ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 34 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 661 - 680 จากข้อมูลทั้งหมด 2031 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
661 | การทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางในการจัดการธุรกรรมการเบิกจ่ายและระบบข้อมูลบริการสาธารณสุข (National Clearing House) ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตามนโยบายการบูรณาการและเพิ่มประสิทธิภาพระบบประกันสุขภาพของรัฐบาล | อื่นๆ | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๕๖ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติปฏิบัติหน้าที่อื่นตามมาตรา ๑๘ (๑๔) แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ ในการควบคุมดูแลสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้ปฏิบัติหน้าที่อื่น ได้แก่ การทำหน้าที่หน่วยงานกลางจัดการธุรกรรมการเบิกจ่ายและระบบข้อมูลบริการสาธารณสุข (National Clearing House) ตามนโยบายการบูรณาการและเพิ่มประสิทธิภาพระบบประกันสุขภาพของรัฐบาล เพื่อบริหารการเรียกเก็บค่าบริการสาธารณสุข (Claim center) ของสถานพยาบาลต่าง ๆ ที่ให้บริการผู้มีสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการและบุคคลในครอบครัว และผู้ประกันตน รวมทั้งข้าราชการ/พนักงานส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานรัฐอื่น ๆ ที่สมัครใจ โดยอาศัยอำนาจแห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๒๖ (๑๔) ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง และกระทรวงแรงงานโดยคณะกรรมการประกันสังคม ให้ความร่วมมือ และให้ สปสช. ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางจัดการธุรกรรมการเบิกจ่ายและระบบข้อมูลบริการสาธารณสุข (National Clearing House) ของสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการให้กับกรมบัญชีกลางและสิทธิประโยชน์ด้านการรักษาพยาบาลของผู้ประกันตนให้สำนักงานประกันสังคม ๑.๓ เห็นชอบให้มีกลไกคณะทำงานเพื่อผลักดันการพัฒนาระบบอย่างมีส่วนร่วมของกองทุนประกันสุขภาพทั้งสามระบบ ได้แก่ ระบบประกันสังคม ระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยให้รองปลัดกระทรวงการคลังท่านหนึ่งเป็นประธาน และให้มีหัวหน้าหรือผู้แทนหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ รวมถึงการร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือระหว่าง สปสช. กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง และสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน รวมทั้งหน่วยงานรัฐอื่น ๆ ที่สมัครใจ เพื่อผลักดันการดำเนินงานให้เป็นรูปธรรม ตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๕๗ เป็นต้นไป โดยมีระยะเตรียมการในปี ๒๕๕๖ ๒. ให้ สปสช. รับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร ด้านระบบข้อมูล และการประสานงาน การกำหนดสิทธิประโยชน์ของกองทุนประกันสังคม กองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า กลไกการจ่ายเงิน และอัตราการชดเชยตามกฎหมาย ระเบียบปฏิบัติแต่ละกองทุนกำหนด การสื่อสารทำความเข้าใจกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนให้ได้รับทราบข้อเท็จจริง ประโยชน์ และผลกระทบของการทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางในการจัดการธุรกรรมการเบิกจ่ายและระบบข้อมูลบริการสาธารณสุข (National Clearing House) รวมทั้งเห็นควรมีระบบตรวจสอบการดำเนินงานที่ชัดเจนและเป็นกลางเพื่อควบคุมแนวทางการจัดสรรทรัพยากรทั้งในเชิงประสิทธิภาพและความเป็นธรรมให้กับผู้ที่อยู่ภายใต้แต่ละกองทุน และหาข้อตกลงเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินงานให้เป็นที่ยุติ ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
662 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการส่งเสริมเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ เพื่อการพัฒนาด้านเกษตรกรรม" | สสป | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการส่งเสริมเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ เพื่อการพัฒนาด้านเกษตรกรรม และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานเลขานุการวุฒิสภา สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ หน่วยงานอื่น ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เห็นควรให้รัฐบาลดำเนินการ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านอุปกรณ์ เครื่องมือ และเทคโนโลยี ได้แก่ ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ เพื่อการพัฒนาด้านเกษตรกรรมให้มากขึ้น โดยการจัดตั้ง "ศูนย์ข้อมูลกลาง" ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ พร้อมทั้งจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการวิจัยและพัฒนาด้านโปรแกรมประยุกต์ (Application) มาใช้ในการแปลสัญญาณภาพ กำหนดมาตราส่วนของแผนที่ภาพถ่ายดาวเทียม ให้เป็นมาตรฐานกลาง มีศูนย์การฝึกอบรมความรู้ด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ และจัดส่งดาวเทียมสำรวจทรัพยากรดวงใหม่ของประเทศไทยในระบบ Passive sensor แทนดาวเทียมไทยโชต ซึ่งจะหมดอายุทางเทคโนโลยี ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นต้น ๒. ด้านการบริหารจัดการ ได้แก่ กำหนดให้ทุกหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับด้านการเกษตรใช้ข้อมูลเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศเทคโนโลยีจาก "ศูนย์ข้อมูลกลาง" เพื่อการพัฒนาด้านเกษตรกรรม นำแผนที่ภาษี (แผนที่สำหรับใช้ประเมินภาษีที่ดิน) ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีมาตรฐานมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาด้านเกษตรกรรม ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจ สร้างแรงจูงใจ และให้ผลตอบแทนแก่เกษตรกรในการนำข้อมูลเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศมาใช้ในการพัฒนาการเกษตรกรรม เป็นต้น ๓. ด้านบุคลากร ได้แก่ พัฒนาผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวกับการพัฒนาด้านการเกษตร ให้มีความรู้ความเข้าใจและให้ความสำคัญในการใช้ข้อมูลทางด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ จัดหาบุคลากรเพิ่มเติมทั้งบุคลากรใหม่และบุคลากรที่เกษียณอายุราชการที่มีความรู้ความสามารถพิเศษด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศเพื่อการพัฒนาด้านการเกษตรให้เพียงพอและเหมาะสม ส่งเสริมให้มีหลักสูตรเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศในระดับมหาวิทยาลัย และจัดตั้งสถาบันเฉพาะด้าน เพื่อผลิตบุคลากรด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศให้ตรงกับสิ่งที่ขาดแคลน ๔. ด้านงบประมาณ ได้แก่ จัดตั้งศูนย์ข้อมูลกลางด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศเพื่อพัฒนาด้านเกษตรกรรม เพื่อการส่งดาวเทียมสำรวจทรัพยากรระบบ Passive sensor ดวงที่ ๒ ของประเทศทดแทนดาวเทียวไทยโชต เพื่อการจัดซื้อข้อมูลจากดาวเทียมสำรวจทรัพยากรระบบ Active sensor และโปรแกรมสำเร็จรูปซอฟต์แวร์ (Application) ที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนาความรู้ความเชี่ยวชาญของบุคลากร และเพิ่มค่าตอบแทนหรือสร้างแรงจูงใจพิเศษแก่เจ้าหน้าที่ในสาขาอาชีพที่ขาดแคลนด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ เป็นต้น ๕. ด้านกฎหมาย ได้แก่ กำหนดมาตรการป้องกันหรือลงโทษผู้ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ และส่งเสริมการจดลิขสิทธิ์ด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศเพื่อพัฒนาด้านการเกษตรกรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||
