ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 37 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 721 - 740 จากข้อมูลทั้งหมด 2031 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
721 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 | กค | 03/07/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยกรมบัญชีกลางได้รวบรวมรายงานการเงินของรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ กองทุนและเงินทุนหมุนเวียน รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวม ๘,๐๘๒ หน่วยงาน จาก ๘,๓๙๒ หน่วยงาน คิดเป็นร้อยละ ๙๖.๓๑ เพื่อจัดทำรายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยรวบรวมข้อมูลรายงานการเงินสิ้นสุดถึงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๕ ๑.๒ เห็นชอบข้อเสนอแนะในประเด็นสำคัญต่าง ๆ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ ๑.๒.๑ ให้หน่วยงานทุกกลุ่มจัดทำบัญชีและรายงานการเงินให้ถูกต้องเป็นปัจจุบัน และส่งสำเนารายงานการเงินที่ส่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินให้กรมบัญชีกลาง โดยเฉพาะในส่วนของรายงานการเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ให้ส่งสำนักงานคลังจังหวัดรวบรวมส่งกรมบัญชีกลางต่อไป ยกเว้นหน่วยงานในกลุ่มของรัฐวิสาหกิจยังคงส่งข้อมูลรายงานการเงินให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจตามเดิม ๑.๒.๒ ให้ผู้บริหารให้ความสำคัญงานบัญชีมากยิ่งขึ้น และให้กำกับดูแลให้ผู้ตรวจสอบภายในวางแผนการตรวจสอบด้านการเงินและบัญชี พร้อมทั้งรายงานผลให้ผู้บริหารทราบอย่างสม่ำเสมอเพื่อรายงานปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะ กรณีมีปัญหาข้อขัดข้องในการปฏิบัติงานเพื่อสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องทันเหตุการณ์ต่อไป ๑.๒.๓ ให้ผู้บริหารระดับกรม/กระทรวง พิจารณาให้ความสำคัญในเรื่องอัตรากำลังและคุณสมบัติของเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานการเงินและบัญชีของหน่วยงานในสังกัด ซึ่งจำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษาด้านบัญชี และจะต้องมีการสอนงานการเงินและบัญชีให้ผู้ที่ได้รับมอบหมายสามารถปฏิบัติงานได้ต่อเนื่องเป็นปัจจุบัน รวมทั้งพิจารณาความดีความชอบเป็นกรณีพิเศษให้กับเจ้าหน้าที่การเงินและบัญชีที่จัดทำบัญชีและรายงานการเงินถูกต้อง ครบถ้วน เป็นปัจจุบัน ๑.๒.๔ ผู้บริหารควรกำกับดูแลหน่วยงานในสังกัด โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการจัดเก็บและนำส่งเงินรายได้แผ่นดิน/รายได้ของหน่วยงาน/เงินนอกงบประมาณต่าง ๆ ให้มีการควบคุมดูแลการรับเงินและการออกใบเสร็จรับเงิน รวมถึงการบันทึกรายการบัญชีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นปัจจุบัน ๑.๒.๕ ผู้บริหารควรกำชับหน่วยงานในสังกัดและเจ้าหน้าที่การเงินของหน่วยงานให้ตรวจสอบเอกสารหลักฐานการเบิกจ่ายเงินให้ถูกต้อง ครบถ้วน และปฏิบัติตามระเบียบ หลักเกณฑ์ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดและรอบคอบ โดยให้มีการตรวจสอบเอกสารหลักฐานและการบันทึกบัญชีให้ถูกต้อง ครบถ้วนอย่างสม่ำเสมอ ๑.๒.๖ ผู้บริหารควรกำชับให้หน่วยงานในสังกัดและเจ้าหน้าที่การเงินและบัญชีตรวจสอบและบันทึกรายการบัญชีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน พร้อมทั้งให้มีการจัดทำงบกระทบยอดเงินฝากธนาคารประจำเดือน เพื่อให้สามารถตรวจพบข้อผิดพลาดคลาดเคลื่อนที่เกิดขึ้นและปรับปรุงแก้ไขรายการบัญชีดังกล่าวให้ถูกต้องก่อนจัดทำรายงานการเงินประจำเดือน/ประจำปี ๑.๒.๗ ผู้บริหารควรกำชับให้หน่วยงานในสังกัดควบคุมดูแลและตรวจสอบบัญชีวัสดุและสินทรัพย์ถาวรของหน่วยงานให้ถูกต้องตรงกับข้อเท็จจริงและตรงกับทะเบียนคุมวัสดุ ทะเบียนคุมทรัพย์สิน หากพบข้อผิดพลาดให้รายงานผู้บริหารและดำเนินการปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้องโดยเร็วต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังติดตามผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะแนวทางการการปฏิบัติงานของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องตามที่กรมบัญชีกลางเสนอ และให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งเผยแพร่ข้อเสนอแนะดังกล่าวไปยังหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ต่อราชการในการจัดทำข้อมูลทางบัญชีการเงินของภาครัฐให้มีความทันสมัย ถูกต้องเพื่อใช้ในการบริหารสินทรัพย์ หนี้สิน รายได้ และค่าใช้จ่ายของแผ่นดิน ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และยืดหยุ่นต่อการปฏิบัติงาน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
722 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร | 26/06/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้ส่วนราชการให้ความสำคัญกับการเร่งรัดดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน ในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประชาชนแจ้งเรื่องร้องทุกข์ผ่านช่องทางต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๓๑,๓๖๓ ครั้ง เปรียบเทียบกับในไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ พบว่าในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประชาชนใช้บริการร้องทุกข์เพิ่มขึ้น จำนวน ๑๔,๐๐๔ ครั้ง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ เรื่องขอให้ซ่อมแซมไฟฟ้ากับขยายและติดตั้งปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า รองลงมาคือ สวัสดิการสงเคราะห์ผู้ประสบภัย การปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่และการอำนวยความสะดวกในการให้บริการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามลำดับ ๑.๒ ข้อมูลเรื่องร้องทุกข์ที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ได้แก่ การแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับการจำหน่ายและเสพยาเสพติด การแจ้งเบาะแสการลักลอบเปิดบ่อนการพนัน/เล่นการพนัน การปรับขึ้นเงินเดือนของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐในระดับปริญญาตรี ราคาจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง การปรับขึ้นราคาจำหน่ายก๊าซ LGP และ NGV นโยบายสร้างความปรองดองของรัฐบาลเพื่อลดปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันเพื่อนำไปสู่ความปรองดอง ๒. ข้อมูลการแจ้งเบาะแสจากประชาชนในประเด็นที่เกี่ยวกับยาเสพติดในรอบ ๖ เดือนแรกของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเป็นหน่วยงานหลักในการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำข้อมูลไปดำเนินการขยายผลการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติดต่อไป โดยสถิติการแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับยาเสพติด พบว่า ประชาชนแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับยาเสพติดในพื้นที่ของกรุงเทพมหานครมากที่สุด รองลงมาคือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ชลบุรี นนทบุรี และสุราษฎร์ธานี ตามลำดับ โดยประเภทของยาเสพติดที่มีการแจ้งเบาะแสมากที่สุด ได้แก่ ยาบ้า รองลงมาคือ ยาไอซ์ และกัญชา ตามลำดับ ซึ่งสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้จัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมในส่วนของสถานที่จำหน่ายหรือเสพยาเสพติด จำแนกเป็นรายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและจังหวัดเพื่อเตรียมจัดส่งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดในการเป็นหน่วยงานหลักประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำข้อมูลไปดำเนินการขยายผลการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติดต่อไป |
||||||||||||||||||
723 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของนายกเมืองพัทยา รองนายกเมืองพัทยา เลขานุการนายกเมืองพัทยา ผู้ช่วยเลขานุการนายกเมืองพัทยา และประธานที่ปรึกษาหรือที่ปรึกษาของนายกเมืองพัทยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงินประจำตำแหน่ง เงินค่าเบี้ยประชุมและประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานสภาเมืองพัทยา รองประธานสภาเมืองพัทยา สมาชิกสภาเมืองพัทยา เลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา ผู้ช่วยเลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา และกรรมการหรืออนุกรรมการของสภาเมืองพัทยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | มท | 19/06/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของนายกเมืองพัทยา รองนายกเมืองพัทยา เลขานุการนายกเมืองพัทยา ผู้ช่วยเลขานุการนายกเมืองพัทยา และประธานที่ปรึกษาหรือที่ปรึกษาของนายกเมืองพัทยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงอัตราเงินเดือนของนายกเมืองพัทยา รองนายกเมืองพัทยา เลขานุการนายกเมืองพัทยา ผู้ช่วยเลขานุการนายกเมืองพัทยา ประธานที่ปรึกษาหรือที่ปรึกษาของนายกเมืองพัทยา ดังนี้ นายกเมืองพัทยา ๑ อัตรา ได้รับ ๕๕,๕๓๐ บาท/เดือน รองนายกเมืองพัทยา ๔ อัตรา ได้รับ ๓๐,๕๔๐ บาท/เดือน เลขานุการนายกเมืองพัทยา ๑ อัตรา ได้รับ ๑๙,๔๔๐ บาท/เดือน ผู้ช่วยเลขานุการนายกเมืองพัทยา ๔ อัตรา ได้รับ ๑๓,๘๘๐ บาท/เดือน ประธานที่ปรึกษาของนายกเมืองพัทยา ๑ อัตรา ได้รับ ๑๖,๖๕๐ บาท/เดือน และที่ปรึกษาของนายกเมืองพัทยา ๔ อัตรา ได้รับ ๑๓,๘๘๐ บาท/เดือน ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงินประจำตำแหน่ง เงินค่าเบี้ยประชุม และประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานสภาเมืองพัทยา รองประธานสภาเมืองพัทยา สมาชิกสภาเมืองพัทยา เลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา ผู้ช่วยเลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา และกรรมการหรืออนุกรรมการของสภาเมืองพัทยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๒.๑ ปรับปรุงอัตราเงินประจำตำแหน่งของประธานสภาเมืองพัทยา รองประธานสภาเมืองพัทยา สมาชิกสภาเมืองพัทยา เลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา ผู้ช่วยเลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา ดังนี้ ประธานสภาเมืองพัทยา ๑ อัตรา ได้รับ ๓๐,๕๔๐ บาท/เดือน รองประธานสภาเมืองพัทยา ๒ อัตรา ได้รับ ๒๔,๙๙๐ บาท/เดือน สมาชิกสภาเมืองพัทยา ๒๑ อัตรา ได้รับ ๑๙,๔๔๐ บาท/เดือน เลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา ๑ อัตรา ได้รับ ๑๙,๔๔๐ บาท/เดือน และผู้ช่วยเลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา ๒ อัตรา ได้รับ ๑๓,๘๘๐ บาท/เดือน ๑.