ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 87 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 1721 - 1740 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1721 | การปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 | นร.07 | 23/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ และการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ โดยให้สำนักงบประมาณนำข้อเสนอการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕
ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีไปรับฟังความคิดเห็นให้สอดคล้องกับบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๗๗ วรรคสอง ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒.
ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน
๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1722 | ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 7 | กค. | 23/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน
ครั้งที่ ๗ (Joint Statement of the 7th ASEAN Finance Ministers’
and Central Bank Governors’ Meeting) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ
โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฯ เป็นเอกสารผลลัพธ์การประชุมที่จะมีการรับรองในการประชุมรัฐนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน
(ASEAN Finance Ministers and Central Bank Governors’ Meeting : AFMGM) ครั้งที่ ๗ ในวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมทางไกล
มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียนในการขับเคลื่อนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียนและการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว
เพื่อลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการคลังดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒.
ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1723 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ | อก. | 23/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ
โดยทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๙ เป็นดังนี้
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ ในส่วนของการทดสอบเพื่อรองรับรายการมาตรฐานที่จะบังคับหรือที่ต้องดำเนินการตามพันธกรณีข้อตกลงอาเซียน
จำนวน ๒๑ รายการ โดยใช้รูปแบบเดียวกันกับการจัดหาเครื่องมือทดสอบสำหรับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมบังคับ
คือ ให้เป็นการลงทุนของภาครัฐเฉพาะในส่วนนี้ โดยมีวงเงินงบประมาณรวม ๓,๗๐๕.๗
ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ดำเนินการจนแล้วเสร็จในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒.
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น เห็นควรเร่งรัดจัดทำข้อเสนอเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณภายใต้กรอบวงเงินโครงการฯ
เพื่อดำเนินการก่อสร้างสนามทดสอบสมรรถนะและความเร็ว
และจัดหาชุดเครื่องมือทดสอบให้เป็นไปตามแผนและระยะเวลาที่กำหนด
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยานยนต์
ชิ้นส่วนยานยนต์
และยางล้อทั้งในประเทศและต่างประเทศภายใต้ข้อตกลงยอมรับร่วมผลการตรวจสอบและรับรองยานยนต์ของอาเซียน
(ASEAN Mutual Recognition on Type Approval for Automotive
Products) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนตามขั้นตอนต่อไป
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1724 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ และตำบลบางแก้ว ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... | คค. | 23/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลสำโรงเหนือ
อำเภอเมืองสมุทรปราการ และตำบลบางแก้ว ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลสำโรงเหนือ
อำเภอสมุทรปราการ และตำบลบางแก้ว ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ
เพื่อขยายทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๓๔๔
กับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๒๕๖ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
ก่อนการก่อสร้างทางหลวงชนบททุกเส้นทาง
กรมทางหลวงชนบทควรจะให้ความสำคัญและตระหนักถึงแนวทางในการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดจากการก่อสร้างทางหลวงชนบทกีดขวางการไหลของน้ำตามธรรมชาติ
เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาการระบายน้ำไม่ทันและอาจก่อให้เกิดน้ำท่วมหรือเกิดอุทกภัยต่อไปในอนาคต
และให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เรื่อง
แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการตราร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนเพื่อก่อสร้างหรือขยายถนนอย่างเคร่งครัด
เพื่อลดผลกระทบต่อการระบายน้ำในพื้นที่โดยรอบโครงการดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กรมทางหลวงชนบทถือปฏิบัติเกี่ยวกับการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนฯ
ฉบับใหม่ล่วงหน้าไม่น้อยกว่าหกสิบวันก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกานั้นจะสิ้นผลใช้บังคับตามมาตรา
๑๐ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยเคร่งครัด
ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1725 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 9/2564 | นร.11 | 23/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๔
ซึ่งได้พิจารณาอนุมัติโครงการทัวร์เที่ยวไทย
พร้อมทั้งมอบหมายให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการฯ
และอนุมัติให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยปรับปรุงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการกำลังใจและโครงการเราเที่ยวด้วยกัน
และกรมหม่อมไหม
