ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 33 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 641 - 660 จากข้อมูลทั้งหมด 2031 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
641 | รายงานผลการตรวจติดตามการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา | คค | 04/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการตรวจติดตามการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปสถานการณ์ปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา โดยจังหวัดนครราชสีมาได้ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน จำนวน ๒๙ อำเภอ ๒๒๔ ตำบล ๒,๓๗๙ หมู่บ้าน ยกเว้นอำเภอปากช่อง ครบุรี และเสิงสาง มีราษฎรได้รับความเดือดร้อน จำนวน ๑๔๔,๖๘๐ ครัวเรือน และพื้นที่การเกษตรได้รับผลกระทบ จำนวน ๙๒๖,๒๓๓ ไร่ ๒. ผลการดำเนินงานและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ในส่วนของน้ำเพื่ออุปโภคและบริโภค ได้สนับสนุนยานพาหนะและเครื่องมืออุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งให้แก่อำเภอ ได้แก่ เครื่องสูบส่งน้ำระยะไกล (๓-๕ กม.) เพื่อเพิ่มน้ำต้นทุนในการผลิตประปา รถบรรทุกน้ำ เครื่องสูบน้ำเพื่อการเกษตร เครื่องสูบน้ำเพื่ออุปโภค ขุดเจาะบ่อบาดาล และสนับสนุนถังแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำหรับน้ำเพื่อการเกษตรกรรม ได้สำรวจความเสียหายและทำรายการและขอรับความช่วยเหลือ โดยใช้เงินงบกลาง (กรมส่งเสริมการเกษตร) จำนวน ๖๖๓,๓๗๕ ไร่ เกษตรกร ๕๘,๐๒๙ ราย วงเงิน ๔๑๓,๘๒๓,๖๗๕ บาท ได้แก่ ข้าว ๖๑๒,๕๙๕ ไร่ เกษตรกร ๕๓,๙๗๐ ราย พืชไร่ ๔๙,๖๑๐ ไร่ เกษตรกร ๓,๘๙๗ ราย พืชสวนและอื่น ๆ ๑๒,๑๖๙ ไร่ เกษตรกร ๕๖,๓๖๐ ราย ๓. ข้อเสนอแนะเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งแบบยั่งยืน ได้แก่ โครงการสำรวจออกแบบการประปาชุมชนแบบยั่งยืน โดยเน้นให้สถาบันการศึกษาเป็นผู้ดำเนินการและประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โครงการพัฒนาแหล่งน้ำแบบต่อเนื่อง เพื่อยกระดับน้ำในแม่น้ำเพื่อการบริโภคอุปโภค และเพื่อการเกษตร และการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วม
|
||||||||||||||||||||||||
642 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2509 | มท | 04/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๐๙ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๔๒ ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๐๙ เพื่อกำหนดลักษณะ ชนิด และประเภทของเครื่องแบบ และระเบียบในการแต่งเครื่องแบบของกรรมการหมู่บ้าน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้รับข้อสังเกตของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงฯ ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๔๒) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๐๙ ดังนั้น ข้อความ “ให้เพิ่มข้อความต่อไปนี้เป็นหมวด ๔/๑ เครื่องแบบกรรมการหมู่บ้าน ข้อ ๑๑/๑ แห่งกฎกระทรวง (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๔๒” ในร่างข้อ ๑ ควรแก้เป็น “ให้เพิ่มข้อความต่อไปนี้เป็นหมวด ๔/๑ เครื่องแบบกรรมการหมู่บ้าน ข้อ ๑๑/๑ แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๔๒) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๐๙” ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
643 | ขอความเห็นชอบวงเงินโครงการ พร้อมขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ (โครงการแก้ไขปัญหาการจราจรฝั่งธนบุรี ย่านศิริราช ย่านบ้านช่างหล่อ และย่านอรุณอัมรินทร์ ตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ) | มท | 28/05/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นชอบวงเงินโครงการ พร้อมอนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ (โครงการแก้ไขปัญหาการจราจรฝั่งธนบุรี ย่านศิริราช ย่านบ้านช่างหล่อ และย่านอรุณอัมรินทร์ ตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ) ดังนี้ ๑.๑ โครงการต่อขยายสะพานอรุณอมรินทร์พร้อมทางขึ้น-ลง และทางยกระดับข้ามแยกศิริราช ในวงเงิน ๑,๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ระยะเวลาดำเนินการ ๓ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๕๙) โดยค่าชดเชยที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และค่าก่อสร้างจำนวน ๑,๒๗๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้ใช้งบประมาณสัดส่วนเงินอุดหนุนรัฐบาล ร้อยละ ๑๐๐ โดยให้กรุงเทพมหานครใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ซึ่งสำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว และให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ตามความจำเป็นที่ต้องใช้จ่ายในแต่ละปีต่อไป สำหรับค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงาน จำนวน ๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของกรุงเทพมหานคร โดยดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานของทางราชการต่อไป ๑.๒ โครงการก่อสร้างขยายผิวจราจรของถนนสุทธาวาส และสะพานข้ามถนนจรัลสนิทวงศ์ ในวงเงิน ๓๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ระยะเวลาดำเนินการ ๓ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๕๙) ให้ใช้งบประมาณสัดส่วนเงินอุดหนุนรัฐบาล ร้อยละ ๑๐๐ โดยให้กรุงเทพมหานครใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ซึ่งสำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว และให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ตามความจำเป็นที่ต้องใช้จ่ายในแต่ละปีต่อไป ทั้งนี้ การกำหนดการจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวอยู่นอกเหนือจากสัดส่วนเงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้กรุงเทพมหานคร ให้กรุงเทพมหานครนำเสนอคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณาตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร รับความเห็นของกระทรวงกลาโหมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างทดแทนสิ่งปลูกสร้างของกองทัพเรือที่ได้รับผลกระทบต่อพื้นที่และสิ่งปลูกสร้างจากโครงการดังกล่าว และเห็นว่ากรุงเทพมหานครควรให้ความสำคัญกับการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ และการดำเนินมาตรการเพื่อลดผลกระทบต่อสถานที่ราชการและประชาชนที่อยู่อาศัยในบริเวณแนวสายทางอย่างเคร่งครัด รวมทั้งควรประสานกับกระทรวงคมนาคมในการพิจารณาความเชื่อมโยงของโครงข่ายถนนโดยรอบเพื่อให้สามารถบรรเทาปัญหาจราจรในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งกำหนดแนวทางหรือมาตรการเพื่อลดผลกระทบจากการดำเนินการก่อสร้างโครงข่ายคมนาคมขนส่งในบริเวณกรุงเทพมหานครและปริมณฑลโดยเฉพาะการก่อสร้างถนนยกระดับและการก่อสร้างรถไฟฟ้า ๑๐ สายทาง ตามนโยบายรัฐบาล เช่น การให้บริการจุดจอดแล้วจรฟรีชั่วคราวให้แก่ประชาชนในช่วงก่อสร้าง การจัดรถบริการสาธารณะพิเศษในเส้นทางก่อสร้าง การเปิดเส้นทางลัด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
