการส่งเสริมการตลาดของผลิตภัณฑ์ยาสูบ และการประชาสัมพันธ์การให้ทุนอุปถัมภ์จากอุตสาหกรรมยาสูบทางสื่อคอมพิวเตอร์ทั้งจากภายในและต่างประเทศ และออกกฎหมายจัดสรรเวลาในการนำเสนอโทษของยาสูบในทุกประเภทสื่อในสัดส่วนที่เหมาะสม ๑.๕ ให้กระทรวงวัฒนธรรม กรมประชาสัมพันธ์ และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารปรับปรุงกฎหมายเพื่อห้ามมีฉลากสูบบุหรี่ และการส่งเสริมการตลาดด้วยวิธีประชาสัมพันธ์ความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจ ทางภาพยนตร์ โทรทัศน์และสื่อมวลชนต่าง ๆ และมีมาตรการส่งเสริมให้บุคคลสาธารณะที่มีชื่อเสียง เช่น ดารา นักร้อง เป็นแบบอย่างที่ดีแก่สาธารณชน โดยการไม่สูบบุหรี่ในที่สาธารณะ ๑.๖ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงวัฒนธรรมควบคุมกำกับองค์กรและเครือข่ายไม่ให้รับการสนับสนุนใด ๆ จากบริษัทยาสูบทั้งภายในและต่างประเทศตามกฎหมาย ๑.๗ ให้กระทรวงศึกษาธิการบรรจุเรื่องโรคที่เกี่ยวกับบุหรี่เข้าไปในหลักสูตรการเรียนการสอนและหน่วยงานที่มีสถานศึกษาในสังกัดทั้งภาครัฐและเอกชน ดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหายาสูบในสถานศึกษา กำชับให้สถานศึกษาทุกแห่งติดป้ายห้ามสูบบุหรี่ในสถานศึกษาและห้ามสูบบุหรี่ในสถานศึกษาตามที่กฎหมายกำหนด ห้ามสูบบุหรี่ในขณะที่อยู่ในชุดของสถาบันหรือชุดนักศึกษา ให้บุคลากรทางการศึกษา เช่น ครู อาจารย์ นักการภารโรง ผู้นำทางศาสนา เป็นต้น เป็นแบบอย่างแก่นักเรียน นักศึกษา รวมทั้งสนับสนุนงบประมาณการผลิตสื่อนวัตกรรมเพื่อการเรียนรู้ด้านพิษภัยจากบุหรี่อย่างเป็นรูปธรรม และการวิจัยกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ๑.๘ ให้กระทรวงสาธารณสุขและคณะกรรมการควบคุมการบริโภคยาสูบแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการ โดยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงการคลัง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการบังคับใช้กฎหมายให้มีประสิทธิภาพ ๑.๙ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกระดับมีบทบาทร่วมในการควบคุมแหล่งผลิต วัตถุดิบในพื้นที่ และการใช้มาตรการทางกฎหมาย/ข้อบังคับอย่างจริงจัง ๒. ให้กระทรวงการคลังและสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ความสำคัญในการปราบปรามบุหรี่ต่างประเทศที่มีการลักลอบนำเข้ามาในประเทศอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งทำให้ราคาบุหรี่ดังกล่าวต่ำกว่าบุหรี่ที่มีจำหน่ายอยู่โดยทั่วไป และส่งผลให้เกิดการบริโภคเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งกรณีการสำแดงราคานำเข้าของบุหรี่ต่างประเทศที่ต่ำกว่าปกติทำให้รัฐได้รับความเสียหาย |
|||||||||||||||||||||||||||
748 | การจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ "โครงการหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา มหาราชินี" | ยธ | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. การจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ “โครงการหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน เฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา มหาราชินี” สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ โครงการหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน เฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา มหาราชินี” มีวัตถุประสงค์เพื่อเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ในวันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยมีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อระดมประชาชนสาขาอาชีพต่าง ๆ ทั่วประเทศร่วมกันแสดงออกซึ่งความจงรักภักดี ด้วยการขับเคลื่อนกิจกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่าต่อเนื่อง ภายใต้ “กองทุนแม่ของแผ่นดิน” และเพื่อใช้แนวทางกองทุนแม่ของแผ่นดิน ลดสถานการณ์ปัญหายาเสพติด สร้างความเข้มแข็งพลังแผ่นดิน สร้างความยั่งยืนให้กับหมู่บ้าน/ชุมชนทั่วประเทศ โดยมีแนวทางและกลยุทธการดำเนินการ ประกอบด้วย ๖ แนวทางหลัก ได้แก่ ๑.๑.๑ แนวทางที่ ๑ การสร้างกระแสความตื่นตัวและประชาสัมพันธ์ผ่านช่องสื่อต่าง ๆ เช่น โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น เพื่อรณรงค์กระตุ้นจิตสำนึก สร้างกระแสการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน และประชาชน ให้เกิดความตื่นตัวกระทำความดีต่อต้านยาเสพติด และร่วมเป็นส่วนหนึ่ง เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี สืบสานปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และปณิธานกองทุนแม่ของแผ่นดิน ๑.๑.๒ แนวทางที่ ๒ การสร้างความมั่นคงให้กับหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดินที่ได้รับแต่เดิม ให้สามารถลดและแก้ไขปัญหายาเสพติดให้ได้ โดยเน้นบทบาทภาคประชาชนสมานฉันท์ และสามัคคี เสริมบทบาทแกนนำหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน ก่อนที่จะพัฒนาไปสู่ความยั่งยืน ๑.๑.๓ แนวทางที่ ๓ สร้างศูนย์เรียนรู้กองทุนแม่ของแผ่นดินให้เป็นแบบอย่างการพัฒนาและการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน โดยการสร้าง ๑ อำเภอ ๑ ศูนย์เรียนรู้กองทุนแม่ของแผ่นดิน และให้มีการบูรณาการกับเศรษฐกิจพอเพียงอย่างยั่งยืน โดยกำหนดหมู่บ้านตัวอย่าง ๘๐ แห่ง เทิดพระเกียรติ ๘๐ พรรษา มหาราชินี ๑.๑.๔ แนวทางที่ ๔ ขยายหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดินเพิ่มใหม่ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จังหวัดละ ๒๐ - ๕๐ แห่ง โดยยึดหลักคุณภาพในทุกกระบวนการ เพื่อให้ได้หมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดินที่จะเข้ารับพระราชทานเชิงคุณภาพ ๑.๑.๕ แนวทางที่ ๕ สร้างกระแส สร้างกิจกรรมกองทุนแม่ของแผ่นดินในระดับพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นการสร้างความยั่งยืนให้กับกองทุนแม่ของแผ่นดิน หากทุกหมู่บ้าน/ชุมชนทั่วประเทศได้กระทำอย่างพร้อมเพรียงกันแล้วย่อมเกิดเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ ทั้งพลังแห่งความสามัคคี พลังแห่งความดี และพลังแห่งความจงรักภักดี ๑.๑.๖ แนวทางที่ ๖ การพัฒนาความพร้อมการดำเนินงานเชิงคุณภาพทั้งการพัฒนาวิทยากรกระบวนการกองทุนแม่ของแผ่นดิน การพัฒนาประสิทธิภาพของเครือข่ายกองทุนแม่ของแผ่นดิน ระดับอำเภอ จังหวัด ภาค ประเทศ การพัฒนากลไกผู้ประสานงานกลางกองทุนแม่ของแผ่นดินในระดับพื้นที่ และการพัฒนาองค์ความรู้ และจัดระบบข้อมูล เพื่อให้โครงการกองทุนแม่ของแผ่นดิน เฉลิมฉลอง ๘๐ พรรษา มหาราชินี อย่างสมพระเกียรติ และเปี่ยมไปด้วยความจงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ๑.