๒.๒ ปรับปรุงบัญชีอัตราเงินค่าเบี้ยประชุมกรรมการหรืออนุกรรมการของสภาเมืองพัทยา ดังนี้ พนักงานหรือลูกจ้างในสังกัดเมืองพัทยา กรรมการ ครั้งละ ๕๐๐ บาท อนุกรรมการ ครั้งละ ๔๐๐ บาท ข้าราชการหรือลูกจ้างของทางราชการ พนักงานหรือลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ หรือขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นซึ่งมิได้เป็นพนักงานหรือลูกจ้างในสังกัดเมืองพัทยา กรรมการ ครั้งละ ๘๐๐ บาท อนุกรรมการ ครั้งละ ๖๐๐ บาท และบุคคลอื่นนอกจากพนักงานหรือลูกจ้างในสังกัดเมืองพัทยา ข้าราชการหรือลูกจ้างของทางราชการ พนักงานหรือลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจ หรือขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นซึ่งมิได้เป็นพนักงานหรือลูกจ้างในสังกัดเมืองพัทยา กรรมการ ครั้งละ ๑,๐๐๐ บาท และอนุกรรมการ ครั้งละ ๘๐๐ บาท ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นควรตัดคำว่า “ลูกจ้าง” ออกจากร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงินประจำตำแหน่ง เงินค่าเบี้ยประชุม และประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานสภาเมืองพัทยา รองประธานสภาเมืองพัทยา สมาชิกสภาเมืองพัทยา เลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา ผู้ช่วยเลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา และกรรมการหรืออนุกรรมการของสภาเมืองพัทยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เนื่องจากกรรมการและอนุกรรมการของส่วนราชการที่ตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุม พ.ศ. ๒๕๔๗ ไม่มีการแต่งตั้งลูกจ้างเป็นกรรมการหรืออนุกรรมการ ส่วนค่าเบี้ยประชุมคณะกรรมการของสภาเมืองพัทยา ให้เบิกจ่ายในอัตราไม่เกินอัตราที่กรุงเทพมหานครกำหนดไว้ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเงินประจำตำแหน่ง เงินค่าเบี้ยประชุม และเงินค่าตอบแทนอื่นของสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร สมาชิกสภาเขตของกรุงเทพมหานคร และกรรมการของสภากรุงเทพมหานคร (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๕๐ ไปพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. สำหรับงบประมาณที่เพิ่มขึ้นจากการปรับค่าตอบแทนในครั้งนี้ให้ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของเมืองพัทยา |
||||||||||||||||||
724 | ขออนุมัติใช้วงเงินช่วยเหลือเยียวยาตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2555 | กษ | 19/06/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการช่วยเหลือเกษตรกรที่เพาะปลูกข้าวนาปี ๒๕๕๔/๕๕ กรณีเสียหายเนื่องจากประสบอุทกภัย และกรณีจำหน่ายผลผลิตไปก่อนเริ่มโครงการรับจำนำผลผลิตข้าวนาปี ๒๕๕๔/๕๕ โดยเป็นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวผลผลิตในเดือนสิงหาคม - กันยายน ๒๕๕๔ และเกษตรกรที่ปลูกข้าว ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม - ๓๐ เมษายน ๒๕๕๔ ซึ่งเก็บเกี่ยวและขายข้าวแล้วตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน - ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๔ โดยให้ความช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรที่เพาะปลูกข้าวนาปี ๒๕๕๔/๕๕ ที่มีคุณสมบัติถูกต้องตามเงื่อนไขของมติคณะรัฐมนตรีเพิ่มเติม จำนวน ๕๕๐.๓๘๙ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากกรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ สำหรับในส่วนของการจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยเงินที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรสำรองจ่ายไปก่อน เห็นควรชดเชยในอัตราดอกเบี้ย FDR + 1 ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตรวจสอบความถูกต้องและความซ้ำซ้อนของเกษตรกรก่อนจ่ายเงินให้แก่เกษตรกรด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รับไปกำกับติดตามการให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ประสบปัญหาอุทกภัยให้รวดเร็ว ครบถ้วน และเป็นธรรม โดยประสานสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการและชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ประสบภัยในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี และเขตสายไหม กรุงเทพมหานคร เกี่ยวกับระเบียบหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือดังกล่าวให้ชัดเจนถูกต้องตรงกันด้วย |
||||||||||||||||||
725 | รายงานผลการดำเนินงานส่งเสริมการจัดตั้งและพัฒนากิจการสภาองค์กรชุมชนตำบล | พม | 19/06/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานส่งเสริมการจัดตั้งและพัฒนากิจการสภาองค์กรชุมชนตำบล ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การสนับสนุนการจัดตั้งสภาองค์กรชุมชนตำบลนับตั้งแต่พระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๑ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ จนถึงเดือนกันยายน ๒๕๕๔ มีการจัดตั้งสภาองค์กรชุมชนตำบลรวมทั้งสิ้น ๒,๘๒๒ แห่ง จำนวนชุมชน/กลุ่ม/องค์กรชุมชน/เครือข่ายองค์กรชุมชนที่จดแจ้งรวม ๕๓,๔๑๘ องค์กร จำนวนสมาชิกสภาองค์กรชุมชนตำบลรวม ๗๕,๔๑๖ คน ๒. การดำเนินงานของสภาองค์กรชุมชนตำบล ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้มีการจัดประชุมอย่างน้อยปีละ ๔ ครั้ง ตามที่พระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๙๑ ได้บัญญัติไว้ โดยร้อยละ ๙๕.๓ ของจำนวนสภาองค์กรชุมชนตำบลที่จัดส่งรายงาน สามารถดำเนินการตามภารกิจข้อ ๑๒ คือ การเสนอรายชื่อผู้แทนสภาองค์กรชุมชนตำบลเพื่อไปร่วมประชุมในระดับจังหวัดมากที่สุด รองลงมาร้อยละ ๗๙ คือ การส่งเสริมและสนับสนุนการอนุรักษ์ฟื้นฟูจารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปวัฒนธรรมอันดีงามของชาติ ๓. การดำเนินงานของที่ประชุมในระดับจังหวัดของสภาองค์กรชุมชนตำบล ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ร้อยละ ๖๘.๔ ของจำนวนที่ประชุมในระดับจังหวัดฯ ที่จัดส่งรายงานสามารถจัดให้มีการประชุมอย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง ตามที่พระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้บัญญัติไว้ ด้านการดำเนินงานตามมาตรา ๒๗ ซึ่งพระราชบัญญัติฯ ได้กำหนดบทบาทภารกิจของที่ประชุมในระดับจังหวัดของสภาองค์กรชุมชนตำบล จำนวน ๕ ด้าน ส่วนใหญ่สามารถดำเนินงานด้านการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือระหว่างสภาองค์กรชุมชนตำบลมากที่สุดถึงร้อยละ ๗๐.๑ ของที่ประชุมในระดับจังหวัดฯ ที่จัดส่งรายงาน รองลงมาร้อยละ ๖๕ คือ การให้ข้อเสนอแนวทางการพัฒนาจังหวัดต่อผู้ว่าราชการจังหวัด และองค์การบริหารส่วนจังหวัด และร้อยละ ๔๙.๑ คือ การเสนอรายชื่อผู้แทนระดับจังหวัดเพื่อไปร่วมประชุมในระดับชาติ ตามลำดับ ๔. การดำเนินงานของที่ประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบล สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ได้สนับสนุนให้มีการจัดการประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบลเป็นประจำทุกปี เพื่อรายงานผลการดำเนินงานส่งเสริมการจัดตั้ง และพัฒนากิจการของสภาองค์กรชุมชนตำบลในทุกระดับต่อที่ประชุมในระดับชาติฯ รวมถึงสนับสนุนให้ที่ประชุมในระดับชาติ ฯ ดำเนินการตามภารกิจตามมาตรา ๓๒ โดยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้สนับสนุนให้มีการจัดการประชุมในระดับชาติฯ จำนวน ๑ ครั้ง เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๔ ซึ่งได้มีการพิจารณารับรองข้อเสนอเชิงนโยบายที่ได้มาจากการประมวลความเห็นและข้อเสนอแนะจากเครือข่ายองค์กรชุมชน สภาองค์กรชุมชนตำบลผ่านที่ประชุมในระดับจังหวัดของสภาองค์กรชุมชนตำบล ประกอบด้วยข้อเสนอ ๕ ด้าน คือ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านกฎหมาย โครงสร้างและวิธีปฏิบัติราชการ ด้านคุณภาพชีวิต และด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๕. สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ได้ดำเนินการเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์กิจการเกี่ยวกับสภาองค์กรชุมชนตำบล การรวบรวมข้อมูล ศึกษาวิจัย และพัฒนางานของสภาองค์กรชุมชนตำบล การประสานและร่วมมือกับส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดทำทะเบียนกลาง ติดตามและประเมินผลการปฏิบัติจัดตั้งและดำเนินการของสภาองค์กรชุมชนตำบล
|
||||||||||||||||||
726 | การบริหารโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 และเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) | กค | 12/06/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบ เห็นชอบ และอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๑.๑ รับทราบการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๔ และวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (เรื่อง การบริหารโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ และโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน) เกี่ยวกับข้อมูลการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ และผลการหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากรณีโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ไม่สามารถดำเนินการและเบิกจ่ายงบประมาณได้ทันภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ ๑.๒ พิจารณาแนวทางการบริหารโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ดังนี้ ๑.๒.๑ เห็นชอบแนวทางการเบิกจ่ายเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดฯ สำหรับโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ที่ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินได้ภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ โดยให้สามารถดำเนินการเบิกจ่ายเงินภายใต้พระราชกำหนดฯ ได้จนกว่าโครงการจะแล้วเสร็จ แต่ต้องไม่เกินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ทั้งนี้ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการที่ไม่สามารถดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ชี้แจงเหตุผล ความจำเป็น และประมาณการเบิกจ่ายรายเดือน เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการได้บรรลุตามวัตถุประสงค์ต่อคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เพื่อพิจารณาอนุมัติและรายงานผลการพิจารณาต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ ๑.