644 | ร่างพระราชบัญญัติสถาบันวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. .... | ศธ | 28/05/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติสถาบันวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้สถาบันเป็นนิติบุคคลและเป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ซึ่งจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่ต่ำกว่าปริญญาโดยวิทยาลัยชุมชน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การศึกษา ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อสร้างความเข้มแข็งของท้องถิ่นและชุมชน ตอบสนองและสอดคล้องกับความต้องการของท้องถิ่นและชุมชน ๑.๒ กำหนดให้สถาบันแบ่งส่วนราชการออกเป็น สำนักงานสถาบันวิทยาลัย ส่วนราชการอื่น ๆ และให้การจัดตั้ง การรวม การโอนหรือการยุบเลิกวิทยาลัยหรือส่วนราชการอื่นจัดทำเป็นกฎกระทรวง เว้นแต่การแบ่งส่วนราชการภายในให้ทำเป็นประกาศสถาบัน ๑.๓ กำหนดให้สถาบันมีรายได้นอกจากเงินที่กำหนดไว้ในงบประมาณแผ่นดิน ได้แก่ เงินผลประโยชน์ ค่าธรรมเนียม เบี้ยปรับ ค่าปรับ และค่าบริการต่าง ๆ ของสถาบัน เงินอุดหนุนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือเงินอุดหนุนที่สถาบันได้รับเพื่อใช้ในการดำเนินกิจการของสถาบัน เงินและทรัพย์สินซึ่งมีผู้อุทิศให้ เป็นต้น และให้รายได้ของมหาวิทยาลัยไม่เป็นรายได้ที่นำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ ๑.๔ กำหนดให้มีสภาสถาบัน ประกอบด้วย นายกสภาสถาบัน กรรมการโดยตำแหน่ง กรรมการซึ่งเลือกจากผู้แทนภาคเอกชน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ กำหนดคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการได้มา วาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งนายกสภาสถาบันและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและภาคเอกชนเป็นไปตามที่กำหนด และให้สภาสถาบันมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๕ กำหนดให้มีสภาวิชาการ สภาวิทยาลัย และคณะกรรมการส่งเสริมกิจการวิทยาลัย โดยมีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด และให้จำนวน คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการได้มา วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง ตลอดจนการประชุม เป็นไปตามที่กำหนด ๑.๖ กำหนดให้มีผู้อำนวยการสถาบันเป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบการบริหารงานของสถาบัน กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหา วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามให้เป็นไปตามข้อบังคับของสถาบัน และให้ผู้อำนวยการมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๗ กำหนดให้วิทยาลัยซึ่งเป็นส่วนราชการในสถาบันมีหน้าที่จัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่ต่ำกว่าปริญญา และฝึกอบรมด้านวิชาการหรือด้านวิชาชีพ และให้วิทยาลัยบริหารและจัดการศึกษาบนพื้นฐานของการประสานความร่วมมือระหว่างรัฐกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชน ตลอดจนการระดมทรัพยากรและการสนับสนุน ๑.๘ กำหนดห้ามมิให้วิทยาลัยปฏิเสธการรับบุคคลเข้าศึกษาในวิทยาลัยหรือยุติหรือชะลอการศึกษาของนักศึกษาด้วยเหตุเพียงว่าผู้นั้นขาดแคลนทุนทรัพย์เพื่อจ่ายค่าธรรมเนียมการศึกษา สำหรับหลักเกณฑ์การพิจารณาว่านักศึกษาผู้ใดเป็นผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ให้เป็นไปตามระเบียบที่สภาสถาบันกำหนด ๑.๙ กำหนดให้มีผู้อำนวยการวิทยาลัยซึ่งแต่งตั้งจากผู้มีคุณสมบัติตามที่กำหนด หลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาเป็นไปตามข้อบังคับของสถาบัน วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง และให้ผู้อำนวยการมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๑๐ กำหนดบทเฉพาะกาลเกี่ยวกับการโอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน งบประมาณฯ การโอนบรรดาข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้างของส่วนราชการ การดำรงตำแหน่งประธานกรรมการและกรรมการต่าง ๆ การได้รับอนุปริญญาและประกาศนียบัตร ตลอดจนกฎกระทรวง กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ หรือหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ๒. ให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาความเหมาะสมในการตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีและเงินอุดหนุนสำหรับการดำเนินกิจการของสถาบันวิทยาลัยชุมชนในส่วนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
|
||||||||||||||||||||||||
645 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "มาตรการเร่งด่วนในการจัดการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เมื่อเกิดวิกฤตภัย" | สสป | 21/05/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "มาตรการเร่งด่วนในการจัดการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เมื่อเกิดวิกฤตภัย" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ สภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ สมาคมโรงแรมไทย สมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเตรียมความพร้อมก่อนเกิดวิกฤตภัย ได้แก่ กำหนดแผนการแก้ไขปัญหาวิกฤตต่าง ๆ ที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมทั้งในระยะสั้น กลาง และยาว เสริมสร้างบทบาทขององค์กรภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องด้านการท่องเที่ยวให้มีความเข้มแข็งและเป็นองค์กรหลักในการพัฒนาการท่องเที่ยวในระดับประเทศและนานาชาติทั้งในยามปกติและเกิดวิกฤตภัย จัดตั้งศูนย์การข่าวและการประชาสัมพันธ์ เพิ่มประสิทธิภาพในการนำนักท่องเที่ยวเข้าประเทศโดยสร้างความเข้มแข็งแก่สายการบิน และสร้างความสะดวกด้านการเดินทาง และบูรณาการความพร้อมในการอำนวยความปลอดภัย ในกรณีเกิดวิกฤตภัย และแผนการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพร้อมไปกับผู้ประกอบการ ๒. การดำเนินการในช่วงวิกฤตภัย ได้แก่ การสื่อข่าวและประชาสัมพันธ์ต้องเป็นเอกภาพจากแหล่งข่าวเดียว มีความชัดเจนถูกต้อง เสนอข่าวที่สร้างความน่าเชื่อถือจากข้อมูลที่อ้างอิงได้ในระดับสากล ร่วมประชาสัมพันธ์ข่าวและกิจกรรมการท่องเที่ยวที่เป็นปัจจุบันของพื้นที่ท่องเที่ยวให้เห็นภาพข้อเท็จจริงว่ายังคงปลอดภัยและน่าท่องเที่ยว รวมทั้งควบคุมการนำเสนอข่าวของสื่อต่าง ๆ ให้เป็นไปโดยเอกภาพจากศูนย์การข่าวที่จัดตั้งขึ้นเป็นหลัก และให้องค์กรภาคเอกชนด้านการท่องเที่ยวเป็นแกนหลักในการดำเนินการเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว ๓. การดำเนินการภายหลังวิกฤตภัย ได้แก่ สร้างความเชื่อมั่นโดยส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศในระดับชาติและนานาชาติโดยทันทีหลังเหตุการณ์คลี่คลาย มีมาตรการเยียวยา ฟื้นฟู และกระตุ้นการท่องเที่ยวที่ควรนำมาใช้หลังเกิดวิกฤตภัยและดำเนินการอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย ๖ เดือน ประกอบด้วย การเยียวยาผู้ประกอบการในด้านการเงินและภาษีที่รัฐควรดำเนินการ จัดหาแหล่งเงินทุน และผ่อนปรนเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมสามารถกู้เงินได้จริงในทางปฏิบัติ เป็นต้น รวมทั้งกระตุ้นบทบาทให้เกิดการใช้จ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดอบรมภายในประเทศ และส่งเสริมการจัดประชุมนานาชาติและสร้างกิจกรรมในระดับนานาชาติเพื่อดึงดูดการท่องเที่ยว ตลอดจนใช้นโยบายส่งเสริมการตลาดให้ภาคเอกชน เช่น การให้รางวัลแก่ผู้ประกอบการที่มีความสามารถนำนักท่องเที่ยวเข้าประเทศและสร้างรายได้ให้กับประเทศเป็นจำนวนมาก ๆ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
646 | รายงานการรับและการใช้จ่ายเงินรายได้ที่ไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 - 2552 (ฉบับปรับปรุง) ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 170 | กค | 21/05/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานการรับและการใช้จ่ายเงินรายได้ที่ไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๒ (ฉบับปรับปรุง) ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๗๐ โดยกระทรวงการคลังได้พิจารณาทบทวนข้อมูลรายชื่อหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งและดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๒ ซึ่งต้องจัดทำรายงานฯ มีจำนวนทั้งสิ้น ๔๒๑ แห่ง และ ๔๓๗ แห่ง ตามลำดับ โดยไม่นับรวมกรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่มีลักษณะการปกครองพิเศษ และมีจำนวนหน่วยงานที่ต้องดำเนินการรวบรวมรายงานเป็นจำนวนมาก ประกอบกับกรมบัญชีกลางเริ่มมีการจัดเก็บข้อมูลทางการเงินของหน่วยงานดังกล่าวอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นต้นไป ดังนั้น จึงไม่มีข้อมูลทางการเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๒ ที่จะนำมาใช้ในการรายงานเสนอคณะรัฐมนตรีได้อย่างครบถ้วน และเห็นสมควรแจ้งให้หน่วยงานของกรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดทำรายงานฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๒ เสนอต่อคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาโดยตรงต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังเสนอเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง เมื่อได้ดำเนินการครบถ้วนตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแล้ว ๒. รับทราบปัญหาและอุปสรรคในการจัดทำรายงานฯ ได้แก่ ความชัดเจนของคำนิยาม “หน่วยงานของรัฐ” และความหลากหลายของประเภทหน่วยงาน ตามนัยมาตรา ๑๗๐ แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทำให้มีข้อจำกัดในการพิจารณาว่าครอบคลุมถึงหน่วยงานใดบ้างที่จะต้องดำเนินการจัดทำรายงานฯ รวมทั้งข้อจำกัดในการตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูลของหน่วยงานต่าง ๆ และให้กระทรวงการคลังเร่งรัดหน่วยงานที่ยังมิได้จัดส่งรายงานการรับและการใช้จ่ายเงินฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๒ ๓. ให้กระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกันพิจารณากฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องในการกำหนดแนวทางปฏิบัติในการจัดทำรายงานการรับและการใช้จ่ายเงินฯ เพื่อใช้เป็นมาตรการให้คณะรัฐมนตรีสามารถดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรา ๑๗๐ ของรัฐธรรมนูญฯ ได้อย่างครบถ้วน ถูกต้อง |