๒ โครงสร้างการบริหารจัดการ ๑.๒.๑ ศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ เป็นกลไกบริหารจัดการโครงการหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน มีบทบาทหน้าที่การวางกรอบนโยบาย มาตรการ กลยุทธ์ แนวทางปฏิบัติ ๑.๒.๒ ระดับส่วนกลาง มีคณะกรรมการอำนวยการโครงการหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน เฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา มหาราชินี (คณะกรรมการกองทุนแม่ของแผ่นดิน ๘๐ พรรษา) ๑.๒.๓ ระดับจังหวัด โดยศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดระดับจังหวัด/กรุงเทพมหานคร เป็นกลไกบริหารจัดการสูงสุดในงานกองทุนแม่ของแผ่นดินในระดับจังหวัด และมีการจัดตั้งกลไกเพิ่มเติม ได้แก่ คณะกรรมการกองทุนแม่ของแผ่นดิน ๘๐ พรรษา ระดับจังหวัด หรือคณะกรรมการขับเคลื่อนกองทุนแม่ของแผ่นดินระดับจังหวัด ๑.๒.๔ ระดับอำเภอ โดยศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดระดับอำเภอ/เขต เป็นกลไกบริหารจัดการในงานกองทุนแม่ของแผ่นดินในระดับอำเภอ/เขต และมีการจัดตั้งกลไกเพิ่มเติม ได้แก่ คณะกรรมการกองทุนแม่ของแผ่นดิน ๘๐ พรรษาระดับอำเภอ/เขต หรือคณะกรรมการขับเคลื่อนกองทุนแม่ของแผ่นดินระดับอำเภอ/เขต ๑.๓ งบประมาณในการดำเนินโครงการ ประกอบด้วย งบประมาณจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด งบประมาณจากกระทรวงมหาดไทย งบประมาณจากจังหวัด งบประมาณจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น งบประมาณสมทบจากหมู่บ้าน/ชุมชน และงบกลางของรัฐบาล ๑.๔ ระยะเวลาการปฏิบัติงาน ตั้งแต่เดือนมีนาคม ๒๕๕๕ - ธันวาคม ๒๕๕๕ ๒. ให้หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และองค์กรต่าง ๆ ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสนับสนุน เผยแพร่ รณรงค์ประชาสัมพันธ์การดำเนินงาน “โครงการหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน เฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา มหาราชินี”
|
|||||||||||||||||||||||||||
749 | แผนพัฒนาจังหวัด แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด และคำของบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายการบริหารจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.น.จ.) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๕ เกี่ยวกับแผนพัฒนาจังหวัด แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด คำของบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่เลขาธิการ ก.พ.ร. กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการเสนอ โดยมีผลการพิจารณา ดังนี้
๑. เห็นชอบกับแผนพัฒนาจังหวัด จำนวน ๗๖ จังหวัด และแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด จำนวน ๑๘ กลุ่มจังหวัด ตามความเห็นของอนุกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (อ.ก.น.จ.) ด้านแผนและด้านงบประมาณ โดยเห็นว่าภาพรวมแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดมีความสอดคล้องเชื่อมโยงกับนโยบายของรัฐบาล แผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาภาค รวมถึงยุทธศาสตร์รายสาขา รวมทั้งความสอดคล้องกับศักยภาพ โอกาส สภาพปัญหา และความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ๒. เห็นชอบแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด ๗๖ จังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด ๑๘ กลุ่มจังหวัด และคำของบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ๗๖ จังหวัด/๑๘ กลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามความเห็นของ อ.ก.น.จ. ด้านแผนและด้านงบประมาณ โดยมีโครงการที่สมควรได้รับการสนับสนุนงบประมาณจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ดังนี้ ๒.๑ โครงการที่สมควรได้รับการสนับสนุน เป็นงบประมาณกลุ่มจังหวัด ๑๘ กลุ่มจังหวัด จำนวน ๓๐๘ โครงการ รวม ๗,๑๗๗,๘๑๖,๗๙๔ บาท ๒.๒ โครงการที่สมควรได้รับการสนับสนุน เป็นงบประมาณจังหวัด ๗๖ จังหวัด จำนวน ๒,๙๑๖ โครงการ รวม ๑๘,๘๖๐,๙๗๓,๘๐๔ บาท ทั้งนี้ โครงการที่เห็นควรสนับสนุนข้างต้นเป็นโครงการที่สอดคล้องกับประเด็นยุทธศาสตร์จังหวัด/กลุ่มจังหวัด แต่จากข้อจำกัดทางด้านงบประมาณอาจไม่ได้รับการจัดสรรทุกโครงการ ดังนั้น กรณีที่มีการพิจารณาต้นทุนต่อหน่วยของโครงการที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณแล้วยังมีงบประมาณเหลืออยู่ เห็นชอบให้นำโครงการที่ไม่ได้รับการจัดสรรมาพิจารณาสนับสนุนเพิ่มเติมตามลำดับความสำคัญหรือที่สำรองไว้ในกรณีที่มีการแปรญัตติงบประมาณเพิ่มเติม ๒.๓ ในส่วนของโครงการที่ดำเนินการโดยกระทรวง ทบวง กรม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐ หรือเอกชนตามที่ปรากฏในแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ มอบให้จังหวัดหรือกลุ่มจังหวัดประสานขอรับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง ๓. ให้คณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.บ.จ.) และคณะกรรมการบริหารงานกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.บ.ก.) พิจารณาแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด และแผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ แล้วแต่กรณี ว่ามีโครงการตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล ซึ่งได้แก่ การบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ การเชื่อมโยงระบบสาธารณูปโภคให้สอดคล้องกัน และการพัฒนาเตรียมการเพื่อการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอยู่ในกรอบวงเงินงบประมาณที่จะได้รับการจัดสรรหรือไม่ หากไม่มีและต้องการปรับปรุงแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด หรือแผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัดให้สอดคล้องกับนโยบายสำคัญของรัฐบาลดังกล่าว ให้ ก.บ.จ. หรือ ก.บ.ก. ปรับปรุงแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด หรือแผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด โดยการทำโครงการที่ ก.น.จ. ให้ความเห็นชอบในหลักการ ซึ่งอยู่ในกรอบวงเงินงบประมาณที่จะได้รับการจัดสรรไปเป็นโครงการสำรอง แล้วเสนอโครงการใหม่ หรือนำโครงการสำรองมาแทนที่โครงการเดิม และหากโครงการใหม่นั้นไม่อยู่ในแผนพัฒนาจังหวัด หรือแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด ให้ ก.บ.จ. หรือ ก.บ.ก. ปรับปรุงแผนพัฒนาจังหวัด หรือแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด แล้วส่งให้ฝ่ายเลขานุการ ก.น.จ. และสำนักงบประมาณ ภายในวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ และให้ฝ่ายเลขานุการ ก.น.จ. รวบรวมเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาปรับปรุงแผนดังกล่าวโดยตรงต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