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปรับปรุงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการพัฒนาเพิ่มศักยภาพมัลเบอรี่วัลเลย์
จังหวัดสระบุรี
รวมทั้งรับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานและการใช้จ่ายเงินกู้ของแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ รวม ๓ เดือน ครั้งที่ ๓
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น หน่วยงานเจ้าของโครงการจะต้องเร่งดำเนินโครงการให้ทันต่อสถานการณ์
และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระยะเวลาดำเนินการ
ความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในทุกมิติ ซึ่งจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์
อัตราค่าใช้จ่าย และมาตรการของทางราชการอย่างประหยัด และเร่งรัดการใช้จ่ายให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่าย
ตลอดจนให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์ เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1726 | การต่ออายุบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MoU) ว่าด้วยการซื้อขายข้าวระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงอาหารแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ | พณ. | 23/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการต่ออายุบันทึกความเข้าใจ
(Memorandum of Understanding : MoU) ระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงอาหารแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ
และมอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มอบหมายให้เป็นผู้ลงนาม
โดยร่าง MoU มีสาระสำคัญเป็นความตกลงการซื้อขายข้าวระหว่างรัฐต่อรัฐ
(Government to Govetnment : G to G) ซึ่งรัฐบาลไทยตกลงจะขายข้าวทุกชนิดให้แก่รัฐบาลบังกลาเทศปริมาณไม่เกิน
๑ ล้านตันต่อปี ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๙ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การผลิตของทั้งสองประเทศและระดับราคาในตลาดโลก
และมีผลใช้บังคับเป็นระยะเวลา ๕ ปี จนถึงวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๙
(กำหนดวันลงนามภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่าง MoU แล้ว) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในส่วนของการซื้อขายข้าวแบบ
G to G ควรให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์
ระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อย่างเคร่งครัด
เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปด้วยความโปร่งใสและเป็นธรรม
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่าง MoU
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1727 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีศึกษา โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิระยะที่ 2 กรณีการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศเหนือ (North Expansion) | ปช. | 23/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตกรณีศึกษา
โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิระยะที่ ๒ กรณีการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศเหนือ
(North Expansion) สรุปได้ว่า บริษัท ท่าอากาศยานไทย
จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ควรเร่งดำเนินการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศตะวันออก
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๓ ซึ่งอยู่ในแผนงานเดิมโดยเร็ว
เพื่อลดความแออัดของอาคารผู้โดยสารปัจจุบัน และ ทอท. ควรดำเนินการขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก
และก่อสร้างอาคารผู้โดยสารด้านทิศใต้เป็นลำดับแรกก่อน
แล้วจึงนำโครงการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศเหนือมาพิจารณาทบทวนอีกครั้งหนึ่ง
ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ และให้กระทรวงคมนาคม โดย
ทอท. รับข้อเสนอแนะดังกล่าว รวมทั้งความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรรายงานผลความคืบหน้าในประเด็นข้อเสนอของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติกรณีการเร่งดำเนินการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศตะวันออก
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๓
และประเด็นการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศตะวันตกในคราวเดียวกัน
ตลอดจนการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิตามคำแนะนำของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อคณะรัฐมนตรีเป็นการเร่งด่วนต่อไป
และเห็นควรเร่งดำเนินการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศตะวันออก ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๓ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม
โดย ทอท. เร่งรัดการศึกษาความเหมาะสมแนวทางการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (Revisit)
ขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) และสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ
(IATA) เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาทบทวนแผนแม่บทการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
และให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1728 | ผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (นัดพิเศษ) | นร.14 | 23/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
(นัดพิเศษ) เมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๖๔ ซึ่งที่ประชุมรับทราบรายงานสถานการณ์น้ำปัจจุบัน
การจัดทำงบประมาณรายจ่ายบูรณาการแผนงานบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
และผลการดำเนินงานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญ ครั้งที่
๑/๒๕๖๔ รวมทั้งพิจารณาโครงการขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมเสนอขอตั้งงบประมาณปี พ.ศ.