๒.๒ รับทราบการขอขยายระยะเวลาเบิกจ่ายเงินของกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ และสภากาชาดไทย ๑.๒.๓ อนุมัติขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินสำรองจ่ายให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๒.๔ อนุมัติการขยายเวลาลงนามในสัญญา จำนวน ๒ โครงการ ได้แก่ โครงการเพิ่มศักยภาพโรงเรียนในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ก่อสร้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและอาคารเรียน) ของจังหวัดนครสวรรค์ วงเงิน ๔.๕๔๘ ล้านบาท และโครงการยกระดับคุณภาพการศึกษาท้องถิ่น (ก่อสร้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและอาคารเรียน) ของจังหวัดนครสวรรค์ วงเงิน ๓.๑๖๓ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานลงนามในสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน ๑ เดือนนับจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ ๑.๒.๕ ให้สัตยาบันการลงนามในสัญญาก่อนคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการขยายระยะเวลาการลงนามในสัญญาของโครงการวิจัยสู่ภาคเอกชน ณ โครงการพัฒนาที่ดิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สระบุรี ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กระทรวงศึกษาธิการ จำนวน ๒ รายการ วงเงินรวม ๑,๓๙๐,๒๖๐ บาท ได้แก่ เครื่องวัดการเปล่งแสงฟลูออเรสเซนซ์ วงเงิน ๑,๓๗๑,๐๐๐ บาท และเตาให้ความร้อนพร้อมชุดกวนสารละลาย วงเงิน ๑๙,๒๖๐ บาท ๑.๒.๖ อนุมัติการยกเลิกโครงการตามที่หน่วยงานเสนอ วงเงินรวม ๕๓๓.๓๒๐ ล้านบาท ได้แก่ กรมทางหลวง จำนวน ๒ โครงการ วงเงิน ๑๑.๐๒๗ ล้านบาท กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย จำนวน ๑ โครงการ วงเงิน ๔.๘๘๕ ล้านบาท จังหวัดพัทลุง จำนวน ๑ โครงการ วงเงิน ๔.๘๗๐ ล้านบาท และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จำนวน ๑ โครงการ วงเงิน ๕๑๒.๕๓๘ ล้านบาท และให้นำวงเงินดังกล่าวรวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายภายใต้สาขาเศรษฐกิจนั้นต่อไป ๑.๒.๗ อนุมัติการจัดสรรเงินสำรองจ่ายสำหรับค่าใช้จ่ายเงินชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) ให้แก่กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน ๑๙,๘๖๖,๕๒๘.๗๘ บาท และกรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง วงเงิน ๓๒,๕๒๓.๐๐ บาท วงเงินรวม ๑๙,๘๙๙,๐๕๑.๗๘ บาท ๑.๒.๘ อนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยหน่วยงานจะต้องส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการ ๑.๓ พิจารณาแนวทางการบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ดังนี้ ๑.๓.๑ อนุมัติกรอบวงเงินเพิ่มเติมให้กับสภากาชาดไทย เป็นวงเงิน ๘๓๖.๓๒๘๒ ล้านบาท โดยจัดสรรจากเงินกู้ DPL สำหรับการจัดหาครุภัณฑ์ วงเงิน ๗๘๙.๕๐๑๑ ล้านบาท และสภากาชาดไทยรับภาระค่าใช้จ่ายของภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นเอง วงเงิน ๔๖.๘๒๗๑ ล้านบาท ๑.๓.๒ อนุมัติการยกเลิกรายการครุภัณฑ์โครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น วงเงิน ๒.๓๖๖๔ ล้านบาท ๑.๓.๓ ให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาทบทวนและแจ้งยืนยันโครงการเงินกู้ DPL มายังกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาภายในวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ ๒. ยกเว้นในส่วนของโครงการเงินกู้ DPL ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๔ โครงการ วงเงิน ๓,๔๒๖.๓๕ ล้านบาท มอบให้คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รับไปพิจารณาในรายละเอียด รวมทั้งความเหมาะสมสอดคล้องกับความจำเป็นเร่งด่วนตามนโยบายรัฐบาลก่อน โดยให้กระทรวงสาธารณสุขชี้แจงข้อมูลที่เกี่ยวข้องประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีฯ ด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งโดยด่วน |
||||||||||||||||||
727 | สรุปผลการประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าในการจ่ายเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ความคืบหน้าการดำเนินการป้องกันและบรรเทาอุทกภัย และการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ผ่านระบบการประชุมทางไกล (video conference) | นร | 12/06/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าในการจ่ายเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ความคืบหน้าการดำเนินการป้องกันและบรรเทาอุทกภัย และการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน รวมทั้งเรื่องที่นายกรัฐมนตรีได้สั่งการและมอบหมายให้ผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ผ่านระบบการประชุมทางไกล (video conference) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๕ และให้รัฐมนตรีและผู้ที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ โดยข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี มีดังนี้ ๑.๑ ให้รัฐมนตรีที่รับผิดชอบแต่ละจังหวัดดูแลและเร่งรัดให้มีการจ่ายเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากบ้านเรือนเสียหายอันเนื่องมาจากน้ำท่วมโดยเร็ว รวมทั้งการเบิกจ่ายเงินงบประมาณโครงการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย ๑.๒ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดติดตามดูแลในเรื่องของการเยียวยา ช่วยเหลือ ฟื้นฟู และเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณโครงการที่ใช้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท และโครงการที่ใช้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (เงินกู้ ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) โดยให้ดูแลในภาพรวมของทุกโครงการที่ดำเนินการอยู่ในจังหวัดด้วย ไม่ว่าจะเป็นโครงการของหน่วยงานใด หากพบว่าเรื่องใดมีปัญหาอุปสรรค หรือมีสิ่งใดที่จะต้องแก้ไขหรือดำเนินการเพิ่มเติมให้แจ้งส่วนกลางเพื่อร่วมกันแก้ไขต่อไป ๑.๓ ให้จังหวัดรายงานความก้าวหน้าการใช้จ่ายงบประมาณในโครงการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยผ่านทางระบบ PMOC Flood Recovery โดยปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบันให้แล้วเสร็จภายใน ๑ เดือนนับตั้งแต่วันนี้ เพื่อให้รัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลพื้นที่สามารถใช้เป็นข้อมูลประกอบการลงพื้นที่ตรวจติดตาม โดยหากมีระบบ GPS ให้รายงานข้อมูลพิกัดของพื้นที่ที่ดำเนินการ เพื่อใช้ในการเชื่อมโยงแผนที่ GPS ของส่วนกลาง ทั้งนี้ ให้พิจารณาปรับแผนการขอใช้งบประมาณให้สอดคล้องกับความเร่งด่วนของโครงการที่จะต้องดำเนินการในการป้องกันและแก้ไขปัญหา ๑.๔ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสำรวจความสมบูรณ์และความพร้อมของระบบเตือนภัยในท้องถิ่น โดยให้มีการเชื่อมโยงไปถึงชุมชน และให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบูรณาการการติดตั้งระบบให้ครอบคลุมไปยังชุมชนให้ครบถ้วน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีฝนตกหนักและน้ำท่วมขังเป็นประจำ ๑.๕ ให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหาการรุกล้ำพื้นที่รับน้ำและทางระบายน้ำ และการป้องกันมิให้มีการรุกล้ำพื้นที่เพิ่มเติมให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๑.๖ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสำรวจพื้นที่ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำของทั้ง ๒๕ ลุ่มน้ำ ว่ามีพื้นที่ส่วนใดที่ยังไม่ได้ดำเนินการขุดลอกคูคลอง แล้วให้รายงานข้อมูลผ่านระบบ PMOC Flood Recovery และประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงกลาโหม (กองทัพไทย) เพื่อร่วมกันกำหนดแนวทางการบำรุงรักษาคูคลองที่ขุดลอกแล้วให้คงอยู่ในสภาพเดิมต่อไป ๑.๗ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดูแลเรื่องการรักษาแหล่งน้ำต่าง ๆ โดยให้คำนึงถึงพื้นที่เพื่อการเกษตรด้วย ซึ่งเรื่องนี้จะนำไปพิจารณาในการประชุมเชิงปฏิบัติการที่จะขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดให้มีขึ้น ซึ่งจะพิจารณาในภาพรวมของการเกษตรทั้งในเรื่องของ Zoning การใช้น้ำ รวมถึงปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้ง ในชั้นนี้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าเกษตรที่มีศักยภาพในทางเศรษฐกิจและให้ผลผลิตที่ดี เนื่องจากต่อไปนี้จะไม่ส่งเสริมให้ปลูกพืชล้มลุกตามเชิงเขา และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปพิจารณากำหนดให้ชัดเจนในเรื่องการใช้น้ำในระบบชลประทานเพื่อการเกษตรของแต่ละจังหวัดอย่างเต็มประสิทธิภาพตามแนวพระราชดำริ เนื่องจากต่อไปรัฐบาลจะจัดทำแผนการส่งเสริมสินค้าเกษตรของแต่ละจังหวัดให้สอดคล้องกับสินค้าที่มีศักยภาพในการที่จะสร้างรายได้ให้แก่จังหวัดอย่างแท้จริง ๑.๘ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดประสานการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดและเป็นไปในลักษณะเชิงรุก โดยร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วยเพื่อให้การดูแลประชาชนในเรื่องต่าง ๆ เป็นไปอย่างทั่วถึง และให้กระทรวงมหาดไทยใช้กลไกท้องถิ่นเพื่อดูแลแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่เพื่อมิให้มีเรื่องการเมืองเข้ามาแทรกแซงการดำเนินการ ในกรณีที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนและมีการชุมนุมเรียกร้อง ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยเร็ว และเร่งชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้เรียกร้อง ตลอดจนหาทางช่วยเหลือแก้ไขปัญหาเพื่อมิให้การชุมนุมลุกลาม หากผู้ชุมนุมเรียกร้องใช้วิธีการปิดถนน ให้ดำเนินการตามกฎหมาย ๑.๙ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) และกระทรวงมหาดไทยเร่งดำเนินการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลด้านภัยพิบัติให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยใช้ศาลากลางจังหวัดเป็นศูนย์บัญชาการประจำจังหวัด (single command) ทำหน้าที่เป็นส่วนหน้าในการรวบรวมและประมวลข้อมูลทั้งหมดเพื่อส่งต่อให้ส่วนกลาง ๑.๑๐ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเร่งดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในเชิงรุก โดยให้ความสำคัญในการสร้างความตระหนักถึงภัยและอันตรายของยาเสพติด รณรงค์ให้มีการแจ้งเบาะแส การป้องกัน และให้ความสำคัญในการแยกแยะกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเสี่ยงที่อยู่ในสถานศึกษาและชุมชน ๑.๑๑ รัฐบาลจะใช้เรื่องการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน การแก้ไขปัญหาอุทกภัยและการบริหารจัดการน้ำในจังหวัด การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และการป้องกันปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นเครื่องชี้วัดประเมินผลการปฏิบัติงาน ดังนั้น ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสื่อสารทำความเข้าใจกับผู้ใต้บังคับบัญชาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนให้ร่วมมือกันทำงานอย่างจริงจัง เพื่อที่จะสามารถเป็นที่พึ่งของประชาชนได้อย่างแท้จริง ๒. ในกรณีเกิดสถานการณ์อุทกภัยที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของราษฎรในพื้นที่ เช่น น้ำหลาก ดินถล่ม เป็นต้น และมีความฉุกเฉินจำเป็นที่จะต้องดำเนินการใด ๆ ในพื้นที่ป่า เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าวอย่างเร่งด่วน เห็นชอบเป็นหลักการให้จังหวัดที่เกี่ยวข้องประสานงานโดยตรงกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานในพื้นที่เพื่อดำเนินการป้องกันแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างทันท่วงทีต่อไป
