ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 40 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 781 - 800 จากข้อมูลทั้งหมด 2031 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
781 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง เทคโนโลยีระบบสัญญาณเตือนภัยจากภัยพิบัติดินถล่ม | สสป | 07/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง เทคโนโลยีระบบสัญญาณเตือนภัยจากภัยพิบัติดินถล่ม ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ มีดังนี้
๑. เร่งสำรวจและจัดทำแผนที่พื้นที่เสี่ยงภัยให้ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคของประเทศและประกาศให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยได้รับทราบข้อมูล ๒. เร่งจัดหาและติดตั้งระบบสัญญาณเตือนภัยดินถล่มที่ทันสมัยเหมาะสมกับสภาพพื้นที่เสี่ยงภัย ๓. จัดสรรงบประมาณในการดูแลบำรุงรักษาอุปกรณ์เตือนภัยในพื้นที่อย่างต่อเนื่องและจัดสรรงบประมาณเพื่อการส่งเสริมอาสาสมัครเตือนภัย ๔. ส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันภัยพิบัติ อาทิ การฝึกซ้อมอพยพหนีภัยในพื้นที่เสี่ยงภัย และสนับสนุนองค์กรภาคประชาชนให้มีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังแจ้งเตือนภัย ๕. งดเว้นการกระทำทุกรูปแบบซึ่งอาจส่งผลให้พื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มทั้งที่ได้รับอนุญาตและไม่ได้รับอนุญาต ๖. ส่งเสริม สนับสนุนการวิจัยการพัฒนาเทคโนโลยีนวัตกรรมแบบจำลอง ๓ มิติ การเตือนภัยดินถล่ม และนำผลงานวิจัยมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ๗. ส่งเสริม สนับสนุนและปรับปรุงโครงสร้างของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ให้สามารถเป็นศูนย์กลางในการบริหาร ประสานงานเชื่อมโยงข้อมูลและการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับภารกิจในการเตือนภัยพิบัติครอบคลุมทุกภัยพิบัติทั้งประเทศอย่างรวดเร็วทันต่อสถานการณ์ ๘. ส่งเสริมและสนับสนุนปรับโครงสร้างของหน่วยงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้มีขีดความสามารถและเอกภาพในการรองรับภารกิจด้านการเข้าช่วยเหลือ การบรรเทาสาธารณภัยอย่างรวดเร็วทันต่อสถานการณ์ รวมถึงต้องมีแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของประเทศที่เป็นแผนงานที่มีความชัดเจน ครอบคลุม ประสานทุกหน่วยงาน ทุกระดับชั้น ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ๙. เพิ่มหลักสูตรภัยพิบัติทางธรรมชาติในหลักสูตรการศึกษาทุกระดับชั้น ๑๐. สนับสนุนงบประมาณแก่มิสเตอร์เตือนภัย องค์กรสาธารณกุศล รวมทั้งอาสาสมัครจากชุมชนที่ให้ความช่วยเหลือราชการ ๑๑. จัดหาผู้เชี่ยวชาญด้านอุตุนิยมวิทยา โดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญในการเขียน/แปลภาพถ่ายทางอากาศที่ได้จากดาวเทียม/แผนที่เรด้าร์ (Radar) รวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ๑๒. จัดสรรอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ทันสมัยเพื่อการรองรับการประมวลภาพถ่ายพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มระดับหมู่บ้าน ตำบล พร้อมนักเทคนิคผู้ปฏิบัติการงานประมวลผล ๑๓. ปรับปรุงและ/หรือออกกฎหมายที่มีบทบังคับให้เหมาะสมและเป็นประโยชน์กับพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่ม โดยแยกประเภทภัยพิบัติเกี่ยวกับดินถล่มให้เป็นกฎหมายเฉพาะเพื่อความชัดเจนในการบังคับ ๑๔. สนับสนุนให้มีการนำหญ้าแฝกปลูกในพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่ม พื้นที่ลาดชันเชิงเขาให้ครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มและประกาศให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยได้ปฏิบัติตามในทุกพื้นที่
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
782 | ร่างพระราชบัญญัติควบคุมการฆ่าสัตว์เพื่อการจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ. .... | กษ | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติควบคุมการฆ่าสัตว์เพื่อการจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการควบคุมคุณภาพของเนื้อสัตว์ที่ผลิตจากโรงฆ่าสัตว์ตามร่างพระราชบัญญัติฯ ไม่ครอบคลุมมาตรฐานการควบคุมโรคระบาด โดยเฉพาะจากสัตว์สู่มนุษย์และความเชื่อมโยงกับมาตรฐานของอาหารตามกฎหมายว่าด้วยอาหารและยาของกระทรวงสาธารณสุข ควรพิจารณากำหนดมาตรการหรือแนวทางเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้บริโภคเนื้อสัตว์ที่ถูกสุขอนามัยและไม่เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป สำหรับสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติฯ มีดังนี้
๑. ยกเลิกพระราชบัญญัติควบคุมการฆ่าสัตว์และจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ. ๒๕๓๕ ๒. แก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า “สัตว์” “การจำหน่ายเนื้อสัตว์” และได้กำหนดคำนิยาม เช่น “เนื้อสัตว์” “การประกอบกิจการฆ่าสัตว์” “โรงฆ่าสัตว์” “โรงพักสัตว์” “องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” และ “คณะกรรมการประจำจังหวัด” เป็นต้น ๓. กำหนดให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการกำกับดูแลการประกอบกิจการฆ่าสัตว์” มีอำนาจหน้าที่ให้คำแนะนำต่อรัฐมนตรีในการกำหนดมาตรการเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการประกอบกิจการฆ่าสัตว์ที่ได้มาตรฐาน ๔. กำหนดการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตตั้งโรงฆ่าสัตว์และประกอบกิจการฆ่าสัตว์ ให้คณะกรรมการพิจารณาแผนงานประกอบกิจการฆ่าสัตว์ประจำจังหวัดพิจารณาให้ความเห็นชอบเกี่ยวกับขั้นตอนและกระบวนการ และกำหนดให้ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงฆ่าสัตว์สามารถโอนให้แก่บุคคลอื่นได้เมื่อได้รับอนุญาตจากผู้อนุญาต โดยกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตตายให้โอนไปเป็นของทายาท รวมทั้งกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตที่ประสงค์จะเลิกประกอบกิจการฆ่าสัตว์ต้องแจ้งให้นายทะเบียนทราบเป็นหนังสือไม่น้อยกว่าหกสิบวันก่อนเลิกประกอบกิจการ ๕. กำหนดให้พนักงานตรวจโรคสัตว์เพื่อตรวจสอบและควบคุมการฆ่าสัตว์เพื่อการจำหน่ายเนื้อสัตว์ ต้องแต่งตั้งจากสัตวแพทย์ หรือบุคคลซึ่งผ่านการศึกษาและฝึกอบรมด้านการตรวจโรคในสัตว์หรือการตรวจเนื้อสัตว์จากในประเทศหรือต่างประเทศตามหลักสูตรที่กรมปศุสัตว์กำหนด และได้รับการรับรองจากสัตวแพทยสภาและได้รับการขึ้นทะเบียนไว้กับกรมปศุสัตว์ รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการรับรองให้จำหน่ายเนื้อสัตว์และวิธีการชำระค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย ๖. กำหนดให้ผู้อนุญาตมีอำนาจสั่งพักใช้ใบอนุญาตได้เมื่อปรากฏว่าผู้รับใบอนุญาตไม่ปฏิบัติตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่มีคำสั่ง และมีอำนาจสั่งเพิกถอนใบอนุญาตได้เมื่อปรากฏว่าผู้รับใบอนุญาตฝ่าฝืนคำสั่งพักใช้ใบอนุญาต หรือผู้รับใบอนุญาตเคยถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตและได้กระทำการอันเป็นเหตุให้ต้องถูกพักใช้ใบอนุญาต ๗. กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปในสถานที่ที่มีการฆ่าสัตว์ โรงฆ่าสัตว์ โรงพักสัตว์ สถานที่จำหน่ายเนื้อสัตว์ มีอำนาจสั่งให้หยุดยานพาหนะที่ใช้ในการขนส่งสัตว์ ๘. กำหนดโทษของการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ใช้เกณฑ์ในการกำหนดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา คือ จำคุกหนึ่งปีต่อโทษปรับสองหมื่นบาท โดยกำหนดให้อธิบดีสามารถเปรียบเทียบปรับการกระทำความผิดได้ เว้นแต่กรณีการประกอบกิจการฆ่าสัตว์โดยไม่ได้รับอนุญาตและการฆ่าสัตว์นอกโรงฆ่าสัตว์ในพื้นที่ที่ไม่ได้มีการยกเว้น ๙. กำหนดอัตราอากร ค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่าย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
783 | กรอบแนวทางในการจัดหลักสูตรอบรมเกี่ยวกับพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐในภาพรวม | นร | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีร่วมมือกับสำนักงาน ก.พ. ในการจัดทำหลักสูตรอบรมเกี่ยวกับพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ผ่านระบบบริหารจัดการการเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ของสำนักงาน ก.พ. โดยให้หน่วยงานของรัฐทุกหน่วยให้ความร่วมมือในการกำหนดให้เจ้าหน้าที่ในสังกัดทุกคนเข้าอบรมเสริมสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ผ่านระบบบริหารจัดการการเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ของสำนักงาน ก.พ. อย่างต่อเนื่อง โดยทำเป็นตัวชี้วัดส่วนบุคคลด้วย ๑.๒ ให้ทุกกระทรวง กรม จังหวัด และส่วนท้องถิ่น จัดหลักสูตรเกี่ยวกับพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ หรือสอดแทรกวิชาเกี่ยวกับพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ในหลักสูตรที่จัดอยู่แล้วของแต่ละหน่วยงานอย่างต่อเนื่อง ๒. ให้คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการรับความเห็นของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจตัดสินใจที่จะเลือกจัดทำหลักสูตรเกี่ยวกับพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ในหลักสูตรที่จัดอยู่แล้ว หรือเลือกที่จะดำเนินการอื่นที่เหมาะสมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ๆ ในการเพิ่มองค์ความรู้แก่เจ้าหน้าที่เกี่ยวกับพระราชบัญญัติดังกล่าว เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอิสระในการบริหารงบประมาณและแนวทางในการให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นได้รับการฝึกอบรม ไปพิจารณาดำเนินการ และให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กำกับดูแลด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