๒๕๖๕ จำนวน ๕ โครงการ การกำหนดให้ประธานกรรมการ กรรมการ
และอนุกรรมการได้รับเบี้ยประชุม ค่าพาหนะ ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าเช่าที่พัก
และค่าใช้จ่ายอย่างอื่นตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ที่ออกตามความในพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ
พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๒๒ และมาตรา ๓๖ การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหาร
พัฒนา อนุรักษ์ และฟื้นฟูคลองแสนแสบ และการมอบหมายคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
และหน่วยงานดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะจากการประชุมกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ ๒.
มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติและข้อสั่งการของประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
ในการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (นัดพิเศษ) เมื่อวันที่ ๒๑
มกราคม ๒๕๖๔ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า (๑)
การปรับเปลี่ยนพันธุ์ข้าวให้เหมาะสมกับปริมาณน้ำน้อยเป็นมาตรการที่สามารถดำเนินการได้
และพันธุ์ข้าวต้องสอดคล้องกับความต้องการของตลาด
โดยส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยีการปลูกข้าวน้ำน้อย ๒ รูปแบบ คือ
การให้น้ำแบบเปียกสลับแห้ง และการให้น้ำแบบดินชุมน้ำ (๒)
ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการดำเนินการ และยืนยันความพร้อมของโครงการ
โดยมีรายละเอียดของแบบรูปรายการ สถานที่ดำเนินการ ประมาณการค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
โดยคำนึงถึงความครอบคลุมของทุกแหล่งเงิน ศักยภาพและความสามารถในการใช้จ่าย
ความคุ้มค่า ความประหยัด เป้าหมาย
และประโยชน์ที่ทางราชการและประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
และ (๓) การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
ทำให้ความต้องการงบประมาณเพื่อใช้จ่ายสำหรับฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมเพิ่มขึ้น
ดังนั้น
หน่วยงานที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณควรดำเนินการด้วยความรอบคอบและยึดหลักความคุ้มค่าของการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อให้โครงการต่าง ๆ
ดำเนินการแล้วเสร็จตามแผนงานอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการบรรเทาปัญหาด้านทรัพยากรน้ำตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓.
ในส่วนของการดำเนินแผนงาน/โครงการที่มีวงเงินงบประมาณตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป
ให้หน่วยงานเจ้าของแผนงาน/โครงการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีอย่างครบถ้วนด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1729 | มาตรการทางการบริหารเพื่อประสิทธิภาพในการดำเนินการทางวินัยและจริยธรรม | นร.10 | 16/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน
(ก.พ.) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๔ ตามที่สำนักงาน ก.พ.
เสนอ และให้องค์กรกลางบริหารงานบุคคลประเภทต่าง ๆ ถือปฏิบัติตามมติ ก.พ.
ดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ดังนี้
๑.๑ ให้องค์กรกลางบริหารงานบุคคลประเภทต่าง ๆ
นำมาตรการทางการบริหารที่เกี่ยวข้องกับวินัยและจริยธรรมร้ายแรงของแต่ละองค์กรกลางบริหารงานบุคคล
เช่น การสั่งพักราชการหรือการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน
การสั่งให้ประจำส่วนราชการ การสั่งสำรองราชการ
หรือการสั่งการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
ที่มีอยู่มาใช้ในการดำเนินการทางวินัยกับข้าราชการที่ถูกกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมชู้สาว
หรือล่วงละเมิดทางเพศ หรือคุกคามทางเพศ
รวมถึงการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการกระทำการล่วงละเมิดทางเพศ
หรือการคุกคามทางเพศดังกล่าว เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ
โดยเฉพาะการดำเนินการในเรื่องที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชน
หรือเรื่องที่มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของส่วนราชการ โดยกำชับผู้บังคับบัญชาให้เร่งรัด
การดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว หากผู้บังคับบัญชาละเลยไม่ปฏิบัติ
หรือปฏิบัติหน้าที่โดยไม่สุจริต ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำผิดวินัย ๑.๒ ให้ ก.พ.