|
||||||||||||||||||
728 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การพัฒนากีฬามวลชนของประเทศไทย" | สสป | 05/06/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “การพัฒนากีฬามวลชนของประเทศไทย” ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ๑.๑ ด้านการพลศึกษา ได้แก่ การกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ การส่งเสริมให้ประชาชนเกิดความรู้ ความเข้าใจด้านการกีฬาและนันทนาการ และการเพิ่มบุคลากรด้านการกีฬาและนันทนาการ เช่น ครูพลศึกษา ๑.๒ ด้านการกีฬา ได้แก่ การกำหนดเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ การกำหนดเป็นนโยบายหลักให้มีหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง การส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนานักกีฬาเพื่อความเป็นเลิศอย่างต่อเนื่องและครอบคลุม การส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการพัฒนากีฬาอาชีพอย่างจริงจัง การส่งเสริมบุคลากรรุ่นใหม่ให้มีจิตสำนึกมีคุณธรรมและจริยธรรม มีน้ำใจนักกีฬา และการกำหนดให้ศาสตร์ด้านการกีฬาและนันทนาการเป็นศาสตร์แห่งการปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรม ๑.๓ ด้านนันทนาการ โดยส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชากรทุกระดับ รวมถึงผู้สูงอายุให้เป็นประชากรที่มีคุณค่าของประเทศ โดยพัฒนาทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม ให้ได้รับการดูแล ด้านสุขภาพและสมรรถภาพให้สามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมได้เป็นอย่างดี ๑.๔ ด้านสังคม ได้แก่ การกำหนดให้มีแผนพัฒนากีฬาและนันทนาการระดับชาติ โดยผนวกประเด็นการปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมไว้ในทุกกิจกรรมของแผนฯ การลงทุนในกิจกรรมการกีฬาและนันทนาการสำหรับประชาชนทุกเพศทุกวัยและทุกกลุ่มให้สามารถเข้าถึงหรือมีโอกาสในการเข้าร่วมกิจกรรมด้วยตนเอง และการส่งเสริมและสนับสนุนให้ภาคธุรกิจเอกชนมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการลงทุนในกิจกรรมกีฬาและนันทนาการ ๑.๕ ด้านโครงสร้างการจัดการ ได้แก่ การกำหนดให้มีหน่วยงานตรวจสอบติดตามประเมินผลการดำเนินงานด้านกิจกรรม กีฬาและนันทนาการ ของทุกหน่วยงานให้เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม ให้มีประสิทธิผลและมีความโปร่งใสตรวจสอบได้อย่างแท้จริง และมีมาตรการในการตรวจสอบติดตามโรงเรียนและสถาบันทางการศึกษาให้ความสำคัญและดำเนินกิจกรรมกีฬาและนันทนาการให้ทุกคนมีโอกาสในการพัฒนาตนในกิจกรรมกีฬาและนันทนาการอย่างทั่วถึงและเพียงพอ ๒. ข้อเสนอแนะด้านบริหารจัดการ ๒.๑ การผลักดันระดับยุทธศาสตร์ ได้แก่ การผลักดันให้แผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) สามารถขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติได้อย่างจริงจัง การกำหนดให้การกีฬาเป็นหนึ่งในนโยบายหลักของแต่ละจังหวัด การบรรจุหลักสูตรด้านการกีฬาและนันทนาการในการเรียนการสอนทุกระดับ และการจัดสรรบุคลากร งบประมาณ วัสดุอุปกรณ์ รวมทั้งส่งเสริมและประชาสัมพันธ์กิจกรรมด้านกีฬาและนันทนาการอย่างเต็มที่และเพียงพอ ๒.๒ ระดับปฏิบัติการ ได้แก่ การจัดให้มีคณะกรรมการนโยบายการกีฬาแห่งชาติ การผลักดันให้การเล่นกีฬา การออกกำลังกายและนันทนาการกลายเป็นวิถีชีวิตประจำวันของประชาชนทุกระดับ การจัดให้มีและเพิ่มศักยภาพของสถาบันพัฒนาบุคลากรทางการกีฬา ระบบการฝึกซ้อมและการผลิตนักกีฬา การออกกำลังกายและนันทนาการ การเพิ่มขีดความสามารถขององค์กรที่ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักด้านกีฬา การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและอุปกรณ์เพื่อสนับสนุนการเล่นกีฬา การออกกำลังกาย และนันทนาการ การส่งเสริมและสนับสนุนให้ภาคเอกชนสามารถเข้ามาลงทุนในธุรกิจด้านกีฬา การพัฒนาการกีฬาและนันทนาการอย่างครอบคลุมต่อเนื่อง การพัฒนาการบริหารจัดการกีฬาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยการให้องค์ความรู้ด้านการกีฬาและส่งเสริมให้มีอาสาสมัครการกีฬาระดับตำบล การจัดให้มีผู้นำกิจกรรมการออกกำลังกายในท้องถิ่นชุมชนเพื่อสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชน องค์กร ชุมชน และเครือข่ายการกีฬา พร้อมให้องค์ความรู้ด้านการเล่นกีฬา การดูกีฬา และการสร้างวัฒนธรรมการเล่นกีฬาที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต การจัดให้มีมหาวิทยาลัยกีฬาแห่งชาติกระจายตัวไปทุกภูมิภาคเพื่อรองรับการขยายตัวด้านการกีฬาและนันทนาการของชาติ รวมทั้งจัดให้มีศูนย์กีฬานันทนาการอย่างครบวงจรทั่วทุกภูมิภาค
|
||||||||||||||||||
729 | ความก้าวหน้าของการดำเนินงานตามแผนงานเชิงรุกของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น | นร | 05/06/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนงานเชิงรุกของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สำนักงาน ก.พ.ร. ได้แจ้งส่วนราชการและจังหวัดจัดทำข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการ โดยคัดเลือกกระบวนงานหลักที่วิเคราะห์แล้วเห็นว่ามีความเสี่ยงสูงในการเกิดการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยเฉพาะกระบวนงานที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการต่อประชาชนโดยตรง หรือมีผลกระทบต่อสิทธิของประชาชน หรือก่อให้เกิดส่วนได้ส่วนเสียต่อความเป็นอยู่ของประชาชนสูง มาปรับปรุงหรือพัฒนาให้เกิดความโปร่งใสควบคู่ไปกับการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงฯ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีที่กำกับดูแล รวมทั้งผ่านการกลั่นกรองโดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อให้ความเห็นชอบและสนับสนุนทรัพยากร ๒. การตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการ จำนวน ๒ คณะ ประกอบด้วย คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ทำหน้าที่ให้ความเห็นต่อข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงฯ ของส่วนราชการและจังหวัด โดยพิจารณาจากความเหมาะสมของกระบวนงานที่เลือกและแนวทางแก้ไขปัญหาที่วางไว้ เพื่อเสนอให้คณะกรรมการกลั่นกรองข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบ และคณะกรรมการกลั่นกรองข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงฯ ทำหน้าที่พิจารณาให้ความเห็นชอบข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงฯ ของส่วนราชการและจังหวัด ตลอดจนติดตามและประเมินผลการดำเนินงานตามข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงฯ ทั้งนี้ สำนักงาน ก.พ.ร. จะนำรายชื่อคณะกรรมการทั้ง ๒ คณะดังกล่าว เสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาลงนามแต่งตั้งต่อไป ๓. สำนักงาน ก.พ.ร. ได้จัดช่องทางให้คำปรึกษาแก่ส่วนราชการและจังหวัดผ่านระบบให้คำปรึกษาออนไลน์และคลินิกให้คำปรึกษา ตั้งแต่วันที่ ๒๓ พฤษภาคม - ๗ มิถุนายน ๒๕๕๕ โดยมีผลการคัดเลือกกระบวนงานที่ส่วนราชการจะนำไปจัดทำข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงฯ ในเบื้องต้น ณ วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๕ ทั้งนี้ ยังมีอีกหลายส่วนราชการที่จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จเพื่อส่งข้อมูลเบื้องต้นให้คณะกรรมการกลั่นกรองข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงฯ ภายในวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๕ สำหรับข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงฯ ฉบับสมบูรณ์จะต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐมนตรีที่กำกับดูแล โดยมีกำหนดส่งภายในวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ ๔. ตามที่นายกรัฐมนตรีได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น (Anti- Corruption War Room) เมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ โดยมีช่องทางให้ประชาชนสามารถร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชั่นผ่านสายด่วนของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) หมายเลข ๑๒๐๖ โดยผลการดำเนินการ ณ วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ มีเรื่องร้องเรียนเข้ามาทั้งสิ้น ๒๘๕ เรื่อง ซึ่งมีประเด็นการร้องทุกข์ ร้องเรียน หรือกล่าวโทษที่สำคัญ คือ การทุจริตเกี่ยวกับการเลือกตั้ง การทุจริตของข้าราชการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การทุจริตของเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ การบรรจุแต่งตั้งไม่โปร่งใส การจ่ายเงินเยียวยาให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วม การแจ้งเบาะแสยาเสพติด การแจ้งเบาะแสการฮั้วประมูล การเรียกรับ - เก็บส่วยจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ และการร้องเรียนการสอบบรรจุแข่งขัน
|
||||||||||||||||||