784 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ เพื่อดำเนินการตามแผนการป้องกันและปราบปรามการลักลอบตัดไม้พะยูงในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ | ทส | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชดำเนินการตามแผนการป้องกันและปราบปรามการลักลอบตัดไม้พะยูงในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ โดยใช้จ่ายจากงบประมาณภายใต้ผลผลิตพื้นที่ป่าอนุรักษ์ได้รับการบริหารจัดการ งบดำเนินงาน จำนวน ๒,๘๐๓.๖๒๙๖ ล้านบาท ตามร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นก่อน และหากไม่เพียงพอให้ขออนุมัติงบกลางตามขั้นตอนอีกครั้งต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช รับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการปฏิบัติตามแผนงานดังกล่าวในพื้นที่ที่มีเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านต้องใช้ช่องทางทางการทูตเพื่อดำเนินการร่วมกัน ความต่อเนื่องและมีการประเมินผลในการปฏิบัติตามแผนฯ การติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) ประจำจุดสกัดทุกจุด การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลรับแจ้งเหตุและเบาะแสผู้ลักลอบตัดไม้พะยูงในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ การเพิ่มกิจกรรมการประเมินผลการดำเนินงานเพื่อเป็นข้อมูลในการปรับปรุงการดำเนินงานให้ดีขึ้น การดำเนินการป้องกันการบุกรุกทำลายป่าในภาพรวม การกำหนดรายละเอียดการดำเนินงานและเกณฑ์ชี้วัดความสำเร็จที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมเพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ การนำเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ประกอบการปฏิบัติงาน การจัดสรรงบประมาณปกติเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ รวมทั้งการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นและผนึกประสานกำลังและทรัพยากรของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งตำรวจ ทหาร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกรมป่าไม้ซึ่งปฏิบัติงานในพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อให้มีการใช้งบประมาณของรัฐและทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
785 | สรุปผลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด (ในช่วงระหว่างวันที่ 11 กันยายน 2554 - 30 พฤศจิกายน 2554) | ยธ | 15/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินงานแก้ไขปัญหายาเสพติด ตามยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๕ รวม ๗ แผนงาน ตั้งแต่เปิดแผนปฏิบัติการวันที่ ๑๑ กันยายน - ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. แผนงานที่ ๑ การสร้างพลังสังคมและพลังชุมชนเอาชนะยาเสพติด ได้แก่ การดำเนินกิจกรรมการดำเนินการในหมู่บ้าน/ชุมชน ทั้งการทำประชาคม การค้นหาผู้เสพ/ผู้ติด/ผู้ค้า การนำผู้เสพ/ผู้ติดเข้ารับการบำบัดรักษา การดำเนินการกับผู้ค้าตามกฎหมาย การปิดล้อมตรวจค้น ฯลฯ เป้าหมาย ๖๐,๕๘๔ หมู่บ้าน/ชุมชน ดำเนินการแล้ว ๑๓,๙๐๑ หมู่บ้าน/ชุมชน การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน เป้าหมาย ๑๒,๑๘๙ หมู่บ้าน/ชุมชน ดำเนินการแล้ว ๒,๗๙๔ หมู่บ้าน/ชุมชน การดำเนินการพัฒนาหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดินดีเด่นให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ ๑ อำเภอ ๑ ศูนย์การเรียนรู้ เป้าหมายในการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ ๘๕๐ แห่ง ดำเนินการแล้ว ๕๐๘ แห่ง และการสร้างและพัฒนาความรู้ด้านการแก้ไขปัญหายาเสพติดแก่ผู้นำชุมชน และเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป้าหมาย ๒๐,๐๐๐ คน ผลการดำเนินการพัฒนาผู้นำและผู้มีรายชื่อ ๔๙๑ คน ๒. แผนงานที่ ๒ การแก้ไขปัญหาผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด ได้แก่ การดำเนินการแก้ไขปัญหาผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด โดยการนำเข้าสู่ระบบการบำบัดรักษาในระบบสมัครใจ การบำบัดรักษาในระบบบังคับบำบัด และการบำบัดรักษาในระบบต้องโทษ รวมถึงการบำบัดรักษาในค่ายปรับเปลี่ยนพฤติกรรมฯ เป้าหมายการนำผู้เสพ/ผู้ติดเข้ารับการบำบัดรักษา ๔๐๐,๐๐๐ คน มีผลการบำบัดรักษา ๒๙,๕๔๗ คน และการจัดตั้งศูนย์ Demand จังหวัด เพื่อเป็นศูนย์ฟื้นฟูฯ ในการบำบัดรักษา โดยมีเป้าหมายให้มีการจัดตั้ง จำนวน ๑ จังหวัด ๑ ศูนย์ รวม ๗๗ จังหวัด มีผลการจัดตั้งศูนย์ฟื้นฟูฯ แล้ว ๕๗ ศูนย์ ใน ๕๗ จังหวัด ๓. แผนงานที่ ๓ การสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันยาเสพติด ได้แก่ การสร้างระบบป้องกันสถานศึกษา โดยจัดเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าปฏิบัติงานประจำโรงเรียนเพื่อเฝ้าระวังปัญหายาเสพติดไม่ให้เข้าสู่โรงเรียน จำนวน ๗๓๐ โรงเรียน การดำเนินงานเพื่อขจัดปัจจัยเสี่ยงรอบสถานศึกษา เป้าหมายการดำเนินงานใน ๗๗ จังหวัด ดำเนินการแล้ว ๗๒ จังหวัด โดยจังหวัดที่มีการดำเนินการออกตรวจสูงสุดคือ จังหวัดนครราชสีมา ศรีสะเกษ อุดรธานี เชียงใหม่ และตราด และการจัดกิจกรรมป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบการ/โรงงาน เป้าหมาย ๒,๐๐๐ แห่ง ดำเนินการแล้ว ๘๑ แห่ง ๔. แผนงานที่ ๔ การปราบปรามยาเสพติดและบังคับใช้กฎหมาย ได้แก่ การดำเนินการจับกุมผู้กระทำความผิดในคดียาเสพติด เป้าหมาย ๙๙,๗๗๐ คน มีผลการจับกุม จำนวน ๒๙,๕๐๕ คดี ๓๔,๗๐๐ คน แบ่งเป็นข้อหาผลิต จับกุมได้ ๘๒๓ คดี ๑,๔๑๘ คน ข้อหานำเข้า จับกุมได้ ๘๓ คดี ๑๐๑ คน ข้อหาส่งออก จับกุมได้ ๔ คดี ๕ คน ข้อหาจำหน่าย จับกุมได้ ๒,๙๑๗ คดี ๔,๑๕๑ คน ข้อหาครอบครองเพื่อจำหน่าย จับกุมได้ ๗,๘๙๒ คดี ๙,๖๘๕ คน และข้อหาครอบครอง จับกุมได้ ๑๗,๗๘๖ คดี ๑๙,๓๔๐ คน และการดำเนินการตามมาตรการยึดทรัพย์สินนักค้ายาเสพติดทั่วประเทศ เป้าหมาย ๘,๐๐๐ คดี มีผลการดำเนินการทั้งสิ้น ๘๒๓ คดี มูลค่าทรัพย์สิน ๔๐๘.๑ ล้านบาท ๕. แผนงานที่ ๕ ความร่วมมือระหว่างประเทศ ได้แก่ ๕.๑ การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านยาเสพติด ครั้งที่ ๓๒ ณ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นการประชุมตามพันธกรณีภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียนด้านยาเสพติด ๕.๒ การประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านอาชญากรรมข้ามชาติ (AMMTC) ครั้งที่ ๘ ณ ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นประเทศที่มีบทบาทนำ (Lead Shephard) ในสาขายาเสพติด ซึ่งเป็น ๑ ใน ๘ สาขาภายใต้กรอบความร่วมมือด้านอาชญากรรมข้ามชาติ ๕.๓ การจัดสัมมนาระหว่างประเทศว่าด้วยการพัฒนาทางเลือกที่ยั่งยืน ณ จังหวัดเชียงราย และเชียงใหม่ เพื่อพัฒนาทางเลือกที่ยั่งยืนเผยแพร่พระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้านการแก้ปัญหาการปลูกพืชเสพติด สำหรับเป็นแบบอย่าง และนำไปประยุกต์ใช้ในแต่ละประเทศ ๕.๔ การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๑๙ ณ ประเทศอินโดนีเซีย ที่ประชุมได้มีการรับรองและลงนามในเอกสาร “ASEAN - JAPAN PLAN OF ACTION 2011 - 2015” ในประเด็นด้านยาเสพติดจะเสริมสร้างความเข้มแข็งในความร่วมมือด้านอาชญากรรมข้ามชาติระหว่างประเทศอาเซียน อาทิ การลักลอบค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ เป็นต้น ผ่านเวทีการประชุมด้านอาชญากรรมข้ามชาติกับญี่ปุ่น จีน และสาธารณรัฐเกาหลี ๕.๕ การประชุมหัวหน้าหน่วยปราบปรามยาเสพติดสำหรับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ณ ประเทศอินเดีย เป็นการประชุม Subsidiary Body ของกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิก ภายใต้กรอบสหประชาชาติ ๖. แผนงานที่ ๖ การสกัดกั้นยาเสพติด กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ได้จัดตั้งชุดพัฒนาสัมพันธ์มวลชน (ชพส.) จำนวน ๑๐๗ ชุด เพื่อเข้าปฏิบัติการมวลชนสัมพันธ์ในพื้นที่เป้าหมาย ๑๐๗ ตำบล ๑,๐๗๐ หมู่บ้าน ซึ่งเป็นหมู่บ้านชายแดนและมีความเสี่ยงเกี่ยวข้องกับยาเสพติดและความมั่นคง ขั้นตอนแรกของการดำเนินการคือ การสืบสภาพ และค้นหาปัญหายาเสพติดของหมู่บ้านชายแดนเป้าหมาย ๗. แผนงานที่ ๗ การบริหารจัดการแบบบูรณาการ ศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดจังหวัดในแต่ละระดับได้จัดประชุมเพื่อเตรียมความพร้อมและบูรณาการหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
786 | ร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ปรับปรุงประเภทของหน่วยงานราชการที่ได้รับการยกเว้นภาษีประจำปีและนิรโทษกรรมภาษีประจำปีที่ค้างชำระของหน่วยงานราชการ) และร่างพระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ปรับปรุงประเภทของหน่วยงานราชการที่ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียม และภาษีประจำปีและนิรโทษกรรมค่าธรรมเนียมและภาษีประจำปีค้างชำระของหน่วยงานราชการ) จำนวน 2 ฉบับ | คค | 15/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ จำนวน ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ดังนี้
