ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 85 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 1681 - 1700 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1681 | การยื่นขอเจรจาเพื่อจัดทำความตกลงเพื่อระงับการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping: AD) และการอุดหนุน (Countervailing : CVD) สินค้าน้ำตาลที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศไทย ในรูปแบบการกำหนดราคาขั้นต่ำและ/หรือโควตาภาษี (Undertaking Agreement) | อก. | 05/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบการยื่นขอเจรจาเพื่อจัดทำความตกลงเพื่อระงับการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด
(Anti-Dumping : AD) และการอุดหนุน (Countervailing
: CVD) สินค้าน้ำตาลที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศไทย
ในรูปแบบการกำหนดราคาขั้นต่ำและ/หรือโควตาภาษี (Undertaking Agreement) ตามร่างกรอบเจรจาจัดทำความตกลงเพื่อระงับการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนสินค้าน้ำตาลที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศไทยกับสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
และให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงพาณิชย์รับไปดำเนินการประสานผู้ประกอบการน้ำตาลในประเทศไทยที่ส่งออกน้ำตาลทรายไปยังสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
จัดทำข้อมูลสนับสนุนเพื่อชี้แจงข้อกล่าวหารัฐบาลไทยให้การอุดหนุนสินค้าน้ำตาลที่ส่งออกไปสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
ให้กรมคุ้มครองการค้าแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (TRAV) กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามรับไปพิจารณาโดยด่วน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1682 | ขอความเห็นชอบให้การประปาส่วนภูมิภาคปรับขยายเพดานอัตราเงินเดือนขั้นสูงสุด ตามบัญชีโครงสร้างอัตราเงินเดือนระบบ 53 ขั้น | มท. | 05/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การประปาส่วนภูมิภาคปรับขยายเพดานอัตราเงินเดือนขั้นสูงสุดของพนักงาน
จากเดิมขั้นที่ ๔๖.๕ อัตรา ๑๑๓,๕๒๐ บาท เป็นขั้นที่ ๕๓ อัตรา ๑๔๒,๘๓๐ บาท
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้กระทรวงมหาดไทย (การประปาส่วนภูมิภาค) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
การปรับขยายเพดานอัตราเงินเดือนขั้นสูงสุด ตามบัญชีโครงสร้างอัตราเงินเดือนระบบ ๕๓
ขั้น ของการประปาส่วนภูมิภาค
ควรพิจารณาค่าใช้จ่ายบุคลากรให้มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ
โดยคำนึงถึงสถานะการเงิน ผลการดำเนินงานของกิจการ
มีการจัดทำแผนเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานหรือเพิ่มรายได้อย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งแผนบริหารความเสี่ยงเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นและไม่ก่อให้เกิดภาระแก่ประชาชน
ตลอดจนเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อภาระงบประมาณและเงินนำส่งรายได้แผ่นดิน รวมถึงฐานะทางการเงินในอนาคต
โดยคำนึงถึงหลักความคุ้มค่าและประหยัดในการใช้จ่ายงบประมาณ นอกจากนี้ การประปาส่วนภูมิภาคควรบริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงินด้วยความรอบคอบและเตรียมความพร้อมขององค์กรเพื่อให้สามารถรองรับการดำเนินการตามมาตรการต่าง
ๆ ของรัฐบาลในการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1683 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ 13/2564 และครั้งที่ 14/2564 | นร.11 | 05/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๓/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๔ และครั้งมที่ ๑๔/๒๕๖๔
เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๔ ซึ่งได้พิจารณาอนุมัติโครงการส่งเสริมอาชีพและการสร้างงาน
สร้างรายได้แก่ผู้พิการ ผู้ดูแลคนพิการหรือครอบครัว ทั้ง ๗ ประเภท
และมอบหมายให้กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการ อนุมัติให้กรมการท่องเที่ยว
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดน่าน กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัย และนวัตกรรม ปรับปรุงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการ และอนุมัติให้จังหวัดภูเก็ตยกเลิกการดำเนินกิจกรรมที่
๓ การก่อสร้างแหล่งน้ำในไร่นาเกษตรแบบมีส่วนร่วม
ภายใต้โครงการส่งเสริมเพิ่มประสิทธิภาพการเกษตรผสมผสานโดยจัดระบบอนุรักษ์ดินและน้ำตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง
และให้จังหวัดยโสธรยกเลิกการดำเนินโครงการย่อยที่ ๓ ปลูกพืชหลังนา ภายใต้
โครงการส่งเสริมกลุ่มเกษตรกรในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและพัฒนาตลาดสินค้าเกษตร
และยุติการดำเนินโครงการการจัดการอาหารสัตว์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเลี้ยงโคเนื้อ
รวมทั้งรับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานของโครงการภายใต้แผนงานสร้างความเข้มแข็งแก่เศรษฐกิจฐานราก
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่าย
การให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์
และการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ กฎหมาย
ข้อบังคับ และระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1684 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคเพื่อจัดหาวัคซีน) | กค. | 05/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคเพื่อจัดหาวัคซีน)
มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม
ให้แก่บุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
สำหรับการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่สถาบันวัคซีนแห่งชาติ
เพื่อสนับสนุนการวิจัย การพัฒนา การผลิต
และการกระจายวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
และโรคติดต่ออื่นให้มีคุณภาพและปริมาณเพียงพอทั้งในภาวะปกติและภาวะฉุกเฉิน
ที่ได้กระทำตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๖
เพื่อจูงใจให้มีการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินเพื่อนำไปใช้ในการปฏิบัติภารกิจของสถาบันวัคซีนแห่งชาติ
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าว
รวมถึงสถานการณ์ ความจำเป็นและประโยชน์ที่จะได้รับให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งควรจัดทำรายงาน
เปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้รับจากการดำเนินกิจกรรมหรือมาตรการที่ก่อให้เกิดภาระทางการคลังในอนาคตที่มีการดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน
และการสูญเสียรายได้ที่เกิดขึ้นจริง และรายงานต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาปรับเปลี่ยนการดำเนินกิจกรรมหรือมาตรการให้มีความสอดคล้องกับเงื่อนไขและสภาพแวดล้อมทางการคลังที่เริ่มมีข้อจำกัดมากขึ้น
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓.
ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1685 | ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ พ.ศ. .... | อว. | 05/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์
พ.ศ. ๒๕๔๘
โดยเปลี่ยนสถานะของมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ที่เป็นส่วนราชการเป็นมหาวิทยาลัยที่มีฐานะเป็นหน่วยงานในกำกับของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
กฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม กฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม
และไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ และกฎหมายอื่น
เพื่อปรับปรุงการศึกษาระดับอุดมศึกษาให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม
รวมทั้งสอดคล้องกับแนวนโยบายการพัฒนาประเทศของรัฐบาล ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณ เช่น
ควรแก้ไขความของร่างมาตรา ๑๙ (๕) จาก
“กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซี่งสรรหาตามรายชื่อที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาเสนอจำนวนหนึ่งคน”
เป็น
“กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งสรรหาตามรายชื่อที่คณะกรรมการการอุดมศึกษาเสนอจำนวนหนึ่งคน”
เพื่อให้เป็นไปตามหลักการกลางในการร่างพระราชบัญญัติของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ
ที่ออกนอกระบบ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๔๖ เป็นต้น
ไปประกอบการพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ๓. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ.
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณที่เห็นว่า (๑)
การบริหารทรัพยากรบุคคลของมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ตามร่างพระราชบัญญัตินี้จะต้องบริหารอัตรากำลังให้สอดคล้องกับการบริหารอัตราข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา
(๒) โดยที่มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๔๒ และเมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม
๒๕๔๒
กำหนดให้มหาวิทยาลัยใช้วิธีจ้างบุคลากรทดแทนการบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย
ดังนั้น มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์จึงควรพิจารณาเลือกรูปแบบการจ้างงาน
ประเภทของอัตรากำลังที่จะใช้ รวมทั้งอัตรากำลังให้เหมาะสมกับลักษณะงานที่ปฏิบัติ
(๓) ในระยะแรกของการปรับเปลี่ยนสถานะของมหาวิทยาลัย
ควรดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนด และ (๔) ให้ความสำคัญกับการสร้างหลักประกันในการเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียม
โดยการวิเคราะห์และการกำหนดต้นทุนการจัดการศึกษาอย่างเหมาะสม
และไม่ผลักภาระต้นทุนในการจัดการศึกษาให้แก่ผู้เรียนมากเกินไป และในระยะต่อไปควรมีการนำผลการประเมินมหาวิทยาลัยไปประกอบการพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษา
และการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพตามแนวคิดการเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1686 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลจานใหญ่ อำเภอกันทรลักษ์ ตำบลเสียว และตำบลหนองงูเหลือม อำเภอเบญจลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ พ.ศ. .... | คค. | 05/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
ในท้องที่ตำบลจานใหญ่ อำเภอกันทรลักษ์ ตำบลเสียว และตำบลหนองงูเหลือม
อำเภอเบญจลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
ในท้องที่ตำบลจานใหญ่ อำเภอกันทรลักษ์ ตำบลเสียว และตำบลหนองงูเหลือม
อำเภอเบญจลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๐๘๕ และ ๒๑๗๘
สายแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๔-อุบลราชธานี (บ้านน้ำเกลี้ยง) จังหวัดศรีสะเกษ
เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องได้มาโดยแน่ชัด
รวมทั้งเพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรให้กรมทางหลวงให้ความสำคัญและตระหนักถึงแนวทางในการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดจากการก่อสร้างทางหลวงกีดขวางการไหลของน้ำตามธรรมชาติ
เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาการระบายน้ำไม่ทันและอาจก่อให้เกิดน้ำท่วมหรืออุทกภัยต่อไปในอนาคต
และเห็นควรให้กระทรวงคนาคมถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี (๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๓) เรื่อง
แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการตราร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนเพื่อก่อสร้างหรือขยายถนน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1687 | ร่างประกาศ เรื่อง การกำหนดอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีตามกฎหมายเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี (ฉบับที่ ๓) | นร.08 | 27/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างประกาศ เรื่อง
การกำหนดอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีตามกฎหมายเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี
(ฉบับที่ ๓) เพื่อให้บรรดาอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงตามกฎหมาย
หรือที่เป็นผู้รักษาการตามกฎหมายหรือที่มีอยู่ตามกฎหมายโอนมาเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราวเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการอนุญาต
อนุมัติ สั่งการ บังคับบัญชา หรือช่วยในการป้องกัน แก้ไข ปราบปราม
ระงับยับยั้งในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือฟื้นฟูหรือช่วยเหลือประชาชน จำนวน ๓๑ ฉบับ
ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1688 | ขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า และแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าอุทัยธานี เมืองเก่าตรัง และเมืองเก่าฉะเชิงเทรา | ทส. | 27/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า
และแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าอุทัยธานี เมืองเก่าตรัง และเมืองเก่าฉะเชิงเทรา
ซึ่งได้ผ่านการประชุมรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์
และเมืองเก่า ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๔ เรียบร้อยแล้ว
โดยขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าอุทัยธานี มีเนื้อที่ประมาณ ๑.๖๙ ตารางกิโลเมตร
(๑,๐๕๘.๘๗ ไร่) ครอบคลุมองค์ประกอบเมืองที่สำคัญ เช่น วัดอุโปสถาราม (วัดโบสถ์)
พื้นที่ย่านการค้าดั้งเดิมบริเวณถนนศรีอุทัยและถนนท่าช้าง
ย่านชุมชนชาวจีนตรอกโรงยา และชุมชนชาวแพแม่น้ำสะแกกรัง ขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าตรัง
เนื้อที่ประมาณ ๑.๙๑ ตารางกิโลเมตร (๑,๑๙๒.๙๕ ไร่) ครอบคลุมองค์ประกอบเมืองที่สำคัญ
เช่น หอนาฬิกาจังหวัดตรัง สถานีรถไฟตรัง และขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าฉะเชิงเทรา
เนื้อที่ประมาณ ๓.๙๖ ตารางกิโลเมตร (๒,๔๗๕.๖๙ ไร่)
ครอบคลุมองค์ประกอบเมืองที่สำคัญ เช่น ป้อมและกำแพงเมือง วัดโสธรวรารามวรวิหาร ย่านการค้าตลาดทรัพย์สินพระมหากษัตริย์
จังหวัดฉะเชิงเทรา ส่วนแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า ประกอบด้วยแนวทางทั่วไป
เช่น การมีส่วนร่วมและการประชาสัมพันธ์ การสร้างจิตสำนึกการอนุรักษ์และพัฒนาอย่างยั่งยืน
การส่งเสริมกิจกรรมและวิถีชีวิตท้องถิ่น และแนวทางสำหรับพื้นที่หลัก เช่น ด้านการใช้ประโยชน์ที่ดิน
ด้านอาคารและสภาพแวดล้อม ด้านระบบการราจรและคมนาคมขนส่ง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม
กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เช่น หน่วยงานผู้รับผิดชอบในพื้นที่ควรมีแผนการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยว
และแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยว
โดยต้องคำนึงถึงสุขอนามัย ความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวเป็นสำคัญ
หน่วยงานที่รับผิดชอบทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น
รวมถึงองค์กรภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องจะต้องให้ความสำคัญกับการนำแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาพื้นที่เมืองเก่าไปสู่การปฏิบัติอย่างจริงจัง
และในการจัดทำแผนแม่บทและผังแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนาบริเวณเมืองเก่าฉะเชิงเทราซึ่งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรคำนึงถึงความเชื่อมโยงกับการพัฒนาเขตพัฒนาภาคตะวันออก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ประโยชน์จากโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนานบิน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
สำหรับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ตามกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า
และการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า
เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีที่ได้รับจัดสรรไว้แล้ว
ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป ให้ดำเนินการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีอย่างเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำชับให้เจ้าหน้าที่ในระดับพื้นที่ที่เกี่ยวข้องบูรณาการการปฏิบัติงานร่วมกันให้ถูกต้อง
เหมาะสม รวมทั้งสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากการกำหนดขอบเขตพื้นเมืองเก่าให้ทั่วถึงด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1689 | หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID - 19)] (ฉบับที่ 3) | สธ. | 27/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ
กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19
[Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] (ฉบับที่ ๓) เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ
กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] (ฉบับที่ ๒)
ให้ครอบคลุมถึงค่าใช้จ่ายที่เกิดจากอาการแพ้วัคซีนหรืออาคารไม่พึงประสงค์ที่เกิดจากการฉีดวัคซีน
ซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้กับผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] ของบุคคลกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus
Disease 2019 (COVID-19)]
และเกิดอาการแพ้วัคซีนหรืออาการไม่พึงประสงค์
และเพิ่มเติมค่าพาหนะรับส่งต่อผู้ป่วย ค่าอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (Personal
Protective Equipment : PPE)
รวมถึงค่าทำความสะอาดฆ่าเชื้อพาหนะส่งต่อผู้ป่วย ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
รวมทั้งความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการกำหนดค่าใช้จ่ายตามกรณีที่กำหนดในมาตรา
๓๖ วรรคห้า แห่งพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. ๒๕๔๑
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสถานพยาบาล (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙
เป็นไปเพื่อการช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ป่วยซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาพยาบาลโดยฉุกเฉินจากสถานพยาบาลตามที่รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการประกาศกำหนดตามมาตรา
๓๓/๑ แต่โดยที่ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง
กำหนดผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ
กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19
[Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] ซี่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๖
วรรคหนึ่ง และมาตรา ๓๓/๑ แห่งพระราชบัญญัติสถานพยาบาลฯ
ยังมิได้มีการกำหนดให้ผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ
กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)]
ครอบคลุมถึงบุคคลกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
หรือโรคโควิด ๑๙ [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] และเกิดอาการแพ้วัคซีนหรืออาการไม่พึงประสงค์ด้วย
จึงเห็นควรแก้ไขประกาศกระทรวงสาธารณสุขดังกล่าวให้สอดคล้องกัน
เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างถูกต้องและเหมาะสม
และเห็นควรให้กระทรวงสาธารณสุขกำกับ ติดตาม
และตรวจสอบค่าใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ
เงื่อนไข อัตราที่กำหนด และสามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอนพร้อมกับดำเนินการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ค่าใช้จ่ายของกระทรวงการคลังด้วย
ไปพิจารณาดำเนินการให้ถูกต้องและเหมาะสมต่อไป ๓.
ให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งสร้างการรับรู้เกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 ที่แก้ไขเพิ่มเติมในครั้งนี้
ให้แก่สถานพยาบาลต่าง ๆ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องและทั่วถึง
เพื่อให้การดำเนินการป้องกันและการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
รวมถึงการดำเนินการต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้
ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมมือกับศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมแผนการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง
ภายใต้กรณีศึกษาต่าง ๆ ตามระดับความรุนแรงและเร่งด่วนของสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา
2019 เพื่อให้การดำเนินการป้องกันและการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 มีความเหมาะสม และสามารถรองรับสภาพปัญหาที่อาจเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างทันการณ์ ๔.
ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1690 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สำหรับโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับบริการประชากรในประเทศไทย เพิ่มเติม จำนวน 5 แสนโดส | สธ. | 27/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบรายละเอียดโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (COVID-19) สำหรับบริการประชากรในประเทศไทย เพิ่มเติม จำนวน ๕ แสนโคส
กรอบวงเงินจำนวน ๓๒๑,๖๐๔,๐๐๐ บาท และอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๔ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา
และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กรอบวงเงินจำนวน ๓๒๑,๖๐๔,๐๐๐ บาท
สำหรับโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับบริการประชากรในประเทศไทย
เพิ่มเติม จำนวน ๕ แสนโดส ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒.
ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชนเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (COVID-19) ให้อยู่ในวงจำกัดโดยเร็วที่สุดและเพิ่มประสิทธิภาพในการคัดกรองระดับ/แยกประเภทผู้ป่วย
รวมทั้งการนำผู้ป่วยเข้าสู่ระบบการรักษาพยาบาลให้ทั่วถึงและรวดเร็วยิ่งขึ้น ๒.๒ ประเมินสถานการณ์ ตรวจสอบ
และแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในขั้นตอนต่าง ๆ เช่น การเฝ้าระวังโรค การเข้าตรวจโรค
และการรักษาพยาบาล เป็นต้น รวมทั้งให้จัดเตรียมแผนรองรับความเสี่ยงต่าง ๆ
ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
เพื่อให้การบริหารจัดการวิกฤติในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
(COVID-19)
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน ๒.๓
เร่งรัดการดำเนินการกระจายวัคซีนไปยังกลุ่มเป้าหมายอย่างเป็นระบบ ทั่วถึง
และเป็นธรรม
รวมทั้งให้สร้างความเข้าใจแก่ประชาชนให้มีความพร้อมในการเข้ารับการฉีดวัคซีนและการป้องกันโรคในสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ให้เผยแพร่ข้อมูลผลการดำเนินงานดังกล่าวสู่สาธารณชนเพื่อให้เกิดความโปร่งใสด้วย ๓.
ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1691 | การเข้าร่วมงาน Expo 2025 Osaka Kansai | พณ. | 27/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการให้ประเทศไทยเข้าร่วมงาน
EXPO 2025 Osaka Kansai ระหว่างวันที่ ๑๓ เมษายน-๑๓
ตุลาคม ๒๕๖๘ ณ นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น
โดยมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานเจ้าภาพหลักรับผิดชอบการเข้าร่วมงาน EXPO
2025 Osaka Kansai ในนามประเทศไทย รวมถึงเป็นผู้นำเสนอรายละเอียดแผนงานและแผนเงินให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุข
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นว่า
การเตรียมการเข้าร่วมงาน Expo 2025 Osaka Kansai กระทรวงสาธารณสุขควรทำงานร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้สามารถนำเสนอศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทยในด้านสาธารณสุข
รวมถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสุขภาพและการแพทย์ได้อย่างครบถ้วนและมีความหลากหลาย
โดยเฉพาะเทคโนโลยีหุ่นยนต์ อุปกรณ์การแพทย์ ยา
และอุตสาหกรรมความงามและการดูแลสุขภาพ รวมทั้งคัดเลือกวิสาหกิจที่มีศักยภาพด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์เข้าร่วมกิจกรรมภายในงานดังกล่าว
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเห็นควรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่เหมาะสมและทันต่อสถานการณ์ตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีให้ถูกต้องครบถ้วน
โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่รัฐหรือประชาชนจะได้รับ ความคุ้มค่า และความครอบคลุมของทุกแหล่งเงินที่จะนำมาใช้จ่ายในการเข้าร่วมงานดังกล่าว
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1692 | ชำระหนี้ค่าวัสดุอาหาร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | ยธ. | 27/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติให้กรมราชทัณฑ์ก่อหนี้ผูกพันเกินกว่างบประมาณที่ได้รับในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามนัยมาตรา ๔๒ ของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑
โดยให้กรมราชทัณฑ์พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ จำนวน ๒,๒๕๖,๑๔๐,๙๐๐ บาท
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการชำระหนี้ค่าวัสดุอาหารที่ค้างเบิกข้ามปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๓ โดยให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำหรับการเบิกค่าใช้จ่ายดังกล่าว ให้กระทรวงยุติธรรมถือปฏิบัติตามหนังสือกระทรวงการคลัง
ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๔๐๙.๓/ว ๑๔ ลงวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๔๘ เรื่อง
การเบิกค่าใช้จ่ายค้างเบิกข้ามปีในระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
(GFMIS) ตามความเห็นของกระทรวงการคลังต่อไป ๒. ให้กระทรวงยุติธรรม
(กรมราชทัณฑ์) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพลังงาน สำนักงานศาลยุติธรรม
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๑
(เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
ชำระหนี้ค่าวัสดุอาหารประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๐)
และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ (เรื่อง
ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ชำระหนี้ค่าสาธารณูปโภค ปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๐) ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง
รวมทั้งให้ติดตามและประเมินผลการดำเนินการเพื่อนำข้อมูลประกอบการพิจารณาก่อนขอรับการจัดสรรงบประมาณในปีต่อ
ๆ ไป ให้เหมาะสมด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1693 | การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งรัฐคูเวตว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูต หนังสือเดินทางพิเศษ และหนังสือเดินทางราชการ | กต. | 20/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งรัฐคูเวตว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูต
หนังสือเดินทางพิเศษ และหนังสือเดินทางราชการ
โดยให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามความตกลงฯ
ทั้งนี้ ในกรณีมอบหมายผู้แทน
เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full
Powers) ให้แก่ผู้ลงนามดังกล่าว
และให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการมีผลใช้บังคับของความตกลงฯ
โดยสาระสำคัญของร่างความตกลงฯ เป็นการอนุญาตให้ผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ
(กรณีคนชาติไทย) และผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางพิเศษ
(กรณีคนชาติคูเวต) เดินทางเข้า เดินทางผ่าน พำนัก