730 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดการประเมินความพร้อมในการจัดการอาชีวศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... | ศธ | 29/05/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดการประเมินความพร้อมในการจัดการอาชีวศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดเกณฑ์และเงื่อนไขประกอบเกณฑ์การประเมินความพร้อมในการจัดการอาชีวศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๒. กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความประสงค์จะจัดการอาชีวศึกษายื่นคำขอต่อสำนักงานล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามร้อยวันก่อนวันเริ่มต้นปีการศึกษาที่จะทำการสอน ๓. กำหนดองค์ประกอบของคณะกรรมการเพื่อการประเมินเพื่อทำหน้าที่ประเมินความพร้อมในการจัดการอาชีวศึกษาและแจ้งผลให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทราบ ๔. กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่จัดการอาชีวศึกษาอยู่ก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ ให้จัดการอาชีวศึกษานั้นต่อไปโดยไม่ต้องประเมินอีก
|
||||||||||||||||||
731 | การซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์และมาตรฐานการตรวจรับงานโครงการขุดลอกคูคลอง | กค | 29/05/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินงานกำหนดหลักเกณฑ์และมาตรฐานการตรวจรับงานโครงการขุดลอกคูคลองตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารศูนย์ปฏิบัติการขับเคลื่อนการบริหารการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (กบภ.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๔ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ ได้มอบหมายให้กรมบัญชีกลาง (คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ) พิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และมาตรฐานการตรวจรับงานเพื่อให้ส่วนราชการและหน่วยงานอื่นของรัฐถือปฏิบัติ ใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน ซึ่งกระทรวงการคลัง โดยคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ พิจารณาเห็นว่า ส่วนราชการที่รับผิดชอบโครงการขุดลอกคูคลอง ควรมีการซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์และมาตรฐานการตรวจรับงานของโครงการขุดลอกคูคลอง ดังนี้ ๑.๑.๑ ก่อนการขุดลอก ขอให้ดำเนินการสำรวจ ตรวจสอบสถานที่ดำเนินการ เช่น สภาพภูมิประเทศและความลึกของท้องน้ำ ค่าระดับท้องคลอง เป็นต้น ๑.๑.๒ ประมาณการปริมาณดินก่อนขุดลอก รวมถึงแบบรูปรายการละเอียดของงานในแต่ละงาน โครงการ ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ตรงตามมาตรฐานของงานของแต่ละส่วนราชการ เพื่อประกอบการจัดจ้าง ๑.๑.๓ ตรวจสอบปริมาณดินหลังขุดลอก โดยตรวจสอบปริมาณงานดินที่ขุดได้ และเปรียบเทียบกับปริมาณงานที่กำหนดไว้ในรายการ หรือสัญญา ตามวิธีการที่เป็นมาตรฐานที่ส่วนราชการกำหนด โดยที่ผู้รับผิดชอบลงนาม ตรวจสอบ ก่อนการดำเนินงานระหว่างการดำเนินงาน และเมื่อดำเนินงานแล้วเสร็จ เพื่อประโยชน์ในการตรวจรับงานและการเบิกจ่ายเงิน ๑.๑.๔ ขอให้มีการถ่ายรูปสถานที่ก่อสร้างการดำเนินงาน ระหว่างการดำเนินงาน และเมื่อดำเนินงานแล้วเสร็จ เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบและจัดทำรายงานการตรวจรับงานเสนอต่อหัวหน้าส่วนราชการ ทั้งนี้ หากส่วนราชการใดไม่สามารถดำเนินการตามขั้นตอนดังกล่าวได้ อาจขอความร่วมมือจากส่วนราชการอื่นที่มีความเชี่ยวชาญชำนาญในเรื่องดังกล่าวได้ ๑.๒ เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยนำหลักเกณฑ์และมาตรฐานการตรวจรับงานโครงการขุดลอกคูคลอง ไปใช้บังคับกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อถือปฏิบัติให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน ๒. ให้ส่วนราชการและหน่วยงานอื่นของรัฐรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในพื้นที่รับทราบเกี่ยวกับการดำเนินโครงการขุดลอกคูคลอง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||
732 | การส่งเสริมกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ | วท | 29/05/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการยุทธศาสตร์การพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์ของประเทศ (พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๖๐) และโครงการอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค (ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๘) ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ยุทธศาสตร์การพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์ของประเทศ (พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๖๐) เป็นกรอบนโยบายสำหรับการพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์ โดยบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีทิศทางชัดเจน และตอบสนองนโยบายของประเทศที่มุ่งเน้นการตอบสนองต่อความต้องการของภาคการผลิตและบริการในแต่ละภูมิภาค ซึ่งมีศักยภาพในการพัฒนา ทรัพยากรในพื้นที่ และความต้องการที่แตกต่างกัน โดยมีแนวทางการพัฒนากิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ประกอบด้วย ๗ ประเด็นหลัก ได้แก่ การมุ่งเน้นส่งเสริมให้ภาคเอกชนลงทุนทำวิจัยและพัฒนาแบบก้าวกระโดด การส่งเสริมให้ประเทศเป็นฐานการลงทุนวิจัยและพัฒนาของบริษัทข้ามชาติ และบริษัทไทย การส่งเสริมและเปิดกว้างให้ภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนจัดตั้งและพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์ การนำทรัพยากรและโครงสร้างพื้นฐานวิจัยและพัฒนาในภาครัฐมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด การเชื่อมโยงอุทยานวิทยาศาสตร์กับการพัฒนาเศรษฐกิจของพื้นที่ การสร้างให้เกิดการพัฒนาเครือข่ายของอุทยานวิทยาศาสตร์เชิงบูรณาการ และนโยบายการสนับสนุนจากรัฐที่ชัดเจนและต่อเนื่อง ๑.๒ โครงการอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค (ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๘) ดำเนินการโดยใช้ศักยภาพของมหาวิทยาลัยในพื้นที่เป็นฐานในการพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์ โดยอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ มีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นแกนหลัก อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีมหาวิทยาลัยขอนแก่นเป็นแกนหลัก และอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้ มีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เป็นแกนหลัก โดยทั้งสามมหาวิทยาลัยจะพัฒนาและดำเนินงานอุทยานวิทยาศาสตร์ร่วมกับเครือข่ายมหาวิทยาลัยและหน่วยงานอื่น ๆ ในพื้นที่ ให้บริการใน ๒ รูปแบบ คือ รูปแบบที่ ๑ เป็นการให้บริการโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับกิจกรรมวิจัยพัฒนาของภาคเอกชน เช่น อาคารอำนวยการกลาง พื้นที่บ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ พื้นที่ให้เช่าเพื่อทำวิจัยและพัฒนา การให้บริการห้องปฏิบัติการและเครื่องมือวิเคราะห์ทดสอบ และโรงงานต้นแบบ เป็นต้น และรูปแบบที่ ๒ เป็นการส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีของภาคเอกชนโดยผ่านกิจกรรมการบ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี และกิจกรรมการส่งเสริมให้ภาคเอกชนทำวิจัยและพัฒนา เช่น การร่วมวิจัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์/บริการใหม่ ๆ สู่เชิงพาณิชย์ การให้คำปรึกษาและบริการด้านทรัพย์สินทางปัญญา และการประสานงานอุตสาหกรรมเพื่อการพัฒนาเทคโนโลยี ทั้งนี้ ได้กำหนดจุดมุ่งเน้นของอุทยานวิทยาศาสตร์ในแต่ละพื้นที่ โดยอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือมุ้งเน้น “โครงการนวัตกรรมข้าวไทยเพิ่มมูลค่าสู่ตลาดโลก” อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมุ่งเน้น “โครงการยุทธศาสตร์สร้างมูลค่าเพิ่มในโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมไก่เนื้อในประเทศไทย” และอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้มุ่งเน้น “โครงการยกระดับและการเพิ่มมูลค่าอุตสาหกรรมยางพารา” ๒. สำหรับงบประมาณรองรับการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยสำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รองรับการดำเนินงานตามแผนงาน จำนวน ๒๗๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งรวมค่าใช้จ่ายในการศึกษาความเหมาะสมโครงการส่งเสริมกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ จำนวน ๓ แห่ง วงเงิน ๗๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ไว้ด้วยแล้ว ๓. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงแรงงาน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์ฯ ควรเพิ่มประเด็นเกี่ยวกับการให้อุทยานวิทยาศาสตร์มีการบริหารจัดการที่สัมพันธ์เชื่อมโยงกับสังคม วัฒนธรรม วิถีชีวิตของประชาชนในท้องถิ่น เพื่อให้เกิดความร่วมมือและการบูรณาการจากประชาชนในท้องถิ่น และควรจัดทำรายละเอียดในส่วนของแนวทางการดำเนินการพัฒนาส่งเสริมกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ แนวทางการส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชนและการลงทุนในลักษณะความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน รวมทั้งการกำหนดตัวชี้วัดผลการดำเนินงานกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ และแนวทางการติดตามประเมินผลในแต่ละระดับพร้อมระยะเวลาดำเนินการ สำหรับโครงการอุทยานวิทยาศาสตร์ฯ เห็นควรให้บูรณาการการดำเนินงานของกิจกรรมภายใต้โครงการที่มุ่งเน้นกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกระดับ และให้ความสำคัญกับการบูรณาการในระดับพื้นที่ระหว่างส่วนราชการ จังหวัด และกลุ่มจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้มีความชัดเจน ลดความซ้ำซ้อน สอดคล้องเชื่อมโยงกัน และเป็นการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งเพิ่มเติมแนวทางความร่วมมือ/เชื่อมโยงการทำงานกับมหาวิทยาลัยที่เป็นเครือข่าย และแนวทางการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