๑. ร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดมิให้นำมาตรา ๒๓ เกี่ยวกับการห้ามมิให้ผู้ใดประกอบการขนส่งประจำทาง การขนส่งไม่ประจำทาง การขนส่งโดยรถขนาดเล็ก หรือการขนส่งส่วนบุคคล เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียน มาใช้บังคับแก่การขนส่งส่วนบุคคลซึ่งหน่วยงานของรัฐ มหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษา วัด มัสยิด มิซซัง มูลนิธิ สภากาชาดไทย และสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล เป็นผู้ประกอบการขนส่ง แต่ผู้ประกอบการขนส่งต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติอื่นแห่งพระราชบัญญัตินี้เสมือนดังเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งส่วนบุคคลทุกประการ ๑.๒ กำหนดให้รถที่ใช้ในการขนส่งส่วนบุคคลของส่วนราชการ องค์กรตามรัฐธรรมนูญ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ องค์การมหาชน หน่วยงานอื่นของรัฐตามที่กำหนดในกฎกระทรวง วัด มัสยิด มิซซัง มูลนิธิ และสภากาชาดไทย ให้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี ๑.๓ กำหนดให้บรรดาภาษีประจำปีของรถของหน่วยงานตามมาตรา ๘๘ แห่งพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ที่ค้างชำระไว้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้เป็นอันระงับไป ๒. ร่างพระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๒.๑ กำหนดให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมและภาษีประจำปีให้แก่รถของส่วนราชการ องค์กรตามรัฐธรรมนูญ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ องค์การมหาชน และหน่วยงานอื่นของรัฐ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ทั้งนี้ เฉพาะรถที่มิได้ใช้ในทางการค้าหรือหากำไร ๒.๒ กำหนดให้บรรดาค่าธรรมเนียมและภาษีประจำของรถของหน่วยงานตามมาตรา ๙ (๓) แห่งพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ที่ค้างชำระไว้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้เป็นอันระงับไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
787 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 1/2555 | นร | 15/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ในภูมิภาค ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๕ ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งได้มีการพิจารณาเรื่องต่าง ๆ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ๑.๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลังเร่งพิจารณารายละเอียดโครงการรถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพ - เชียงใหม่ โดยกำหนดรูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนตามที่ได้มีการตกลงร่วมกันเมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ รวมทั้งศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA) และทำการศึกษาความเหมาะสมทางการเงินและเศรษฐศาสตร์ของโครงการโดยละเอียด ๑.๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ศึกษาและสำรวจเส้นทางของการพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (Motorway) เส้นทางเชียงใหม่ - เชียงราย โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองเพื่อเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน ๑.๑.๓ ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) พิจารณาความเป็นไปได้ในการเร่งรัดแผนการพัฒนารถไฟทางคู่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยคำนึงถึงข้อจำกัดด้านขีดความสามารถในการลงทุนของภาครัฐ และขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ๑.๑.๔ ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) พิจารณาเพิ่มเส้นทาง เด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ ภายใต้แผนการพัฒนาโครงการพัฒนารถไฟทางคู่ของประเทศไทย โดยคำนึงถึงความเหมาะสมและความเป็นไปได้ ๑.๒ การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ๑.๒.๑ ให้สำนักงานสภาความความมั่นคงแห่งชาติพิจารณาเรื่องการยกระดับจุดผ่อนปรนกิ่วผาวอก และจุดผ่อนปรนบ้านห้วยต้นนุ่นเป็นจุดผ่านแดนถาวร เพื่อให้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบทั้งมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง และความพร้อมของประเทศเพื่อนบ้าน ๑.๒.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงมหาดไทยประสานสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ในการจัดตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อดำเนินการเปิดจุดผ่านแดนถาวรระหว่างกัน และให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องด้านการอำนวยความสะดวกและการบริหารจัดการบริเวณด่านพรมแดนเตรียมความพร้อมรองรับการยกระดับจุดผ่อนปรนบ้านฮวกเป็นจุดผ่านแดนถาวร ๑.๒.๓ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกับกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลังเร่งรัดการพิจารณาร่างกฎหมายที่เหมาะสมสำหรับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษในประเทศไทย โดยรวมถึงเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ๑.๓ การส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการ ๑.๓.๑ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการรับไปพิจารณาเตรียมความพร้อมในการประกาศให้ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็น Year of MICE (Meeting, Incentive, Convention, and Exhibition) หรือธุรกิจการจัดประชุม การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล การแสดงสินค้าและนิทรรศการตั้งแต่ระดับเล็ก จนถึงระดับใหญ่อย่างระดับชาติ หรือระดับนานาชาติ ๑.๓.๒ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเร่งดำเนินการศึกษาเพื่อกำหนดรูปแบบการบริหารจัดการศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้เกิดความชัดเจนและมีความพร้อมก่อนการเปิดตัวใช้งานในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ ๑.๓.๓ ให้กระทรวงคมนาคม (สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร) กระทรวงมหาดไทย (กรมโยธาธิการและผังเมือง) จังหวัดเชียงใหม่ และเทศบาลนครเชียงใหม่ จัดทำแนวทางการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนในเขตผังเมืองรวมจังหวัดเชียงใหม่ โดยนำผลการศึกษาจากโครงการจัดทำแผนแม่บทและออกแบบเพื่อการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนเชียงใหม่ ของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๐ มาประกอบการจัดทำแนวทางการพัฒนา ๑.๓.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและสถาบันการศึกษาในพื้นที่ อาทิ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นต้น ร่วมกันดำเนินโครงการฝึกอบรมภาษาต่างประเทศที่มีความจำเป็นให้กับมัคคุเทศก์อย่างต่อเนื่อง โดยประสานกับสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) ๑.๓.๕ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงมหาดไทยจัดทำปฏิทินท่องเที่ยวภูมิภาคและสนับสนุนกิจกรรมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นและส่งเสริมการท่องเที่ยวในเชิงกลุ่มพื้นที่ ๑.๔ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการน้ำ (กยน.) รับข้อเสนอของคณะกรรมการ กกร. เกี่ยวกับโครงการสร้างฝายชะลอน้ำแบบบูรณาการ เพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในพื้นที่ลุ่มน้ำยม และการบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตรและป้องกันน้ำท่วมอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นเอกภาพ ไปพิจารณาในรายละเอียดตามขั้นตอนต่อไป ๑.๕ การพัฒนาตลาดทุนไทย ๑.๕.๑ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาความเหมาะสมในการเพิ่มข้อกำหนดเรื่อง การยกเว้นการหักภาษี ณ ที่จ่าย เงินปันผล ดอกเบี้ย ให้กับบริษัทและกองทุนที่ลงทุนข้ามชาติ (Offshore Holding Company and Funds) ในอนุสัญญาภาษีซ้อนระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า และอนุสัญญาภาษีซ้อนระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ๑.๕.๒ ให้กระทรวงการคลังเป็นเจ้าภาพร่วมกับสภาธุรกิจตลาดทุนไทยในการให้ความรู้พื้นฐานทางการเงินแก่ผู้ประกอบการและประชาชนภาคเหนือตอนบน เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของโครงการ และขยายกลุ่มเป้าหมายให้รวมถึงกองทุนหมู่บ้าน ๑.๕.๓ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของที่ประชุมไปเร่งรัดการพัฒนาตลาดพันธบัตรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โดยสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องของผู้บริหาร อปท. ผู้นำชุมชน ผู้ประกอบการ และประชาชนเกี่ยวกับการจัดทำระบบบัญชีที่ดี โดยคำนึงถึงความพร้อมของ อปท. ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติที่ประชุมต่อไป โดยให้รายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งกำกับดูแลกรมประชาสัมพันธ์ไปประสานงานกับผู้เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการประชาสัมพันธ์สนับสนุนการดำเนินงานของภาคเอกชน เช่น กกร. สทท. และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เป็นต้น ในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาคดังกล่าวด้วย ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายชุมพล ศิลปอาชา) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นต้น เพื่อจัดทำแผนงานด้านการท่องเที่ยวในภาคเหนือในระยะยาว โดยให้มีการบูรณาการทุก ๆ มิติ เช่น การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ตลอดจนวางแผนงานเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วงที่ไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยว (low season) โดยการจัดกิจกรรมการแข่งขันกีฬา การจัดงานแสดงสินค้า เป็นต้น รวมทั้งการเร่งรัดประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