663 | รายงานผลการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค และการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ณ จังหวัดสุโขทัย และจังหวัดตาก | นร01 | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค และการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) และคณะ ณ จังหวัดสุโขทัย เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ และจังหวัดตาก เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จังหวัดสุโขทัย ๑.๑ ได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง รวม ๙ อำเภอ ราษฎรได้รับความเดือดร้อน จำนวน ๕๑,๙๙๐ ครัวเรือน จำนวน ๑๗๗,๗๙๔ คน ในการให้ความช่วยเหลือ จังหวัดมอบอำนาจให้อำเภอ จำนวนอำเภอละ ๒ ล้านบาท ช่วยเหลือราษฎรที่ประสบภัยแล้งเป็นกรณีเร่งด่วน ๑.๒ จังหวัดได้เสนอกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเพื่อขอขยายวงเงินทดรองราชการ จำนวน ๙ อำเภอ จำนวนเงินทั้งสิ้น ๑๒๖,๐๔๙,๓๗๕ บาท เพื่อให้ความช่วยเหลือราษฎรผู้ประสบภัยแล้ง ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเพื่อนำเสนอกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง พิจารณาอนุมัติ ๑.๓ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ติดตามข้อเท็จจริงในพื้นที่ หมู่ที่ ๔ ตำบลคลองกระจง และหมู่ที่ ๑๐ ตำบลย่านยาว อำเภอสวรรคโลก จากสภาพข้อเท็จจริงจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมความพร้อมในการแก้ไขปัญหาให้แก่ราษฎรในทุก ๆ ด้านแล้ว ๒. จังหวัดตาก ๒.๑ ได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง รวม ๙ อำเภอ ราษฎรได้รับความเดือดร้อน จำนวน ๕๕,๖๕๘ ครัวเรือน จำนวน ๑๖๘,๕๘๗ คน ในการให้ความช่วยเหลือ จังหวัดได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งระดับจังหวัด อำเภอ และท้องถิ่น โดยประชาสัมพันธ์ให้ราษฎรได้ทราบและเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ และจังหวัดได้จัดสรรเงินให้อำเภอ จำนวนอำเภอละ ๓ ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือราษฎรที่ประสบภัยแล้งเป็นกรณีเร่งด่วน ๒.๒ จังหวัดได้เสนอกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเพื่อขอขยายวงเงินทดรองราชการ จำนวน ๙ อำเภอ จำนวน ๕๗ โครงการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๙๖,๖๗๕,๕๑๕ บาท เพื่อให้ความช่วยเหลือราษฎรผู้ประสบภัยแล้ง ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อนำเสนอกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยพิจารณาเพื่อนำเสนอกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง พิจารณาอนุมัติ ๒.๓ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) ได้นำมาตรการดำเนินการแก้ไขปัญหาภัยแล้งแจ้งแก่ผู้ว่าราชการจังหวัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้นำชุมชนได้รับทราบเกี่ยวกับมาตรการที่รัฐบาลได้กำหนดในช่วง ๙๐ วัน ระวังอันตรายด้านภัยแล้ง ในระหว่างวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๖ และได้เดินทางไปตรวจสภาพพื้นที่สะพานมิตรภาพไทย-พม่า ตรวจสภาพเศรษฐกิจและการค้าชายแดนอำเภอแม่สอด โดยตรวจเยี่ยมและพบปะประชาชนในบริเวณตลาดริมเมย รวมทั้งติดตามการเตรียมความพร้อมรองรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในการขยายพื้นที่ริมสะพานครอบคลุมพื้นที่ริมแม่น้ำเพื่อก่อสร้างเป็นลานจอดรถ และการเตรียมการก่อสร้างอาคารศูนย์รวมบริการ One Stop Service ในการรวมส่วนราชการที่ให้บริการในพื้นที่ชายแดน เช่น ด่านศุลกากรและด่านตรวจคนเข้าเมืองให้อยู่ในบริเวณพื้นที่เดียวกัน นอกจากนี้ ได้ติดตามการเตรียมความพร้อมในการขยายท่าอากาศยานแม่สอดด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
664 | แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2553 - 2557 "บทว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย" | มท | 19/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติบทว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเป็นบทเพิ่มเติมในแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๗ ประกอบด้วย ๑.๑.๑ วัตถุประสงค์ เพื่อบูรณาการแผนงานและการปฏิบัติการของหน่วยงานของรัฐในการบริหารจัดการน้ำ โดยมีองค์กรรับผิดชอบในการกำหนดนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยที่เป็นศูนย์กลาง เพื่อให้การกำหนดแนวทางการทำงาน การสั่งการ และการแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างรวดเร็ว มีความสอดคล้องกับเอกภาพเดียวกันในการอำนวยการ ๑.๑.๒ การจัดตั้งองค์กรปฏิบัติ ได้แก่ องค์กรปฏิบัติที่รับผิดชอบการปฏิบัติการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยมีการกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย ๑.๑.๓ การเชื่อมโยงกลไกการจัดการสาธารณภัย ขององค์กรภายใต้พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. ๒๕๕๐ กับองค์กรบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ ได้แก่ คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ คณะกรรมการนโยบายน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ และคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย ๑.๑.๔ ขั้นตอนการปฏิบัติ เพื่อเป็นกรอบและแนวทางในการปฏิบัติงานขององค์กรปฏิบัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย ตามระดับความรุนแรงของภัยที่เกิดขึ้น ๑.๒ เห็นชอบให้กระทรวง กรม องค์กรและหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ จังหวัด อำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และภาคส่วนอื่น ๆ ถือปฏิบัติตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๗ “บทว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย” อีกบทหนึ่ง ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) รับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเกี่ยวกับความไม่ชัดเจนในการกำกับการเลื่อนระดับความรุนแรงของภัยพิบัติและแก้ปัญหาความสับสนของประชาชนเกี่ยวกับการกำหนดหน่วยงานที่รับผิดชอบในการเตือนภัย รวมทั้งวิธีการลดความรุนแรงและบรรเทาผลกระทบและความสูญเสียที่จะเกิดโดยการบริหารจัดการน้ำและการลดความเสี่ยง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