และเดินทางออกจากดินแดนของแต่ละฝ่ายโดยไม่ต้องมีการตรวจลงตราและได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียม
โดยสามารถพำนักอยู่ในดินแดนของไทยหรือรัฐคูเวตเป็นระยะเวลาต่อเนื่องหรือระหว่างการพำนักหลายครั้งไม่เกิน
๙๐ วัน ในช่วงระยะเวลา ๑๘๐ วัน นับจากวันแรกที่เดินทางเข้ามาในไทยหรือรัฐคูเวต
โดยความตกลงฯ ยังคงมีผลใช้บังคับต่อไปโดยไม่มีกำหนดระยะเวลา เว้นแต่ภาคีคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแจ้งยกเลิกความตกลงฯ
ล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นเวลา ๙๐ วัน
ให้ภาคีคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งทราบผ่านช่องทางการทูต ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1694 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 11/2564 และครั้งที่ 12/2564 | นร.11 | 20/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๔ และครั้งที่ ๑๒/๒๕๖๔
เมื่อวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๔ ซึ่งพิจารณาอนุมัติโครงการสร้างรายได้ด้วยแฟรนไชส์ฝ่าโควิด-๑๙
ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
และอนุมัติการปรับปรุงรายละเอียดโครงการเราชนะ ของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
กระทรวงการคลัง รวมทั้งรับทราบแนวทางการพิจารณากลั่นกรองและติดตามประเมินผลโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
และรายงานสรุปผลการดำเนินงานของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ตามผลการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ และข้อเสนอแนะต่อการพิจารณากลั่นกรองโครงการ
และการกำกับดูแลการดำเนินงานตามแผนงานหรือโครงการที่ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
(๑) กรมพัฒนาธุรกิจการค้าควรปรับแนวทาง/กิจกรรมดำเนินโครงการสร้างรายได้ด้วยแฟรนไชส์ฝ่าโควิด-๑๙
ให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
ในปัจจุบัน และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ระยะเวลาดำเนินการ และความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในทุกมิติ และ (๒) ให้กระทรวงมหาดไทยกำชับให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐในส่วนภูมิภาคที่จะจัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
ถือปฏิบัติแนวทางที่กำหนดไว้ในคู่มือแนวปฏิบัติการเสนอโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
(ภายใต้กลุ่มแผนงาน/โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชนบนพื้นฐานของโอกาสและศักยภาพของท้องถิ่น
: ระดับพื้นที่) โดยเฉพาะการจัดทำข้อเสนอโครงการที่มีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดฯ
และมีการกำหนดแผนดำเนินโครงการที่ได้คำนึงถึงการปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ในพื้นที่เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๔
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1695 | ร่างบันทึกความเข้าใจสำหรับการจัดตั้งคลังเก็บสิ่งของช่วยเหลือทางไกลของอาเซียน (Satellite Warehouse) ภายใต้โครงการ DELSA | มท. | 20/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจ
(Memorandum of Understanding) สำหรับการจัดตั้งและการปฏิบัติงานของคลังเก็บสิ่งของช่วยเหลือทางไกลของอาเซียน
(Satellite Warehouse) ภายใต้โครงการคลังเป็นสิ่งของช่วยเหลือและระบบโลจิสติกส์เพื่อช่วยเหลือเมื่อเกิดภัยพิบัติฉุกเฉินของอาเซียน
(DELSA) ณ ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต ๑๖ ชัยนาท โดยให้อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยหรือผู้แทนในฐานะผู้ประสานงานหลัก
(Focal Point) ในคณะกรรมการอาเซียนด้านการจัดการภัยพิบัติ (ASEAN
Committee on Disaster Management : ACDM) เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ร่วมกับผู้อำนวยการบริหารศูนย์ประสานงานอาเซียนในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
(ASEAN Coordinating Centre for Humanitarian Assistance on Disaster
Management : AHA Centre) เนื่องจากเป็นการดำเนินงานตามความตกลงอาเซียนว่าด้วยการจัดการภัยพิบัติและการตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉิน
ซึ่งเป็นพันธกรณีที่ประเทศไทยได้ลงนามรับรองไว้แล้ว เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๘ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ
เป็นการกำหนดกรอบความร่วมมือระหว่างกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกับ AHA
Centre ในการจัดตั้งและเปิดปฏิบัติการคลังเก็บสิ่งของช่วยเหลือทางไกลของอาเซียน
ณ ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต ๑๖ ชัยนาท
เพื่อเตรียมความพร้อมและเพิ่มศักยภาพในการตอบโต้และให้ความช่วยเหลือเมื่อเกิดภัยพิบัติในอาเซียนได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