788 | รายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 (Annual Inspection Report : Fiscal Year 2011) | นร | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ (Annual Inspection Report : Fiscal Year 2011) ตามที่สำนักงานปลัดสำนักงานนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการตรวจราชการแบบบูรณาการในมิติของการบูรณาการภายใต้ประเด็นนโยบายสำคัญของผู้ตรวจราชการกระทรวง และผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ใน ๕ ประเด็น ได้แก่ การพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิต นโยบายพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว การดำเนินการตามสนับสนุนหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตร โดยผลการตรวจติดตามของผู้ตรวจราชการกระทรวง พบว่า หน่วยรับผิดชอบในระดับพื้นที่สามารถจัดการความเสี่ยงโครงการตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจราชการกระทรวงได้ครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ สำหรับผลการตรวจติดตามของผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี พบว่า หน่วยงานในระดับพื้นที่สามารถประสานการดำเนินงานร่วมกัน และเกิดความคุ้มค่าหรือเกิดมูลค่าเพิ่มในเรื่องของการประหยัดงบประมาณ ประสิทธิภาพในการดำเนินโครงการ และเกิดประโยชน์กับประชาชนในวงกว้าง ๒. ผลการตรวจราชการในมิติของการบูรณาการการตรวจราชการกรณีปัญหาเฉพาะพื้นที่ของผู้ตรวจราชการเพื่อแก้ไขปัญหาแบบเบ็ดเสร็จ ๒.๑ การแก้ไขปัญหาเรื่องโฉนดชุมชนในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และลำพูน เป็นการตรวจติดตามเพื่อเปรียบเทียบการดำเนินการโฉนดชุมชนในพื้นที่ที่ดำเนินการสำเร็จแล้ว พื้นที่ที่อยู่ระหว่างดำเนินการใกล้สำเร็จ และพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติในความรับผิดชอบของกรมป่าไม้ที่ดำเนินการยังไม่สำเร็จ ผลการตรวจติดตามปรากฏว่า ยังมีบางประเด็นปัญหาที่จำเป็นต้องแก้ไขโดยส่วนกลาง โดยผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี/ผู้ตรวจราชการกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่ตรวจพบได้รับไปประสานแก้ไขปัญหาภายในกระทรวง/กรมที่เกี่ยวข้องต่อไปแล้ว ๒.๒ การจัดการปัญหายาเสพติดในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ ผลการตรวจติดตามพบว่า สภาพปัญหายาเสพติดของจังหวัดสมุทรปราการในปัจจุบันเป็นทั้งพื้นที่ค้า พื้นที่พักยาเสพติด และพื้นที่แพร่ระบาด ซึ่งผู้ตรวจราชการได้มีข้อสั่งการให้หน่วยงานรับผิดชอบในพื้นที่รับไปดำเนินการแก้ไขปัญหาในพื้นแล้ว ส่วนปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขจากส่วนกลางเป็นเรื่องของวิธีปฏิบัติต่อเด็กและเยาวชนในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรมรับไปประสานดำเนินการแก้ไขต่อไปแล้ว ๒.๓ การจัดการปัญหาภัยพิบัติ (น้ำท่วม ดินถล่ม) ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ผลการตรวจติดตามพบว่า การเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันและเตือนภัยน้ำท่วม ดินถล่ม ของหน่วยงานต่าง ๆ ให้มีการประสานการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ เป็นสิ่งที่รัฐบาลควรให้การสนับสนุน ซึ่งผู้ตรวจราชการได้ให้ข้อเสนอแนะต่อการดำเนินการป้องกันและเตือนภัยน้ำท่วม ดินถล่ม และการบูรณาการป้องกันและเตือนภัยน้ำท่วม ดินถล่มจะประสบผลสำเร็จถ้าได้รับความร่วมมือจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีเป้าหมายร่วมกัน คือ การป้องกันและเตือนภัยน้ำท่วม ดินถล่ม ต้องรวดเร็ว แม่นยำ และเชื่อถือได้ อีกทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องรู้ว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร โดยมุ่งสู่ผลสัมฤทธิ์ คือ ประชาชนอพยพออกจากพื้นที่ประสบภัยได้ทัน มูลค่าทรัพย์สินเสียหายลดลง ๓. แนวทางการตรวจราชการแบบบูรณาการ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีควรจะต้องสามารถกระตุ้นให้จังหวัด/กลุ่มจังหวัดกำหนดโครงการภายใต้ประเด็นยุทธศาสตร์หรือกลยุทธ์ในลักษณะที่มีการบูรณาการภายใต้หลักการห่วงโซ่แห่งคุณค่า ทั้งในระดับจังหวัดด้วยกันเอง และบูรณาการกับระดับกระทรวง/กรม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้เกิดพลังในการขับเคลื่อนประเด็นยุทธศาสตร์ของจังหวัด เกิดคุณค่าและความคุ้มค่าของโครงการภาครัฐให้ได้ในโอกาสต่อไป ทั้งนี้ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจะส่งแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการฯ ให้กับทุกจังหวัด เพื่อรับทราบเป็นข้อมูล และเป็นประโยชน์ในการที่จะบูรณาการโครงการของกระทรวง/กรมกับโครงการของจังหวัด/กลุ่มจังหวัดได้อีกส่วนหนึ่ง เนื่องจากพบว่ามีโครงการที่ผู้ตรวจราชการกระทรวงเสนอไว้ในแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการ บางส่วนที่น่าจะบูรณาการหรือประสานการดำเนินการร่วมกันของหน่วยปฏิบัติในพื้นที่กับโครงการของจังหวัด/กลุ่มจังหวัดได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
789 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การป้องกันและแก้ไขปัญหาอันเกิดจากการพัฒนาอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก กรณีศึกษาในจังหวัดระยอง | สสป | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็น ตามที่เลขาธิการสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การป้องกัน และแก้ไขปัญหาอันเกิดจากการพัฒนาอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก กรณีศึกษาในจังหวัดระยอง ดังนี้ ประเด็นที่ ๑ ชะลอการขยายและก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมใหม่ที่อาจส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและมลภาวะในจังหวัดระยอง จนกว่าจะแก้ไขปัญหามลพิษไม่ให้เกินมาตรฐานที่กำหนด ประเด็นที่ ๒ เร่งฟื้นฟู บูรณะสิ่งแวดล้อมในพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกอย่างจริงจัง โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมในทุกระดับ ประเด็นที่ ๓ จัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบพิเศษในพื้นที่อุตสาหกรรมมาบตาพุดและบริเวณโดยรอบ เพื่อให้มีเอกภาพในการบริหารจัดการ ประเด็นที่ ๔ ให้ปรับปรุงผังเมืองรวมจังหวัดระยอง ประเด็นที่ ๕ จัดตั้งศูนย์ข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนา การแก้ไขและป้องกันปัญหาอันเกิดจากการพัฒนาอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก ที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย ประเด็นที่ ๖ เพิ่มบริการสาธารณสุขและสถานศึกษาในจังหวัดระยองเพื่อให้ประชาชนได้รับบริการอย่างทั่วถึงและเพียงพอ ประเด็นที่ ๗ เร่งฟื้นฟูและบริหารจัดการน้ำในภาคตะวันออกให้สามารถรองรับการใช้น้ำของภาคอุตสาหกรรม ประเด็นที่ ๘ ให้มีองค์กรติดตามการแก้ไขปัญหาอันเกิดจากการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก ๒. ความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข หน่วยงานภูมิภาคในพื้นที่และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ ดังนี้ ๒.๑ กลุ่มประเด็น : นโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดระยอง ประเด็นที่ ๑ ควรชะลอการขยายและก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมใหม่ในพื้นที่ที่อาจส่งผลกระทบต่อมลภาวะในจังหวัดระยอง ยกเว้นโรงงานที่จำเป็นต้องดำเนินการต่อเนื่อง ประเด็นที่ ๔ ให้กรมโยธาธิการและผังเมือง ดำเนินการจัดทำผังเมืองระยองให้แล้วเสร็จและประกาศใช้บังคับอย่างต่อเนื่อง และให้เทศบาลเมืองมาบตาพุดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องซึ่งรับการถ่ายโอนภารกิจปรังปรุงผังเมืองรวมบริเวณอุตสาหกรรมหลักและชุมชน จังหวัดระยอง ประเด็นที่ ๗ มอบหมายให้กรมชลประทานเร่งรัดการดำเนินงานตามแผนงานให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งรัดการบูรณาการการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ ๒.๒ กลุ่มประเด็น : การแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต ประเด็นที่ ๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งฟื้นฟูบูรณะสิ่งแวดล้อมในพื้นที่บริเวณภาคตะวันออกอย่างจริงจัง รวมทั้งบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและรัดกุม โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมทุกระดับ ประเด็นที่ ๕ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการที่มีอยู่ในปัจจุบันให้ดีขึ้นและใช้กลไกที่มีอยู่เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลเชิงรุกและให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการศูนย์เฝ้าระวัง และตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมให้แล้วเสร็จโดยเร็ว พร้อมที่จะเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับทราบ ประเด็นที่ ๖ เห็นควรให้จังหวัดระยองดำเนินการสำรวจประชากรแฝงให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพื่อจะได้ทำแผนในการดูแลคุณภาพชีวิตในทุกด้านอย่างมีประสิทธิภาพ ๒.๓ กลุ่มประเด็น : การบริหารจัดการเชิงพื้นที่ ประเด็นที่ ๓ ให้กระทรวงมหาดไทยทำการศึกษารูปแบบในการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษดังกล่าวให้แล้วเสร็จ และนำเสนอต่อคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณา ประเด็นที่ ๘ ในระดับชาติควรมอบให้คณะกรรมการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก (Eastern Seaboard) และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ รับไปดำเนินการ และในระดับพื้นที่ควรมอบหมายจังหวัดระยองรับไปดำเนินการ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