733 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2554 และเรื่อง มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2554 มติ 1 ความปลอดภัยทางอาหาร : การจัดการน้ำมันทอดซ้ำเสื่อมสภาพ | สช | 29/05/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๕๔ รวม ๔ มติ ตามมติคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่ต่อไป โดยให้อยู่ภายในกรอบของกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ๑.๑ มติ ๒ การจัดการปัญหาการฆ่าตัวตาย (สุขใจ...ไม่คิดสั้น) ๑.๒ มติ ๓ การจัดการภัยพิบัติธรรมชาติโดยชุมชนท้องถิ่นเป็นศูนย์กลาง ๑.๓ มติ ๔ การบริหารจัดการทรัพยากรลุ่มน้ำขนาดเล็กอย่างยั่งยืนโดยกระบวนการมีส่วนร่วมของเครือข่ายและภาคีทุกภาคส่วน ๑.๕ มติ ๕ การจัดการปัญหาโฆษณาที่ผิดกฎหมายของยา อาหาร และผลิตภัณฑ์สุขภาพทางวิทยุกระจายเสียง สื่อโทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต ๑.๖ มติ ๖ การเข้าถึงบริการอาชีวอนามัยเพื่อสุขภาพและความปลอดภัยของคนทำงานในภาคอุตสาหกรรมและบริการ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ รวมทั้งความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับมติ ๓ การจัดการภัยพิบัติธรรมชาติโดยชุมชนท้องถิ่นเป็นศูนย์กลาง ที่เห็นว่า การจัดตั้งกองทุนระดับชาติเพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ควรพิจารณาขยายอำนาจหน้าที่ของกองทุนการประกันภัยพิบัติซึ่งมีอยู่แล้วให้ครอบคลุมการบริหารจัดการภัยพิบัติอย่างรอบด้านโดยไม่จำเป็นต้องให้มีการจัดตั้งกองทุนขึ้นใหม่ และเน้นการใช้กองทุนบริหารจัดการภัยพิบัติในระดับชาติแทนการจัดตั้งกองทุนในระดับท้องถิ่นเพื่อป้องกันปัญหาความไม่ยั่งยืนในเชิงการคลังของกองทุน โดยส่งเสริมให้ชุมชนมีบทบาทในการสนับสนุนการดำเนินงานของกองทุนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าร่วมประเมินและบริหารความเสี่ยงจากภัยพิบัติในพื้นที่ และการลำเลียงความช่วยเหลือไปสู่ผู้ประสบภัย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. เห็นชอบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๕๔ มติ ๑ ความปลอดภัยทางอาหาร : การจัดการน้ำมันทอดซ้ำเสื่อมสภาพ ตามมติคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามมติที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่ต่อไป โดยให้อยู่ภายในกรอบของกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม เกี่ยวกับการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์การจัดการน้ำมันทอดซ้ำที่เสื่อมสภาพ เพื่อให้ประชาชนและผู้ประกอบการอาหารทอดมีความรู้ ความเข้าใจ เกิดการเฝ้าระวังการใช้น้ำมันทอดซ้ำเสื่อมสภาพไปสู่การผลิตไบโอดีเซล เพื่อเป็นการสนับสนุนนโยบายพลังงานทดแทน รวมทั้งการให้ความรู้ ความเข้าใจ และความตระหนักเกี่ยวกับความเป็นพิษของการใช้น้ำมันทอดซ้ำ โดยการเผยแพร่ผ่านสื่อต่าง ๆ พร้อมทั้งพัฒนาวิธีวิเคราะห์สารประกอบโพลาร์ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ ๒๘๓ พ.ศ. ๒๕๔๗ เรื่อง กำหนดปริมาณสารโพลาร์ในน้ำมันที่ใช้ทอดหรือประกอบอาหารเพื่อจำหน่าย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
734 | แผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2555 - 2559 | สธ | 20/05/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ซึ่งได้นำกรอบและทิศทางของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ แผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ แผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ แผนจัดการมลพิษ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ และหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มาเป็นแนวทางการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาอนามัยสิ่งแวดล้อม เพื่อเสริมสร้างวิถีชีวิตที่มีเหตุผล รู้จักพอประมาณ หลีกเลี่ยงและลดพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ ส่งเสริมการประกอบกิจการและอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รับผิดชอบต่อสังคม เน้นมาตรการเชิงรุกและหลักการป้องกันไว้ก่อน รวมทั้งส่งเสริมการมีส่วนร่วมและภูมิคุ้มกันให้กับชุมชนให้สามารถจัดการสภาพแวดล้อมให้ปลอดมลพิษเพื่อการมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนยุทธศาสตร์ฯ ไปสู่การปฏิบัติต่อไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยแผนยุทธศาสตร์ฯ ประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์และแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้ ๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การพัฒนาระบบบริหารจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยครอบคลุมทั้งภาครัฐทุกระดับและภาคเอกชนให้สอดคล้องกับบริบท ปัญหาและสถานการณ์ พัฒนาบุคลากรด้านงานอนามัยสิ่งแวดล้อม จัดทำระบบและการเชื่อมโยงฐานข้อมูลสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ พัฒนากลไกทางด้านกฎหมาย กฎระเบียบ และมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพ ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การป้องกันและลดความเสี่ยงจากปัจจัยด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยเร่งรัดการดำเนินงานโครงการที่เกี่ยวข้องในการป้องกันและลดความเสี่ยงจากปัญหาอนามัยสิ่งแวดล้อม ที่สอดคล้องกับสภาพปัญหาและพื้นที่ ตลอดจนข้อตกลงตามนัยแห่งบทบัญญัติของกฎหมายและพันธกรณีระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาคีเครือข่าย และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และประชาชนในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยระดมศักยภาพและการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ร่วมคิด ร่วมสร้างสรรค์งานอนามัยสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการบูรณาการและเสริมพลังระหว่างภาคีเครือข่าย และขับเคลื่อนผ่านสื่อต่าง ๆ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องและสร้างจิตสำนึกสาธารณะ ๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การส่งเสริมบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยส่งเสริมบทบาทของ อปท. ภายใต้หลักคิดการกระจายอำนาจ เสริมสร้างศักยภาพบุคลากร สนับสนุนและผลักดันการพัฒนาระบบงานอนามัยสิ่งแวดล้อมของท้องถิ่นให้เชื่อมโยงกับส่วนภูมิภาคและส่วนกลางอย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๕ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ การพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยให้เหมาะสมกับการดำเนินงานอนามัยสิ่งแวดล้อมในสถานการณ์ปัจจุบัน สร้างฐานการเรียนรู้ที่เชื่อมโยง แลกเปลี่ยนและเรียนรู้ร่วมกันอย่างต่อเนื่อง พัฒนาและถ่ายทอดนวัตกรรมองค์ความรู้และเทคโนโลยี รวมทั้งพัฒนาระบบให้บริการทางวิชาการเพื่อการเข้าถึงองค์ความรู้และเทคโนโลยีได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการรณรงค์ปลอดการเผา (Zero burn) ในพื้นที่เกษตรกรรมทุกประเภท การส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าสารเคมีในการดูแลผลิตภัณฑ์ทั้งวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง การส่งเสริมการใช้ยานพาหนะและเชื้อเพลิงที่มีมลพิษต่ำโดยการส่งเสริมการขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะในเขตเมือง การพิจารณาในเรื่องการบังคับใช้กฎหมายความเข้มงวดในการปฏิบัติตามและบทลงโทษให้มีความเหมาะสมต่อประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้น การให้ความสำคัญกับการป้องกันความเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากผลกระทบด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม การส่งเสริม และฟื้นฟูสุขภาพจากการเจ็บป่วยดังกล่าว การให้คำจำกัดความที่ชัดเจนระหว่าง “ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม” และปัจจัยด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม” การพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านอนามัยและสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมกับการดำเนินงานอนามัยสิ่งแวดล้อมในสถานการณ์ปัจจุบัน การพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยมีการวิจัยที่ครอบคลุมทุกด้านทั้งอนามัยสิ่งแวดล้อมในน้ำ ดิน และอากาศ รวมทั้งเทคโนโลยีการป้องกันมลพิษ (Pollution Prevention Technology) การสร้างความร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพในการพัฒนาผลิตบัณฑิตและนักวิจัยในด้านการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม การจัดการสารเคมี และศาสตร์ด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการกำหนดรายละเอียดกลไกการขับเคลื่อนและแนวทางการติดตามประเมินผลอย่างชัดเจน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีในส่วนของยุทธศาสตร์ที่ ๔ การส่งเสริมบทบาทของ อปท. ในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยให้กระทรวงสาธารณสุขถ่ายโอนสถานีอนามัย (โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล) รวมทั้งบุคลากรในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ อปท. เพื่อให้ อปท. มีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม ไปพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอเพิ่มเติม |
||||||||||||||||||