750 | รายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปี 2554 | ผผ | 17/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการพิจารณาสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องต่าง ๆ พร้อมทั้งข้อสังเกตหรือข้อเสนอแนะที่เสนอต่อหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น ได้แก่ ๑.๑ ผลการดำเนินงานด้านการสอบสวนข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียน มีเรื่องร้องเรียนที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินรับไว้พิจารณาดำเนินการทั้งสิ้น ๓,๖๑๕ เรื่อง ดำเนินการแล้วเสร็จในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๒,๓๕๔ เรื่อง โดยมีตัวอย่างเรื่องร้องเรียน ได้แก่ เรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เรื่องร้องเรียนกรณีกฎ คำสั่งหรือการกระทำมีปัญหาความชอบด้วยกฎหมาย เรื่องร้องเรียนกรณีการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย เรื่องร้องเรียนกรณีการปฏิบัติหน้าที่ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ร้องเรียน และเรื่องร้องเรียนกรณีการละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ร้องเรียน ๑.๒ ผลการดำเนินงานด้านการตรวจสอบองค์กรตามรัฐธรรมนูญและองค์กรในกระบวนการยุติธรรม ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ดำเนินการเกี่ยวกับการตรวจสอบการละเลยการปฏิบัติหน้าที่หรือการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายขององค์กรตามรัฐธรรมนูญและองค์กรในกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนเชิงระบบ ได้แก่ การศึกษาเรื่อง “การบริหารจัดการน้ำท่วมและอุทกภัยของประเทศไทย” การศึกษาเรื่อง “ตัวแทนอำพราง” การศึกษาเรื่อง “การจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในกรณีหญิงมีสามี” และการศึกษาเรื่อง “การบริหารจัดการปัญหาจราจรของกรุงเทพมหานครในเชิงระบบ” ๒. ผลการปฏิบัติของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้ดำเนินการ หรือไม่ดำเนินการตามข้อสังเกตหรือข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ดำเนินการพิจารณาสอบสวนข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียน และมีข้อเสนอแนะไปยังหน่วยงาน จำนวนทั้งสิ้น ๑๕๘ เรื่อง และมีการติดตามเพื่อให้หน่วยงานปรับปรุงแก้ไขการปฏิบัติงานตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ ๓. การไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๕ ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๕๒ ของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ๔. ผลการดำเนินงานด้านจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ได้แก่ การเสนอแนะหรือให้คำแนะนำในการจัดทำหรือปรับปรุงประมวลจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐแต่ละประเภท การส่งเสริมให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีจิตสำนึกในด้านจริยธรรม และการรายงานการกระทำที่มีการฝ่าฝืนประมวลจริยธรรมเพื่อให้ผู้ที่รับผิดชอบในการบังคับการให้เป็นไปตามประมวลจริยธรรมดำเนินการบังคับให้เป็นไปตามประมวลจริยธรรม ๕. ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ติดตามผลการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ในเรื่องกฎหมายที่ต้องดำเนินการ มาตรการที่ต้องดำเนินการ และการไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ๖. อุปสรรคในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดินและข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขปัญหา ได้แก่ ปัญหาการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การดำเนินการด้านจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ การประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรู้จักและเข้าใจเกี่ยวกับผู้ตรวจการแผ่นดินอย่างถูกต้อง ความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชน และงบประมาณที่ได้รับจัดสรรไม่เพียงพอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
751 | การดำเนินโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) | ทก | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา (แท็บเล็ต) ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง และให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจัดหาในคราวเดียวกันด้วย สำหรับงบประมาณที่ต้องใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ฯ เพิ่มเติมให้ครบตามจำนวน ให้ส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องปรับแผนจากการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ได้รับจัดสรรแล้วไปดำเนินการ รวมทั้งดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนด้วย และที่ดเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอเพิ่มเติมว่า การเสนอเรื่องของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในครั้งนี้ เป็นการดำเนินการตามโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้เคยอนุมัติในหลักการไว้แล้ว และสอดคล้องกับความเห็นของผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ดังนั้น คณะรัฐมนตรีสามารถพิจารณาเพื่อให้ความเห็นชอบในรายละเอียดการดำเนินการตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอได้ ๒. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๒.๑ รับทราบรายงานความก้าวหน้าในการดำเนินการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ๒.๒ อนุมัติให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ให้นักเรียน และครูผู้สอน รวมทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ฯ สำรองกรณีจำเป็น ของโรงเรียนในสังกัดส่วนราชการต่าง ๆ รวมจำนวนประมาณ ๑,๐๐๐,๐๐๐ เครื่อง วงเงินงบประมาณ ๓,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ฯ และวงเงินงบประมาณที่จะจัดซื้อจะสูงกว่าที่คณะรัฐมนตรีได้เคยอนุมัติไว้แล้ว ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์และงบประมาณเพื่อจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ได้ตามจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ฯ ใหม่ สำหรับการจัดหาดังกล่าวให้รวมกรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา เพิ่มเติมจากหน่วยงานที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติเมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (เรื่อง ขออนุมัติหลักการและงบประมาณในการดำเนินโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา) ๒.