665 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ผังเมืองในหัวเมืองภูมิภาค กรณีหาดใหญ่" | สสป | 19/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ผังเมืองในหัวเมืองภูมิภาค กรณีหาดใหญ่" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ประกอบด้วย ๔ ด้าน สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านการบริหารจัดการเมือง ได้แก่ การใช้แผนปฏิบัติการระดับท้องถิ่น (Local Agenda) มาใช้ในการพัฒนาชุมชน พิจารณาผังเมืองหาดใหญ่ร่วมกับผังเมืองขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ และเมืองสงขลา โดยให้คำนึงถึงเอกลักษณ์ อัตตลักษณ์ของเมืองหาดใหญ่ ขยายเขตผังเมืองรวมหาดใหญ่ และกำหนดแผนการจัดทำผังเมืองรวม ก่อนที่จะหมดอายุการใช้บังคับ ๒. ด้านการบริหารจัดการอุทกภัย ได้แก่ จัดการศึกษาการป้องกันอุทกภัยอย่างถาวรในระยะยาว และดำเนินการกำหนดพื้นที่แนวน้ำหลากและพัฒนาแนวน้ำหลาก โดยขุดเป็นคลองที่ระบายน้ำลงทะเลได้รวดเร็วขึ้น ปรับปรุงขุดลอกระบบคลองให้ระบายน้ำได้สะดวก เพิ่มปริมาตรทางระบายน้ำในลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา ด้วยการทำเขื่อนและขุดคลอง ปรับถนนในส่วนที่ตัดขวางทางน้ำให้มีช่องระบายน้ำเพิ่มขึ้นและให้มีถนนที่สามารถทำหน้าที่เป็นคันป้องกันน้ำท่วมได้ เพิ่มจำนวนและขนาดบานระบายน้ำ (Flash Valve) ในคลองระบายน้ำที่ ๑ กำหนดให้มีพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมและป้องกันน้ำท่วม และมาตรการป้องกันน้ำท่วม ปรับวิถีชีวิตของชุมชนในพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากให้อยู่อาศัยในกรณีน้ำท่วมได้ดีขึ้น และเพิ่มขีดความสามารถในการรับมืออุทกภัยในระดับชุมชน ๓. ด้านการจราจร ได้แก่ กำหนดมาตรการเข้าออกของรถขนาดใหญ่ในพื้นที่ชุมชนต่าง ๆ ตามความเหมาะสม พัฒนาพื้นที่ว่างกลางเมืองเป็นที่จอดรถ ตามช่วงเวลาที่เหมาะสม กำหนดให้ถนนบางสายไม่ให้มีที่จอดรถข้างทาง โดยให้ถนนนิพัทธ์อุทิศ ๑-๓ เป็นถนนนำร่อง เพิ่มบริการขนส่งมวลชนสาธารณะ เพิ่มช่องทางจราจร จัดให้มีทางด่วนเฉพาะ (แบบเก็บค่าบริการ) จากด่านสะเดาเข้าเมืองหาดใหญ่ และจัดพื้นที่เพื่อรองรับการดำเนินการโครงการรถไฟความเร็วสูง จากหนองคาย-กรุงเทพฯ-ปาดังเบซาร์ ตามที่รัฐบาลมีนโยบายอยู่ ๔. ด้านการพัฒนาพื้นที่ ได้แก่ ปรับลดพื้นที่เขตปลอดภัยทางทหารตามความเหมาะสม พัฒนาพื้นที่ทหารและรอบมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เป็นพื้นที่ตั้งถิ่นฐานใหม่ พัฒนาพื้นที่ตำบลควนลัง เพื่อรองรับการพัฒนาเป็นมหานครหาดใหญ่ และใช้วิธีเวนคืนหรือจัดรูปที่ดินเพื่อตัดถนนสายใหม่ผ่านที่ดินที่ถูกปิดล้อม เพื่อเพิ่มพื้นที่พัฒนาใหม่ ๆ ลดปัญหาการจราจร และลดปัญหาอาชญากรรม ฯลฯ
|
|||||||||||||||||||||||||||
666 | แผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2556 | มท | 19/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี ๒๕๕๖ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จังหวัด และอำเภอ ใช้เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี ๒๕๕๖ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประธานกรรมการและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ชื่อในการรณรงค์ “สงกรานต์เป็นสุข ทุกคนปลอดภัย ร่วมใจรักษาวัฒนธรรม” ๑.๒ ดำเนินการระหว่างวันที่ ๑๑-๑๗ เมษายน ๒๕๕๖ รวม ๗ วัน ๑.๓ เป้าหมายการดำเนินงาน ให้สามารถลดจำนวนครั้งการเกิดอุบัติเหตุ จำนวนผู้เสียชีวิต และจำนวนผู้บาดเจ็บ (Admit) ให้เหลือน้อยที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี ๒๕๕๕ โดยให้จังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้กำหนดเป้าหมายในการดำเนินการของแต่ละพื้นที่ ๑.๔ มาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ๖ มาตรการ ได้แก่ มาตรการด้านบริหารจัดการ มาตรการด้านการบังคับใช้กฎหมาย มาตรการด้านสังคม มาตรการด้านวิศวกรรมจราจร มาตรการด้านการประชาสัมพันธ์ และมาตรการด้านบริการการแพทย์ฉุกเฉิน กู้ชีพ กู้ภัย ๑.๕ มาตรการเน้นหนัก ได้แก่ การควบคุมความเร็ว การควบคุมการเมาสุราแล้วขับขี่ยานพาหนะ การจัดพื้นที่เล่นน้ำสงกรานต์ที่มีความปลอดภัย การเล่นน้ำสงกรานต์ท้ายรถกระบะให้มีความปลอดภัย การควบคุมการใช้รถจักรยานยนต์ และการควบคุมการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ๑.๖ ช่วงเวลาดำเนินการ กำหนดเป็น ๓ ช่วง ได้แก่ ช่วงเตรียมความพร้อม ระหว่างวันที่ ๑-๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ช่วงการรณรงค์ ระหว่างวันที่ ๑ มีนาคม-๑๐ เมษายน ๒๕๕๖ และช่วงควบคุมเข้มข้น ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๗ เมษายน ๒๕๕๖ ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) รับไปกำกับติดตามการปฏิบัติงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้ประชาชนผู้เดินทางได้รับความปลอดภัยในการเดินทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศให้ได้รับการปกป้องดูแลชีวิตและทรัพย์สินเป็นอย่างดีและทั่วถึง ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติดำเนินการและประสานงานในส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การจราจรขนส่งในสายทางต่าง ๆ มีความสะดวกปลอดภัย โดยให้ความสำคัญกับพื้นที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเป็นพิเศษด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
667 | รายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ไตรมาสที่ 1 (ตุลาคม - ธันวาคม 2555) | กค | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไตรมาสที่ ๑ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๕) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ มีการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๖๙๙,๗๗๒.๒๘ ล้านบาท หรือร้อยละ ๒๙.๑๖ ของวงเงินงบประมาณ จำนวน ๒,๔๐๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายร้อยละ ๙.๑๖ เป็นผลมาจากการเบิกจ่ายเงินของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเพื่อโอนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน ๗๖,๙๐๗.๔๙ ล้านบาท และการเบิกจ่ายของหน่วยงานที่เบิกจ่ายเงินทั้งจำนวนแล้ว จำนวน ๓๓ หน่วยงาน จำนวนเงิน ๑๖,๐๖๑.๔๗ ล้านบาท รวมทั้งสิ้นจำนวน ๙๒,๙๖๘.๙๖ ล้านบาท โดยมีการเบิกจ่ายรายจ่ายประจำ จำนวน ๖๔๑,๓๖๔.๕๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๓๒.๐๖ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๒,๐๐๐,๕๘๓.๘๖ ล้านบาท และรายจ่ายลงทุน จำนวน ๕๘,๔๑๔.๗๑ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๔.๖๓ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๓๙๙,๔๑๖.๑๔ ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายรายจ่ายลงทุนร้อยละ ๔.๖๓ ๒. เงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีและขยายเวลาเบิกจ่ายเงิน ประกอบด้วย เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘-พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวนเงินรวมทั้งสิ้น ๒๙๖,๗๙๘.๓๓ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้วจำนวน ๘๖,๑๓๓.๖๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๒๙.๐๒ ของวงเงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี สำหรับผลการเบิกจ่ายเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีรายการที่ควรให้ความสำคัญ ได้แก่ งบกลาง : รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ จำนวน ๑๒๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๗,๔๙๐.๓๐ ล้านบาท และตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงสิ้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ มีการเบิกจ่ายรวมทั้งสิ้นจำนวน ๑๐๗,๒๔๘.๙๖ ล้านบาท หรือร้อยละ ๘๙.๓๗ ของวงเงินที่จัดสรร ๓. เงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๑,๑๔๒.๖๖ ล้านบาท และตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงสิ้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ จัดสรรแล้วจำนวนทั้งสิ้น ๓๔๑,๕๓๐.๒๑ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้วจำนวน ๓๒๑,๓๒๗.๖๑ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๔.๐๘ ของวงเงินที่จัดสรร ๔. เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๕๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๒,๗๘๒.๒๓ ล้านบาท และตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงสิ้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ จัดสรรแล้วจำนวนทั้งสิ้น ๒๒,๖๓๘.๑๗ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้วจำนวน ๔,๕๔๕.๑๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๒๐.๐๘ ของวงเงินที่จัดสรร