790 | รายงานผลการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | กค | 27/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. หน่วยงานภาครัฐได้ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิการเข้าใช้งานระบบจัดซื้อจัดจ้าง (e - Government Procurement : e - GP) จำนวนทั้งสิ้น ๔๘,๗๑๑ แห่ง ลงทะเบียนแล้ว ๓๔,๓๙๔ แห่ง หรือคิดเป็นร้อยละ ๗๐.๖๑ ของหน่วยงานทั้งหมด ๒. หน่วยงานภาครัฐได้ดำเนินการประกาศจัดซื้อจัดจ้าง จำนวนทั้งสิ้น ๗๗,๖๓๖ โครงการ วงเงินงบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้าง ๒๐๙,๒๕๙.๒๘ ล้านบาท มูลค่าที่จัดหาได้ ๑๙๘,๔๕๖.๗๙ ล้านบาท สามารถประหยัดเงินงบประมาณได้ถึง ๑๐,๘๐๒.๔๙ ล้านบาท หรือประหยัดได้ร้อยละ ๕.๑๖ ของวงเงินงบประมาณทั้งหมด โดยจำแนกตามประเภทต่าง ๆ ได้ดังนี้ ๒.๑ การจัดซื้อจัดจ้างจำแนกตามประเภทหน่วยงาน พบว่า ส่วนราชการมีมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างในระบบ e - GP มากที่สุด รองลงมา ได้แก่ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่น ๆ ตามลำดับ ๒.๒ การจัดซื้อจัดจ้างจำแนกตามวิธีการจัดซื้อจัดจ้าง พบว่า หน่วยงานภาครัฐมีมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธี e - Auction ในระบบ e - GP มากที่สุด รองลงมาคือ วิธีสอบราคา และวิธีประกวดราคา ตามลำดับ และเมื่อพิจารณาตามแต่ละประเภทหน่วยงาน พบว่าหน่วยงานทุกประเภทประกาศจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธี e - Auction มากที่สุดเช่นเดียวกัน แต่สัดส่วนของการจัดซื้อจัดจ้างในแต่ละวิธีเทียบกับวงเงินงบประมาณทั้งหมดจะแตกต่างกันไป โดยรัฐวิสาหกิจจะมีสัดส่วนการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธี e - Auction สูงสุดเมื่อเทียบกับหน่วยงานอื่น ในขณะที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีสัดส่วนการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีสอบราคาสูงที่สุดเมื่อเทียบกับหน่วยงานอื่น ๒.๓ การจัดซื้อจัดจ้างจำแนกจัดซื้อจัดจ้างตามประเภทการจัดหา ได้แก่ การซื้อวัสดุครุภัณฑ์ การจ้างก่อสร้าง การจ้างเหมาบริการ และการเช่า พบว่า วิธีสอบราคาและวิธีประกวดราคาส่วนใหญ่เป็นงานซื้อวัสดุครุภัณฑ์ ในขณะที่วิธี e - Auction ส่วนใหญ่เป็นงานจ้างก่อสร้าง และเมื่อจำแนกการจัดซื้อจัดจ้างตามประเภทการจัดหาของแต่ละหน่วยงาน ส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่น ๆ มีการก่อสร้างมากที่สุด รองลงมาคือ การจัดซื้อวัสดุครุภัณฑ์ ส่วนรัฐวิสาหกิจมีการจ้างก่อสร้างมากที่สุดเช่นเดียวกัน รองลงมาคือ การจ้างเหมาบริการ ๒.๔ การจัดซื้อจัดจ้างตามประเภทสินค้าและบริการ ได้แก่ วัสดุครุภัณฑ์ งานจ้างก่อสร้าง งานจ้างเหมา และงานเช่า ซึ่งมีทั้งหมด ๔๗ ประเภท พบว่า ประเภทสินค้าและบริการที่มีมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างสูงสุด คือ งานจ้างก่อสร้างและปรับปรุง รองลงมา ได้แก่ งานจ้างเหมาบริการ วัสดุครุภัณฑ์วิทยาศาสตร์และการแพทย์ วัสดุครุภัณฑ์ยานพาหนะและขนส่ง วัสดุครุภัณฑ์การศึกษา วัสดุครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์ และวัสดุครุภัณฑ์ก่อสร้าง ตามลำดับ ๒.๕ การจัดซื้อจัดจ้างตามหน่วยงานที่มีมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้าง ๑๐ อันดับสูงสุด แบ่งตามประเภทหน่วยงาน ได้แก่ ส่วนราชการระดับกรม สถานศึกษา สถานพยาบาล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พบว่า มูลค่าการจัดซื้อจัดจ้าง ๑๐ อันดับสูงสุดของส่วนราชการระดับกรมมีสัดส่วนมากถึงร้อยละ ๗๕.๖๖ เมื่อเทียบกับมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างของกรมทั้งหมด ในขณะที่สถานศึกษา สถานพยาบาล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีสัดส่วนมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้าง ๑๐ อันดับสูงสุดเพียงร้อยละ ๒๗.๘๓ ๓๑.๘๔ และ ๑๙.๖๓ ตามลำดับ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
791 | การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม อันเนื่องมาจากเหตุการณ์อุทกภัย | กษ | 27/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงินไม่เกิน ๒๐๕.๕๐ ล้านบาท โดยโอนงบประมาณดังกล่าวให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อจัดซื้อนมพาสเจอร์ไรส์ ให้เด็กนักเรียนชั้นก่อนวัยเรียนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ในเฉพาะโรงเรียนรัฐบาลในสังกัด อปท. ของกรุงเทพมหานคร จังหวัดปทุมธานี นนทบุรี และพระนครศรีอยุธยา จำนวนนักเรียนประมาณ ๕๓๒,๕๒๑ คน ได้ดื่มเพิ่มขึ้นเป็น ๒ ถุง/วัน จากเดิมที่ได้ดื่มวันละ ๑ ถุง ตามงบประมาณปกติ ในระยะเวลาเฉพาะวันเรียนจำนวน ๖๐ วันของภาคเรียนที่ ๒/๒๕๕๔ โดยให้ อปท. ดำเนินการจัดซื้อโดยวิธีกรณีพิเศษกับองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ค.ส.) เช่นเดียวกับแนวทางปฏิบัติโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การทบทวนระบบบริหารจัดการนมโรงเรียน) เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำนมโคของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมที่ได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากเหตุการณ์อุทกภัย ประมาณวันละ ๘๐ ตัน จนถึงกลางเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ ๑.๒ เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงศึกษาธิการขอความร่วมมือกับ อปท. และโรงเรียนเอกชนทั่วประเทศ ที่ได้รับงบประมาณจัดซื้ออาหารเสริม (นม) โรงเรียน ภาคเรียนที่ ๒/๒๕๕๔ จากงบปกติที่ได้รับไปแล้ว จัดซื้ออาหารเสริม (นม) ตามที่ได้รับจัดสรรงบประมาณ จำนวน ๑๓๐ วัน ของภาคเรียนนี้ให้ครบถ้วน โดยเฉพาะในจังหวัดที่เลื่อนการเปิดภาคเรียนเนื่องจากปัญหาภาวะภัยน้ำท่วม ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้กระทบต่อการบริหารจัดการนมทั้งระบบในภาพรวม เนื่องจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการได้มีข้อตกลงการรับซื้อน้ำนมดิบ หรือ MOU กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม เพื่อจัดจำหน่ายตามสิทธิที่ได้รับในโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ภาคเรียนที่ ๒/๒๕๕๔ ตลอดภาคเรียนไปแล้ว หากผู้ประกอบการไม่ได้จำหน่ายตามที่ได้รับจัดสรรอาจส่งผลให้เกิดปัญหาน้ำนมดิบล้นตลาดขึ้นอีก ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานงานกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการและกำกับดูแลการดำเนินการจัดซื้อและแจกจ่ายอาหารเสริมนมโรงเรียนให้แก่นักเรียนให้เป็นไปตามคุณภาพมาตรฐานและกลุ่มเป้าหมายที่กำหนด ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับติดตามให้ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ขออนุมัติเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนย ปี ๒๕๕๔ เพิ่มเติม) ที่ให้รับซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกรในประเทศอย่างเคร่งครัดด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
792 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี (ผู้ตรวจราชการกระทรวง) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี | นร | 27/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี จำนวน ๒ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. นางวนิดา สักการโกศล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ๒. นางอรวรรณ ขุมทรัพย์ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
793 | สรุปสถานการณ์อุทกภัย สาธารณภัย และการช่วยเหลือ (ข้อมูล ณ วันที่ 18 ธันวาคม 2554) | มท | 19/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปสถานการณ์อุทกภัย สาธารณภัย และการช่วยเหลือ ตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปสถานการณ์อุทกภัย และการช่วยเหลือ (ระหว่างวันที่ ๑๓ - ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๔) ๑.๑ ปัจจุบันมีสถานการณ์อุทกภัยและประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (อุทกภัย) ใน ๒ พื้นที่ ได้แก่ ประเทศไทยตอนบน ๘ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรสาคร และกรุงเทพมหานคร รวม ๗๔ อำเภอ ๔๗๖ ตำบล ๓,๑๑๘ หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ๑,๕๙๗,๑๐๗ ครัวเรือน ๔,๒๒๒,๖๑๐ คน และสถานการณ์อุทกภัยภาคใต้ มีพื้นที่ประสบอุทกภัยจากอิทธิพลของมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังแรงพัดปกคลุมอ่าวไทย และภาคใต้ และมีการประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ตั้งแต่วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งสิ้น ๘ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส พัทลุง และตรัง มีผู้เสียชีวิต ๑๐ ราย ปัจจุบันสถานการณ์ได้คลี่คลายแล้วอยู่ระหว่างฟื้นฟู ๑.๒. การดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท (กรณีอุทกภัย) ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ (ข้อมูล ณ วันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๔) ในส่วนของพื้นที่กรุงเทพมหานครที่ประสบอุทกภัย ๓๐ เขต กรอบครัวเรือน จำนวน ๖๒๑,๓๕๕ ครัวเรือน เป็นเงิน ๓,๑๐๖,๗๗๕,๐๐๐ บาท รวมส่งธนาคารออมสินแล้ว ๘๒,๓๔๔ ครัวเรือน เป็นเงิน ๔๑๑,๗๒๐,๐๐๐ บาท และธนาคารออมสินจ่ายเงินแล้ว ๑๙,๗๓๗ ครัวเรือน สำหรับในพื้นที่จังหวัดที่ประสบอุทกภัย ๖๒ จังหวัด กรอบครัวเรือน จำนวน ๒,๒๘๙,๕๖๒ ครัวเรือน เป็นเงิน ๑๑,๔๔๗,๘๑๐,๐๐๐ บาท กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้รวบรวมรายชื่อส่งธนาคารออมสินแล้ว ๕๘๙,๐๙๙ ครัวเรือน เป็นเงิน ๒,๙๔๕,๔๙๕,๐๐๐ บาท และธนาคารออมสินจ่ายเงินแล้ว ๒๖๕,๔๒๗ ครัวเรือน ๒. สรุปสถานการณ์ภัยหนาว (ระหว่างวันที่ ๒ พฤศจิกายน - ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๔) มีจังหวัดที่ได้ประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยหนาว) เนื่องจากมีสภาพอากาศหนาว (อุณหภูมิ ๘.๐ - ๑๕.๙ องศาเซลเซียส) ถึงหนาวจัด (อุณหภูมิต่ำกว่า ๘.๐ องศาเซลเซียส) ในพื้นที่ ๑๓ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน แพร่ น่าน ตาก พะเยา อุตรดิตถ์ กาฬสินธุ์ บุรีรัมย์ มุกดาหาร เลย สกลนคร และจังหวัดนครพนม รวม ๑๓๑ อำเภอ ๙๘๕ ตำบล ๙,๙๒๘ หมู่บ้าน สำหรับการให้ความช่วยเหลือ จังหวัด พร้อมด้วยอำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เหล่ากาชาด องค์กร มูลนิธิ สมาคม ได้ระดมการช่วยเหลือโดยการจัดหาผ้าห่มและเครื่องกันหนาวให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