||||||||||||||||||||||||
647 | รายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ไตรมาสที่ 2 (ตุลาคม 2555 - มีนาคม 2556) | กค | 14/05/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไตรมาสที่ ๒ (ตุลาคม ๒๕๕๕-มีนาคม ๒๕๕๖) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เป้าหมายการเบิกจ่ายไตรมาสที่ ๒ รายจ่ายภาพรวม ร้อยละ ๔๔.๐๐ ของวงเงินงบประมาณ และรายจ่ายลงทุน ร้อยละ ๒๕.๐๐ ของงบประมาณรายจ่ายลงทุน มีการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑,๒๑๒,๖๘๖.๕๕ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕๐.๕๓ ของวงเงินงบประมาณ จำนวน ๒,๔๐๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายร้อยละ ๖.๕๓ โดยเป็นการเบิกจ่ายรายจ่ายประจำ จำนวน ๑,๐๖๓,๕๙๗.๙๔ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕๓.๑๘ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๑,๙๙๙,๘๖๖.๖๔ ล้านบาท และการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุน จำนวน ๑๔๙,๐๘๘.๖๑ ล้านบาท หรือร้อยละ ๓๗.๒๖ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๔๐๐,๑๓๓.๓๖ ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายรายจ่ายลงทุนร้อยละ ๑๒.๒๖ ๒. เงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีและขยายเวลาเบิกจ่ายเงิน ประกอบด้วย เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๕๕ จำนวนเงินรวมทั้งสิ้น ๓๐๐,๒๓๖.๓๐ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑๕๘,๘๙๐.๙๔ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕๒.๙๒ ของวงเงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี ทั้งนี้ การเบิกจ่ายเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ รายการที่ควรให้ความสำคัญ ได้แก่ งบกลาง : รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยาฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ จำนวน ๑๒๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๑๑,๘๒๔.๖๖ ล้านบาท ดังนั้น ตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ มีการเบิกจ่ายรวมทั้งสิ้น จำนวน ๑๑๑,๕๘๓.๓๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๒.๙๙ ของวงเงินที่จัดสรร ๓. เงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๒,๘๖๕.๘๙ ล้านบาท ๔. เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๕๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๕,๑๙๗.๓๔ ล้านบาท ๕. การเบิกจ่ายเงินของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเพื่อโอนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๖ เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑๔๘,๑๐๖.๘๘ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๖.๙๒ ของวงเงินงบประมาณ ๒๒๑,๓๐๖.๙๒ ล้านบาท ๖. การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เดือนมีนาคม ๒๕๕๖ เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๖๐,๓๑๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๖.๙ ของแผนการลงทุนทั้งปี จำนวน ๓๕๗,๐๑๘ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
648 | รายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปี 2555 | ผผ | 07/05/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปี ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการพิจารณาสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องต่าง ๆ พร้อมทั้งข้อสังเกตหรือข้อเสนอแนะที่เสนอต่อหน่วยงานของรัฐ โดยผู้ตรวจการแผ่นดินได้รับเรื่องร้องเรียนไว้พิจารณาดำเนินการตรวจสอบหาข้อเท็จจริงรวมทั้งสิ้น ๓,๕๔๔ เรื่อง และสามารถดำเนินกระบวนการพิจารณาแล้วเสร็จได้ ๒,๒๒๗ เรื่อง หรือคิดเป็นกว่าร้อยละ ๖๓ ของเรื่องร้องเรียนทั้งหมดที่รับไว้ดำเนินการ ๒. ผลการปฏิบัติของหน่วยงานของรัฐที่ได้ดำเนินการหรือไม่ดำเนินการตามข้อสังเกตหรือข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยหน่วยงานที่ถูกร้องเรียนส่วนใหญ่มักจะให้ความร่วมมือในการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน สร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้ร้องเรียน ตลอดจนเป็นการปรับปรุงแก้ไขวิธีการปฏิบัติราชการให้มีความถูกต้องและเป็นธรรมมากยิ่งขึ้นในหลายกรณี ๓. ความร่วมมือจากหน่วยงานในการชี้แจงข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียน ที่ผ่านมาหน่วยงานของรัฐจำนวนหนึ่งที่ตระหนักในความสำคัญของกระบวนการแก้ไขปัญหาตามคำร้องเรียนที่มีต่อหน่วยงานตน แต่ก็มีหน่วยงานที่ยังคงเพิกเฉยไม่ให้ความร่วมมือกับผู้ตรวจการแผ่นดินในการชี้แจงข้อเท็จจริงหรือการส่งเอกสารหลักฐานที่จำเป็นต่อการพิจารณา ในกรณีนี้ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจพิจารณาใช้มาตรการบังคับทางกฎหมายตามที่บทบัญญัติมาตรา ๔๕ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๕๒ ได้กำหนดบทลงโทษไว้ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาความทุกข์ร้อนของประชาชนเกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อไป ๔. ผลการดำเนินงานด้านจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ (รวมราชการส่วนท้องถิ่น) โดยได้ดำเนินการเสนอแนะหรือให้คำแนะนำในการจัดทำหรือปรับปรุงประมวลจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองส่งประมวลจริยธรรมแล้ว ๑๔,๗๘๒ หน่วย ยังไม่ได้ส่ง ๙๒๗ หน่วย ส่วนเจ้าหน้าที่ของรัฐส่งประมวลจริยธรรมแล้ว ๗,๓๑๐ หน่วย ยังไม่ได้ส่ง ๗๐๔ หน่วย สำหรับการส่งเสริมให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีจิตสำนึกในด้านจริยธรรม ได้มีโครงการและกิจกรรมในการขับเคลื่อนแผนพัฒนาความซื่อตรงแห่งชาติไปสู่การปฏิบัติในระดับจังหวัด โครงการพัฒนาผู้นำคุณธรรม ความร่วมมือในการดำเนินงานตามจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โรงเรียนต้นแบบด้านคุณธรรมจริยธรรม และโครงการคนดีแห่งแผ่นดิน ทั้งนี้ การตรวจสอบการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมของผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้ประกาศระเบียบผู้ตรวจการแผ่นดินว่าด้วยการไต่สวนและเปิดเผยการไต่สวนสาธารณะ พ.ศ. ๒๕๕๓ ลงในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๑๒๘ ตอนที่ ๕ ก ๒๑ มกราคม ๒๕๕๔ ๕. ผลการดำเนินงานด้านการติดตามประเมินผลการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้ดำเนินการติดตามการตรากฎหมายตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ กฎหมายที่ดำเนินการทั้งหมด จำนวน ๓๐๒ ฉบับ สำหรับการติดตามผลการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรการหรือโครงการตามรัฐธรรมนูญทั้งหมด จำนวน ๓,๔๑๓ งาน/โครงการ ๖. แนวทางในการพัฒนาการดำเนินงานของผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนในเชิงระบบ การสอบสวนข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียนเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้แก่ผู้ร้องเรียน การพัฒนางานด้านจริยธรรม การติดตามและประเมินผลการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ และการพัฒนาสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินให้เป็นองค์กรที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ
|
||||||||||||||||||||||||
