ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 86 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 1701 - 1720 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1701 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมการแบ่งส่วนราชการในกองบังคับการในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และแก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการดังกล่าว) | ตช. | 30/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรม
สังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเป็นหน่วยงานระดับกองบังคับการ
และกำหนดอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการดังกล่าว
แก้ไขการแบ่งส่วนราชการภายในกองบังคับการอำนวยการ
รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของกองบังคับการปฏิบัติการพิเศษ
ในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางให้สอดคล้องกับภารกิจที่เพิ่มขึ้น
และเหมาะสมกับสภาพของงานที่เปลี่ยนแปลงไป
อันจะทำให้การปฏิบัติภารกิจตามอำนาจหน้าที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร.
สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรพิจารณาปรับบทบาท ภารกิจ
และโครงสร้างหน่วยงานที่รับผิดชอบภารกิจด้านการฝึกอบรมให้สอดคล้องกับรูปแบบ
ยุทธวิธี และการปฏิบัติการเฉพาะทางที่เป็นภารกิจหลักสำคัญ
มุ่งเน้นให้เกิดการบูรณาการภารกิจการฝึกอบรมในภาพรวม ควรมอบให้ภาคส่วนอื่นเข้ามาร่วมจัดฝึกอบรมในส่วนที่ไม่เกี่ยวกับการถวายความปลอดภัยและอารักขาบุคคลสำคัญ
และควรจัดทำแผนการบริหารอัตรากำลังให้ชัดเจน
จัดสรรอัตรากำลังให้สอดคล้องกับภารกิจและปริมาณงาน และจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อประกอบการพิจารณาเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม
นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีอาจกำหนดมาตรการเช่นเดียวกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔
ธันวาคม ๒๕๖๑ เรื่อง
การมอบอำนาจการแบ่งส่วนราชการภายในกรมที่เป็นการแบ่งส่วนราชการอื่นที่มีสำนักงาน
ก.พ.ร. คอยตรวจสอบและควบคุม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1702 | การขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร | นร.08 | 30/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร
ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๔ จนถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ ๒.
เห็นชอบและรับทราบร่างประกาศ รวม ๓ ฉบับ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบร่างประกาศ เรื่อง
การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร (คราวที่
๑๑) และร่างประกาศ เรื่อง การให้ประกาศที่คณะรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินยังคงมีผลใช้บังคับ ๒.๒ รับทราบร่างประกาศ เรื่อง การให้ข้อกำหนด
ประกาศ และคำสั่งที่นายกรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินยังคงมีผลใช้บังคับ ๓.
ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1703 | รายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รวมตลอดทั้งการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบหรือคำสั่ง เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน กรณีขอให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อลูกจ้างรับเหมาค่าแรง | สนง. กสม. | 30/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
รวมตลอดทั้งการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบหรือคำสั่ง
เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน
กรณีขอให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อลูกจ้างรับเหมาค่าแรง
ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งกระทรวงแรงงานได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป ดังนี้ ๑. ประเด็นที่ ๑
กรณีให้มีการทบทวนและปรับปรุงแก้ไขกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานที่ยังมีช่องว่างระหว่างกฎหมายและทางปฏิบัติ
โดยพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติมาตรา ๑๑/๑ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ. ๒๕๔๑ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๕๑ ให้มีความชัดเจนทั้งในเรื่องลักษณะความสัมพันธ์ของการจ้างแรงงานในรูปแบบการจ้างเหมาค่าแรง
ขอบเขต และมูลเหตุจำเป็นในการจ้างเหมาค่าแรง และหลักเกณฑ์ในทางปฏิบัติ