794 | ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ พ.ศ. .... | ศธ | 19/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณในส่วนของบทเฉพาะกาลเกี่ยวกับการโอนทรัพย์สินหรืองบประมาณ ควรกำหนดระยะเวลาในการดำเนินการไว้ให้ชัดเจนด้วย เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามแผนงานที่สอดคล้องกับการงบประมาณและตามปฏิทินงบประมาณในแต่ละปี ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป สำหรับสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติฯ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้รวมมหาวิทยาลัยราชภัฏกาฬสินธุ์ ตามกฎหมายว่าด้วยมหาวิทยาลัยราชภัฏ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตกาฬสินธุ์ ตามกฎหมายว่าด้วยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล มาจัดตั้งเป็นมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ มีฐานะเป็นนิติบุคคลและเป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ๑.๒ กำหนดวัตถุประสงค์ อำนาจหน้าที่ การแบ่งส่วนราชการ อำนาจในการปกครอง ดูแล บำรุงรักษา ใช้และจัดหาผลประโยชน์จากทรัพย์สินของมหาวิทยาลัย ๑.๓ กำหนดให้มหาวิทยาลัยมีรายได้ส่วนหนึ่งจากเงินกองทุนที่รัฐบาลหรือมหาวิทยาลัยจัดตั้งขึ้น เงินอุดหนุนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคเอกชน ๑.๔ กำหนดองค์ประกอบของสภามหาวิทยาลัย วาระการดำรงตำแหน่ง และการพ้นจากตำแหน่งของนายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการสภามหาวิทยาลัย อำนาจและหน้าที่ของสภามหาวิทยาลัย และให้มีคณะกรรมการพิจารณาตำแหน่งทางวิชาการ สภาคณาจารย์ และคณะกรรมการนโยบายวิชาการ ๑.๕ กำหนดตำแหน่งทางวิชาการ กำหนดปริญญาและเครื่องหมายวิทยฐานะ ๑.๖ กำหนดบทเฉพาะกาลเกี่ยวกับการโอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ ภาระผูกพัน งบประมาณและรายได้ องค์ประกอบสภามหาวิทยาลัย การดำรงตำแหน่งของผู้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ การโอนบรรดาข้าราชการและพนักงาน การคงฐานะของบรรดาคณะกรรมการ สิทธิการเข้าสู่ตำแหน่งของผู้ดำรงตำแหน่ง การยุบเลิกตำแหน่ง ตลอดจนข้อบังคับ ระเบียบ หรือประกาศต่าง ๆ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรมีการศึกษาความเป็นไปได้ในการหลอมรวม ยุบรวมสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ เพื่อให้มีความมั่นใจว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยที่มีคุณภาพ เกิดความคุ้มค่า และเกิดประโยชน์ต่อชุมชนและท้องถิ่นอย่างแท้จริง รวมทั้งควรจัดทำแผนบริหารจัดการทรัพยากรที่บูรณาการในมิติพื้นที่ทั้งด้านสถานศึกษา ด้านบุคลากร ด้านหลักสูตรการเรียนการสอน ด้านงบประมาณ และด้านการการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งติดตามประเมินผลการหลอมรวม ยุบรวมสถาบันอุดมศึกษา เพื่อนำมาปรับปรุง พัฒนาแนวทางและการบริหารจัดการให้เกิดความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุดต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
795 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | นร | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชนในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำแนกตามประเด็นสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน จำแนกตามช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ (๔ ช่องทาง) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีจำนวน ๑๒๙,๕๒๖ ครั้ง โดยผ่านช่องทางสายด่วนของรัฐบาล ๑๑๑๑ มากที่สุด รองลงมา คือ ช่องทางเว็บไซต์ (http://WWW.1111.go.th) ช่องทางตู้ ปณ. ๑๑๑๑/ไปรษณีย์/โทรสาร และช่องทางจุดบริการประชาชน ๑๑๑๑ ตามลำดับ ๑.๒ จำนวนเรื่องร้องทุกข์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ประชาชนร้องทุกข์ในประเภทเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๘๖,๕๖๒ เรื่อง โดยร้องทุกข์ในประเภทเรื่องหลักด้านสังคมและสวัสดิการสังคมมากที่สุด รองลงมาคือ ด้านการเมือง - การปกครอง และด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามลำดับ สำหรับประเภทเรื่องรองที่ประชาชนร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ สาธารณูปโภค รองลงมาคือ กล่าวโทษหรือร้องเรียนเจ้าหน้าที่ของรัฐ และสังคมเสื่อมโทรม ตามลำดับ ส่วนประเภทเรื่องย่อยที่ประชาชนร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ ขอให้ซ่อมแซมไฟฟ้ากับขยายและติดตั้งปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า รองลงมาคือ ขอให้แก้ไขปัญหาอุทกภัยแบบครบวงจร และการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่และการอำนวยความสะดวกในการให้บริการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เหตุเดือนร้อนรำคาญจากเสียงดัง กลิ่นเหม็น และฝุ่นละอองจากบ้านเรือนและผู้ประกอบการ การแจ้งเบาะแสการลักลอบจำหน่ายยาเสพติดให้โทษ ตามลำดับ ๑.๓ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการของหน่วยงาน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวกับหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๒๗,๑๐๘ เรื่อง โดยหน่วยงานที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ บ่อนการพนัน ยาเสพติด และการอำนวยความสะดวกในการให้บริการและการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ของข้าราชการตำรวจ) รองลงมาคือ กระทรวงสาธารณสุข (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ การอำนวยความสะดวกในการให้บริการและการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์ และการขอความช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในส่วนที่อยู่นอกเหนือสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาล) และกระทรวงพาณิชย์ (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ ขอให้แก้ไขปัญหาสินค้าเพื่อการอุปโภค - บริโภคขาดแคลนและมีราคาสูง และขอให้ปรับเพิ่มราคารับซื้อข้าวเปลือกและพืชผลทางการเกษตร) ๑.๔ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการของรัฐวิสาหกิจ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ รัฐวิสาหกิจที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ ขอให้ปรับปรุงการให้บริการของพนักงานรถโดยสารเอกชนร่วมบริการ และขอให้เพิ่มจำนวนรถโดยสารประจำทาง) รองลงมาคือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ ขอให้ปรับปรุงซ่อมแซมระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและค่าปรับของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการอำนวยความสะดวกในการให้บริการของพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) (ประเด็นที่มีการเสนอเรื่องมาก ได้แก่ ชมเชยการให้บริการของเจ้าหน้าที่ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน การปรับปรุงซ่อมแซมโทรศัพท์สาธารณะ และขยายเขตการให้บริการโทรศัพท์ รวมทั้งแก้ไขปัญหาสัญญาณโทรศัพท์ขัดข้อง) ๑.๕ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และจังหวัด ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับ อปท. และจังหวัดต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๒๐,๔๘๑ เรื่อง โดย อปท. และจังหวัดที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญจากเสียง/กลิ่นเหม็น และฝุ่นละอองจากร้านรับซื้อของเก่า และบ้านเรือน การปรับปรุงซ่อมแซมถนน และการอำนวยความสะดวกในการให้บริการของเจ้าหน้าที่สำนักงานเขต และเทศกิจ) รองลงมาคือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ ขอความช่วยเหลือในการจัดหาเครื่องอุปโภค - บริโภค เรือ กระสอบทราย ฯลฯ โดยเร่งด่วน และให้เร่งรัดการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและซ่อมแซมที่อยู่อาศัยภายหลังน้ำลด) และจังหวัดสงขลา (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ การเร่งรัดให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยและวาตภัย และการปรับปรุงซ่อมแซมและขยายถนน) ๒. เห็นชอบให้กระทรวงและจังหวัดนำข้อมูลเรื่องราวร้องทุกข์จากฐานข้อมูลในระบบการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ของศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี รวมทั้งข้อมูลเรื่องร้องทุกข์ของแต่ละหน่วยงานเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการกำหนดนโยบาย แผนงาน โครงการของกระทรวงและจังหวัดตามลำดับความสำคัญ จำเป็น และเหมาะสมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