จัดให้มีการประชุมเพื่อหารือร่วมกันระหว่างองค์กรกลางบริหารงานบุคคลของข้าราชการฝ่ายพลเรือนประเภทต่าง
ๆ ทำการศึกษาวิเคราะห์กฎหมายว่าด้วยการบริหารงานบุคคล
เพื่อกำหนดมาตรฐานหรือหลักเกณฑ์กลาง ตามนัยมาตรา ๑๐
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ เช่น
การนำมาตรการทางการบริหารมาใช้เพื่อให้การดำเนินการทางวินัยรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
การกำหนดมาตรการลงโทษ และการดำเนินการทางวินัยที่เกี่ยวเนื่องกับจริยธรรม
๒. ให้สำนักงาน ก.พ.
ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1730 | รายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 | นร.07 | 16/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
แนวทางการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
และมาตรการในการแก้ไขกรณีงบประมาณรายจ่ายลงทุนมีจำนวนน้อยกว่าวงเงินส่วนที่ขาดดุลของงบประมาณประจำปี
ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒.
ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน
๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1731 | การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2564 ถึงวันที่ 19 มิถุนายน 2564) | นร.08 | 16/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส
ยกเว้นอำเภอศรีสาคร อำเภอสุไหงโก-ลก และอำเภอสุคิริน จังหวัดยะลา ยกเว้นอำเภอเบตง
และจังหวัดปัตตานี ยกเว้นอำเภอไม้แก่น และอำเภอแม่ลาน ออกไปอีก ๓ เดือน
ตั้งแต่วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๔ ถึงวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๔ ๒. เห็นชอบและรับทราบร่างประกาศ
รวม ๓ ฉบับ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบร่างประกาศ เรื่อง
การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส
ยกเว้นอำเภอศรีสาคร อำเภอสุไหงโก-ลก และอำเภอสุคิริน จังหวัดยะลา ยกเว้นอำเภอเบตง
และจังหวัดปัตตานี ยกเว้นอำเภอไม้แก่น และอำเภอแม่ลาน และร่างประกาศ เรื่อง
การให้ประกาศที่คณะรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงยังคงมีผลใช้บังคับ ๒.๒ รับทราบร่างประกาศ เรื่อง
การให้ประกาศและคำสั่งที่นายกรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงยังคงมีผลใช้บังคับ ๓.
ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1732 | ขอความเห็นชอบต่อร่างข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับสถานเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย ว่าด้วยความร่วมมือด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเศรษฐกิจหมุนเวียน | ทส. | 09/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับสถานเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย
ว่าด้วยความร่วมมือด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
และเศรษฐกิจหมุนเวียน และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนาม
โดยร่างข้อตกลงความร่วมมือฯ
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดกรอบการดำเนินงานความร่วมมือในการส่งเสริมการจัดการสิ่งแวดล้อม
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสนับสนุนแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน
เพื่อป้องกันการรั่วไหลของขยะพลาสติกลงสู่ทะเล ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างข้อตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1733 | ขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีที่ห้ามใช้ประโยชน์ป่าชายเลน แผนงานก่อสร้างสถานีจ่ายน้ำนาทอน (แห่งใหม่) พร้อมวางท่อขยายเขตจำหน่ายน้ำพื้นที่ตำบลนาทอน ตำบลทุ่งบุหลัง และตำบลขอนคลาน อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล | มท. | 09/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีที่ห้ามใช้ประโยชน์ป่าชายเลน