๓ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การดำเนินโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา) เฉพาะการมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นผู้ลงนามความตกลง/สัญญาซื้อขายเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ที่สำนักงานอัยการสูงสุดได้พิจารณาตรวจสอบแล้วกับบริษัทจีนที่ได้รับคัดเลือก โดยให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๒.๔ เห็นชอบให้สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารผูกพันสัญญาฯ ได้ตามวงเงินงบประมาณที่ส่วนราชการได้ดำเนินการโอนเบิกจ่ายแทนกันให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเรียบร้อยแล้ว สำหรับเงินงบประมาณที่โอนมาภายหลังให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษแบบ Repeat Order ตามความเหมาะสมต่อไป ๓. ให้แก้ไขข้อความว่า “ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕” เป็น “ให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕”
|
|||||||||||||||||||||||||||
752 | โครงการปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาคสาขาสุราษฎร์ธานี ปี 2554 | มท | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ดำเนินโครงการปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาสุราษฎร์ธานี วงเงินลงทุน ๙๒๖.๒๐๘ ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยให้ กปภ. กู้เงินภายในประเทศ (พันธบัตร) เพื่อลงทุนโครงการโดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สำหรับสาระสำคัญของโครงการ ฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบผลิต ระบบส่งน้ำ และระบบจ่ายน้ำประปาในพื้นที่เทศบาลนครสุราษฎร์ธานี เทศบาลตำบลวัดประดู่ เทศบาลเมืองท่าข้าม เทศบาลตำบลท่าทองใหม่ เทศบาลตำบลกาญจนดิษฐ์ เทศบาลตำบลพุมเรียง เทศบาลตำบลตลาดไชยา เทศบาลตำบลท่าฉาง และชุมชนรอบนอกให้สามารถบริการน้ำประปาแก่ประชาชนได้เพิ่มขึ้นในอีก ๑๐ ปีข้างหน้าอย่างพอเพียง ใช้เวลาดำเนินการก่อสร้างประมาณ ๓ ปี เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก ๙๖,๐๐๐ ลบ.ม./วัน สามารถให้บริการผู้ใช้น้ำเพิ่มขึ้นอีก ๔๖,๒๐๐ ราย โดยจะมีการก่อสร้างวางท่อส่งน้ำ ท่อจ่ายน้ำ และท่อบริการขนาดต่าง ๆ เพื่อเปลี่ยนทดแทนท่อเก่าและวางท่อใหม่ในเขตจ่ายน้ำต่าง ๆ และพื้นข้างเคียง รวมความยาวทั้งสิ้นประมาณ ๕๔.๑๕ กม. และก่อสร้างระบบผลิตน้ำประปาประกอบด้วยระบบสูบน้ำแรงต่ำ - แรงสูง โรงกรองน้ำ ระบบจ่ายสารเคมี ถังน้ำใส และหอถังสูง รวมทั้งก่อสร้างระบบชักน้ำดิบและขุดสระระบายตะกอนเพิ่มด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับแนวทางการจัดเก็บค่าบริการบำบัดน้ำเสียรวมกับค่าน้ำประปา โดยเฉพาะในพื้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีระบบบำบัดน้ำเสียรวมของชุมชนและใช้บริการน้ำประปาจาก กปภ. การศึกษาผลกระทบจากการดำเนินงานของประปาในภาวะเหตุฉุกเฉิน ภัยแล้ง และอุทกภัย โดยจัดทำแผนการรองรับในกรณีดังกล่าว การพิจารณาแนวทางการนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ (Reuse) การตรวจสอบการบริหารจัดการลดน้ำสูญเสียในระบบให้เหลือในเกณฑ์ที่ยอมรับได้เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำดิบ การพิจารณาขยายเขตจ่ายน้ำไปยังชุมชนที่ขาดแคลนน้ำสะอาดในพื้นที่ใกล้เคียง การเร่งรัดจัดหาที่ดินให้แล้วเสร็จก่อนดำเนินโครงการฯ เพื่อมิให้การดำเนินโครงการเกิดความล่าช้า และส่งผลกระทบต่อขอบเขตแผนงานโครงการ การควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการบริหารจัดการและค่าใช้จ่ายในการผลิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมควบคู่กับการเพิ่มรายได้จากการให้บริการให้เป็นไปตามเป้าหมาย การพิจารณาปรับโครงสร้างและอัตราค่าน้ำประปาที่สะท้อนต้นทุน เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อฐานะการเงินขององค์กรในระยะยาว การเร่งดำเนินการตามแนวทางการบริหารจัดการลดน้ำสูญเสียให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ร้อยละ ๒๕ การติดตามตรวจสอบการดำเนินงานของผู้รับจ้างปฏิบัติให้สอดคล้องกับมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด รวมทั้งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำแผนบริหารจัดการน้ำเสียทั้งระบบ และพิจารณาจัดทำแผนป้องกันและลดผลกระทบต่อการให้บริการน้ำประปาในกรณีเกิดอุทกภัยหรือภัยแล้งในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
753 | ร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน พ.ศ. .... | นร | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพการสาธารณชุมชน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้มีสภาการสาธารณสุขชุมชนเป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการส่งเสริมการศึกษาวิจัยและการประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน การควบคุมกำกับและกำหนดมาตรฐานการให้บริการของผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน และการควบคุมดูแลความประพฤติของผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน การช่วยเหลือ แนะนำและเผยแพร่ในเรื่องที่เกี่ยวกับสาธารณสุขชุมชน และการให้คำปรึกษาหรือข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลเกี่ยวกับวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน รวมทั้งการส่งเสริมและผดุงรักษาไว้ซึ่งความสามัคคี สิทธิ ความเป็นธรรม และสวัสดิการของสมาชิกสภาสาธารณสุขชุมชน รวมทั้งเป็นตัวแทนผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชนของประเทศไทย ๑.๒ กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของสมาชิกสภาการสาธารณสุขชุมชน และกำหนดสิทธิและหน้าที่ของสมาชิกสภาการสาธารณสุขชุมชน ได้แก่ ขอขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน แสดงความเห็นเป็นหนังสือเกี่ยวกับกิจการของสภาการสาธารณสุขชุมชนต่อคณะกรรมกรรสภาการสาธารณสุขชุมชน รวมทั้งเลือก รับเลือกตั้ง หรือรับแต่งตั้งเป็นกรรมการสภาการสาธารณสุขชุมชน ๑.