796 | มาตรการให้ความช่วยเหลือลูกค้า ธ.ก.ส. ที่ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม ปี 2554 เพิ่มเติมจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2554 | กค | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม ปี ๒๕๕๔ เพิ่มเติมจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๔ (เรื่อง มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย ปี ๒๕๕๔) กรณีลูกค้าด้านสถาบัน ได้แก่ สหกรณ์การเกษตร สหกรณ์นอกภาคเกษตร กลุ่มบุคคล (วิสาหกิจชุมชน) กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดย ธ.ก.ส. จะขยายเวลาการชำระหนี้เงินกู้ (หนี้เงินกู้เดิมที่มีอยู่ก่อนประสบภัย) เป็นเวลา ๓ ปี ตั้งแต่ปีบัญชี ๒๕๕๔ - ๒๕๕๖ และงดคิดดอกเบี้ยเงินกู้เป็นเวลา ๓ ปี ตั้งแต่ปีบัญชี ๒๕๕๔ - ๒๕๕๖ ซึ่ง ธ.ก.ส. จะขอชดเชยดอกเบี้ยจากรัฐบาลในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๓ ต่อปี รวมทั้งการให้เงินกู้ใหม่เพื่อการฟื้นฟูการผลิต โดยสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการฟื้นฟูการผลิตในอัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษ คือ MLR - 1 ซึ่งเท่ากับร้อยละ ๔ ต่อปี ซึ่ง ธ.ก.ส. จะขอชดเชยดอกเบี้ยจากรัฐบาลในอัตราร้อยละ ๑ ต่อปี เป็นเวลาไม่เกิน ๓ ปี ๑.๒ อนุมัติกรอบวงเงินชดเชยดอกเบี้ยจากรัฐบาล จำนวน ๔,๔๔๓.๒๒ ล้านบาท ๒. ให้ ธ.ก.ส. ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
797 | สรุปผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย | นร | 12/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับเรื่อง การพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณการฟื้นฟู เยียวยา จากสถานการณ์อุทกภัย สำหรับโครงการที่ดำเนินการได้ทันทีภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๕ เป็นเงินรวม ๒๐,๑๑๐.๕๕๗๒ ล้านบาท และรับทราบผลการดำเนินงานของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติซึ่งได้กำหนดเป้าหมายสำคัญเร่งด่วนในการช่วยเหลือประชาชน สถานประกอบการ และแรงงานภาคเกษตร/อุตสาหกรรมให้สามารถกลับมากระตุ้นเศรษฐกิจได้โดยเร็ว การช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบให้สามารถตั้งหลักได้โดยเร็ว และการซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายให้กลับมาใช้การได้ รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาแผนงาน/โครงการ ได้แก่ มีความสอดคล้องกับเป้าหมายสำคัญเร่งด่วน มีความพร้อมในการดำเนินการ และความซ้ำซ้อนในการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ ตลอดจนมีข้อเสนอแนะเพื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาและดำเนินการเกี่ยวกับการจัดส่งข้อมูลตัวเลขบัตรประจำตัวประชาชน ๑๓ หลัก ของประชาชนที่จะได้รับเงินชดเชยให้กระทรวงมหาดไทย เพื่อรวบรวมข้อมูลของประชาชนในแต่ละพื้นที่ที่ต้องการรับความช่วยเหลือจากรัฐ การติดตามสถานประกอบการที่ได้รับความช่วยเหลือตามมาตรการของรัฐให้สามารถกลับมาดำเนินการได้เป็นปกติโดยเร็ว การดำเนินการเกี่ยวกับรูปแบบรายการ คุณลักษณะเฉพาะ การกำหนด TOR การจัดทำ EIA/HIA และกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างไว้เป็นการล่วงหน้า เป็นต้น และมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ตามที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. หากส่วนราชการใดพิจารณาเห็นว่า ยังมีโครงการใดที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ต้องดำเนินการโดยทันทีภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๕ เพิ่มเติมด้วย และเป็นโครงการที่อยู่ในกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติเห็นชอบไว้แล้ว เช่น โครงการของกระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวกับการซ่อมแซมโรงเรียนให้สามารถเปิดการเรียนการสอนได้ตามกำหนด เป็นต้น ให้ส่วนราชการนั้นรีบแจ้งสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติอีกครั้งหนึ่ง แล้วนำเสนอรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ประธานกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) พิจารณา หากเห็นชอบด้วย ก็ให้ดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ โครงการที่จะเสนอเพิ่มเติมจะต้องเป็นโครงการที่อยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ ๕ ประการ คือ ๒.๑ เป็นโครงการที่จำเป็นต้องดำเนินการทันที เพื่อเป็นการช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา และแก้ไขซ่อมแซมของเดิมที่ชำรุดเสียหายอันเนื่องจากเหตุอุทกภัยโดยตรง ๒.๒ เป็นโครงการที่ไม่มีความซ้ำซ้อนกับโครงการอื่นของส่วนราชการนั้น หรือกับส่วนราชการอื่น ๒.๓ เป็นโครงการที่มีความสำคัญเร่งด่วนที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้เกิดรายได้และการจ้างงานแก่ชุมชนและประชาชนโดยตรง และไม่เป็นโครงการในลักษณะการจัดฝึกอบรม/สัมมนาภายในแก่ข้าราชการ/เจ้าหน้าที่ของส่วนราชการ ๒.๔ เป็นโครงการที่ไม่กระทบเกี่ยวข้องกับการจัดทำแผนการดำเนินงานเพื่อวางระบบการบริหารทรัพยากรน้ำของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ โดยส่งโครงการให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำพิจารณาก่อน ๒.๕ ไม่เป็นโครงการที่สามารถดำเนินการได้โดยใช้งบประมาณปกติของส่วนราชการ หรืองบประมาณจากแหล่งอื่น ๆ เช่น เงินกองทุน เงินของชุมชนหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น ๓. มอบหมายดำเนินการในระดับจังหวัด ดังนี้ ๓.๑ ให้แต่ละจังหวัดที่เกี่ยวข้องเร่งรัดตรวจสอบความเสียหายของประชาชนทั้งในด้านที่อยู่อาศัย พืชผลการเกษตรและปศุสัตว์ และเร่งรัดติดตามการดำเนินการจ่ายเงินชดเชยช่วยเหลือให้ตกถึงมือประชาชนผู้ได้รับผลกระทบโดยผ่านระบบบัญชีธนาคารให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ต้องกำหนดให้มีระบบการตรวจสอบการดำเนินการในระดับพื้นที่ให้ถูกต้อง โดยมีส่วนร่วมของชุมชนและประชาคมในพื้นที่ด้วย ๓.๒ ในกรณีที่จังหวัดใดมีความประสงค์จะปรับเปลี่ยนแผนงาน/โครงการ ตามคำขอของจังหวัดให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น ให้เสนอโครงการให้คณะกรรมการระดับจังหวัดและรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลจังหวัดพิจารณา แล้วส่งไปยังสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แล้วนำเสนอรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ประธาน กฟย. พิจารณา หากเห็นชอบด้วย ก็ให้ดำเนินการต่อไปได้ ๔. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการการดำเนินการตรวจราชการร่วมกับทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น โดยให้จัดทำแผนการตรวจติดตามการดำเนินการช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย และรายงานผลการตรวจติดตามผ่านรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลจังหวัด แล้วรายงานให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะทุก ๆ ๒ สัปดาห์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
798 | การดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2555 | มท | 06/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงคมนาคม โดยศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เสนอ สรุปสาระสำคัญของแผนฯ ได้ดังนี้
๑. ช่วงเวลาการดำเนินการรณรงค์ช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๕ ระหว่างวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๔ - ๔ มกราคม ๒๕๕๕ รวม ๗ วัน ๒. เป้าหมายการดำเนินการ เพื่อให้สามารถลดจำนวนครั้งของการเกิดอุบัติเหตุทางถนน ผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ (Admit) ระหว่างวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๔ - ๔ มกราคม ๒๕๕๕ ให้ลดลงร้อยละ ๕ ๓. มาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน (เน้นหนัก) ให้หน่วยงานส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตามมาตรการเน้นหนัก ๕ มาตรการ ได้แก่ มาตรการด้านการบริหารจัดการ มาตรการด้านการบังคับใช้กฎหมาย มาตรการด้านวิศวกรรมจราจร มาตรการด้านประชาสัมพันธ์ และมาตรการด้านการแพทย์ฉุกเฉินและการกู้ชีพ ๔. ช่วงเวลาในการดำเนินงาน ประกอบด้วย ช่วงเตรียมความพร้อม ระหว่างวันที่ ๑ - ๘ ธันวาคม ๒๕๕๔ ให้จังหวัดเตรียมความพร้อมทั้งด้านการปฏิบัติและงบประมาณเพื่อการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๕ ตามมาตรการเน้นหนัก และช่วงปฏิบัติการเข้มข้น ระหว่างวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๔ - ๔ มกราคม ๒๕๕๕ ให้มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๕ ระดับจังหวัด อำเภอ และศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๕ ส่วนกลาง ณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การจัดจุดตรวจ/ด่านตรวจร่วมแบบบูรณาการ การตั้งจุดสกัดประจำชุมชน หมู่บ้าน และการจัดตั้งหน่วยงานสนับสนุนและบริการประชาชน เป็นต้น ๕. แผนการดำเนินงาน ให้ทุกจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการโดยใช้งบประมาณปกติของแต่ละหน่วยงาน ดังนี้ ๕.๑ แผนงานที่ ๑ การจัดตั้งศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๕ ณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ศูนย์ปฏิบัติการร่วมป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๕ ระดับจังหวัด อำเภอ ๕.๒ แผนงานที่ ๒ การจัดตั้งจุดตรวจร่วม/ด่านตรวจร่วม บนเส้นทางสายหลัก (เส้นทางหลวงแผ่นดิน) สายรอง (เส้นทางหลวงชนบท และเส้นทางขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) ๕.๓ แผนงานที่ ๓ การจัดตั้งจุดสกัดประจำชุมชน หมู่บ้าน โดยให้เทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบลเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหัวหน้าชุมชน หมู่บ้าน ภาคประชาชนทำการตั้งจุดสกัดประจำชุมชน หมู่บ้าน เพื่อเป็นการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนเบื้องต้นในระดับพื้นที่ ๕.๔ แผนงานที่ ๔ การตั้งหน่วยสนับสนุน และบริการประชาชนระดับพื้นที่ ได้แก่ จังหวัด อำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