|
|||||||||||||||||||||||||||
668 | รายงานผลการจัดนิทรรศการ Thailand 2020 ก้าวไกล เชื่อมไทยสู่โลก นิทรรศการการลงทุนของประชาชน เพื่อประชาชน | คค | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการจัดนิทรรศการ Thailand 2020 ก้าวใหม่ เชื่อมไทยสู่โลก นิทรรศการการลงทุนของประชาชน เพื่อประชาชน ระหว่างวันที่ ๘-๑๒ มีนาคม ๒๕๕๖ ณ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ แจ้งวัฒนะ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้ขยายเวลาการจัดนิทรรศการดังกล่าวออกไปจนถึงวันเสาร์ที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๖ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เนื้อหาสาระของนิทรรศการ สื่อสารให้ผู้เข้าชมนิทรรศการรับทราบถึงแผนการลงทุนด้านการคมนาคมขนส่งของประเทศภายใต้หัวข้อ ลงทุนทำไม? ลงทุนอย่างไร? ลงทุนแล้วได้อะไร? โดยจัดแสดงทั้งในรูปของมัลติวิชั่น บอร์ดนิทรรศการที่นำเสนอเนื้อหาโครงการต่าง ๆ ทางด้านการขนส่งทางบก การขนส่งทางน้ำ การขนส่งทางอากาศ และระบบราง ตลอดจนการก่อสร้างด่านศุลกากรบริเวณชายแดนที่สำคัญ ๆ เป็นต้น ๑.๒ กิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วยการเสวนาหัวข้อ “ยุทธศาสตร์การลงทุนเพื่ออนาคตประเทศ” และการบรรยายหัวข้อ “การให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนภายใต้พระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ” การเสวนาเรื่อง การประเมินราคาที่ดิน และการบริหารที่ราชพัสดุสำหรับโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งของประเทศ จัดโดยกระทรวงการคลัง รวมทั้งการสัมมนาเรื่อง “การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ๒ ล้านล้าน...ประเทศชาติและประชาชนได้อะไร?” และการจัดกิจกรรมเวทีกลางในรูปแบบของความบันเทิง ซึ่งเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับการลงทุนของประเทศที่สื่อสารให้ผู้ร่วมกิจกรรมเข้าใจง่าย ให้ความรู้ และสามารถสร้างการมีส่วนร่วมของผู้เข้าชมนิทรรศการได้เป็นอย่างดี จัดโดยกระทรวงคมนาคม ๑.๓ จำนวนและประเภทผู้เข้าชมนิทรรศการและการสัมมนา มีผู้เข้าชมนิทรรศการไม่ต่ำกว่า ๑๐,๐๐๐ คนทุกวัน ประกอบด้วยสมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นักวิชาการ สื่อมวลชน ผู้ประกอบการ นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป และจากการประเมินผลเบื้องต้นจากแบบสอบถาม ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่แสดงการมีส่วนร่วม โดยให้ข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ เช่น การดำเนินงานของรัฐบาลในลักษณะนี้ควรดำเนินการมานานแล้ว เพื่อให้ทันกับการพัฒนาประเทศเข้าสู่ประชาคมอาเซียน การดำเนินการควรดำเนินการเป็นขั้นตอนอย่างเป็นระบบ เพื่อจะได้ติดตาม ตรวจสอบได้โดยง่าย และให้คำนึงถึงความโปร่งใสในการดำเนินงาน โดยมีข้อห่วงใยว่ารัฐบาลมุ่งแต่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแต่อย่าละเลยการแก้ไขปัญหาของเกษตรกรด้วย เป็นต้น ๒. ให้หัวหน้าส่วนราชการและบุคคลที่เกี่ยวข้องของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับการลงทุนตามแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของประเทศ เข้าชมนิทรรศการดังกล่าวเพื่อให้มีความเข้าใจและได้รับข้อมูลต่าง ๆ ที่ครบถ้วนถูกต้องตรงกัน ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เชิญชวนภาคเอกชนเพิ่มเติม และกระทรวงมหาดไทยเชิญชวนบุคลากรของจังหวัดและของส่วนราชการส่วนท้องถิ่นเข้าร่วมชมนิทรรศการด้วย เพื่อจะได้ให้ข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้ได้รับข้อมูลที่ครบถ้วน ถูกต้อง เป็นประโยชน์และสามารถดำเนินงานต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
669 | ร่างพระราชบัญญัติเทศบาล (ฉบับที่..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | นร09 | 27/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเทศบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ โดยคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๑) พิจารณาเห็นว่า การรับหลักการร่างพระราชบัญญัติทั้ง ๒ ฉบับดังกล่าว จะไม่เป็นผลดีต่อการบริหารราชการแผ่นดินในระยะยาว ทั้งยังอาจขัดต่อนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมการกระจายอำนาจและการให้ท้องถิ่นสามารถปกครองตนเองได้ เป็นการสมควรที่คณะรัฐมนตรีจะพิจารณามอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยไปดำเนินการปรับปรุงพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ฯ เสียใหม่ ในแนวทางที่ให้กำนันและผู้ใหญ่บ้านมีฐานะเป็นผู้ช่วยเหลือนายอำเภอ และตัดอำนาจใด ๆ ที่จะซ้ำซ้อนกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออก รวมตลอดทั้งพิจารณาบทบัญญัติต่าง ๆ ที่ปรากฏในพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ฯ ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ หรือไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน หรือไม่อาจบังคับใช้ได้ในปัจจุบัน หรือที่หมดความจำเป็นให้เหมาะสมต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับรายงานผลการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปศึกษาให้ได้ข้อยุติเพื่อดำเนินการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้มีความเหมาะสมต่อไป แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||
670 | รายงานสรุปผลการประชุมประจำปี 2555 เรื่อง อนาคตประเทศไทยบนเส้นทางสีเขียว | นร11 | 27/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รายงานสรุปผลการประชุมประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เรื่อง อนาคตประเทศไทยบนเส้นทางสีเขียว เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๖ ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี ผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วย คณะรัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภา สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ องค์กรพัฒนาเอกชน ภาคเอกชน นักวิชาการ ผู้นำชุมชน ผู้แทนจากภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สื่อมวลชน และประชาชน สาระสำคัญของการประชุมฯ ได้มีการอภิปรายเรื่อง “แนวทางขับเคลื่อนการพัฒนาสังคมสีเขียว” โดยผู้ทรงคุณวุฒิ และการระดมความคิดเห็นจากประชาชนในทุกภาคส่วนเกี่ยวกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงที่มีผลต่อการพัฒนาสู่สังคมสีเขียวทั้งภายนอกประเทศและภายในประเทศที่สำคัญ รวมทั้งการกำหนดแนวทางขับเคลื่อนการพัฒนาสู่สังคมสีเขียวในแต่ละมิติ แบ่งเป็น ๗ กลุ่มย่อย ได้แก่ กลุ่มที่ ๑ อนาคตเกษตรกรไทยสู่การเติบโตสีเขียว กลุ่มที่ ๒ อุตสาหกรรมสะอาด : วิถีใหม่ของอุตสาหกรรมอนาคต กลุ่มที่ ๓ มุ่งสร้างสรรค์การท่องเที่ยวสีเขียว เพื่อการพัฒนาอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน กลุ่มที่ ๔ การพัฒนาระบบขนส่งและพลังงาน เพื่อระบบเศรษฐกิจสีเขียว กลุ่มที่ ๕ เส้นทางสู่นวัตกรรมสีเขียว กลุ่มที่ ๖ สังคมสีเขียว : นวัตกรรมทางสังคมสู่การพัฒนาที่ทั่วถึงและยั่งยืน และกลุ่มที่ ๗ การรับมือภัยพิบัติภายใต้การเติบโตสีเขียว ๒. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีการขับเคลื่อนประเด็นการพัฒนาประเทศสู่สังคมสีเขียวให้เชื่อมโยงและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศ (Country Strategy) และยุทธศาสตร์การเข้าสู่ประชาคมอาเซียนปี ๒๕๕๘ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