ในการดำเนินการแผนงานก่อสร้างสถานีจ่ายน้ำนาทอน (แห่งใหม่) พร้อมวางท่อขยายเขตจำหน่ายน้ำพื้นที่ตำบลนาทอน
ตำบลทุ่งบุหลัง และตำบลขอนคลาน อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล
ในพื้นที่ป่าชายเลนในตำบลนาทอน ตำบลทุ่งบุหลัง และตำบลขอนคลาน อำเภอทุ่งหว้า
จังหวัดสตูล เนื้อที่ ๓ ไร่ ๔๘ ตารางวา (๓.๑๒ ไร่) เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคในช่วงฤดูแล้ง
ซึ่งไม่สามารถขุดเจาะบ่อบาดาลได้ โดยจะดำเนินการขยายเขตจำหน่ายน้ำประปาของการประปาส่วนภูมิภาค
สาขาละงู เพื่อจ่ายน้ำให้แก่พื้นที่ใน ๓ ตำบลดังกล่าว ซึ่งโครงการดังกล่าวจะต้องมีการวางท่อประปา
ระยะทางประมาณ ๑๐.๔๘ กิโลเมตร ผ่านพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติและพื้นที่ป่าชายเลน
ตามมติคณะรัฐมนตรี (วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๔ วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ และวันที่ ๑๗
ตุลาคม ๒๕๔๓) ซึ่งห้ามมิให้อนุญาตการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลนทุกกรณีทั้งภาครัฐและเอกชน
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย
(การประปาส่วนภูมิภาค) รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงบประมาณ เช่น
การเปลี่ยนชื่อสายทางในแนวทางท่อประปา และการให้การประปาส่วนภูมิภาคนำเงินรายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายในการปลูกป่าและบำรุงป่าชายเลน
เป็นต้น ไปดำเนินการต่อไป โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1734 | รายงานผลการดำเนินการของศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ | ปปท. | 09/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการของศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ
(ศอตช.) ตามที่สำนักานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน
ป.ป.ท.) เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.
คณะกรรมการอำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ จำนวน ๖ คณะ
เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานของ ศอตช. ซึ่งมีผลการดำเนินงาน เช่น (๑) จัดทำแนวทาง มาตรการ
เสริมสร้าง และประสานความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ
ในการป้องกันแก้ไขปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบ และ (๒) บูรณาการการดำเนินงานเกี่ยวกับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและไม่เป็นธรรมให้ประชาชนโดยเร็ว
เป็นต้น ๒. ศอตช. ได้จัดทำระบบรับเรื่องร้องเรียน
ศอตช. ทางอิเล็กทรอนิกส์
เพื่อรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนที่เกี่ยวกับการทุจริตประพฤติมิชอบเป็นการเฉพาะ โดยตั้งแต่วันที่
๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๓ จนถึงวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๔ รับเรื่องร้องเรียน จำนวน ๒๙๗ เรื่อง
ดำเนินการแล้วเสร็จ จำนวน ๑๑๐ เรื่อง และอยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน ๑๘๗ เรื่อง ๓. การดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
รวมจำนวน ๘ คำสั่ง (ที่ให้เจ้าหน้าที่หยุดปฏิบัติหน้าที่เนื่องจากอยู่ระหว่างถูกตรวจสอบการกระทำความผิดที่เกี่ยวเนื่องกับการปฏิบัติหน้าที่)
จำนวน ๔๐๐ ราย ดำเนินการแล้วเสร็จ จำนวน ๓๐๐ ราย และอยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน
๑๐๐ ราย ๔. การดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๓ เรื่อง กลไกเฝ้าระวังการใช้จ่ายงบประมาณตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ประกอบด้วย
การเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแสการป้องกันและลดโอกาสการทุจริต การตรวจสอบ และการดำเนินมาตรการทางปกครอง
วินัย อาญา ๕.
การติดตามผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการ (เดิม)
ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะกรรมการอำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี
ที่ ๒๒๖/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ จำนวน ๓ คณะ ประกอบด้วย (๑)
คณะรัฐมนตรีและภาคเอกชนร่วมกันกำหนดบัญชีดำ (Black List) ห้ามทำธุรกรรมกับภาครัฐ
สำหรับบริษัท ห้างร้าน นิติบุคคล
ที่มีสินบนแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐและสนับสนุนการทุจริตในภาครัฐ (๒) คณะกำหนดความผิดของนิติบุคคลเกี่ยวข้องกับคดีทุจริต
ประพฤติมิชอบและผู้ร่วมกระทำความผิด และ (๓) คณะกำหนดกลไกประสานขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การปราบปรามการทุจริต ในการนี้ นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในท้ายบันทึกของสำนักงาน
ป.ป.ท. ว่า “ทราบ/ให้มีผลการปฏิบัติเป็นรูปธรรม/บัญชี Black List ทำให้ชัดเจน ประชาสัมพันธ์เป็นผลงานให้สังคมทราบ”
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1735 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 8/2564 | นร.11 | 09/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในส่วนของเรื่อง
การเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการเราเที่ยวด้วยกัน
ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
และรายงานผลการดำเนินโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ๒.
รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่
๘/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๖๔ ในส่วนของเรื่อง
การปรับปรุงรายละเอียดของโครงการที่เป็นสาระสำคัญของโครงการ ม๓๓ เรารักกัน
ของสำนักงานประกันสังคม ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ๓.
ให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง เช่น
หน่วยงานเจ้าของโครงการจะต้องเร่งดำเนินโครงการให้ทันต่อสถานการณ์
และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ให้ถูกต้อง ครบถ้วนอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระยะเวลาดำเนินการ
และความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในทุกมิติ ซึ่งจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์
อัตราค่าใช้จ่าย และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด
โดยไม่มีความซ้ำซ้อนของกลุ่มเป้าหมาย หรือสิทธิที่พึงได้รับจากภาครัฐไปแล้ว
ผ่านกลไกการตรวจสอบจากเลขบัตรประจำตัวประชาชน ๑๓ หลัก
โดยจัดให้มีระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์ เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
รวมทั้งให้ดำเนินการด้วยความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอนเพื่อให้การใช้งบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ภาครัฐ และในกรณีที่พบว่ามีการทุจริตเกิดขึ้น
ให้เร่งรัดตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อหาผู้กระทำผิดมาดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ได้โดยเร็วด้วย ๔. ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1736 | กรอบวงเงินงบประมาณด้านการอุดมศึกษาในความรับผิดชอบของกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 และระบบการจัดสรรและบริหารงบประมาณแบบบูรณาการที่มุ่งผลสัมฤทธิ์ | อว. | 09/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณด้านการอุดมศึกษาในความรับผิดชอบของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ จำนวน ๑๑๗,๘๘๐.๙๑๓๙
ล้านบาท และระบบการจัดสรรและบริหารงบประมาณแบบบูรณาการที่มุ่งผลสัมฤทธิ์ โดยยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๓ (เรื่อง แนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่าย
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕) ตามที่สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและข้อเสนอแนะของสำนักงาน
ก.พ.ร. ที่เห็นควร (๑)กำหนดตัวชี้วัดเชิงผลลัพธ์ของการพลิกโฉมระบบอุดมศึกษาของประเทศไทย
(Reinventing
University System) ให้มีความท้าทาย
เพื่อกระตุ้นให้เกิดการขับเคลื่อนแผนด้านการอุดมศึกษา เพื่อผลิตและพัฒนากำลังคนของประเทศ
พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๗๐ ไปสู่ความเป็นเลิศด้านการอุดมศึกษาของประเทศ เช่น
ระดับความสำเร็จของสถาบันอุดมศึกษาที่ติดอันดับ World University Rankings