735 | (ร่าง) แผนพัฒนานันทนาการแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2555 - 2559) | กก | 08/05/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบ (ร่าง) แผนพัฒนานันทนาการแห่งชาติ ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) และให้กระทรวง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใน (ร่าง) แผนพัฒนาฯ ใช้เป็นกรอบในการกำหนดแนวทางพัฒนานันทนาการของชาติให้ดำเนินการไปในทิศทางเดียวกันทั้งประเทศ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ โดย (ร่าง) แผนพัฒนาฯ จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นกรอบในการกำหนดแนวทางพัฒนานันทนาการของชาติให้ดำเนินไปในทิศทางเดียวกันทั้งประเทศ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด และเป็นแผนแม่บทระดับชาติที่มียุทธศาสตร์สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) ซึ่งมุ่งหวังให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขด้วยความเสมอภาคเป็นธรรมและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงยั่งยืน โดย (ร่าง) แผนพัฒนาฯ ประกอบด้วย วิสัยทัศน์ วัตถุประสงค์ เป้าหมาย และยุทธศาสตร์ ดังนี้ ๑.๑ วิสัยทัศน์ “นันทนาการสร้างคุณภาพชีวิต สังคมเป็นสุข สิ่งแวดล้อมงดงาม โดยมุ่งสู่มาตรฐานสากล” ๑.๒ วัตถุประสงค์ ๑.๒.๑ เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจและตระหนักถึงคุณค่าของนันทนาการและการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ๑.๒.๒ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนทุกกลุ่ม รวมทั้งบุคคลกลุ่มพิเศษ ผู้ด้อยโอกาส ได้แก่ ผู้พิการ และผู้สูงอายุ ประกอบกิจกรรมนันทนาการเป็นประจำจนเป็นวิถีชีวิตเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและพัฒนาสังคม ๑.๒.๓ เพื่อพัฒนาบุคลากรนันทนาการทั้งภาครัฐและภาคเอกชนให้มีความรู้ความสามารถสู่ระดับมาตรฐานสากล ๑.๒.๔ เพื่อพัฒนาอุปกรณ์ สถานที่ สิ่งอำนวยความสะดวกทางนันทนาการและสิ่งแวดล้อมให้มีมาตรฐานด้านความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพในการให้บริการ ๑.๒.๕ เพื่อพัฒนาการบริหารจัดการนันทนาการให้มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะนันทนาการเพื่อการพาณิชย์ ๑.๒.๖ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนประกอบกิจกรรมนันทนาการเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม ประเพณีอย่างยั่งยืน ๑.๓ เป้าหมาย ๑.๓.๑ ประชาชนทุกเพศทุกวัย รวมทั้งบุคคลกลุ่มพิเศษ ผู้ด้อยโอกาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชนกลุ่มเสี่ยง ผู้พิการและผู้สูงอายุ มีความรู้ ความเข้าใจ เห็นคุณค่าของการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ด้วยนันทนาการและประกอบกิจกรรมนันทนาการเป็นประจำจนเป็นวิถีชีวิต โดยมีเป้าหมาย ร้อยละ ๘๐ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ๑.๓.๒ เด็กและเยาวชน ร้อยละ ๘๐ มีความรู้ ความเข้าใจ และมีเจตคติที่ดีต่อนันทนาการ รวมทั้งประกอบกิจกรรมนันทนาการเป็นประจำ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ๑.๓.๓ สถานศึกษา ร้อยละ ๘๐ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร้อยละ ๘๐ จัดให้มีการจัดการเรียนรู้เรื่องการใช้เวลาว่างและนันทนาการ รวมทั้งจัดให้มีกิจกรรมนันทนาการในชีวิตประจำวันแก่เด็ก เยาวชน และประชาชน ๑.๓.๔ บุคลากรนันทนาการ ได้แก่ ผู้นำนันทนาการและนักนันทนาการอาชีพได้รับการพัฒนาความรู้อย่างต่อเนื่อง และมีการผลิตบัณฑิตสาขานันทนาการเพิ่มขึ้น ๑.๓.๕ มีการดำเนินกิจกรรมนันทนาการเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรมประเพณีอย่างต่อเนื่อง ๑.๓.๖ มีมาตรฐานและตัวชี้วัดด้านความปลอดภัยของอุปกรณ์ สถานที่ และสิ่งอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับนันทนาการและมีการตรวจสอบรับรองมาตรฐานอย่างเป็นระบบ ๑.๓.๗ มีการบริหารจัดการนันทนาการอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งให้มีองค์กรตรวจสอบติดตาม ๑.๔ ยุทธศาสตร์ ๑.๔.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การส่งเสริมเด็ก เยาวชน และประชาชนให้มีความรู้ความเข้าใจ ตระหนักถึงคุณค่าของการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์และประกอบกิจกรรมนันทนาการเป็นประจำจนเป็นวิถีชีวิต ๑.๔.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การผลิตและพัฒนาบุคลากรในการเป็นผู้นำและการจัดบริการนันทนาการ ๑.๔.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การพัฒนาการบริหารจัดการนันทนาการ ๑.๔.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การพัฒนาสภาวะแวดล้อมและการส่งเสริม อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรมอย่างยั่งยืนด้วยนันทนาการ ๒. ยกเว้นในส่วนของการบริหารจัดการนันทนาการโดยการจัดตั้งกองทุนพัฒนานันทนาการแห่งชาติ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาทบทวนความเหมาะสมและความจำเป็น เนื่องจากอาจมีความซ้ำซ้อนกับภารกิจของกรมพลศึกษา ซึ่งมีการดำเนินกิจกรรมนันทนาการอยู่แล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของกระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ. ที่เห็นว่า (ร่าง) แผนพัฒนาฯ มีขอบเขตของกิจกรรมนันทนาการที่กว้างและเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน หากสามารถระบุความเชื่อมโยงของกิจกรรมที่หน่วยงานต่าง ๆ ร่วมสนับสนุนแต่ละประเด็นยุทธศาสตร์จะช่วยให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติยิ่งขึ้น ส่วนสาระสำคัญในเป้าหมายของ (ร่าง) แผนพัฒนาฯ ควรแสดงให้เห็นว่า กิจกรรมนันทนาการได้ช่วยพัฒนาและเสริมสร้างคุณภาพทางจิตใจของประชาชนทุกกลุ่ม ทุกวัย รวมทั้งความรู้และทักษะที่จะพัฒนาบุคลากรนันทนาการ ควรครอบคลุมถึงความรู้และทักษะในเรื่องสุขภาพจิตด้วย และควรเพิ่มเติมการให้ความรู้ ความเข้าใจในการประกอบการอุตสาหกรรม ประโยชน์ของภาคอุตสาหกรรมที่มีต่อชุมชน และตระหนักถึงการป้องกันดูแลสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดจากการประกอบอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญเกี่ยวกับการสนับสนุนให้มีการใช้ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการพัฒนาและประยุกต์ใช้ในงานนันทนาการ รวมทั้งการพัฒนาบุคลากร ต่อยอดองค์ความรู้และสนับสนุนเครือข่ายที่มีอยู่ให้เข้ามาร่วมพัฒนาคุณภาพชีวิตโดยใช้นันทนาการเป็นสื่ออย่างเหมาะสม การสร้างระบบการบริหารจัดการที่ดี การบูรณาการและประสานแผนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ในระดับประเทศ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
736 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 59 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน) | มท | 08/05/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขหลักเกณฑ์การออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ โดยให้ผู้ซึ่งครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินภายหลังวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับสามารถขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นการเฉพาะรายได้ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ๒. ให้กระทวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า เมื่อร่างพระราชบัญญัติฯ ผ่านกระบวนการพิจารณาและมีผลใช้บังคับแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรจะมีการประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจถึงสิทธิและทางเลือกการดำเนินการตามกฎหมายที่ได้แก้ไขใหม่ในพื้นที่ที่คาดว่าจะมีประชาชนต้องการออกโฉนดและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เพื่อให้ประชาชนได้เข้าใจและใช้สิทธิตามเจตนารมณ์ของกฎหมายอย่างเหมาะสมต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
737 | ร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท | 08/05/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติมีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๐๐ ดังต่อไปนี้
๑. แก้ไขเพิ่มเติมให้ข้าราชการส่วนท้องถิ่นผู้มีสิทธิได้รับบำนาญพิเศษเหตุทุพพลภาพให้ได้รับบำนาญพิเศษเพิ่มสูงขึ้น ๒. แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การจ่ายบำเหน็จตกทอดให้แก่ทายาทผู้มีสิทธิได้รับให้สามารถนำเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับบำนาญของราชการส่วนท้องถิ่น (ช.ค.บ.) มารวมคำนวณได้ ๓. ยกเลิกบทบัญญัติเรื่องการหมดสิทธิรับบำนาญของผู้รับบำนาญ |
||||||||||||||||||
738 | ยุทธศาสตร์และแผนงานเชิงรุกของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น | นร | 08/05/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๕ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบยุทธศาสตร์ แนวทาง และแผนงานเชิงรุกของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยเฉพาะการร่วมกันปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาหน่วยงานของตนเองให้มีความโปร่งใส สรุปได้ ดังนี้
๑. ยุทธศาสตร์ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น แบ่งออกเป็น ๖ แนวทางหลักและอื่น ๆ ดังนี้ ๑.๑ การปลุกจิตสำนึกและสร้างความตระหนักรู้ (Awareness Building Approach) มุ่งเน้นการสร้างจิตสำนึกและทัศนคติเชิงบวกในการสร้างภูมิคุ้มกันและความเข้มแข็งให้กับสังคมไทย ครอบคลุมทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ควบคู่ไปกับการปลูกฝัง สร้างค่านิยมที่อยู่บนพื้นฐานความถูกต้อง โดยอาศัยกลไกของสังคมเป็นการลงโทษผู้กระทำผิดหรือทุจริตคอร์รัปชั่น ๑.๒ การพัฒนาองค์การ (Organization Development Approach) มุ่งเน้นการพัฒนาองค์การทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้เป็นองค์การสีขาว มีการดำเนินการป้องกันและลดความเสี่ยงที่เป็นช่องทางให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่น ตลอดจนวางระบบคัดกรองบุคคลเข้าสู่ตำแหน่งในระบบราชการที่คำนึงถึงความมีเหตุผลทางคุณธรรม (Moral Reasoning) หรือความสามารถทางด้านจริยธรรม (Ethicability) ๑.๓ การเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วม (Participatory Approach) มุ่งเน้นการสร้างความโปร่งใสในกระบวนการดำเนินงานของภาครัฐ โดยเฉพาะการจัดซื้อจัดจ้างของทางราชการ ซึ่งตั้งอยู่บนหลักการเปิดเผยและมีส่วนร่วม อันจะทำให้ภาคส่วนอื่นในสังคมได้เข้ามามีส่วนรับรู้ ตรวจสอบหรือร่วมในกระบวนการใด ๆ เพื่อให้กลไกการดำเนินการมีความถูกต้องชอบธรรม โปร่งใส และน่าเชื่อถือ ๑.๔ การปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย (Legal Approach) มุ่งเน้นการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายให้เป็นเครื่องมือป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนยกระดับมาตรฐานกฎหมายด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นของไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต (UNCAC) รวมถึงการแก้ไขกฎหมายลำดับรองที่เอื้อไปสู่พฤติกรรมการทุจริตคอร์รัปชั่นในวงราชการ ๑.๕ การตรวจสอบ เฝ้าระวังเชิงรุก (Surveillance Approach) มุ่งเน้นการวางกลไกการตรวจสอบและเฝ้าระวังในเชิงรุก ทั้งกลไกการเฝ้าระวังของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน กลไกการตรวจสอบตามกฎหมาย ตลอดจนการเชื่อมโยงและบูรณาการการรับแจ้งเบาะแสและเรื่องร้องเรียนให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด รวมถึงการวางระบบข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับการต่อต้านการทุจริตประพฤติมิชอบ ๑.๖ การปราบปรามที่จริงจังและการลงโทษที่เข้มงวด (Suppression Approach) มุ่งเน้นการดำเนินการปราบปรามการทุจริตอย่างจริงจัง รวมถึงการกำหนดมาตรการในการลงโทษที่เข้มงวดและรุนแรงขึ้น เพื่อให้ทุกภาคส่วนเกิดความตื่นตัว และเกรงกลัวต่อการประพฤติที่มิชอบ ๑.