๓ กำหนดให้มีคณะกรรมการสภาการสาธารณสุขชุมชน ประกอบด้วย กรรมการโดยตำแหน่ง ได้แก่ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขและนายกสมาคมวิชาชีพสาธารณสุข กรรมการซึ่งมาจากการเลือกกันเองของคณบดีคณะสาธารณสุขศาสตร์ หรือหัวหน้าภาควิชาที่ผลิตบัณฑิตด้านการสาธารณสุขในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐและเอกชน กรรมการซึ่งเป็นผู้แทนจากสถาบันพระบรมราชชนกหนึ่งคน กรรมการซึ่งเป็นผู้แทนจากแพทยสภา สภาเภสัชกรรม และสภาการพยาบาล กรรมการซึ่งมาจากการเลือกกันเองของผู้แทนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรรมการซึ่งมาจากการเลือกกันเองขององค์กรเอกชนที่ดำเนินการโดยมิใช่เป็นการหาผลกำไรซึ่งมีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับคุ้มครองผู้บริโภค กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และกรรมการซึ่งได้รับเลือกตั้งโดยสมาชิกสภาการสาธารณสุข ๑.๔ กำหนดกระบวนการกล่าวหาผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชนที่ประพฤติผิดข้อจำกัด เงื่อนไข และจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน โดยกำหนดให้ผู้มีสิทธิในการกล่าวหา ได้แก่ บุคคลซึ่งได้รับความเสียหายเพราะการประพฤติผิดของผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน บุคคลอื่น และกรรมการสภาการสาธารณสุขชุมชน และให้บุคคลดังกล่าวยื่นหรือแจ้งเรื่องกล่าวหาต่อสภาการสาธารณสุขชุมชน ๑.๕ กำหนดให้คณะกรรมการสภาการสาธารณสุขชุมชนมีอำนาจหน้าที่บริหารและดำเนินกิจการสภาการสาธารณสุขชุมชน แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ กำหนดแผนการดำเนินงานและงบประมาณของสภาการสาธารณสุขชุมชน และออกข้อบังคับสภาการสาธารณสุขชุมชนในเรื่องต่างๆ ๑.๖ กำหนดโทษอาญาสำหรับกรณีของบุคคลที่ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชนโดยไม่ได้รับอนุญาตจากสภาการสาธารณสุขชุมชน กรณีของผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชนที่ทำการประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชนในระหว่างถูกพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ กรณีบุคคลที่สมาชิกภาพแห่งสภาการสาธารณสุขชุมชนสิ้นสุดลงแต่ไม่ส่งคืนใบอนุญาตต่อเลขาธิการสภาการสาธารณสุขชุมชน กรณีบุคคลที่ไม่อำนวยความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่ และบุคคลที่ไม่มาให้ถ้อยคำหรือไม่ส่งเอกสาร หรือวัตถุใด ๆ ตามที่คณะอนุกรรมการจรรยาบรรณและคณะอนุกรรมการสอบสวนเรียกหรือแจ้งให้ส่ง ๑.๗ กำหนดบทเฉพาะกาลเกี่ยวกับองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสภาการสาธารณสุขชุมชน คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของนายกสมาคมวิชาชีพสาธารณสุขชุมชน และการประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชนก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ๒. ให้แก้ไขร่างมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน พ.ศ. .... โดยเพิ่มความวรรคสองเป็น “เงินอุดหนุนตาม (๑) ให้เสนอตั้งไว้ตามความจำเป็นในงบประมาณรายจ่ายของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข” ตามความเห็นของผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเป็นเรื่องด่วนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
754 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการมาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น (ก.ถ.) | มท | 10/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการมาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น (ก.ถ.) จำนวน ๕ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๐ เมษายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
๑. นางเลื่อมใส ใจแจ้ง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารงานท้องถิ่น ๒. นายปรีชา วัชราภัย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารงานบุคคล ๓. นายมนุชญ์ วัฒนโกเมร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านระบบราชการ ๔. นายไพฑูรย์ บุญวัฒน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านบริหารและการจัดการ ๕. นายวิจิตร วิชัยสาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย
|
|||||||||||||||||||||||||||
755 | ร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้ผู้รับบำนาญปกติหรือผู้รับบำนาญพิเศษเพราะเหตุทุพพลภาพอาจนำสิทธิในบำเหน็จตกทอดไปเป็นหลักทรัพย์ในการประกันการกู้เงินได้ ๑.๒ กำหนดให้ผู้รับบำนาญปกติหรือผู้รับบำนาญพิเศษเพราะเหตุทุพพลภาพนำสิทธิในบำเหน็จตกทอดไปเป็นหลักทรัพย์ในการประกันการกู้เงินได้ แต่หากสัญญากู้เงินสิ้นสุดลงโดยไม่มีการบังคับเอากับสิทธิในบำเหน็จตกทอดที่นำไปเป็นหลักทรัพย์ในการประกันการกู้เงิน ทายาทมีสิทธิได้รับบำเหน็จตกทอดเต็มตามจำนวน แต่หากผู้รับบำนาญปกติหรือผู้รับบำนาญพิเศษเพราะเหตุทุพพลภาพถึงแก่ความตายหรือสัญญากู้เงินสิ้นสุดลงโดยไม่มีการบังคับเอากับสิทธิในบำเหน็จตกทอดที่นำไปเป็นหลักทรัพย์ในการประกันการกู้เงิน ทายาทมีสิทธิได้รับบำเหน็จตกทอดเท่ากับจำนวนที่เหลือหลังจากที่ราชการส่วนท้องถิ่นได้หักจำนวนเงินที่จ่ายให้แก่สถาบันการเงินออกจากสิทธิในบำเหน็จตกทอดมาตรา ๔๖/๕ ๑.๓ กำหนดให้ผู้รับบำนาญปกติหรือผู้รับบำนาญพิเศษเพราะเหตุทุพพลภาพยังคงมีสิทธิได้รับบำนาญอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๐๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้มีสิทธินำสิทธิในบำเหน็จตกทอดไปเป็นหลักทรัพย์ในการประกันการกู้เงินได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลังไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ร่างมาตรา ๔๖/๒ ได้กำหนดนิยามคำว่า “ราชการส่วนท้องถิ่น” ไว้ ซึ่งนิยามของคำนี้ได้มีบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๐๐ มาตรา ๔ วรรคสาม และมีข้อความเหมือนกันทุกประการ จึงสมควรตัดร่างมาตรา ๔๖/๒ ออกจากร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๒.๒ ร่างมาตรา ๔๖/๕ มีสาระสำคัญเหมือนกับมาตรา ๔๗/๔ ของพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔ และมาตรา ๕๗/๔ ของพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ แต่ไม่มีข้อความที่เหมือนวรรคสองของทั้งสองมาตราดังกล่าว ซึ่งเป็นข้อความที่ให้อำนาจกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการเรียกเงินคืนจากผู้รับบำนาญ หรือจากกองมรดกของผู้นั้น ในกรณีที่ไม่อาจหักเงินที่จ่ายให้แก่สถาบันการเงินไปแล้วจากสิทธิในบำเหน็จบำนาญตกทอดได้ การที่ร่างมาตรา ๔๖/๕ ไม่มีวรรคสองดังกล่าว อาจทำให้ทางราชการเสียประโยชน์ได้ จึงสมควรเพิ่มข้อความเช่นเดียวกับวรรคสองของมาตรา ๔๗/๔ ของพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔ และวรรคสองของมาตรา ๕๗/๔ ของพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ ในร่างมาตรา ๔๖/๕ ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