649 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. .... | นร09 | 30/04/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ให้ยกเลิกกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๕๐ ๒. กำหนดภารกิจและอำนาจหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ๓. กำหนดให้ส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ประกอบด้วย สำนักงานเลขาธิการ กองกฎหมายและระเบียบราชการ กองกิจการองค์การมหาชนและหน่วยงานของรัฐรูปแบบอื่น กองติดตามและประเมินผลการพัฒนาระบบราชการ กองบริหารการเปลี่ยนแปลงและนวัตกรรม กองเผยแพร่และสนับสนุนการมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบราชการ กองพัฒนาระบบราชการ ๑ กองพัฒนาระบบราชการ ๒ กองพัฒนาระเบียบราชการส่วนภูมิภาคและความสัมพันธ์กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกองส่งเสริมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ ๔. กำหนดให้มีกลุ่มตรวจสอบภายใน กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร และศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต ในสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ขึ้นตรงต่อเลขาธิการ ก.พ.ร. |
||||||||||||||||||||||||
650 | ร่างแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. 2556 - พ.ศ. 2561) | นร12 | 23/04/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๖ ที่เห็นชอบแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. ๒๕๕๖-พ.ศ. ๒๕๖๑) และให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐนำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. ๒๕๕๖-พ.ศ. ๒๕๖๑) ใช้เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินภารกิจของหน่วยงานต่อไป ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ โดยแบ่งประเด็นยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทยได้เป็น ๗ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การสร้างความเป็นเลิศในการให้บริการประชาชน ประกอบด้วยกลยุทธ์การพัฒนาระบบการให้บริการประชาชน เสริมสร้างวัฒนธรรมการให้บริการที่เป็นเลิศ และพัฒนาระบบการจัดการข้อร้องเรียนและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การพัฒนาองค์การให้มีขีดสมรรถนะสูงและทันสมัย บุคลากรมีความเป็นมืออาชีพ ประกอบด้วยกลยุทธ์การพัฒนาหน่วยงานของรัฐให้มีขีดสมรรถนะสูง พัฒนาระบบบริหารจัดการกำลังคนและพัฒนาบุคลากรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบราชการ เพิ่มผลิตภาพในการปฏิบัติราชการ โดยการลดต้นทุนและส่งเสริมนวัตกรรม และสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินทรัพย์ของภาครัฐให้เกิดประโยชน์สูงสุด ประกอบด้วยกลยุทธ์การบริหารสินทรัพย์ของภาครัฐอย่างครบวงจรเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ คุ้มค่า และสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงของภาครัฐ ๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การวางระบบการบริหารงานราชการแบบบูรณาการ ประกอบด้วยกลยุทธ์การออกแบบและพัฒนาระบบการบริหารงานแบบบูรณาการ และปรับปรุงความสัมพันธ์และประสานความร่วมมือระหว่างราชการบริหารส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น ๑.๕ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ การส่งเสริมระบบการบริหารกิจการบ้านเมืองแบบร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชน ประกอบด้วยกลยุทธ์การทบทวนภารกิจและอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐให้เหมาะสม ถ่ายโอนภารกิจงานและกิจกรรมที่ภาครัฐไม่จำเป็นต้องปฏิบัติเองให้ภาคส่วนต่าง ๆ และส่งเสริมการบริหารราชการระบบเปิดและการสร้างเครือข่าย ๑.๖ ยุทธศาสตร์ที่ ๖ การยกระดับความโปร่งใสและสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาในการบริหารราชการแผ่นดิน ประกอบด้วยกลยุทธ์การส่งเสริมและวางกลไกสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการ ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และมาตรการในการต่อต้านคอร์รัปชัน ๑.๗ ยุทธศาสตร์ที่ ๗ การสร้างความพร้อมของระบบราชการไทยเพื่อเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ประกอบด้วยกลยุทธ์การพัฒนาระบบบริหารงานของหน่วยงานที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์เพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อยกระดับธรรมาภิบาลในภาครัฐของประเทศสมาชิกอาเซียน ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีที่เห็นควรมีแผนในด้านการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนบุคลากรภาครัฐและภาคเอกชน (Talent mobility) ซึ่งสามารถเชื่อมโยงได้ทั้งสองทางจากภาครัฐไปสู่ภาคเอกชนและจากภาคเอกชนไปสู่ภาครัฐ ควรมีการฝึกอบรมบุคลากรในสายงานประเภทบริหารและสายงานประเภทวิชาการให้มีความรู้ความเข้าใจในงานของอีกสายงานด้วย ควรมีแผนในด้านการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐเพื่อทดแทนบุคลากรที่จะพ้นไปจากระบบราชการในอนาคต ทั้งจำนวนกำลังคนและสมรรถนะที่ต้องการ เช่น แผนการสืบทอดตำแหน่ง (Succession plan) และความก้าวหน้าในอาชีพ (Career path) เป็นต้น รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการนำวิธีการบริหารจัดการภาครัฐสมัยใหม่ หรือรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-government) และการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเข้ามาใช้ในการให้บริการประชาชน (e-service) เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการ |
||||||||||||||||||||||||
651 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร01 | 23/04/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน ในไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประชาชนแจ้งเรื่องผ่านช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ [๔ ช่องทาง ได้แก่ ช่องทางสายด่วนของรัฐบาล ๑๑๑๑ ช่องทางตู้ ปณ.๑๑๑๑/ไปรษณีย์/โทรสาร ช่องทางเว็บไซต์ (www.1111.go.th) และช่องทางจุดบริการประชาชน ๑๑๑๑] รวมทั้งสิ้น ๒๖,๘๗๕ ครั้ง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ เรื่องขอให้ซ่อมแซมไฟฟ้ากับขยายและติดตั้งปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า รองลงมาคือ เหตุเดือดร้อนรำคาญ และการแสดงความเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐกรณีคัดค้านเนื้อหาของร่างกฎหมายที่แก้ไขวาระการดำรงตำแหน่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านให้ดำรงตำแหน่งคราวละ ๕ ปี ตามลำดับ ๒. หน่วยงานที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ๓ ลำดับแรก ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รองลงมาคือ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงอุตสาหกรรม ตามลำดับ รัฐวิสาหกิจ ได้แก่ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ รองลงมาคือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ตามลำดับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและจังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร รองลงมาคือ จังหวัดปทุมธานี และนนทบุรี ตามลำดับ ๓. จำนวนเรื่องร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นเรียงตามลำดับประเภทเรื่องที่มีการร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นมากที่สุด ๑๐ ลำดับแรก ได้แก่ สาธารณูปโภค ๓,๒๕๓ เรื่อง สังคมเสื่อมโทรม ๒,๒๕๔ เรื่อง การแสดงความเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐ ๒,๒๐๘ เรื่อง สวัสดิการสงเคราะห์ ๘๘๘ เรื่อง การกล่าวโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐทุจริต ๘๑๙ เรื่อง ร้องเรียนการให้บริการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ๘๑๙ เรื่อง การประพฤติตนไม่เหมาะสมของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ๗๘๐ เรื่อง การใช้อำนาจของหน่วยงานของรัฐ ๖๓๙ เรื่อง การพนัน ๕๓๔ เรื่อง และการเกษตร ๔๕๕ เรื่อง |
||||||||||||||||||||||||