by Subject หรือ World Class University Ranking ใน ๑๐๐ อันดับแรก เป็นต้น และ (๒) กำหนดเป้าหมายการจัดการศึกษา
ในช่วงปีการศึกษา พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๗๐
ให้รองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายและอุปสงค์ของภาคการผลิต (Demand Side
Financing) รวมทั้งบรรเทาผลกระทบต่อการจ้างงานที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (Covid-19) โดยเพิ่มเป้าหมายการผลิตบัณฑิต (Degree
Program) ในสาขาวิชาที่สอดคล้องต่อการตอบสนองทิศทางการพัฒนาประเทศ
มุ่งเน้นกลุ่มสาขาตามอุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ (S-Curve) และอุตสาหกรรมอนาคต
(New S-Curve) โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาขาเทคโนโลยีดิจิทัล
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
ในการเสนอกรอบวงเงินงบประมาณประจำปีในคราวต่อ ๆ ไป ให้สภานโยบายการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาตินำกรอบวงเงินงบประมาณด้านการอุดมศึกษาในความรับผิดชอบของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมและกรอบวงเงินงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมของประเทศเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาในคราวเดียวกันด้วย ๓. ให้สภานโยบายการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1737 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 7/2564 | นร.11 | 09/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์
๒๕๖๔ ซึ่งได้พิจารณาอนุมัติโครงการพัฒนาระบบสื่อสารสั่งการศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขระดับกระทรวง
และระดับเขตสุขภาพเป็น SmartEOC
เพื่อรองรับภาวะฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข
กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-๑๙) ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
โครงการภายใต้แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อแก้ปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (แผนงาน/โครงการกลุ่มที่ ๑)
ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓
ที่ทบทวนตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ครั้งที่ ๑๐/๒๕๖๓
และครั้งที่ ๓๒/๒๕๖๓ จำนวน ๒๐ โครงการ
โครงการภายใต้แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (แผนงาน/โครงการกลุ่มที่ ๑) ที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ครั้งที่ ๑๐/๒๕๖๓ จำนวน ๓ โครงการ
และมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการ ดำเนินการ รวมทั้งอนุมัติให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
ปรับปรุงรายละเอียดโครงการ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ๒. ให้กระทรวงกลาโหม
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
หน่วยงานเจ้าของโครงการ ควรเตรียมความพร้อมให้ทันต่อสถานการณ์ และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระยะเวลาดำเนินการ
ตามความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในทุกมิติ ซี่งจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์
อัตราค่าใช้จ่าย และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด
รวมทั้งเร่งรัดการใช้จ่ายให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่าย ตลอดจนให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1738 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) ครั้งที่ 1/2564 | พณ. | 09/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
(กนศ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔
เกี่ยวกับการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๖๔ ที่มอบหมายให้
กนศ.
ดำเนินการจัดทำกรอบการทำงานเพื่อติดตามการจัดทำแผนงานการดำเนินการเพื่อปรับตัวของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบจากการเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก
(CPTPP)
ของสภาผู้แทนราษฎร โดยที่ประชุม กนศ.
มีมติเห็นชอบในหลักการให้จัดตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว
จำนวน ๘ คณะ ซึ่งฝ่ายเลขานุการได้ประสานรายละเอียดกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
และจัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการทั้ง ๘ คณะเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ กนศ.