๗ อื่น ๆ เช่น การร่วมมือทางวิชาการกับรัฐบาล หรือองค์การระหว่างประเทศ และอื่น ๆ เกี่ยวกับการต่อต้านการทุจริตประพฤติมิชอบ เป็นต้น ๒. แผนงานเชิงรุกของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น เป็นการดำเนินการในระยะแรกที่คาดว่าจะก่อให้เกิดผลสำเร็จเร็วและก่อให้เกิดผลต่อเนื่องในระยะต่อไป โดยมุ่งเน้นการดำเนินงานภายใต้ ๔ แนวทาง ดังนี้ ๒.๑ การปลุกจิตสำนึกและสร้างความตระหนักรู้ ได้แก่ การสร้างข้าราชการไทยหัวใจสีขาว การมอบรางวัลเพื่อเชิดชูเกียรติและกำหนดบัญชีรายชื่อข้าราชการที่มีความซื่อสัตย์สุจริต หรือมีผลงานในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น และการติดเครื่องหมายสัญลักษณ์แสดงการอาสาต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น ๒.๒ การพัฒนาองค์การ ได้แก่ การสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการ (Clean Initiative Program) และการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น ๒.๓ การตรวจสอบ เฝ้าระวังเชิงรุก โดยการจัดตั้งศูนย์ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น (Anti - Corruption War Room) ๒.๔ การปราบปรามที่จริงจังและการลงโทษที่เข้มงวด โดยการประกาศลงโทษผู้กระทำผิดการทุจริตคอร์รัปชั่น ๓. กำหนดจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ “ยุทธศาสตร์ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น” ในวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ณ ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ โดยเชิญคณะรัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บริหารการเปลี่ยนแปลงระดับกรมและจังหวัด ตลอดจนผู้แทนจากภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคท้องถิ่น เข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ดังกล่าว
|
||||||||||||||||||
739 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง "แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติจากอุทกภัย ดินถล่ม หินถล่ม กรณีศึกษาภาคใต้" | สสป | 24/04/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติจากอุทกภัย ดินถล่ม หินถล่ม กรณีศึกษาภาคใต้" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงแรงงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และผู้แทนสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐต้องจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอสำหรับการป้องกันภัยพิบัติที่เกิดขึ้น เพื่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด และปรับปรุงพัฒนาระบบเตือนภัยให้เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ ๒. รัฐควรปรับปรุงวิธีการอนุมัติและสั่งจ่ายงบประมาณให้ทันต่อสถานการณ์ในการแก้ปัญหาอุทกภัยอย่างเร่งด่วนในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้หน่วยงานในพื้นที่นั้น ๆ สามารถบูรณาการกิจกรรมต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ ๓. รัฐต้องบูรณาการเรื่องปรับปรุงและจัดทำผังเมือง โดยเน้นเรื่องการระบายน้ำในพื้นที่ให้เหมาะสม ๔. รัฐควรดำเนินการให้มีการบูรณาการแผนงานด้านการจัดการน้ำโดยมีการทำงานร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นพื้นที่เป็นหลัก เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๕. รัฐควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจตัดสินใจสั่งการ จัดตั้งศูนย์เตือนภัย กลุ่มอาสาสมัครเฝ้าระวังภัย สร้างเครือขายตั้งแต่ระดับชุมชนจนถึงระดับประเทศ โดยการส่งเสริมให้มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย อีกทั้งพัฒนาบุคลากรที่เป็นอาสาสมัครให้สามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๖. รัฐต้องป้องกันและแก้ไขไม่ให้ประชาชนเข้าไปอยู่อาศัยในพื้นที่อนุรักษ์ ป่าสงวน และพื้นที่เสี่ยงภัย ๗. รัฐควรมีมาตรการควบคุมการสัมปทานเหมืองแร่โดยเข้มงวด หรืองดการให้สัมปทานเพื่อใช้ประโยชน์ใด ๆ ในพื้นที่เสี่ยงภัย ๘. รัฐควรบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันแก้ไขในพื้นที่เสี่ยงภัยอย่างเคร่งครัด ๙. รัฐควรส่งเสริมการปลูกป่าถาวร โดยการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบำรุงรักษา
|
||||||||||||||||||
740 | การบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต | นร | 24/04/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบแนวทางการดำเนินการเตรียมความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต และงบประมาณในการดำเนินการเตรียมความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตของส่วนราชการ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรอบแนวทางการดำเนินการเตรียมความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต ประกอบด้วย ๒ ระยะ ๔ ขั้นตอน สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ ระยะเร่งด่วน ดำเนินการในช่วงเดือนมีนาคม - มิถุนายน ๒๕๕๕ ประกอบด้วย ๑.๑.๑.๑ ขั้นตอนที่ ๑ สร้างความรู้ ความเข้าใจ (เดือนมีนาคม ๒๕๕๕) ได้แก่ การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ เรื่อง “การบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต” ให้แก่ส่วนราชการ การกำหนดแบบประเมินความพร้อมของการบริหารจัดการในสภาวะวิกฤต (Checklist) และการพัฒนาหลักสูตรการเรียนรู้ด้วยตนเองให้แก่ส่วนราชการ และพัฒนาช่องทางการเรียนรู้ผ่าน e-learning หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ สำนักงาน ก.พ.ร. ๑.๑.๑.๒ ขั้นตอนที่ ๒ การเตรียมความพร้อมให้ส่วนราชการ (เดือนมีนาคม - เมษายน ๒๕๕๕) ได้แก่ การทบทวนแผนสำรองฉุกเฉินของส่วนราชการเพื่อนำไปสู่การจัดทำแผนการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต ซึ่งการจัดทำแผนดังกล่าวต้องพิจารณาให้ครอบคลุมในประเด็นสำคัญ เช่น การระบุงานสำคัญที่จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการส่งมอบงานบริการ การประเมินความเสี่ยงและโอกาสที่งานสำคัญจะหยุดชะงัก การวิเคราะห์ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นเพื่อประเมินความเสียหายของงานสำคัญที่จะหยุดชะงัก กำหนดลำดับความสำคัญ และจัดสรรทรัพยากร เป็นต้น การกำหนดมาตรการการเตรียมความพร้อมของส่วนราชการ ได้แก่ มาตรการการเตรียมความพร้อมด้านกระบวนการ มาตรการการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร มาตรการการเตรียมความพร้อมด้านข้อมูล และมาตรการการเตรียมความพร้อมด้านสถานที่และงบประมาณ หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ กระทรวง กรม จังหวัด สถาบันอุดมศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์การมหาชน และรัฐวิสาหกิจ ๑.๑.๑.๓ ขั้นตอนที่ ๓ ซักซ้อมแผนและนำไปปฏิบัติจริง (เดือนพฤษภาคม - มิถุนายน ๒๕๕๕) ได้แก่ ส่วนราชการจัดให้มีการอบรมและประชาสัมพันธ์แผนรองรับการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอก การจัดให้มีการสื่อสารเพื่อป้องกันและลดความตระหนกของผู้ที่เกี่ยวข้อง และสาธารณชน รวมทั้งสามารถแจ้งเหตุแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างทันท่วงที การกำหนดสถานที่สำรองเพื่อทำการทดสอบ การทดสอบกับสถานการณ์จริงอย่างน้อยปีละครั้ง โดยบุคลากรของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทุกระดับต้องมีส่วนร่วมในการทดสอบ การทดสอบและประเมิน รวมทั้งการปรับปรุงแผนการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ กระทรวง กรม จังหวัด สถาบันอุดมศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์การมหาชน และรัฐวิสาหกิจ ๑.๑.๒ ระยะยาว ขั้นตอนที่ ๔ ส่งเสริมให้มีการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตอย่างยั่งยืน ดำเนินการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ได้แก่ การส่งเสริมส่วนราชการให้มีระบบรองรับภาวะวิกฤตที่ยั่งยืน โดยส่วนราชการต้องติดตามประเมินผลการปฏิบัติตามระบบที่วางแผนไว้ การปรับปรุง สื่อสารสร้างความเข้าใจ และซักซ้อมแผนการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตให้ครอบคลุมทั้งกระบวนการตามพันธกิจ และผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการเตรียมความพร้อมด้านระบบงานต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ กระทรวง กรม จังหวัด สถาบันอุดมศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์การมหาชน และรัฐวิสาหกิจ ๑.๒ งบประมาณในการดำเนินการเตรียมความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตของส่วนราชการ ได้แก่ งบประมาณที่ใช้ในการดำเนินการในส่วนของการสร้างความรู้ความเข้าใจให้ส่วนราชการผนวกรวมเข้าไปกับแผนการฝึกอบรมที่ส่วนราชการต้องดำเนินการอยู่แล้ว และงบประมาณในส่วนของการนำไปสู่การปฏิบัติ เช่น การจัดหาสถานที่สำรอง การจัดหาวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นเพื่อให้การบริการไม่หยุดชะงัก เป็นต้น ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงแรงงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงอุตสาหกรรม เกี่ยวกับแผนการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตควรคำนึงถึงการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถปฏิบัติภารกิจภายใต้ทรัพยากรและงบประมาณที่มีอย่างจำกัดได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ และในการดำเนินการเตรียมความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตของแต่ละส่วนราชการควรมีการเชื่อมโยงให้เกิดการบริหารจัดการในภาวะวิกฤตในระดับประเทศ รวมทั้งกรอบระยะเวลาดำเนินการควรพิจารณาปรับเปลี่ยนให้มีความเหมาะสมและสามารถปฏิบัติงานตามกรอบเวลาได้จริง และควรมีแนวทางการจัดทำแผนการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤตเพื่อให้ทุกส่วนราชการนำไปจัดทำแผนการดำเนินงานตามแต่ภารกิจของแต่ละหน่วยงาน พร้อมทั้งสร้างความรู้ความเข้าใจให้ทุกส่วนราชการที่ต้องจัดทำแผน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. เป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการการทำงานในภาพรวมกรณีเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ ร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาของรัฐบาล ภาคราชการ และภาคเอกชนสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ และจัดทำแผนบูรณาการในเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
.....