671 | แผนแม่บทพัฒนาส้วมสาธารณะไทย ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2556 - 2559) | สธ | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบแผนแม่บทพัฒนาส้วมสาธารณะไทย ระยะที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนแม่บทฯ ไปสู่การปฏิบัติเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายความสำเร็จที่กำหนดไว้ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยแผนแม่บทฯ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ วัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาส้วมครัวเรือนให้เหมาะสมในการรองรับต่อการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เพื่อให้ประเทศไทยมีส้วมสาธารณะได้มาตรฐาน สะอาด เพียงพอ ปลอดภัย เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้คนไทยมีพฤติกรรมการใช้ส้วมสาธารณะที่ถูกสุขลักษณะ รวมทั้งเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีการจัดการสิ่งปฏิกูลอย่างถูกหลักสุขาภิบาล ๑.๒ เป้าหมายความสำเร็จ ครัวเรือนไทยใช้ส้วมแบบ “ส้วมนั่งราบ” ร้อยละ ๙๐ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ สถานบริการสาธารณะและสถานที่สาธารณะมีบริการ “ส้วมนั่งราบ” อย่างน้อย ๑ ที่ ร้อยละ ๑๐ ของกลุ่มเป้าหมายภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ประเทศไทยมีส้วมสาธารณะที่สะอาด เพียงพอ ปลอดภัย ร้อยละ ๙๐ ของกลุ่มเป้าหมายภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ คนไทยมีพฤติกรรมการใช้ส้วมสาธารณะถูกสุขลักษณะ ร้อยละ ๙๐ ของผู้ใช้บริการในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีการจัดการสิ่งปฏิกูลอย่างถูกหลักสุขาภิบาล ร้อยละ ๕๐ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ๑.๓ กลุ่มเป้าหมาย ส้วมครัวเรือน และส้วมสาธารณะในสถานบริการสาธารณะและสถานที่สาธารณะ ๑๒ ประเภท ได้แก่ แหล่งท่องเที่ยว ร้านจำหน่ายอาหาร ตลาดสด สถานีขนส่งทางบกและทางอากาศ สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง สถานศึกษา โรงพยาบาล สถานที่ราชการ สวนสาธารณะ ศาสนสถาน ส้วมสาธารณะริมทาง และห้างสรรพสินค้า/ศูนย์การค้า/ดิสเคานต์สโตร์ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกรุงเทพมหานคร ที่เห็นควรแบ่งกลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มครัวเรือนและกลุ่มสาธารณะให้ชัดเจน โดยส้วมครัวเรือน ใช้มาตรการรณรงค์และจูงใจให้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาใช้ส้วมนั่งราบ โดยภาครัฐให้ความช่วยเหลือในการจัดหาส้วมนั่งราบเฉพาะกลุ่มคนจน และมีปัญหาข้อเข่าเสื่อมเท่านั้น ส้วมสาธารณะเอกชน สร้างแรงจูงใจโดยให้รางวัลและสร้างความตระหนักให้ผู้ใช้บริการมีจิตสำนึกในเรื่องการรักษาความสะอาด ส้วมสาธารณะของราชการส่วนท้องถิ่น รณรงค์ในเรื่องความเป็นเจ้าของและสร้างความตระหนักให้ส้วมสะอาดเป็นภาพลักษณ์ของชุมชนเพื่อเป็นต้นแบบและขยายผลไปยังพื้นที่อื่น ๆ และส้วมสาธารณะสังกัดส่วนราชการอื่น ควรเน้นรูปแบบการดูแลที่มีประสิทธิภาพและสามารถประหยัดต้นทุนแก่องค์กร รวมทั้งให้ความสำคัญกับบทบาทของภาครัฐในการสร้างนวัตกรรมสำหรับกำจัดสิ่งปฏิกูลให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีประสิทธิภาพและได้มาตรฐานตามหลักสุขาภิบาล อีกทั้งสามารถสร้างประโยชน์คืนกลับสู่ชุมชน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) รับไปดำเนินการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ (workshop) ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางและซักซ้อมความเข้าใจในการนำแผนแม่บทฯ ไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม มีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผล ทั้งนี้ ให้เน้นในเรื่องความสะอาดถูกสุขลักษณะ มีจำนวนเพียงพอ และปลอดภัยควบคู่กับการพัฒนาปรับเปลี่ยนรูปแบบของส้วมให้ได้มาตรฐาน รวมทั้งให้ส่งเสริมพฤติกรรมและการเรียนรู้วิธีการใช้ส้วมที่ถูกสุขลักษณะตั้งแต่ในโรงเรียนด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
672 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร04 | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันจันทร์ที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับร่างพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... กลับไปพิจารณาทบทวนอีกครั้งหนึ่ง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามสิ่งยั่วยุพฤติกรรมอันตราย พ.ศ. .... กลับไปพิจารณาทบทวนอีกครั้งหนึ่ง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
673 | ร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร04 | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันจันทร์ที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
674 | วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 | นร07 | 12/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. นโยบายงบประมาณ วงเงินและโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยกำหนดนโยบายงบประมาณขาดดุลสำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ขาดดุล จำนวน ๒๕๐,๐๐๐ ล้านบาท และมีวงเงินงบประมาณรายจ่าย จำนวน ๒,๕๒๕,๐๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย รายจ่ายประจำ จำนวน ๒,๐๐๑,๓๖๘.๕ ล้านบาท รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง จำนวน ๑๓,๔๒๓.๗ ล้านบาท รายจ่ายลงทุน จำนวน ๔๕๗,๐๐๐ ล้านบาท และรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน ๕๓,๒๐๗.๘ ล้านบาท ๒. แนวทางการจัดทำและเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ๒.๑ ให้ความสำคัญต่อการดำเนินภารกิจของกระทรวง/หน่วยงานที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศ ยุทธศาสตร์การเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ปี พ.ศ. ๒๕๕๘ นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ๑๖ ข้อ จุดเน้นของยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และบูรณาการภารกิจให้สอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มรายได้ ลดรายจ่ายและขยายโอกาสแก่ประชาชน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ๒.๒ จัดลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการ ตามผลการประชุมเชิงปฏิบัติการการบูรณาการตามยุทธศาสตร์ประเทศ และตามแผนความต้องการงบลงทุนเบื้องต้นที่คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบเมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๖ (เรื่อง ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗) ให้เหมาะสม สอดคล้องกับความจำเป็นและวงเงินงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด รวมทั้งศักยภาพและความสามารถในการดำเนินงานของหน่วยงาน ๒.๓ คำนึงถึงความเชื่อมโยง สอดคล้อง และสนับสนุนแผนงาน/โครงการ จากแหล่งเงินงบประมาณและเงินนอกงบประมาณ โดยเฉพาะพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ และร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... ๒.