652 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (จำนวน 17 คน 1. นายสุรัฐ ศิลปอนันต์ ฯลฯ) | ศธ | 23/04/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน ๑๗ คน ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๓ เมษายน ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายสุรัฐ ศิลปอนันต์ ประธานกรรมการ ๒. นายแสวง บุญมากาศ กรรมการผู้แทนองค์กรเอกชน ๓. นายนุชากร มาศฉมาดล กรรมการผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๔. นายสรัลชา ศรีชลวัฒนา กรรมการผู้แทนองค์กรวิชาชีพ ๕. นายมีชัย วีระไวทยะ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๖. นายวินัย รอดจ่าย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๗. นายสมยศ มีเทศน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๘. นายสมหมาย ปาริจฉัตต์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๙. นายสุนันท์ เทพศรี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๐. นายชลอ กองสุทธิ์ใจ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๑. นายปราโมทย์ แก้วสุข กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๒. นายสุกรี เจริญสุข กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๓. นายอาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๔. นางบุญศรี พานะจิตต์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๕. นายพงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๖. นายวุฒิสาร ตันไชย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๗. พระพรหมดิลก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
|
||||||||||||||||||||||||
653 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลคลองตำหรุ อำเภอเมืองชลบุรี และตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... | อก | 09/04/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลคลองตำหรุ อำเภอเมืองชลบุรี และตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลคลองตำหรุ อำเภอเมืองชลบุรี และตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ เมื่อการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ดำเนินการครบถ้วนตามเงื่อนไขที่กำหนดตามมาตรา ๓๖/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า เนื่องจากการดำเนินการดังกล่าว เป็นการนำพื้นที่ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไปใช้เพื่อประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ร่วมกับภาคเอกชน จึงควรเป็นไปตามข้อตกลงยินยอมในรายละเอียดร่วมกับกระทรวงการคลัง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประชาชน และหน่วยงานผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ โดยมีการพิจารณาหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดเป็นหลักการในเบื้องต้น ขณะที่การพิจารณาในรายละเอียดอื่น ๆ อาทิ ราคาประเมินที่ดิน ควรมีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงตามราคาตลาดในปัจจุบัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
654 | รายงานผลการตรวจติดตามการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ และจังหวัดบุรีรัมย์ ระหว่างวันที่ 10 - 11 มีนาคม 2556 | พน | 09/04/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการตรวจติดตามการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิและจังหวัดบุรีรัมย์ ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จังหวัดชัยภูมิ ๑.๑ ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของจังหวัดชัยภูมิตั้งอยู่ตอนบนสุดของที่ราบสูงโคราช ทำให้ลักษณะภูมิประเทศร้อยละห้าสิบเป็นที่ราบสูง อีกร้อยละห้าสิบประกอบด้วยป่าไม้และภูเขา เมื่อฝนตกลงมาจึงไหลลงสู่ที่ต่ำอย่างรวดเร็ว ประกอบกับการกักเก็บน้ำของแหล่งกักเก็บที่มียังไม่เต็มศักยภาพ ทำให้แหล่งกักเก็บน้ำแห้งขอดในฤดูแล้ง และนับตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นมาเกิดภาวะฝนทิ้งช่วง เป็นเหตุให้พืชผลทางเกษตรได้รับความเสียหายเป็นวงกว้าง จังหวัดจึงได้ประกาศภัยพิบัติทั้ง ๑๖ อำเภอ ๑.๒ การแก้ไขปัญหา ในเบื้องต้นจังหวัดได้อนุมัติงบประมาณให้ความช่วยเหลือไปแล้ว ๓๖,๕๘๓,๖๗๖ บาท โดยการจัดหาวัสดุทำฝายกระสอบทรายเพื่อชะลอน้ำ จำนวน ๒๖๔ แห่ง ซ่อมแซมฝายชะลอน้ำ ๑๓ แห่ง ขุดลอกเปิดทางน้ำเข้าพื้นที่การเกษตร ๓๗ แห่ง ฝึกอบรมอาชีพระยะสั้น ๘ แห่ง นอกจากนี้ จังหวัดยังมีความประสงค์ขอรับการสนับสนุนเพื่อช่วยเหลือความเดือดร้อนของราษฎรอีก คือ ระยะแรก เพื่อจัดทำโครงการขุดลอกแหล่งน้ำ ๑๔๑ โครงการ วงเงิน ๒๒๗ ล้านบาท โครงการบ่อน้ำบาดาล ๒๒๕ บ่อ วงเงิน ๒๒.๙๕ ล้านบาท จัดหาเครื่องสูบน้ำขนาด ๘ นิ้ว ๕๐ เครื่อง วงเงิน ๒๗ ล้านบาท จัดหารถบรรทุกน้ำ ๑๖ คัน วงเงิน ๒.๓ ล้านบาท และจัดหาถังน้ำกลาง ๒,๗๑๒ ถัง วงเงิน ๓๘ ล้านบาท สำหรับระยะกลางและระยะยาว จะดำเนินโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ ๑๑ โครงการ ๒. จังหวัดบุรีรัมย์ ๒.๑ จังหวัดบุรีรัมย์เป็นจังหวัดที่ประสบกับภาวะความแห้งแล้งเป็นประจำทุกปี เนื่องจากในพื้นที่ของจังหวัดจะมีปริมาณฝนตกค่อนข้างน้อย ทำให้แหล่งน้ำที่มีทั้งแหล่งน้ำหลักและแหล่งน้ำขนาดเล็กไม่สามารถเก็บกักน้ำไว้ใช้ได้ตลอดฤดูกาล เป็นเหตุให้ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ขาดแคลนน้ำในการอุปโภค บริโภค และทำให้พืชเศรษฐกิจหลักของจังหวัดได้ผลผลิตไม่เต็มที่ โดยเกิดภัยแล้งใน ๒๓ อำเภอ ๑๗๗ ตำบล ๒,๑๑๕ หมู่บ้าน ความเสียหายด้านเกษตร คิดเป็นพื้นที่จำนวน ๑๖๓,๕๒๘ ไร่ ๒.๒ การแก้ไขปัญหา จังหวัดได้ให้รถบรรทุกน้ำที่มีกระจายอยู่ตามองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และส่วนราชการต่าง ๆ บรรทุกน้ำไปแจกจ่ายให้ประชาชนตามหมู่บ้านต่าง ๆ และได้รับการสนับสนุนรถสูบส่งน้ำระยะไกลจากศูนย์ฯ เขต ๕ นครราชสีมา ดำเนินการสูบน้ำจากแหล่งน้ำไปยังสระน้ำประปาหมู่บ้านที่แห้งขอด และกำลังเร่งดำเนินการซ่อมเป่าล้างบ่อบาดาลและซ่อมประปาหมู่บ้านที่ชำรุดให้ใช้งานได้ โดยจังหวัดได้ใช้เงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยแล้งไปแล้ว เป็นเงิน ๑๐,๙๓๙,๕๕๒ บาท รวมทั้งประสงค์ขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติม คือ จัดหาถังน้ำกลางหมู่บ้าน ขนาด ๒,๐๐๐ ลิตร จำนวน ๓,๙๐๐ ถัง วงเงิน ๕๔.๖ ล้านบาท รถบรรทุกน้ำ ๒๐ คัน รวมค่าบริหารจัดการ วงเงิน ๒.๑๙๒ ล้านบาท รถส่งสูบน้ำระยะไกล ๒ คัน วงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท และดำเนินโครงการขุดลอกแหล่งน้ำ ๑๑๔ โครงการ วงเงิน ๓๑๓.๘ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
655 | การติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านสังคมและคุณภาพชีวิต ในส่วนของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์) ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2556 | นร | 31/03/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านสังคมและคุณภาพชีวิต ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์) เสนอ โดยมีหน่วยงานเจ้าภาพหลักรายงานผลการดำเนินการตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ประจำเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ดังนี้
๑. ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน (ตั้งแต่วันที่ ๑-๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖) ๑.๑ กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ได้ดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องงานสนับสนุนการบริหารจัดการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี งานประชาสัมพันธ์กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี งานพัฒนาระบบสารสนเทศของกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี งานยุทธศาสตร์และพัฒนาศักยภาพกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ๑.๒ กองทุนตั้งตัวได้ กระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการแต่งตั้งผู้อำนวยการกองทุนตั้งตัวได้ ตั้งแต่วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ และอยู่ระหว่างการจัดทำประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์ที่สถาบันการศึกษาขอจัดตั้งเป็น ABI (Authorized Business Incubator) และประกาศคุณสมบัติของผู้มีสิทธิขอรับการสนับสนุนเงินประกอบธุรกิจเริ่มต้นจากกองทุนตั้งตัวได้ ๒. พัฒนาระบบประกันสุขภาพ โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข ๒.