ขอให้คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนฯ ทุกคณะเร่งจัดทำกรอบการทำงานเพื่อติดตามการจัดทำแผนงาน
การดำเนินการเพื่อปรับตัวของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ
โดยหารือร่วมกับหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่อง รวมทั้งภาคส่วนต่าง ๆ อาทิ
ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม
รวบรวมข้อมูลและจัดทำข้อเสนอแนะเกี่ยวกับความพร้อมและเงื่อนเวลาในการขอเจรจาเข้าร่วมความตกลง
CPTPP หรือความไม่พร้อมของไทยให้แล้วเสร็จ
และเสนอต่อที่ประชุม กนศ. ครั้งต่อไปเพื่อพิจารณารายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป
ตามที่ กนศ. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1739 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการส่งกำลังบำรุงและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศระหว่างกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงกลาโหมแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ | กห. | 02/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการส่งกำลังบำรุงและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศระหว่างกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงกลาโหมแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์
(Memorandum
of Understanding on Logistics and Defense Industry Cooperation between the
Ministry of Defence of the Kingdom of Thailand and the Department of National
Defense of the Republic of the Philippines) และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ร่วมลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดแนวทางความร่วมมือด้านการส่งกำลังบำรุงและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศในรูปแบบต่าง
ๆ เช่น การพัฒนา การผลิต การปฏิบัติการ และการบริหารจัดการสิ่งอุปกรณ์ทางทหาร
การจัดหาหรือถ่ายโอนหรือแลกเปลี่ยนยุทโธปกรณ์ สิ่งอุปกรณ์ทางทหารและการบริการ
และการแลกเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ด้านการส่งกำลังบำรุงและด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1740 | การพัฒนานักกฎหมายภาครัฐ (การปรับปรุงหลักสูตรการพัฒนานักกฎหมายภาครัฐ) | นร.09 | 02/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
ดังนี้
๑.๑ ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๔๗ และวันที่ ๖ กันยายน
๒๕๔๘
ที่มีมติรับทราบและเห็นชอบการพัฒนากฎหมายตามนโยบายรัฐบาลตามที่คณะกรรมการนโยบายแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนากฎหมายเสนอ
ซึ่งรวมถึงแนวทางการพัฒนานักกฎหมายภาครัฐ โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับผิดชอบพัฒนาหลักสูตรการพัฒนานักกฎหมายภาครัฐให้เหมาะสมแก่กาลสมัย
โดยไม่ต้องนำเสนอหลักสูตรให้คณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเห็นชอบอีก
แต่ให้รายงานผลการดำเนินงานต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบเป็นระยะ ทั้งนี้ ผู้ซึ่งจะผ่านการฝึกอบรมต้องมีผลงานวิชาการส่วนบุคคลเกี่ยวกับการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานต้นสังกัดเผยแพร่ต่อสาธารณะในเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วย
๑.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพัฒนาวิธีการฝึกการอบรมและพัฒนานักกฎหมายภาครัฐให้ทันสมัยและสอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป
และอาจมอบหมายให้หน่วยงานภาครัฐจัดการฝึกอบรมนักกฎหมายภาครัฐในสังกัดของตนเองตามหลักสูตรที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากำหนด
ทั้งนี้
ผู้ผ่านการฝึกอบรมต้องได้รับการอนุมัติให้ผ่านการฝึกอบรมจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตามหลักเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากำหนดเพื่อเป็นการควบคุมคุณภาพการฝึกอบรม
๒.
ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงาน
ก.พ. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เช่น (๑) การกำหนดให้ผู้ซึ่งจะผ่านการฝึกอบรมต้องมีผลงานวิชาการส่วนบุคคลเกี่ยวกับการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานต้นสังกัดเผยแพร่ต่อสาธารณะในเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษีกา
ควรมีการกำหนดรายละเอียดหลักเกณฑ์การประเมินดังกล่าวให้ชัดเจน เพื่อให้ทุกหน่วยงานมีความเข้าใจและดำเนินการให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
(๒) การมอบหมายให้หน่วยงานภาครัฐจัดการฝึกอบรมนักกฎหมายภาครัฐในสังกัดของตนเองตามหลักเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากำหนด
ควรคำนึงถึงความพร้อมของหน่วยงานและความคุ้มค่าในการจัดฝึกอบรมประกอบด้วย และ (๓)
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาหลักสูตรที่จะทำให้นักกฎหมายภาครัฐมีศักยภาพ
จรรยาบรรณ และจริยธรรม
นอกเหนือจากการมีความรู้และทักษะที่เกี่ยวข้องในการพัฒนากฎหมาย เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|