๔ ให้กระทรวง/หน่วยงาน พิจารณาทบทวนเพื่อชะลอ ปรับลด หรือยกเลิกการดำเนินภารกิจที่มีความสำคัญในระดับต่ำ หรือหมดความจำเป็น หรือไม่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและสถานการณ์ในปัจจุบัน ตามหลัก 3R (Review Redeploy และ Replace) เพื่อนำงบประมาณดังกล่าวไปดำเนินภารกิจที่มีความสำคัญในระดับสูง ๓. การจัดสรรงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ได้ให้ความสำคัญกับการสร้างศักยภาพและเร่งรัดการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของ อปท. ให้สูงขึ้น และลดความเหลื่อมล้ำทางการคลัง โดยจัดสรรเงินอุดหนุนเพิ่มให้ อปท. ที่มีรายได้ต่ำเพื่อให้มีรายได้ที่เหมาะสมกับการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ โดยมีเป้าหมายให้เกิดความยั่งยืนทางการคลังของท้องถิ่น รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายและจัดบริการสาธารณะให้แก่ประชาชนในด้านคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น โดยรวมภารกิจตามนโยบายรัฐบาลเกี่ยวกับเบี้ยยังชีพคนชรา เบี้ยยังชีพคนพิการ เบี้ยยังชีพผู้ป่วยเอดส์ ค่าตอบแทนอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด การบริหารจัดการน้ำ และภารกิจที่เกี่ยวกับการศึกษาของ อปท. โดยจัดสรรเงินอุดหนุนให้ อปท. จำนวน ๒๕๖,๕๐๐ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
675 | การปรับปรุงหลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีปฏิบัติในการเปิดเผยราคากลางของทางราชการ | กค | 12/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีปฏิบัติในการเปิดเผยราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการ) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) พร้อมด้วยปลัดกระทรวงการคลัง รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน อธิบดีกรมบัญชีกลาง ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ และเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เข้าหารือร่วมกันกับประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เกี่ยวกับการดำเนินการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ มาตรา ๑๐๓/๗ วรรคหนึ่ง เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ โดยที่ประชุมมีความเห็นร่วมกันว่า การเปิดเผยราคากลางตามพระราชบัญญัติฯ มีเจตนารมณ์มุ่งเน้นให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลราคากลางและตรวจสอบได้เป็นสำคัญ หากเกิดกรณีการจัดหาพัสดุชนิดเดียวกันแต่ราคากลางที่เปิดเผยแตกต่างกันจะต้องพิจารณาจากเจตนาและพฤติการณ์แวดล้อมของการได้มาของราคากลางนั้น ซึ่งกระทรวงการคลังได้แจ้งเวียนให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติในการเปิดเผยราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการแล้ว สำหรับการเปิดเผยราคากลางของการจัดซื้อจัดจ้างประเภทอื่นที่มิใช่งานก่อสร้าง เห็นควรให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาตามแนวทางการดำเนินการประกวดราคากลางและรายละเอียดการคำนวณราคากลางไว้ในระบบข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติกำหนด และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นของรัฐ รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นถือปฏิบัติตามแนวทางการเปิดเผยราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการ ตามที่กระทรวงการคลังกำหนด และแนวทางการเปิดเผยราคากลางเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างประเภทอื่นที่มิใช่งานก่อสร้าง ตามมติที่ประชุมหารือระหว่างกระทรวงการคลังและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ หากหน่วยงานใดมีความพร้อมให้ดำเนินการได้ทันที ส่วนหน่วยงานใดที่ยังไม่มีความพร้อมให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๑๘๐ วันนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐๓/๘ วรรคหนึ่ง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ ๓. ให้หน่วยงานที่ได้รับมอบหมายในการจัดทำหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางร่วมกับกระทรวงการคลังเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางยานอกบัญชียาหลักและเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางการจ้างที่ปรึกษา และสำนักงบประมาณดำเนินการกำหนดราคามาตรฐานโดยให้ครอบคลุมรายการครุภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ ทั้งนี้ ให้แจ้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีในเรื่องนี้ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
676 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (จำนวน 23 ราย 1. นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล ฯลฯ) | ศธ | 29/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จำนวน ๒๓ คน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๙ มกราคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. ประธานกรรมการ (จำนวน ๑ คน เลือกจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ) นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล ประธานกรรมการการอาชีวศึกษา ผู้ทรงคุณวุฒิด้านธุรกิจและการบริการ และ ด้านอุตสาหกรรม ๒. กรรมการผู้แทนองค์กรวิชาชีพ ผู้แทนองค์กรเอกชน และผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (จำนวน ๖ คน) ๒.๑ นายถาวร ชลัษเฐียร กรรมการผู้แทนองค์กรเอกชน (สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย) ๒.๒ นายอรรถการ ตฤษณารังสี กรรมการผู้แทนองค์กรเอกชน (สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย) ๒.๓ พลตรีหญิง กฤติยา บัวหลวงงาม กรรมการผู้แทนองค์กรเอกชน (คณะกรรมการกลางกลุ่มเกษตรกรแห่งประเทศไทย) ๒.๔ นายสุนทร ทองใส กรรมการผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๒.๕ รองศาสตราจารย์มงคล มงคลวงศ์โรจน์ กรรมการผู้แทนองค์กรวิชาชีพ ๒.๖ นายเกรียงไกร บุญเลิศอุทัย กรรมการผู้แทนองค์กรวิชาชีพ ๓. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (จำนวน ๑๖ คน) ๓.๑ นายโกสินทร์ เกษทอง ด้านการบริหารการอาชีวศึกษา และ ด้านเศรษฐกิจและการพัฒนากำลังคน ๓.๒ นายจรูญ ชูลาภ ด้านการบริหารการอาชีวศึกษา และ ด้านอุตสาหกรรม ๓.๓ นายเฉลิมศักดิ์ นามเชียงใต้ ด้านการบริหารการอาชีวศึกษา ๓.๔ นายณัฐวุฒิ สกุลพานิช ด้านเศรษฐกิจและการพัฒนากำลังคน ๓.๕ นายประสาน ประวัติรุ่งเรือง ด้านการบริหารการอาชีวศึกษาของเอกชน ๓.๖ นายเร็วจริง รัตนวิชา ด้านธุรกิจและการบริการ ๓.๗ นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ ด้านอุตสาหกรรม ๓.๘ นายวีระศักดิ์ วงษ์สมบัติ ด้านการบริหารการอาชีวศึกษา และ ด้านเกษตรกรรมและการประมง ๓.๙ นางศรินทร์ทิพย์ แทนธานี ด้านเศรษฐกิจและการพัฒนากำลังคน ๓.๑๐ นางศรีวิการ์ เมฆธวัชชัยกุล ด้านเศรษฐกิจและการพัฒนากำลังคน และ ด้านคหกรรม ๓.๑๑ นางศิริพรรณ ชุมนุม ด้านการบริหารการอาชีวศึกษา และ ด้านศิลปหัตถกรรม ๓.๑๒ นายสมเกียรติ ชอบผล ด้านเศรษฐกิจและการพัฒนากำลังคน และ ด้านการศึกษาพิเศษ ๓.๑๓ นายสมบูรณ์ ศรีพัฒนาวัฒน์ ด้านอุตสาหกรรม และ ด้านเศรษฐกิจและการพัฒนากำลังคน ๓.๑๔ นายเสนอ จันทรา ด้านการบริหารการอาชีวศึกษา และ ด้านเศรษฐกิจและการพัฒนากำลังคน ๓.๑๕ นายอินทร์ จันทร์เจริญ ด้านการบริหารการอาชีวศึกษาของเอกชน ๓.๑๖ นายเอนก เพิ่มวงศ์เสนีย์ ด้านธุรกิจและการบริการ