799 | การดำเนินการแก้ไขปัญหาสถานการณ์น้ำท่วมและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย | ทส | 06/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการแก้ไขปัญหาสถานการณ์น้ำท่วมและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินงานสนับสนุนเครื่องสูบน้ำและระบายน้ำในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ๑.๑ กรมทรัพยากรน้ำบริหารจัดการเครื่องสูบน้ำพร้อมปฏิบัติการติดตั้งและสนับสนุนการดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ โดยปัจจุบันได้ติดตั้งและเดินเครื่องสูบน้ำในพื้นที่โรงผลิตน้ำประปามหาสวัสดิ์ คลองทวีวัฒนา โครงการชลประทานภาษีเจริญ และดอนเมือง รวมจำนวน ๑๐๖ เครื่อง มีปริมาณการสูบน้ำ จำนวน ๒๗๘,๒๖๒ ลูกบาศก์เมตร/วัน ๑.๒ กรมทรัพยากรน้ำได้ประสานผู้ว่าราชการจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเอกชน เพื่อรวบรวมเครื่องสูบน้ำในพื้นที่และมอบบุคลากรดูแลเครื่องสูบน้ำระหว่างสูบระบายน้ำในการกู้พื้นที่ประสบอุทกภัยในบริเวณกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยได้ดำเนินการติดตั้งเครื่องสูบน้ำในพื้นที่เป้าหมายจังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรสาคร พระนครศรีอยุธยา และกรุงเทพมหานคร จำนวน ๒๑๙ เครื่อง โดยได้เดินเครื่องเพื่อสูบน้ำ จำนวน ๑๓๙ เครื่อง ปริมาณการสูบน้ำได้ ๘๒๖,๐๒๘ ลูกบาศก์เมตร/วัน ๒. การฟื้นฟูสภาพแวดล้อมในพื้นที่ประสบอุทกภัยภายหลังน้ำลด กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ดำเนินการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมในพื้นที่ประสบอุทกภัยภายหลังน้ำลด โดยมีผลการปฏิบัติงานตั้งแต่วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ถึงวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๔ ได้แก่ การฟื้นฟูเก็บขยะและทำความสะอาดในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร บางเขน บางพลัด นนทบุรี จังหวัดปทุมธานี และพระนครศรีอยุธยา การจัดเตรียมอาหารเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย การซ่อมแนวกระสอบทราย และสร้างแนวกระสอบทราย รวมทั้งการขนย้ายสิ่งของที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม เป็นต้น ๓. แผนการเตรียมการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและฟื้นฟูความเสียหายจากอุทกภัยภายหลังน้ำลด ประกอบด้วย ภารกิจหลัก ได้แก่ การแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสีย การระบายน้ำ ภารกิจสนับสนุน ได้แก่ การดำเนินโครงการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัยและจัดหาน้ำดื่มสะอาด การเตรียมการในการฟื้นฟูความเสียหายจากอุทกภัย และการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ประสบอุทกภัย โดยนำเสนอโครงการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ประสบอุทกภัยต่อสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งมาตรการอื่นในการช่วยเหลือประชาชน ได้แก่ การนำไม้ของกลางมาช่วยบูรณะซ่อมแซมบ้านพัก และการเว้นค่าธรรมเนียมการต่อใบอนุญาตต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
800 | ร่างข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและแนวทางการจัดตั้งมหาวิทยาลัยของรัฐโดยการหลอมรวม ยุบรวม สถาบันอุดมศึกษา | ศธ | 06/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและแนวทางการจัดตั้งมหาวิทยาลัยของรัฐ โดยการหลอมรวม ยุบรวม สถาบันอุดมศึกษา ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สำหรับสาระสำคัญของร่างข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและแนวทางการจัดตั้งมหาวิทยาลัยของรัฐฯ มีดังนี้ ๑.๑ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย โดยหลักการไม่ควรมีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยของรัฐใหม่ แต่ควรใช้วิธีการยุบรวม หลอมรวม ยกฐานะสถาบันอุดมศึกษาในการจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ โดยรัฐควรสนับสนุนการสร้างความเข้มแข็งให้กับมหาวิทยาลัยที่มีอยู่แล้ว โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยใหม่ และวิทยาเขตต่าง ๆ เพื่อให้เป็นสถานศึกษาที่มีคุณภาพ มีความคล่องตัวในการบริหารจัดการทั้งการบริหารทั่วไปและการบริหารวิชาการโดยมีแผนการดำเนินงาน ทิศทางและงบประมาณในการพัฒนาด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องและใช้การจัดสรรงบประมาณอุดมศึกษาเป็นเครื่องมือในการกำหนดทิศทางการพัฒนาของมหาวิทยาลัย ๑.๒ นโยบาย และวิธีการในการหลอมรวม ยุบรวม ๑.๒.๑ สถานภาพของมหาวิทยาลัยที่เกิดจากการหลอมรวม ยุบรวม ควรเป็นมหาวิทยาลัยเฉพาะทาง (Specialized University) ที่เป็นประโยชน์ต่อท้องถิ่น มุ่งสนองการผลิตบัณฑิตในสาขาที่เป็นความต้องการของท้องถิ่น และเป็นมหาวิทยาลัยที่ได้รับความร่วมมือจากท้องถิ่นและทุกภาคส่วน ในรูปของการสนับสนุนด้านทรัพยากร เช่น งบประมาณในสัดส่วนที่เหมาะสม (ร้อยละ ๕๐ - ๗๐) ของบุคลากร ที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง ตลอดจนการมีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรและการพัฒนามหาวิทยาลัย เป็นต้น สำหรับกรณีเป็นมหาวิทยาลัยของกลุ่มจังหวัด จะต้องได้รับความเห็นร่วมจากกลุ่มจังหวัด เกี่ยวกับสถานที่จัดตั้งและสาขาวิชาที่จะเปิดสอนเพื่อให้เป็นมหาวิทยาลัยที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อกลุ่มจังหวัดอย่างแท้จริง ๑.๒.๒ การดำเนินงานประกอบด้วย (๑) ต้องมีการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study) ในการหลอมรวม ยุบรวม เพื่อให้มีความมั่นใจว่าจะได้มหาวิทยาลัยใหม่ที่มีคุณภาพ และได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง (๒) ต้องมีการวางแผนแม่บท (Master Plan) อย่างเป็นระบบทั้งด้านบริหาร ด้านกายภาพ ด้านวิชาการ ด้านการเงินและด้านบุคลากร (๓) ระบบบริหารตามแผนแม่บทต้องเป็นระบบที่มีธรรมาภิบาล สามารถสรรหาผู้บริหารที่มีภาวะผู้นำสูงที่จะนำมหาวิทยาลัยให้มีความก้าวหน้าในทิศทางที่เป็นประโยชน์ต่อพื้นที่และต่อประเทศในภาพรวม (๔) ต้องมีระบบในการบริหารเป้าหมายในการรับนักศึกษาเพื่อให้จำนวนรับ สอดคล้องกับนโยบายของท้องถิ่นและของประเทศ และ (๕) อาจใช้การสร้างเป็นวิทยาเขตที่สามารถพัฒนาให้เกิดคุณภาพขึ้น ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย ประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. และฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ที่เห็นควรมีการศึกษาความเป็นไปได้และความต้องการจากทุกภาคส่วนในสังคมและในพื้นที่เพื่อให้การจัดตั้งมหาวิทยาลัยเกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาคน ชุมชน ท้องถิ่นและประเทศชาติ การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินความพร้อมในการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) การประสานและส่งเสริม อปท. ให้สามารถจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับนโยบายและได้มาตรฐานการศึกษา การเสนอแนะการจัดสรรงบประมาณอุดหนุนในการจัดการศึกษาของ อปท. การมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพทางด้านการศึกษา ศักยภาพ ประสิทธิภาพ และไม่ก่อให้เกิดภาระงบประมาณเพิ่มขึ้นทั้งด้านบุคลากรและการลงทุนในระยะยาว การกำหนดแนวทางเพื่อไม่ให้สถาบันการศึกษาของรัฐไปจัดตั้งหรือขยายวิทยาเขตในพื้นที่ที่มีการหลอมรวม ยุบรวม สถาบันอุดมศึกษา การกำหนดเงื่อนไขให้มีการเสนอแผนบริหารจัดการทรัพยากรที่บูรณาการในมิติพื้นที่ทั้งด้านสถานศึกษา ด้านบุคลากร ด้านหลักสูตรการเรียนการสอน ด้านงบประมาณ ด้านการบริหารจัดการ ด้านความต้องการของตลาดแรงงาน ตลอดจนการติดตามประเมินผลการหลอมรวม ยุบรวมสถาบันอุดมศึกษาที่ผ่านมาเพื่อนำมาปรับปรุง พัฒนา แนวทางในการดำเนินการให้เกิดความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุด และเห็นควรคำนึงถึงสถานที่ตั้งและการจัดการเรียนการสอนทางไกลของสถานศึกษาของรัฐ เอกชน และต่างประเทศในพื้นที่ประกอบด้วย นอกจากนี้ ในการหลอมรวมหรือยุบรวมต้องไม่ทำให้เกิดมหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้นอีก ๑ แห่ง รวมทั้งจะต้องกำหนดให้ชัดเจนว่ามหาวิทยาลัยที่เกิดจากการหลอมรวมหรือยุบรวมจะมีความเฉพาะทางที่เป็นประโยชน์ต่อท้องถิ่นอย่างไร และกำหนดเงื่อนไขให้มีการเสนอแผนการพัฒนาคุณภาพการศึกษา แผนบูรณาการทรัพยากร และแผนการติดตามประเมินผล ก่อนการดำเนินการทุกครั้ง ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. การจัดตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นใหม่ ให้ใช้แนวทางการหลอมรวม ยุบรวม สถาบันอุดมศึกษา ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ |
.....