756 | สรุปผลการดำเนินการโครงการปีแห่งการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์ | มท | 02/04/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประธานกรรมการและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลการดำเนินงานโครงการปีแห่งการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาคราชการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม จังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดำเนินการขับเคลื่อนโครงการดังกล่าวเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยมีกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องตลอดทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งผลจากการดำเนินโครงการได้ก่อให้เกิดการรับรู้และตื่นตัวในเรื่องของการสวมหมวกนิรภัย มีการบังคับใช้กฎหมาย ว่ากล่าวตักเตือนและจับปรับ เพิ่มขึ้นมา ๓ เท่า (เพิ่มจาก ๘๕๐,๐๖๐ ราย ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็น ๒,๗๐๗,๔๔๐ ราย ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔) และผลจากการสำรวจการสวมหมวกนิรภัยทุกจังหวัดทั่วประเทศ จำนวน ๑,๒๓๐,๑๙๗ คน พบว่า สัดส่วนการสวมหมวกนิรภัยในภาพรวมของประเทศเพิ่มสูงขึ้นเพียง ๒ เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น โดยเพิ่มจาก ๔๔ เปอร์เซ็นต์ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็น ๔๖ เปอร์เซ็นต์ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๒ แนวทางที่จะดำเนนการในระยะต่อไป ๑.๒.๑ ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการต่อไปอีก ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗) เพื่อให้มีการเพิ่มสัดส่วนของผู้สวมหมวกนิรภัยอย่างต่อเนื่องและครอบคลุมตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยเร่งรัดให้มีการสวมหมวกนิรภัยเพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ ๒๐ ในแต่ละปี ๑.๒.๒ ให้คณะอนุกรรมการด้านผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัยในคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (เสาหลักที่ ๔ ตามแนวทางทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน) เป็นผู้รับผิดชอบหลัก พร้อมทั้งมีการติดตามกำกับ การรายงานความก้าวหน้าและปัญหาอุปสรรคต่อศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ๑.๒.๓ รัฐบาลควรมีการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนเพิ่มเติมให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อให้สามารถดำเนินการบังคับใช้กฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงเวลาเย็นและกลางคืน เนื่องจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีข้อจำกัดในด้านบุคลากรและงบประมาณในช่วงเวลาดังกล่าว ๑.๒.๔ ให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนประสานงานกับสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อให้เข้ามามีบทบาทในการกำกับดูแลและตรวจจับหมวกนิรภัยที่ไม่ได้มาตรฐานในสถานประกอบการและในท้องตลาด รวมทั้งเร่งรัดและหามาตรการในการส่งเสริมมาตรฐานหมวกนิรภัยที่จะประกาศใช้ ให้มีกลไกที่เอื้อต่อการผลิตในราคาที่ถูก เช่น การใช้มาตรการด้านภาษี หรือการอุดหนุนผู้ประกอบการที่ผลิตหมวกนิรภัยที่ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะหมวกนิรภัยสำหรับเด็ก ๑.๒.๕ ให้คณะอนุกรรมการด้านการบริหารจัดการข้อมูลและการติดตามประเมินผลในคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน พัฒนาระบบข้อมูลเพื่อติดตามสถานการณ์การบาดเจ็บศรีษะและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ (ที่ไม่สวมหมวกนิรภัย) พร้อมทั้งนำเสนอข้อมูลให้กับศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเป็นประจำทุก ๒ เดือน ๑.๒.๖ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัด โดยเฉพาะในสถานประกอบการ สถานศึกษา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อมทั้งกำหนดให้มีการนำเสนอข้อมูลการดำเนินงานด้านการบังคับใช้กฎหมาย และข้อมูลการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากการขับขี่รถจักรยานยนต์ผ่านที่ประชุมจังหวัดทุกเดือน ๑.๒.๗ ให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนขยายความร่วมมือกับภาคีภาคส่วนต่าง ๆ โดยเฉพาะภาคธุรกิจ หน่วยงาน องค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการรณรงค์ประชาสัมภันธ์ในรูปแบบที่หลากหลาย โดยเฉพาะการรณรงค์ผ่านสื่อศิลปิน เพลง ภาพยนตร์ เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ เด็ก/เยาวชนเพิ่มมากขึ้น ๑.๒.๘ ให้กระทรวงคมนาคมวางแนวทางการดำเนินการเพื่อให้สภาพถนนและสิ่งแวดล้อมเอื้ออำนวยต่อการขับขี่รถจักรยานยนต์ได้อย่างปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น ได้แก่ การออกแบบจุดกลับรถที่ปลอดภัยสำหรับรถจักรยานยนต์ เช่น การทำทางลอดใต้สะพาน การทำสะพานลอยรถจักรยานยนต์ การหาแนวทางการเพิ่มช่องทาง/เลนรถจักรยานยนต์ในถนนที่กำลังออกแบบใหม่ หรือถนนที่มีปริมาณรถจักรยานยนต์สัญจรเป็นจำนวนมาก โดยควรมีการจัดทำมาตรฐานช่องทางรถจักรยานยนต์และจัดโครงการถ่ายทอดความรู้ให้กับหน่วยงานด้านงานทางและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อนำไปวางแผนให้เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ และการสนับสนุนให้กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนเข้าร่วมในการรณรงค์ส่งเสริมการใช้หมวกนิรภัยอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา ๒. ให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตและความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องรณรงค์สร้างจิตสำนึกให้ประชาชนเล็งเห็นถึงความปลอดภัยที่จะได้รับจากการสวมหมวกนิรภัยโดยให้มีการดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องทุก ๆ ปี และมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและจริงจังด้วย รวมทั้งเห็นควรทำการศึกษาเพื่อประเมินผล วิเคราะห์สาเหตุและเสนอแนะมาตรการที่รัดกุม เพื่อให้ทราบถึงประเด็นปัญหาที่สำคัญที่ทำให้การรณรงค์ไม่ได้ผลตามเจตนารมณ์ และเพื่อสามารถวางแนวทางการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบพร้อมทั้งตั้งเป้าหมายให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติอันจะทำให้การณรงค์นั้นมีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการรณรงค์เรื่องการสวมหมวกนิรภัย ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