|
|||||||||||||||||||||||||||
677 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. .... | นร11 | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้รับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการปรับองค์ประกอบคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการดำเนินการ รวมทั้งความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่เห็นว่า การให้บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ อาจมีปัญหาอุปสรรคของการดำเนินงานในทางปฏิบัติ เนื่องจากส่วนราชการต่าง ๆ ที่จะไปให้บริการภายในศูนย์การให้บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จไม่สามารถดำเนินงานได้อย่างมีเอกภาพ ส่วนหน่วยงานที่ประสงค์จะรับผิดชอบเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในขั้นตอนการจัดทำร่างแผนแม่บท ควรบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ตลอดจนภาคีพัฒนาที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากร่างแผนแม่บทมีประเด็นรายละเอียดการดำเนินงานค่อนข้างมาก นอกจากนี้ นโยบายจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจะต้องได้รับการสนับสนุนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงควรกำหนดให้มีผู้แทนจากคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณา ทั้งนี้ ให้แก้ไขคำนิยาม “เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ” ให้ครอบคลุมพื้นที่ที่ไม่ได้มีการค้าบริเวณพรมแดนด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. เมื่อร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. .... มีผลใช้บังคับแล้ว ให้นำเรื่องเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแม่สอดมาพิจารณาดำเนินการเป็นลำดับแรก |
|||||||||||||||||||||||||||
678 | คณะกรรมการชุดต่างๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (จำนวน 6 คณะ) | กห | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการที่มีความสำคัญและจำเป็นในการปฏิบัติหน้าที่ เพิ่มเติม จำนวน ๖ คณะ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้
๑. คณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ๒. คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา ๓. คณะกรรมการระดับสูง ไทย-มาเลเซีย ๔. คณะกรรมการระดับสูง ไทย-อินโดนีเซีย ๕. คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ไทย-พม่า ๖. คณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น ไทย-พม่า
|
|||||||||||||||||||||||||||
679 | รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2554 | พม | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. ๒๕๕๔ ของคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จำนวนประชากรผู้สูงวัย (อายุตั้งแต่ ๖๐ ปี ขึ้นไป) เพิ่มขึ้นจาก ๑.๒ ล้านคน ในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ เป็น ๘.๕ ล้านคน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ประชากรผู้สูงอายุในวัยปลายที่มีอายุตั้งแต่ ๘๐ ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้นกว่า ๖ เท่าตัว เป็นหญิงมากกว่าชายกว่าร้อยละ ๖๐ อายุคาดเฉลี่ยผู้หญิงอายุประมาณ ๗๘ ปี ผู้ชายอายุประมาณ ๗๑ ปี ผู้สูงอายุมีแนวโน้มที่จะอยู่ลำพังหรืออยู่กับคู่สมรสเพิ่มมากขึ้น ผู้สูงอายุชายมีอัตราการทำงานมากกว่าผู้สูงอายุหญิง ผู้สูงอายุมีแนวโน้มอยู่ในภาวะยากจนสูงกว่ากลุ่มอื่น ผู้สูงอายุในภาวะทุพพลภาพหรือไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันพื้นฐานด้วยตนเองได้เพิ่มขึ้น ร้อยละ ๑๕ ของผู้สูงอายุตั้งแต่ ๘๐ ปีขึ้นไป และเพิ่มขึ้นกว่า ร้อยละ ๓๐ ของผู้สูงอายุที่มีอายุ ๙๐ ปีขึ้นไป ผู้สูงอายุทั้งชายและหญิงเป็นโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง อัมพฤกษ์/อัมพาต ไตวายเรื้อรัง เพิ่มขึ้น ทัศนคติของประชากรหนุ่มสาวและวัยแรงงานที่มีต่อผู้สูงอายุ มีทัศนคติเชิงบวกต่อผู้สูงอายุ ร้อยละ ๕๗ ๒. นโยบายของรัฐระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๒๕-๒๕๕๔ ให้ความสำคัญกับสุขภาพของผู้สูงอายุเป็นลำดับต้น การรักษาแบบให้เปล่า เน้นการพัฒนาผู้สูงอายุในทุกมิติ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีบทบาทในการดูแล ส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ เน้นการออม และการสร้างหลักประกันรายได้ อาทิ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ การส่งเสริมการทำงานให้เหมาะสมกับวัย แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๐ (พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๔) เน้นการเตรียมความพร้อมของคนและระบบตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง แผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๔๕-๒๕๖๔) ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ ๑ ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็นแผนยุทธศาสตร์ โดยมุ่งเน้นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแผนยุทธศาสตร์และแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติในหน่วยงาน มีการกำหนดสิทธิสวัสดิการและการช่วยเหลือผู้สูงอายุในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปี พ.ศ. ๒๕๔๐ และฉบับปี พ.ศ. ๒๕๕๐ และพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. ๒๕๔๖ และฉบับที่ ๒ แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๕๓ ๓. ระบบการดูแลสุขภาพและการสาธารณสุข แผนพัฒนาการสาธารณสุข ฉบับที่ ๑-๔ (พ.ศ. ๒๕๐๔-๒๕๒๔) เน้นการขยายสถานบริการสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน การผลิตบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ให้บริการสู่ชนบท ในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาสุขภาพผู้สูงอายุ (ปี พ.ศ. ๒๕๒๕-๒๕๔๕) มียุทธศาสตร์ที่สำคัญในการพัฒนาระบบให้บริการสุขภาพของสถานบริการทุกระดับ การพัฒนาศักยภาพกำลังคนด้านการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ พยาบาลด้านผู้สูงอายุ และอาสาสมัครผู้ดูแลผู้สูงอายุในชุมชน ยังคงมีความขาดแคลนบุคลากรรองรับการดูแลผู้สูงอายุ มีการสร้างหลักประกันทางเศรษฐกิจยามชราภาพ โดยระบบบำนาญภาครัฐ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนประกันสังคม เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ มาตรการทางภาษีอากรให้แก่ผู้สูงอายุ มีการสร้างแรงจูงใจวัยทำงานเพื่อสร้างหลักประกันทางเศรษฐกิจยามชราภาพ ส่งเสริมการสร้างหลักประกันให้กับบุพการี ระบบบริการทางสังคมและสวัสดิการทางสังคม และในปี พ.ศ. ๒๕๔๖ พระราชบัญญัติผู้สูงอายุมีผลบังคับใช้ พบว่าหน่วยงานภาครัฐและเอกชนให้บริการด้านสังคมและสวัสดิการแก่ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ระบบการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมของผู้สูงอายุและชุมชน มีศูนย์อเนกประสงค์สำหรับผู้สูงอายุในชุมชน อาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน การอำนวยความสะดวกในอาคาร สถานที่ และการจัดสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรสำหรับผู้สูงอายุ มีระบบบริการด้านที่อยู่อาศัย ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมสำหรับผู้สูงอายุ และการซ่อมแซมบ้านของผู้สูงอายุ มีที่พักอาศัยรูปแบบคอนโดมิเนียม มีระบบการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของผู้สูงอายุ ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้สูงอายุทางคดี คุ้มครองเป็นพยานในคดีอาญา ส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้ต้องขังสูงอายุ มีบริการสาธารณะ ยกเว้นอัตราค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ อุทยานแห่งชาติ หรือลดหย่อนอัตราค่าบริการการขนส่งสาธารณะให้กับผู้สูงอายุ ๔. ภาคเอกชนมีบทบาทกับงานด้านผู้สูงอายุมากขึ้น การดำเนินงานด้านผู้สูงอายุในภาคเอกชน มีการจัดบริการทั้งที่ไม่แสวงหาผลกำไรและแสวงหากำไร และให้ความสนใจผู้สูงอายุในฐานะลูกค้ามากขึ้นในด้านการให้บริการต่างๆ เช่น โรงพยาบาล สถานบริการกายภาพบำบัด การออกผลิตภัณฑ์เพื่อการออมเงินระยะยาวรูปแบบใหม่ ประกันชีวิตแบบบำนาญหรือแผนการออมทรัพย์สำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งสามารถนำมายกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