๑ การสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า มีการจัดทำข้อตกลงเพื่อให้บุคคลผู้มีสิทธิตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของพนักงานส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๕๑ ใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ๒.๒ การสร้างความมั่นคงทางการเงินการคลังของหน่วยบริการ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการติดตามกำกับและตรวจสอบหน่วยบริการที่มีภาวะวิกฤตทางการเงิน พัฒนาการจัดทำต้นทุนหน่วยบริการ และพัฒนาเกณฑ์การประเมินประสิทธิภาพการบริหารการเงินการคลัง ๓. จัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตให้แก่โรงเรียน ๓.๑ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร แจ้งว่าอยู่ระหว่างส่งเรื่องคืนให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาทบทวน TOR ใหม่ ๓.๒ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน แจ้งว่ามีหน่วยงานที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณในการจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) จำนวน ๑๐ หน่วยงาน รวม ๑,๘๐๓,๓๓๗ เครื่อง วงเงิน ๕,๐๙๒,๑๗๙,๐๐๐ บาท คาดว่าจะทำสัญญาได้ภายในวันที่ ๙-๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ๓.๓ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน แจ้งว่าขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการร่วมกับเขตพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาการส่งมอบแท็บเล็ตให้แก่โรงเรียนไม่เพียงพอ โดยนำเครื่องจากเขตพื้นที่ที่เหลือไปจัดสรรให้แก่นักเรียนที่มีเครื่องไม่เพียงพอและกำลังดำเนินการจัดทำหนังสือไปยังผู้อำนวยการเขตพื้นที่ที่มีเครื่องเหลือในภาคใต้ให้จัดส่งแท็บเล็ตที่เหลือไปยังเขตพื้นที่ใกล้เคียงทางไปรษณีย์
|
||||||||||||||||||||||||
656 | ผลการดำเนินงานการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ปีงบประมาณ 2555 (1 ตุลาคม 2554 - 30 กันยายน 2555) | สธ | 31/03/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินงานการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ (๑ ตุลาคม ๒๕๕๔-๓๐ กันยายน ๒๕๕๕) ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเสนอ และให้รายงานต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. ความครอบคลุมการมีหลักประกันสุขภาพ ในปีงบประมาณ ๒๕๕๕ ประชากรผู้มีสิทธิประกันสุขภาพทั้งประเทศ จำนวน ๖๔.๕๙ ล้านคน มีผู้มาลงทะเบียนสิทธิ จำนวน ๖๔.๕๓ ล้านคน โดยมีประชากรที่ยังไม่ลงทะเบียนสิทธิ จำนวน ๖๕,๑๑๓ คน ประชากรสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ๔๘.๖๒ ล้านคน ลงทะเบียนกับหน่วยบริการของรัฐ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ร้อยละ ๙๐.๑๗ มีหน่วยบริการคู่สัญญา ๘๕๕ แห่ง รัฐนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ร้อยละ ๕.๐๘ แห่ง หน่วยบริการคู่สัญญา ๘๓ แห่ง และเอกชน ร้อยละ ๔.๗๕ หน่วยบริการคู่สัญญา ๒๒๗ แห่ง ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นคลินิกชุมชนอบอุ่น ร้อยละ ๘๑.๓๐ ๒. การเข้าถึงบริการ โดยการใช้บริการทางการแพทย์เฉพาะผู้มีสิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ประกอบด้วย การใช้บริการผู้ป่วยนอก จำนวน ๑๖๓.๘๒ ล้านครั้ง อัตราการใช้บริการต่อประชากรฯ เท่ากับ ๓.๓๗ ครั้ง/คน/ปี การใช้บริการผู้ป่วยใน จำนวน ๕.๖๐ ล้านครั้ง/๒๓.๐๙ ล้านวัน อัตราการใช้บริการต่อประชากรฯ เท่ากับ ๐.๑๑๕ ครั้ง/คน/ปี ผู้รับบริการอุบัติเหตุฉุกเฉินและค่าใช้จ่ายสูง จำนวน ๒,๒๑๕,๐๗๙ ราย และ ๓๘๘,๔๙๓ ราย การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์ มีคนพิการในระบบหลักประกันฯ จดทะเบียน ๑,๐๗๔,๖๐๗ คน ได้รับบริการฟื้นฟูฯ ๔๑๐,๗๗๓ คน/๑,๔๔๙,๗๖๗ ครั้ง และได้รับการสนับสนุนอุปกรณ์ฯ ๔๕,๕๓๑ คน/๔๗,๘๓๙ ชิ้น การเข้าถึงยา มีผู้ป่วยเข้าถึงยาบัญชี จ (๒) เป็นรายการยาจำเป็นที่มีราคาสูงมาก จำนวน ๘,๓๗๓ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๕๔.๗๘ (เป้าหมาย ๕,๙๘๘ คน) เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๖๕.๕๓ จากปีที่ผ่านมา เป็นต้น ๓. การควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข หน่วยบริการที่ได้รับการรับรองคุณภาพตามมาตรฐาน Hospital Accreditation (HA) จำนวน ๑,๐๓๘ แห่ง ได้รับการรับรองคุณภาพ HA ร้อยละ ๓๘.๑๕ รับรองคุณภาพชั้น ๒ ร้อยละ ๔๕.๕๗ ๔. การคุ้มครองสิทธิ การให้บริการประชาชนเพื่อช่วยเหลือผู้มีสิทธิและผู้ให้บริการในระบบหลักประกันสุขภาพฯ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องสอบถามข้อมูล ร้อยละ ๙๘.๒๗ เรื่องร้องเรียนได้รับการตอบสนองภายใน ๓๐ วันทำการ ร้อยละ ๙๗.๐๔ และเรื่องร้องทุกข์ดำเนินการแล้วเสร็จ ร้อยละ ๙๖.๙๕ ประสานหาเตียงผู้ป่วยอุบัติเหตุและฉุกเฉิน ๔,๕๓๘ ราย จ่ายชดเชยกรณีผู้รับบริการได้รับความเสียหายจากการใช้บริการฯ (ตามมาตรา ๔๑) จำนวน ๘๓๔ ราย เป็นเงิน ๙๘.๕๘ ล้านบาท ด้านผู้ให้บริการได้รับชดเชย จำนวน ๕๑๑ ราย เป็นเงิน ๔.๕๐ ล้านบาท ๕. การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคี ด้านเครือข่ายองค์กรประชาชน มีหน่วยรับเรื่องร้องเรียนอื่นที่เป็นอิสระจากผู้ถูกร้องเรียน ๔๓ แห่ง รับเรื่องร้องเรียน ๔๖๓ เรื่อง/เครือข่ายองค์กรคนพิการ ด้านการสนับสนุนการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีพื้นที่ดำเนินการ ๗,๗๑๘ แห่ง (ร้อยละ ๙๙.๒๕) ครอบคลุมประชากร ๕๖.๖๖ ล้านคน ด้านองค์กรวิชาชีพร่วมมือกับชมรมผู้บริหารการพยาบาล มีหน่วยบริการเข้าร่วมกิจกรรมมิตรภาพบำบัดมากกว่า ๓๕๐ แห่ง และร่วมมือกับสมาคมพยาบาลโรคหัวใจและทรวงอกพัฒนาหน่วยบริการตติยภูมิ ๕๕ แห่ง ๖. การบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีการเบิกจ่ายงบกองทุนฯ รวม ๑๐๗,๘๑๔,๑๑๒,๖๖๙ บาท (ร้อยละ ๙๙.๙๙ จากงบประมาณที่ได้รับ ๑๐๗,๘๑๔,๑๑๕,๔๐๐ บาท) ๗. โครงการริเริ่มหรือพัฒนาระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าและปัญหาอุปสรรค สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้พัฒนาโครงการที่เอื้อประโยชน์ต่อประชาชนในการเข้าถึงบริการได้ทั่วถึงเท่าเทียมมากขึ้น เช่น เพิ่มคุณภาพของระบบ “๓๐ บาทรักษาทุกโรค” การบูรณาการระบบบริการเจ็บป่วยฉุกเฉิน การปรับแก้หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการจ่ายเงินชดเชยเบื้องต้นตามมาตรา ๔๑ เป็นต้น |
||||||||||||||||||||||||
657 | แผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด และคำของบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 | นร12 | 31/03/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด ๗๖ จังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด ๑๘ กลุ่มจังหวัด และคำของบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.น.จ.) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๖ โดยมีโครงการที่สมควรได้รับการสนับสนุน เป็นงบประมาณกลุ่มจังหวัด ๑๘ กลุ่มจังหวัด จำนวน ๓๐๐ โครงการ รวม ๘,๗๙๔,๔๖๖,๘๕๗ บาท และโครงการที่สมควรได้รับการสนับสนุน เป็นงบประมาณจังหวัด ๗๖ จังหวัด จำนวน ๒,๒๙๒ โครงการ รวม ๒๒,๒๔๐,๒๗๑,๙๗๒ บาท ทั้งนี้ กรณีที่มีการพิจารณาต้นทุนต่อหน่วยของโครงการที่ได้รับจัดสรรงบประมาณแล้วยังมีงบประมาณเหลืออยู่ ให้นำโครงการที่ไม่ได้รับการจัดสรรมาพิจารณาสนับสนุนเพิ่มเติมตามลำดับความสำคัญหรือที่สำรองไว้ในกรณีที่มีการแปรญัตติงบประมาณเพิ่มเติม สำหรับโครงการที่ดำเนินการโดยกระทรวง ทบวง กรม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐ หรือเอกชนตามที่ปรากฏในแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้จังหวัดหรือกลุ่มจังหวัดประสานขอรับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง ตามที่เลขาธิการ ก.พ.ร. กรรมการและเลขานุการ ก.น.จ. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