757 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา เรื่อง การส่งเสริมและสนับสนุนให้สหกรณ์เป็นวาระแห่งชาติในโอกาสทศวรรษครบ 100 ปี ของการสหกรณ์ไทย | สว | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา เรื่อง การส่งเสริมและสนับสนุนให้สหกรณ์เป็นวาระแห่งชาติในโอกาสทศวรรษครบ๑๐๐ ปี ของการสหกรณ์ไทย และผลการดำเนินการตามรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการดังกล่าว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เมื่อคณะรัฐมนตรีประกาศให้สหกรณ์เป็นวาระแห่งชาติแล้ว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะมีแนวทางดำเนินการใน ๔ ประเด็นหลัก คือ ๑.๑ การพัฒนาและขับเคลื่อนการรวมกลุ่มในชนบทให้เป็นฐานรากที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยมีองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ส่งเสริม สนับสนุน โดยการจัดระเบียบกลุ่มต่าง ๆ ให้มาใช้วิธีการสหกรณ์เป็นแนวทางการดำเนินงาน มีองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นในระดับตำบลเป็นศูนย์กลางในการบูรณาการการจัดระบบการผลิตด้านการเกษตร การประกันภัยพืชผลการเกษตร ดูแลปัญหาที่ดินที่ทำกินและดูแลสวัสดิการเบื้องต้น เพื่อให้การบริหารท้องถิ่นในระดับตำบลนำระบบสหกรณ์มาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ๑.๒ ผลักดันให้กำหนดหลักสูตรสหกรณ์ไว้ในหลักสูตรการเรียนการสอน และการศึกษาอบรมผู้นำและผู้บริหารทุกระดับ โดยการจัดตั้งคณะทำงานระดับชาติ ยกร่างหลักสูตรเกี่ยวกับสหกรณ์สำหรับการเรียนรู้ทั้งในระบบและนอกระบบในแต่ละระดับให้เหมาะสม ๑.๓ ปฏิรูปโครงสร้างหน่วยงานภาครัฐให้เป็นเอกภาพและมีส่วนร่วมจากขบวนการสหกรณ์ โดยหน่วยงานภาครัฐควรมุ่งในการพัฒนาและกำกับมาตรฐานสหกรณ์เพื่อก้าวสู่ความเป็นสากล ปฏิรูปสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย ให้มีองค์ประกอบทางวิชาการมากขึ้น พร้อมกับขยายภารกิจไปสู่ภูมิภาคให้มากขึ้น มีการสร้างเครือข่ายความร่วมมืออย่างทั่วถึงและครอบคลุมทั้งกระบวนการ ๑.๔ รัฐต้องให้การสนับสนุนงบประมาณและการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยการสนับสนุนการขับเคลื่อนตามแผนพัฒนาสหกรณ์ สนับสนุนการศึกษาวิจัยด้านสหกรณ์และผลักดันให้การพัฒนาระบบสหกรณ์อยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและยั่งยืน ๒. ควรสนับสนุนและผลักดันให้ระบบสหกรณ์เป็นกลไกในการพัฒนาประเทศไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ อย่างเป็นรูปธรรมในทุกระบบที่เกี่ยวข้อง และเพิ่มกิจกรรมรณรงค์ให้ประชาชนรู้ถึงประโยชน์ความสำคัญของสหกรณ์ และสมาชิกสหกรณ์มีส่วนร่วมในการดำเนินงานอย่างแท้จริงและยั่งยืน สำหรับแนวทางในการปฏิรูปโครงสร้างหน่วยงานภาครัฐให้เป็นเอกภาพและมีส่วนร่วมจากสหกรณ์ ได้จ้างมหาวิทยาลัยบูรพาศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของหน่วยงานที่กำกับ ดูแลและพัฒนาสหกรณ์ ผลการศึกษาพบว่า ควรเป็นหน่วยงานภาครัฐในระดับทบวงสหกรณ์ ซึ่งจะได้เสนอรายงานผลการศึกษาให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาในโอกาสต่อไป รวมทั้งจะผลักดันการขับเคลื่อนผ่านแผนพัฒนาการสหกรณ์ ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙) ซึ่งขณะนี้คณะกรรมการพัฒนาการสหกรณ์แห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๕๓ กำลังดำเนินการอยู่
|
|||||||||||||||||||||||||||
758 | ปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือ | มท | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานการดำเนินการแก้ไขปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (เรื่อง ปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือ) โดยแจ้งให้จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน น่าน แพร่ พะเยา และตาก เร่งดำเนินการตามมาตรการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ อย่างจริงจัง โดยให้มีการบูรณาการจากทุกภาคส่วน ดังนี้
๑. ให้มีการบูรณาการแผนการทำงานทั้งระดับจังหวัด/กลุ่มจังหวัด และตามยุทธศาสตร์/มาตรการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ อย่างจริงจัง ๒. ให้รณรงค์ประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือจากหน่วยงานราชการ ภาคเอกชน ผู้นำท้องที่ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาชนในพื้นที่ ร่วมกันตระหนักในผลกระทบที่มีต่อสภาพแวดล้อม สุขภาพร่างกายของประชาชน รวมถึงบรรยากาศด้านการท่องเที่ยว ๓. มีการกำหนดโซนให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบและร่วมกันดูแลป้องกันและควบคุมไม่ให้เกิดการเผาป่าอย่างเคร่งครัดและจริงจัง ๔. ให้ปรับแนวทางปฏิบัติโดยให้อำเภอประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน รณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนฉีดพ่นน้ำในพื้นที่บ้านเรือนและพื้นที่ปลูกต้นไม้หน้าบ้านพักอาศัย สวนสาธารณะ สวนหย่อม บริเวณทางลอด ทางร่วม ทางแยก และแหล่งก่อให้เกิดมลพิษทางด้านอากาศอื่น ๆ ๕. ให้จังหวัดรายงานสถานการณ์หมอกควันต่อนายกรัฐมนตรีทุกวันจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น ๖. สำหรับการรายงานสถานการณ์ไฟไหม้ป่าและหมอกควันในพื้นที่ และการรายงานผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาของจังหวัด จังหวัดยังคงต้องรายงานให้กระทรวงมหาดไทยทราบทุกวันจันทร์ของสัปดาห์เช่นเดิม
|
|||||||||||||||||||||||||||