|
|||||||||||||||||||||||||||
680 | การขยายสิทธิรับบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินของพนักงานรัฐวิสาหกิจ และข้าราชการ/พนักงานส่วนท้องถิ่น ตามนโยบายการบูรณาการระบบประกันสุขภาพของรัฐบาล | อื่นๆ | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการขยายสิทธิรับบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินของพนักงานรัฐวิสาหกิจ และข้าราชการ/พนักงานส่วนท้องถิ่น ตามนโยบายการบูรณาการระบบประกันสุขภาพของรัฐบาล ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (ประธาน สปสช.) เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ สำหรับข้อเสนอของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธาน สปสช. มีดังนี้ ๑.๑ กรณีขยายสิทธิรับบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินของพนักงานรัฐวิสาหกิจ ๑.๑.๑ เห็นชอบให้คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ปรับปรุงหรือแก้ไขเพิ่มเติม ประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๓ (๑) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๓ ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเพื่อปรับมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างสำหรับพนักงานรัฐวิสาหกิจให้รองรับการขยายสิทธิรับบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินของพนักงานรัฐวิสาหกิจให้สามารถรับบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินที่ใดก็ได้ รวมทั้งสถานพยาบาลเอกชนนอกระบบของตน โดยไม่ต้องสำรองค่าใช้จ่ายล่วงหน้าตามนโยบายรัฐบาล เช่นเดียวกับผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ประกันสังคม และสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ๑.๑.๒ เห็นชอบให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่เพิ่มสิทธิการรักษาพยาบาลให้กับพนักงานตามนโยบายรัฐบาล ใช้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เป็นหน่วยงานกลางในการจัดการธุรกรรมการเบิกจ่ายค่ารักษาเจ็บป่วยฉุกเฉินและระบบข้อมูลต่าง ๆ (Clearing House) ตามนโยบายรัฐบาล โดย สปสช. สำรองจ่ายเงินค่าบริการให้สถานพยาบาลไปก่อน และให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจเร่งแก้ไขหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้รองรับการจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินคืนให้ สปสช. ได้ตามอัตราที่ตกลงกันภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง รวมทั้งจัดส่งฐานข้อมูลของบุคคลในสังกัดที่ได้สิทธิรักษาพยาบาลจากรัฐวิสาหกิจให้แก่ สปสช. เพื่อจัดทำฐานข้อมูลผู้มีสิทธิและให้มีการปรับปรุงต่อเนื่อง ๑.๒ กรณีขยายสิทธิรับบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินของข้าราชการ/พนักงานส่วนท้องถิ่น ๑.๒.๑ เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยปรับปรุงหรือแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของพนักงานส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๑ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๖ และมาตรา ๗๖ แห่งพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. ๒๕๔๐ มาตรา ๖๙ และมาตรา ๗๗ แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ มาตรา ๓๒ แห่งพระราชบัญญัติสุขาภิบาล พ.ศ. ๒๔๙๕ มาตรา ๖ และมาตรา ๙๕ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา พ.ศ. ๒๕๒๑ และมาตรา ๕ และมาตรา ๘๘ แห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ ได้ออกระเบียบไว้ และแจ้งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพิ่มสิทธิให้ข้าราชการและพนักงานส่วนท้องถิ่นได้สิทธิรับบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินจากสถานพยาบาลรัฐและเอกชนนอกระบบของตนโดยไม่ต้องสำรองค่าใช้จ่ายล่วงหน้าตามนโยบายรัฐบาล เช่นเดียวกับผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ประกันสังคม และสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ๑.๒.๒ เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยปรับปรุงหรือแก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของพนักงานส่วนท้องถิ่น ซึ่งปลัดกระทรวงมหาดไทยได้ประกาศไว้ เพื่อให้เป็นไปตามข้อ ๕ แห่งระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของพนักงานส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๑ ให้รองรับการจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินตามนโยบายรัฐบาล และแจ้งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ใช้หน่วยงานกลางในการจัดการธุรกรรมการเบิกจ่ายค่ารักษาและระบบข้อมูลต่าง ๆ (Clearing House) โดยให้ สปสช. สำรองจ่ายเงินค่าบริการให้สถานพยาบาลไปก่อน และให้ อปท. จ่ายเงินคืนให้แก่ สปสช. ตามอัตราที่ตกลงกันภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง รวมทั้งจัดส่งฐานข้อมูลของบุคคลในสังกัดที่ได้สิทธิรักษาพยาบาลให้แก่ สปสช. เพื่อจัดทำฐานข้อมูลผู้มีสิทธิและให้มีการปรับปรุงต่อเนื่อง ๒. ให้ สปสช. รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการให้ อปท. จ่ายเงินคืนให้แก่ สปสช. ตามอัตราที่ตกลงกันภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง และการจัดส่งฐานข้อมูลของบุคคลในสังกัดที่ได้รับสิทธิรักษาพยาบาลเพื่อจัดทำฐานข้อมูลผู้มีสิทธิและให้มีการปรับปรุงต่อเนื่อง ควรมีการหารือร่วมกันระหว่าง สปสช. กระทรวงมหาดไทย และ อปท. ก่อนที่จะได้มีการดำเนินการ เนื่องจากอาจมีผลกระทบทั้งด้านงบประมาณและขั้นตอนการปฏิบัติได้ นอกจากนี้ ควรเร่งพัฒนากลไกสร้างแรงจูงใจในการเข้าร่วมโครงการของโรงพยาบาลเอกชน อาทิ มาตรการสร้างความเชื่อมั่นว่าสถานประกอบการภาคเอกชนจะได้รับเงินชดเชยในอัตราที่เหมาะสมกับโครงสร้างต้นทุนของการประกอบการ และการให้สิทธิในการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลแก่สถานประกอบการที่เข้าร่วมในโครงการซึ่งเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมในรูปแบบหนึ่ง เป็นต้น เพื่อสร้างแรงจูงใจให้โรงพยาบาลเอกชนให้บริการผู้ป่วยฉุกเฉิน โดยที่ผู้ป่วยไม่ต้องสำรองค่าใช้จ่ายล่วงหน้าอย่างแท้จริง และไม่เป็นภาระแก่โรงพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยประสานกับกระทรวงสาธารณสุขเพื่อชี้แจงและทำความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับการเข้ารับบริการกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน
|
.....