658 | การดำเนินการเกี่ยวกับหนังสือร้องเรียนที่ยื่นกราบเรียนนายกรัฐมนตรี | นร04 | 31/03/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินเการกี่ยวกับกรณีที่ประชาชนและองค์กรต่าง ๆ ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนที่ยื่นกราบเรียนนายกรัฐมนตรี ระหว่างการปฏิบัติราชการ ณ จังหวัดสระแก้ว และจังหวัดปราจีนบุรี เมื่อวันเสาร์ที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. สรุปประเด็นหนังสือร้องเรียนร้องทุกข์ และเห็นควรดำเนินการ ๑.๑ เรื่องขอรับการสนับสนุนการพัฒนาจังหวัดปราจีนบุรี กรณีพัฒนาเส้นทางรถยนต์ เส้นทางรถไฟเป็นรางคู่ มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมพิจารณาดำเนินการ กรณีสนับสนุนให้จังหวัดปราจีนบุรีเป็นเขตอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการทำน้ำหอมระเหยจากต้นกฤษณาเป็นอุตสาหกรรมขนาดย่อม มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาดำเนินการ กรณีร้องขอให้รักษาผังเมืองรวมที่กำหนดให้พื้นที่ตำบลบางเดชะ อำเภอเมือง เป็นพื้นที่สีขาวแทยงเขียว (พื้นที่อนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม) มอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรีพิจารณาดำเนินการ ๑.๒ เรื่องขอให้ทบทวนการเปิดด่านถาวรบ้านหนองเอี่ยน จังหวัดสระแก้ว-สตึงบท จังหวัดบนเตียเมียนเจย โดยเสนอขอให้พิจารณาเปิดด่านถาวรบ้านเขาดิน อำเภอคลองหาด จังหวัดสระแก้ว และเรื่องขอให้พิจารณาพื้นที่ในเขตตำบลบ้านไร่เป็นสถานที่จัดตั้ง “สถานีขนถ่ายสินค้าโลจิสติกส์” มอบให้เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาดำเนินการ ๑.๓ เรื่องขอให้ปรับปรุงระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการจัดหาประโยชน์ในทรัพย์สินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๓ การยกเลิกคำสั่งส่วนแบ่งรางวัลนำจับความผิดพระราชบัญญัติจราจร และการติดตามเงินเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพิจารณาดำเนินการ ๑.๔ เรื่องขอให้ปราบปรามยาเสพติดในจังหวัดปราจีนบุรี และขอให้ช่วยเหลือกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) พิจารณาดำเนินการ ๑.๕ เรื่องขอให้แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนจากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกและโครงการรับจำนำมันสำปะหลัง มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พิจารณาดำเนินการ ๑.๖ เรื่องขอให้ตรวจสอบและแก้ไขปัญหาของเกษตรกรไร่อ้อยรายย่อยจากการใช้หลักเกณฑ์ของภาครัฐเกี่ยวกับการจัดตั้งโรงงานน้ำตาลแห่งใหม่ จังหวัดสระแก้ว มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาดำเนินการ ๑.๗ เรื่องขอให้ติดตามการแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของสหพันธ์พัฒนาองค์กรชุมชนคนจนเมืองแห่งชาติ และเครือข่ายที่ดินแนวใหม่ชุมชนท้องถิ่นจัดการตนเองแห่งชาติ มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณาดำเนินการ ๑.๘ เรื่องขอให้ตรวจสอบการขายสินค้าของร้านค้าในโครงการบัตรเครดิตเกษตรกร มอบให้ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรพิจารณาดำเนินการ ๑.๙ เรื่องขอให้ผลักดันโครงการผันน้ำจากเขื่อนพระปรงไปอ่างเก็บน้ำเขื่อนห้วยยาง และโครงการเก็บน้ำห้วยลำสะโตน จังหวัดสระแก้ว มอบให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยพิจารณาดำเนินการ ๑.๑๐ เรื่องขอให้ช่วยเหลือจัดสรรที่ดินทำกินให้แก่ราษฎรที่ไร้ที่ทำกิน มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาดำเนินการ ๑.๑๑ เรื่องขอรับการสนับสนุนงบประมาณพัฒนาท้องถิ่นและติดตามโครงการพัฒนาในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ขอให้ปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณตลาดโรงเกลือ ตรวจสอบการประมูลการจัดให้เช่าที่ดินเพื่อก่อสร้างอาคารค้าขายบริเวณตลาดโรงเกลือ และชาวต่างด้าวเปิดร้านปิดทางเดินเข้าออกบ้าน ขอให้ตรวจสอบแก้ไขปัญหากรณีแนวเขตที่ดินของราษฎรกับสนามบินอรัญประเทศ และเรื่องขอให้ผลักดันชาวกัมพูชาที่เข้ามายึดครองพื้นที่ทำกิน มอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้วพิจารณาดำเนินการ ๒. ส่งเรื่องทั้งหมดให้ศูนย์บริการประชาชน (๑๑๑๑) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีดำเนินการประสานกับหน่วยปฏิบัติ และนำเข้าระบบรับเรื่องร้องเรียนนายกรัฐมนตรีเพื่อการติดตามเรื่อง
|
||||||||||||||||||||||||
659 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 2/2556 | นร11 | 31/03/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๖ ณ จังหวัดฉะเชิงเทรา และเห็นชอบตามมติที่ประชุมฯ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุมฯ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การส่งเสริมการค้าและการลงทุน จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ ๑.๑.๑ ขอรับการสนับสนุนโครงการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษบ้านป่าไร่ จังหวัดสระแก้ว โดยให้มีการศึกษาแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษในพื้นที่ที่มีศักยภาพ โดยพิจารณาข้อเสนอการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษบ้านป่าไร่ จังหวัดสระแก้ว เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาดังกล่าวด้วย ๑.๑.๒ ขอรับการสนับสนุนโครงการ Eco Industrial Town จังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดปราจีนบุรี โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปพิจารณาจัดตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษารูปแบบการจัดทำเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศในพื้นที่อุตสาหกรรมเดิม (จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรสาคร และนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด) โดยให้คำนึงถึงการจำกัดการพิจารณาอนุญาตตั้งโรงงานในพื้นที่อย่างเข้มงวด สำหรับพื้นที่อุตสาหกรรมใหม่ (จังหวัดฉะเชิงเทรา และจังหวัดปราจีนบุรี) ให้พิจารณาจัดทำแผนการยกระดับนิคมอุตสาหกรรมเข้าสู่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๑.๓ ขอให้เร่งรัดโครงการย้ายตลาดสะพานปลากรุงเทพ (ยานนาวา) ไปตั้งที่ปากน้ำสมุทรปราการ ภายในปี ๒๕๕๖ โดยให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) เป็นที่ปรึกษาทำการศึกษาความเหมาะสมความจำเป็น และความเป็นไปได้ในการพัฒนาสะพานปลาในภาพรวมทั้งหมด รวมถึงการย้ายหรือพัฒนาสะพานปลากรุงเทพ และพิจารณาใช้ประโยชน์จากสะพานปลาจังหวัดสมุทรปราการทั้งระบบเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๑.๔ ขอรับการสนับสนุนโครงการจัดตั้งสถาบันมะม่วงแห่งประเทศไทย โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทราร่วมกับสำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดฉะเชิงเทรา สำนักงานเกษตรจังหวัดฉะเชิงเทรา สำนักงานสหกรณ์จังหวัดฉะเชิงเทรา และมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ จังหวัดฉะเชิงเทรา รับไปศึกษาโครงการจัดตั้งสถาบันมะม่วงแห่งประเทศไทย ๑.๒ การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ จำนวน ๕ เรื่อง โดยให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาดำเนินการ ได้แก่ ๑.๒.๑ ขอให้เร่งรัดโครงการพัฒนาโครงข่ายทางถนนเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยการขยายช่องจราจร และขอการสนับสนุนการปรับปรุงและก่อสร้างเส้นทาง เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๕๘ โดยรับข้อเสนอการพัฒนาปรับปรุงโครงข่ายทางถนนในพื้นที่ จังหวัดฉะเชิงเทรา รวม ๗ เส้นทางให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๕๘ ไปจัดลำดับความสำคัญของโครงการและขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนต่อไป รวมทั้งประสานกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาเส้นทางถนนสายรองซึ่งอยู่ในความดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้สามารถรองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวทั้งภายในจังหวัดและจังหวัดใกล้เคียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถบรรเทาปัญหาการจราจรในพื้นที่ รวมทั้งช่วยอำนวยความสะดวกด้านการเดินทางแก่ประชาชนและการขนส่งสินค้า ๑.๒.๒ ขอให้เร่งรัดโครงการขยายเส้นทาง ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๑๙ "หนองชะอม จังหวัดปราจีนบุรี-พนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา" จาก ๒ ช่องจราจร เป็น ๔ ช่องจราจร โดยรับข้อเสนอการเร่งรัดโครงการขยายเส้นทางทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๑๙ “หนองชะอม จังหวัดปราจีนบุรี-พนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา” จาก ๒ ช่องจราจร เป็น ๔ ช่องจราจร ไปพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการ และขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒.๓ ขอรับการสนับสนุนการศึกษาการแก้ไขปัญหาการจราจรสู่จังหวัดนครนายก และภาคตะวันออก โดยรับข้อเสนอการก่อสร้างทางยกระดับบนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๐๕ “รังสิต-นครนายก” ไปประกอบการศึกษาความเหมาะสมและขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอน โดยให้ความสำคัญกับการพิจารณาความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ผลกระทบต่อประชาชน และทัศนียภาพในพื้นที่ รวมทั้งการคาดการณ์ปริมาณจราจรในอนาคตในกรณีที่มีการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนสาธารณะเต็มรูปแบบในพื้นที่ ๑.๒.๔ ขอรับการสนับสนุนโครงการศึกษาแนวทางการขยายเส้นทางไปยังด่านคลองลึก จังหวัดสระแก้ว โดยรับข้อเสนอของภาคเอกชนไปประกอบการพิจารณาศึกษาความเหมาะสมของการสนับสนุนโครงการศึกษาแนวทางการขยายเส้นทางไปยังด่านคลองลึก จังหวัดสระแก้ว โดยพิจารณาให้สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาจุดผ่านแดนบริเวณบ้านหนองเอี่ยน ๑.๒.๕ ขอรับการสนับสนุนโครงการเชื่อมต่อรถไฟฟ้าโมโนเรลจากสถานีรถไฟฟ้าบางปู-แอร์พอร์ตลิงค์ สุวรรณภูมิ โดยเร่งประสานกระทรวงมหาดไทยเพื่อให้ผลการศึกษาความเหมาะสมของการสนับสนุนของโครงการเชื่อมต่อรถไฟฟ้าโมโนเรล จากสถานีรถไฟฟ้าบางปู-แอร์พอร์ตลิงค์ สุวรรณภูมิ มีความสอดคล้องกับแนวทางพัฒนาระบบขนส่งมวลชนสาธารณะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ๑.๓ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ จำนวน ๑ เรื่อง คือ ขอให้เร่งรัดการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลอ่าวไทยตอนบน (ปากน้ำบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา-สมุทรปราการ) โดยให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเร่งรัดการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลอ่าวไทยตอนบน (ปากน้ำบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา-สมุทรปราการ) รวมทั้งดำเนินการศึกษาการบริหารจัดการน้ำภาคตะวันออกทั้งระบบ และเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๔ การส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการสุขภาพ จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ ๑.๔.๑ ขอรับการสนับสนุนโครงการพัฒนาพื้นที่ส่งเสริมการท่องเที่ยว "ขุนด่านแลนด์" (ถนน-สะพาน-ภูมิทัศน์) จังหวัดนครนายก โดยให้จังหวัดนครนายกร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความเหมาะสมรูปแบบการพัฒนาพื้นที่และการปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณเขื่อนขุนด่านปราการชล จังหวัดนครนายก โดยศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบของโครงการด้านเศรษฐกิจสังคม และสิ่งแวดล้อม จัดทำแผนการบริหารจัดการโครงการและหน่วยงานรับผิดชอบให้ชัดเจน รวมทั้งจัดลำดับความสำคัญของแผนงานและโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณ ๑.๔.๒ ขอให้เร่งรัดการพัฒนาพื้นที่บริเวณอ่างเก็บน้ำทับลาน จังหวัดปราจีนบุรี โดยให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงคมนาคม และกระทรวงมหาดไทย เพื่อพิจารณาแผนพัฒนาการท่องเที่ยวของไทยให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคเอกชนและท้องถิ่น และบูรณาการแผนงาน/โครงการ รวมทั้งจัดลำดับความสำคัญของการพัฒนาพื้นที่บริเวณอ่างเก็บน้ำทับลาน จังหวัดปราจีนบุรี เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณ ๑.๔.๓ ขอให้แยกช่องทางการผ่านด่านชายแดนของนักท่องเที่ยวออกจากด่านการค้า โดยให้กระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอของภาคเอกชนไปศึกษาในรายละเอียดการแยกช่องทางการผ่านด่านชายแดนของนักท่องเที่ยวที่ด่านคลองลึก โดยให้คำนึงถึงการจัดระเบียบในด่านคลองลึกทั้งในส่วนของการค้าและการท่องเที่ยวให้เป็นระบบ รวมทั้งให้นำแนวทางการพัฒนายกระดับจุดผ่านแดนบ้านหนองเอี่ยนประกอบการพิจารณาด้วย ๑.๔.๔ ขอให้พัฒนาเส้นทางช่องบะระแนะ หรือช่องตากิ่ว ซึ่งอยู่ติดชายแดนกัมพูชา โดยให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมหารือกับฝ่ายกัมพูชา ภายใต้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ในการพิจารณายกระดับจุดผ่อนปรนทางการค้าที่มีอยู่ในจังหวัดสระแก้ว ๒ แห่ง เพื่อให้เป็นจุดผ่านแดนถาวรเพิ่ม คือ บ้านเขาดิน-กิโลเมตรที่ ๑๓ ของพระตะบอง หรือจุดหนองปรือ-พนมมาลัย จังหวัดบันเตียเมียนเจย ๑.๕ เรื่องอื่นๆ จำนวน ๓ เรื่อง ได้แก่ ๑.๕.๑ การอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวของท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต โดยให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งรัดดำเนินการเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวโดยเร็ว ๑.๕.๒ กฎหมาย Foreign Account Tax Compliance Act (FATCA) โดยให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๑.๕.๓ การเร่งรัดการออกกฎหมายเพื่อรับรองผู้ประกอบการเดินเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ๒. ในส่วนของการเร่งรัดการออกกฎหมายรับรองผู้ประกอบการเดินเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ให้คณะกรรมการส่งเสริมการพาณิชยนาวีรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป โดยให้เชิญรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เข้าร่วมการพิจารณาด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
660 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนกลาง รวม 5 จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดฉะเชิงเทรา วันที่ 30 - 31 มีนาคม 2556 | นร11 | 31/03/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนกลาง (จังหวัดฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ นครนายก สระแก้ว และปราจีนบุรี) รวม ๕ จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดฉะเชิงเทรา วันที่ ๓๐-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๑๗ โครงการ วงเงินรวม ๕๒๒.๘๕ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดทำขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ จัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาวงเงินงบประมาณที่เหมาะสม โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป ๑.๒ ในกรณีโครงการใดที่หน่วยงานท้องถิ่นต้องรับผิดชอบการบริหารจัดการและดูแลบำรุงรักษาภายหลังจากก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ ให้จังหวัดประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจน ก่อนขอรับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณต่อไป ๑.๓ เห็นชอบในหลักการของกรอบข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนกลาง รวม ๕ จังหวัด จำนวน ๒๐๓ โครงการ วงเงินรวม ๙๑,๗๑๔.๗๘ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานรับผิดชอบรับไปพิจารณาศึกษาความเหมาะสมและจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ รวมทั้งดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณี เพื่อให้สำนักงบประมาณใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณประจำปีตามลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการตามขั้นตอน ๑.๔ สำหรับโครงการที่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ จำนวน ๖๘ โครงการ วงเงิน ๗๒๔,๒๒๙,๕๘๐.๐๐ บาท ของจังหวัดฉะเชิงเทรา ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะอนุกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์และบริหารทรัพยากรน้ำ ลุ่มน้ำตะวันออก ๙ จังหวัด นั้น เห็นควรให้นำเสนอคณะอนุกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ และคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย เพื่อพิจารณาต่อไป ๒. ในส่วนของแผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันทีนั้น ให้รวมโครงการเกี่ยวกับการพัฒนาพื้นที่บริเวณเขื่อนขุนด่านปราการชลให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดนครนายก ในวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ไว้ด้วย และให้จังหวัดนครนายกดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการในภาพรวมอย่างเป็นระบบ โดยบูรณาการข้อเสนอของภาคเอกชนไว้ในรายงานการศึกษาดังกล่าว และนำเสนอโครงการเพื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป
|
.....