759 | กรอบการเจรจาเพื่อจัดทำความตกลงด้านการขนส่งทางบกระหว่างไทย - ลาว - จีน | คค | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบการเจรจาเพื่อจัดทำความตกลงด้านการขนส่งทางบกระหว่างไทย - ลาว - จีน เพื่อใช้เป็นกรอบการเจรจาในการดำเนินการตามความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Cross Border Transport Agreement : CBTA) ระหว่างไทย - ลาว - จีน ที่จุดผ่านแดนเชียงของ - ห้วยทราย (ไทย - ลาว) และจุดผ่านแดนบ่อเต็น - โมฮาน (ลาว - จีน) ในระหว่างที่แต่ละประเทศยังไม่สามารถให้สัตยาบันภาคผนวกและพิธีสารแนบท้ายความตกลงฯ ที่ได้ลงนามไปแล้ว เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารระหว่างกัน และให้เสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยกรอบการเจรจาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ สิทธิการจราจร การอนุญาตให้มีการประกอบการขนส่งทางถนนของสินค้าและบุคคลระหว่างไทย - ลาว - จีน ตามแนวเส้นทางเศรษฐกิจเหนือ - ใต้ และให้มีการยอมรับผู้ประกอบการขนส่งซึ่งได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่รับผิดชอบของแต่ละภาคี ๑.๒ การอำนวยความสะดวกพิธีการข้ามแดน การยอมรับการตรวจพร้อมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และตั้งเป้าหมายให้มีการตรวจสอบสินค้าเพียงครั้งเดียวต่อไปในอนาคต ๑.๓ การขนส่งบุคคลข้ามแดน การนำหลักเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลกมาใช้สำหรับการขนส่งบุคคลข้ามแดน ๑.๔ การขนส่งสินค้าข้ามแดน การยกเว้นการจัดเก็บภาษีศุลกากรสำหรับสินค้า หรือคอนเทนเนอร์ที่ติดตราประทับศุลกากรที่ใช้ในการขนส่งผ่านแดน สำหรับการขนส่งสินค้าอันตรายจะอนุญาตเป็นกรณี ๆ ไป และการให้สิทธิพิเศษในการตรวจปล่อยสินค้าเน่าเสียง่ายข้ามแดน ๑.๕ การยอมรับรถ การยอมรับใบอนุญาตขับรถในประเทศซึ่งกันและกัน ๑.๖ บทเบ็ดเตล็ด การกำหนดอัตราค่าบริการการขนส่งให้เป็นไปตามกลไกตลาด การจัดตั้งคณะทำงานร่วมไทย - ลาว - จีน เพื่อควบคุมและติดตามการปฏิบัติตามความตกลงฯ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเจรจาความตกลงฯ ควรให้ความสำคัญกับความร่วมมือในการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติงาน ณ ด่านพรมแดน พนักงานขับรถ ภาคเอกชน รวมถึงชุมชนที่อยู่ตามแนวระเบียงเศรษฐกิจของทั้งสามประเทศให้มีความเข้าใจในระเบียบปฏิบัติตามความตกลงฯ รวมถึงภาษาที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างกัน เพื่อให้เกิดความมั่นใจในความปลอดภัยสำหรับการขนส่งระหว่างประเทศ และเห็นควรให้คณะกรรมการขนส่งผ่านแดนและการขนส่งข้ามแดนแห่งชาติ ของกระทรวงคมนาคม ในฐานะ National Transport Facilitation Committee ของไทย มีบทบาทในการประสานอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการอนุญาตให้มีการขนส่งสินค้าอันตราย นอกจากนี้ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการศึกษาและติดตามประเมินผลทั้งกรอบแนวทางการพัฒนาความร่วมมือ การเจรจาตามข้อตกลง ปัญหาอุปสรรคของการดำเนินการและปัจจัยแห่งความสำเร็จ เพื่อเป็นแนวทางในการเจรจาความตกลงในรายละเอียดหรือปรับปรุงข้อตกลงเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศ และเพื่อประโยชน์ในการกำหนดรูปแบบการเจรจาและการทำความตกลงฯ ในเส้นทางอื่น ๆ ตามแนวทางการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
760 | ข้อเสนอแนวทางการพัฒนางานอาสาสมัครไทย | พม | 29/03/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบข้อเสนอแนวทางการพัฒนางานอาสาสมัครไทย และให้คณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ (ก.ส.ค.) นำไปดำเนินการโดยประสานงานกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยข้อเสนอแนวทางการพัฒนางานอาสาสมัครไทย มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ส่งเสริมการเป็นอาสาสมัคร โดยการเสริมสร้างให้เกิดจิตสำนึกในการเป็นอาสาสมัครในทุกระดับ โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนในสถาบันการศึกษา บุคลากรในหน่วยงานของรัฐ ภาคธุรกิจและภาคเอกชน ให้มีกลไกความร่วมมือระหว่างองค์การอาสาสมัครกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนงานดังกล่าว การเพิ่มจำนวนอาสาสมัครประเภทต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานสาธารณภัย และในงานเฉพาะทาง เช่น การดูแลคนพิการ ผู้สูงอายุ ผู้รับบริการในสถานสงเคราะห์ การให้สวัสดิการ ส่งเสริมขวัญกำลังใจ และยกย่องให้เกียรติอาสาสมัครอย่างเท่าเทียมกัน เป็นระบบและครบวงจร ๑.๒ พัฒนาความรู้ความสามารถของอาสาสมัคร โดยการจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ การจัดทำจริยธรรมในงานอาสาสมัคร การถอดบทเรียนค้นหาต้นแบบที่ดีในการทำงานอาสาสมัคร การจัดทำหลักสูตรอบรมอาสาสมัครและการบริหารจัดการงานอาสาสมัคร การจัดตั้งสถาบันการจัดการและการอบรมอาสาสมัครเพื่อสังคม การส่งเสริมมาตรฐานการปฏิบัติงานของอาสาสมัคร การส่งเสริมงานวิจัยงานอาสาสมัคร รวมทั้งให้มีการจัดทำรายงานการประเมินมูลค่างานอาสาสมัครที่ก่อให้เกิดประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจ ๑.๓ พัฒนาองค์กรและบุคลากร โดยการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานอาสาสมัครและกับทุกภาคส่วน การส่งเสริมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้ามาส่งเสริมงานอาสาสมัคร และให้มีแหล่งทุนที่เพียงพอ หรือจัดตั้งกองทุนในการสนับสนุนการดำเนินงานอาสาสมัคร ๑.๔ สร้างเครือข่าย โดยการส่งเสริมให้เกิดการรวมตัวกันของอาสาสมัครในทุกประเภทและทุกระดับ จัดตั้งศูนย์อาสาสมัครแห่งชาติและจังหวัด โดยให้มีกลไกการบริหารจัดการอาสาสมัครและมีรูปแบบคณะกรรมการในการบริหารจัดการที่ชัดเจน และให้มีผู้แทนอาสาสมัครเข้าไปมีส่วนร่วมในกลไกและเวทีการพัฒนาด้านต่าง ๆ ๑.๕ ส่งเสริมการสื่อสารและรณรงค์สาธารณะ โดยการพัฒนาระบบฐานข้อมูลอาสาสมัคร เพิ่มช่องทางการเผยแพร่และการสื่อสารข้อมูลกิจกรรมงานอาสาสมัครและระหว่างอาสาสมัครด้วยกันเอง และการส่งเสริมให้มีการสื่อสารเผยแพร่งานอาสาสมัครในสื่อกระแสหลัก ๑.๖ ส่งเสริมความร่วมมือกับต่างประเทศ โดยพัฒนาความร่วมมือระหว่างอาสาสมัครไทยกับอาสาสมัครชาวต่างประเทศที่เข้ามาเป็นอาสาสมัครในประเทศไทย การส่งเสริมให้คนไทยไปเป็นอาสาสมัครในต่างประเทศ สร้างกลไกความร่วมมือด้านอาสาสมัครระหว่างประเทศทั้งในรูปแบบทวิภาคีและพหุภาคี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวทีอาเซียน ๒. สำหรับการจัดตั้งสถาบันการจัดการและการอบรมอาสาสมัครเพื่อสังคม ศูนย์อาสาสมัครแห่งชาติและจังหวัด และการจัดตั้งกองทุนในการสนับสนุนการดำเนินงานอาสาสมัคร ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินงานด้านอาสาสมัคร ควรเป็นการทำงานในภาพกว้าง โดยบูรณาการการทำงานกับทุกภาคส่วน รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และต้องมีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในภารกิจที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการอยู่แล้ว และเป็นการเสริมงานในภาพกว้างที่แต่ละหน่วยงานได้ดำเนินการอยู่แล้วให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
.....