สำหรับรายละเอียดในการดำเนินงานต่าง ๆ ภายใต้ร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ที่ทั้งสองฝ่ายจะดำเนินการร่วมกัน เช่น เจ้าหน้าที่โลจิสติกส์ของ AHA
Centre ประจำประเทศไทยจะดำเนินการสนับสนุนด้านพิธีการศุลกากรทั้งหมด
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจะจัดให้มีศูนย์ฝึกอบรมภายในสถานที่ตั้งคลังเก็บสิ่งของฯ
เป็นต้น ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงกลาโหมเกี่ยวกับกรณีที่มีอากาศยานทหารต่างประเทศบินผ่านหรือขึ้นลงในราชอาณาจักรให้ปฏิบัติตามมาตรา
๒๙ แห่งพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. ๒๔๙๗
โดยขออนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้มอบอำนนาจให้ผู้บัญชาการทหารอากาศหรือผู้แทนเป็นผู้ปฏิบัติราชการแทน
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1696 | การดำเนินโครงการช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรของรัฐบาล | นร. | 20/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า
เพื่อให้การช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรในโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาลเป็นไปอย่างเหมาะสม
ถูกต้อง โปร่งใส บรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
โดยไม่เกิดปัญหาความล่าช้า ชะงักงัน หรือจำเป็นต้องพิจารณาทบทวนเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของการดำเนินโครงการนั้น
ๆ ในภายหลัง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาระงบประมาณและผลสัมฤทธิ์ของโครงการได้ ดังนั้น
คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้ทุกส่วนราชการที่รับผิดชอบการดำเนินโครงการช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกร
เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม
พิจารณาจัดทำโครงการ กำหนดกลุ่มเป้าหมายและขั้นตอนการดำเนินงานให้ชัดเจน รัดกุม
ปฏิบัติได้จริงภายในระยะเวลาที่กำหนด
และตอบสนองต่อปัญหาและความเดือดร้อนของเกษตรกรอย่างแท้จริงและครบถ้วน โดยแนวทางการดำเนินการจะต้องเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง (ถ้ามี) อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้
ส่วนราชการเจ้าของโครงการจะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญของโครงการให้ถูกต้องครบถ้วนและเป็นปัจจุบันก่อนนำเสนอโครงการตามขั้นตอนต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1697 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แนวทางการจัดเที่ยวบินขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ (ถูกยกเลิกโดยมติ ครม. เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 68 ส.ยืนยัน 4762/68) | มท. | 20/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบเป็นหลักการให้บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน)
เป็นสายการบินแห่งชาติของไทยในการดำเนินภารกิจขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ชาวไทย ๒.
ในส่วนของงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดเที่ยวบินพิเศษเพื่อขนส่งผู้โดยสารไปประกอบพิธีฮัจย์
เนื่องจากกระทรวงคมนาคม (สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม)
ได้รับจัดสรรงประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
รายการจัดเที่ยวบินพิเศษเพื่อเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ จำนวน ๔๖.๔๘ ล้านบาท
จึงเห็นควรมอบหมายให้สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นผู้ดำเนินการจัดเที่ยวบินพิเศษเพื่อไปประกอบพิธีฮัจย์ดังกล่าว
สำหรับในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓.
ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๒๑ (เรื่อง นโยบายการบินพาณิชย์ของประเทศไทย) ที่ระบุให้สายการบินของรัฐเท่านั้นเป็นสายการบินที่กำหนดของประเทศ
โดยให้พิจารณากำหนดหลักเกณฑ์/แนวทางในการพิจารณาให้ชัดเจนและครอบคลุมในทุกมิติ
รวมทั้งคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นสำคัญ ไปพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในปัจจุบันด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1698 | ข้อเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 | นร.07 | 20/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบผลการรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ และเห็นชอบข้อเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๕ เพื่อสำนักงบประมาณจะได้ดำเนินการจัดพิมพ์ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ และเอกสารประกอบงบประมาณ
เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔
และนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒.
ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน
๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1699 | ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการแสดงความจำนงเป็นผู้ประกันตนและการนำส่งเงินสมทบของผู้ประกันตนตามมาตรา 39 พ.ศ. .... | รง. | 07/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการแสดงความจำนงเป็นผู้ประกันตนและการนำส่งเงินสมทบของผู้ประกันตนตามมาตรา
๓๙ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ (๑) ให้ผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๓
ซึ่งความเป็นผู้ประกันตนได้สิ้นสุดลง เนื่องจากสิ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง
ตั้งแต่วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๖๒ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ ได้รับการขยายกำหนดเวลาการแสดงความจำนงเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา
๓๙ โดยให้แสดงความจำนงภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๔ และ (๒) ให้ผู้ประกันตนตามมาตรา
๓๙ ได้รับการขยายกำหนดเวลานำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ตามมาตรา ๓๙ วรรคสาม
สำหรับเงินสมทบที่ต้องนำส่งประจำงวดเดือนมีนาคม ๒๕๖๓ ถึงงวดเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๔
โดยให้นำส่งเงินสมทบเข้ากองทุน ภายในวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
โดยให้แก้ไขวันใช้บังคับของร่างประกาศดังกล่าว เป็น
“ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ที่ผู้ประกันตนจะได้รับให้ทันต่อสถานการณ์
และวางแผนการดำเนินการทางการเงินของกองทุนประกันสังคมอย่างเหมาะสมทั้งในระยะสั้น
ระยะกลาง และระยะยาว โดยคำนึงถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ
กรณีที่มีแนวโน้มว่ากองทุนจะไม่มีเงินพอจ่ายประโยชน์ทดแทนแก่ผู้ประกันตน กระทรวงแรงงานควรประมาณการภาระงบประมาณที่รัฐบาลจะต้องสนับสนุนรายงานต่อคณะรัฐมนตรีให้ทราบล่วงหน้าด้วย
เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อสภาพคล่องและเสถียรภาพของกองทุน
รวมทั้งภาระทางการเงินการคลังที่อาจเกิดขึ้นแก่รัฐในอนาคต
และสำนักงานประกันสังคมควรเตรียมความพร้อมด้วยการหามาตรการ/แนวทางรองรับผลกระทบจากแนวโน้มการขาดดุลที่จะเพิ่มขึ้นในปีต่อ
ๆ ไป ซึ่งจะส่งผลต่อเสถียรภาพของกองทุนในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงแรงงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน
๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1700 | การขยายระยะเวลาการดำเนินการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคลในคนต่างด้าว | รง. | 07/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาการดำเนินการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 และการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคลในคนต่างด้าวที่ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ เรื่อง การผ่อนผันให้คนต่างด้าว ๓ สัญชาติ (กัมพูชา ลาว
และเมียนมา) อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ
ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่
และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๔ เรื่อง
ทบทวนแนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 ระลอกใหม่ และการบริหารจัดการผู้ต้องกัก
โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๒. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ (ฉบับที่ ..)
เพื่อให้คนต่างด้าวดำเนินการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล
(Biometrics) ได้ถึงวันที่ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๔
และให้คนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานไปจัดทำทะเบียนประวัติคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่มีใบอนุญาตทำงานอยู่ด้านหลังของบัตรได้ถึงวันที่
๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๕ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยให้แก้ไขร่างประกาศฯ ร่างข้อ ๒
โดยแยกเป็น ๒ ข้อ คือ กำหนดเป็นข้อ ๒ และข้อ ๓ และแก้ไขร่างข้อ ๓ เดิมเป็นข้อ ๔
เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางการร่างกฎหมาย ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงแรงงาน
เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ
สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๖๔
(ฉบับที่ ..) เพื่อให้คนต่างด้าวดำเนินการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) ได้ถึงวันที่
๑๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๔
และให้คนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานไปจัดทำทะเบียนประวัติคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่มีใบอนุญาตทำงานอยู่ด้านหลังของบัตรได้ถึงวันที่
๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๕
รวมถึงการอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานตามแนวทางที่กรมการจัดหางานกำหนด
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๔.
ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
(๑) การกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
ที่เกี่ยวข้องกับคนต่างด้าวที่ลักลอบอยู่ในราชอาณาจักรไทย
โดยออกเป็นประกาศกระทรวงแรงงานและประกาศกระทรวงมหาดไทยนั้น ที่ผ่านมามีการออกประกาศในเดือนธันวาคม
๒๕๖๓ และมีการแก้ไขช่วงเวลาในการดำเนินการมาแล้วทั้งสิ้น ๒ ครั้ง ได้แก่
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ และเมษายน ๒๕๖๔ แสดงให้เห็นว่า
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคาดการณ์เกี่ยวกับปัญหา ระยะเวลาดำเนินการ
และแนวทางการแก้ไขปัญหาได้ไม่ครบถ้วน รวมทั้งยังขาดการบูรณาการและทำงานร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพ
จึงเป็นสาเหตุให้มาตรการที่กำหนดขึ้นไม่อาจสำเร็จตามที่คาดการณ์ได้ (๒)
การกำหนดมาตรการใด ๆ เพี่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
และปัญหาคนต่างด้าวที่ลักลอบอยู่ในราชอาณาจักรและทำงานอย่างผิดกฎหมาย
ควรต้องคำนึงถึงภาระค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นจากการปฏิบัติตาม
และประเมินผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดขึ้นเพื่อปรับปรุง แก้ไข
หรือทบทวนความเหมาะสมต่อไป และ (๓) ให้กระทรวงแรงงานเร่งประสานงานกับกระทรวงสาธารณสุขให้มีการดำเนินการเชิงรุกในการเข้าตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในคนต่างด้าว และขยายเครือข่ายสถานพยาบาลหรือหน่วยงานอื่นในการตรวจหาเชื้อโควิด-19 รวมทั้งดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการนำคนต่างด้าวเข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๕.
ให้กระทรวงแรงงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน
๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|