ที่ประชุมมีความเห็นว่า บทบัญญัติดังกล่าวมีความชัดเจนและไม่มีประเด็นปัญหาเกี่ยวกับการตีความตัวบทกฎหมาย
จึงยังไม่ควรปรับปรุงแก้ไขบทบัญญัติดังกล่าว แต่ควรนำมาตรา ๑๑/๑ เข้าสู่กระบวนการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางกฎหมายต่อไป
และให้กำหนดแนวปฏิบัติหรือมาตรการให้นายจ้าง ลูกจ้าง
มีความเข้าใจเกี่ยวกับบทบัญญัติตามมาตรา ๑๑/๑ มากขึ้น ๒. ประเด็นที่ ๒
กรณีให้พิจารณาถึงความเหมาะสมของบทกำหนดโทษตามมาตรา ๑๔๔/๑
แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑
ให้ได้สัดส่วนกับความเสียหายจากการที่ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงไม่ได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการตามสิทธิที่พึงมีพึงได้ตามกฎหมาย
โดยคำนึงถึงความสมดุลระหว่างการคุ้มครองสิทธิของลูกจ้างรับเหมาค่าแรง
และผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบกิจการ ที่ประชุมมีความเห็นว่า
บทกำหนดโทษที่กำหนดไว้มีความเหมาะสมแล้ว
เนื่องจากการกำหนดโทษดังกล่าวสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ในการกำหนดโทษทางอาญาตามมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องแนวทางการกำหนดโทษตามมาตรา
๗๗ แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐
ประกอบกับพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่กำหนดให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายทุกรอบระยะเวลาห้าปี ทั้งนี้
เมื่อครบรอบกำหนดระยะเวลาที่จะต้องนำพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑
ทั้งฉบับเข้าสู่กระบวนการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน จะดำเนินการนำข้อเสนอแนะในประเด็นที่
๑ และประเด็นที่ ๒ (มาตรา ๑๑/๑ และมาตรา ๑๔๔/๑ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ. ๒๕๔๑ และที่แก้ไขเพิ่มเติม) เข้าสู่กระบวนการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายด้วย
เพื่อพิจารณาว่าสมควรมีการแก้ไขปรับปรุงหรือไม่ อย่างไรต่อไป ๓. ประเด็นที่ ๓
กรณีให้เผยแพร่หลักเกณฑ์ที่เป็นรูปธรรมในการจัดสิทธิประโยชน์และสวัสดิการที่เป็นธรรมโดยไม่เลือกปฏิบัติตามมาตรา
๑๑/๑ แก่ผู้ประกอบกิจการอย่างทั่วถึงเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาในเชิงป้องกัน
ที่ประชุมมีมติมอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน
ดำเนินการเผยแพร่แนวปฏิบัติตามมาตราดังกล่าวให้หน่วยปฏิบัติ นายจ้าง ลูกจ้าง
และผู้ที่เกี่ยวข้อง (องค์กรพัฒนาเอกชน ภาคประชาสังคม ฯลฯ)
ได้ทราบอย่างทั่วถึงในการปฏิบัติที่ถูกต้องตามกฎหมาย
รวมถึงให้นำไปเขียนไว้ในคู่มือพนักงานตรวจแรงงาน
และหลักสูตรฝึกอบรมพนักงานตรวจแรงงานเพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1704 | การจัดทำเหรียญเฉลิมพระเกียรติในโอกาสพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี 4 พฤษภาคม 2562 | กค. | 30/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเหรียญเฉลิมพระเกียรติ ในโอกาสพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา
พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๒ พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีเหรียญเฉลิมพระเกียรติ
ในโอกาสพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ๔
พฤษภาคม ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1705 | ร่างพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร.09 | 30/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอว่า
ตามที่คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๓) ได้ตรวจร่างพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมให้ทันสมัย ๖
ประเด็นเกี่ยวกับการเพิ่มช่องทางโฆษณา การส่งเอกสาร การประชุมกรรมการ การเรียกประชุมกรรมการ
การมอบฉันทะให้บุคคลอื่นเข้าประชุมผู้ถือหุ้นแทนโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์)
และร่างพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
(มาตรฐานการปฏิบัติหน้าที่และความรับผิดชอบของกรรมการ การควบบริษัท
การแปรสภาพบริษัท) เสร็จแล้ว โดยรวมเป็นร่างเดียวตามมติคณะรัฐมนตรี
และขณะนี้อยู่ระหว่างกระทรวงพาณิชย์ยืนยันการแก้ไข นั้น
หากแยกส่วนที่เป็นการดำเนินการโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรไปก่อน
ก็จะสอดคล้องกับการเสนอร่างพระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.
.... ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในวันนี้
จึงเห็นควรมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแยกร่างพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมให้ทันสมัย ๖ ประเด็น)
ที่คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๓) ตรวจพิจารณาเสร็จแล้วออกมาก่อน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1706 | ร่างพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. .... | นร.09 | 30/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. .... ของกระทรวงการคลัง มีสาระสำคัญให้มีกฎหมายว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1707 | การขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 25 [Joint Statement of the Twenty-Fifth ASEAN Socio-Cultural Community (ASCC) Council] | พม. | 30/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน
ครั้งที่ ๒๕ [Joint Statement of the Twenty-Fifth ASEAN Socio-Cultural
Community (ASCC) Council] และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นของมนุษย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย
ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน
ครั้งที่ ๒๕ (25th ASEAN Socio-Cultural Community (ASCC)
Council Meeting) ร่วมรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในวันที่ ๓๑ มีนาคม
๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video conference) โดยร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
มีสาระสำคัญเป็นการสนับสนุน รับทราบ ชื่นชม ขยายบทบาท พัฒนากรอบความร่วมมือ
เตรียมการ รายงานความคืบหน้า และรับรองแผนงานภายใต้ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน
ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1708 | การประชุมระดับรัฐมนตรีบิมสเทค ครั้งที่ 17 | กต. | 30/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ
(Bay of Bengal Initiative Multi-Sectoral Technical and Economic
Cooperation : BIMSTEC) หรือบิมสเทค ครั้งที่ ๑๗
และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรอง
โดยร่างถ้อยแถลงร่วมการประชุมฯ
เป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมที่จะมีการรับรองโดยไม่มีการลงนาม
ในการประชุมระดับรัฐมนตรีบิมสเทค ครั้งที่ ๑๗ (17th BIMSTEC
Ministerial Meeting) ในวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๔
ผ่านระบบการประชุมทางไกล
มีสาระสำคัญเป็นการสร้างเสริมความเข้มแข็งให้แก่บิมสเทคตามมติการประชุมผู้นำครั้งที่
๔ เมื่อปี ๒๕๖๑
ด้วยการร่วมกันพิจารณาร่างกฎบัตรบิมสเทคเพื่อเสนอให้ที่ประชุมผู้นำบิมสเทคครั้งที่
๕ รับรอง โดยการรับรองกฎบัตรดังกล่าวจะยกระดับให้บิมสเทคมีสถานะเป็นองค์การระหว่างประเทศในระดับรัฐบาล
จัดหมวดหมู่สาขาความร่วมมือจาก ๑๔ สาขาเป็น ๗ เสา
โดยให้ประเทศสมาชิกเป็นประเทศนำในแต่ละเสา
และรายงานความคืบหน้าของการดำเนินความร่วมมือทั้ง ๑๔ สาขา ตลอดช่วงสองปีที่ผ่านมา ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงร่วมการประชุมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1709 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดสรรเงินอุดหนุนโครงการพัฒนาไม้ผลและไม้ยืนต้น และโครงการศูนย์เฉพาะกิจป้องกันปราบปรามการบุกรุกทำลายป่า | ทส. | 30/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘
กรกฎาคม ๒๕๒๑ (เรื่อง การดำเนินการโครงการพัฒนาไม้ผลและไม้ยืนต้น
และขออนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการตามโครงการ) ในส่วนข้อที่ ๑ ที่กำหนดให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้จัดสรรเงินกำไรปีละ
๒๐ ล้านบาท ทุกปี นับตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นต้นไป เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการพัฒนาไม้ผลและไม้ยืนต้น
และเห็นชอบให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๘ กรกฎาคม ๒๕๒๑ โดยไม่ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายค้างจ้ายที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๓๔ จนถึงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ รวมถึงค่าใช้จ่ายค้างจ่าย จำนวน ๑๕ ล้านบาท ๑.๒ ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔
เมษายน ๒๕๒๕ (เรื่อง การป้องกันแก้ไขการบุกรุกทำลายป่าไม้ของชาติ) ในส่วนข้อที่ ๓
ให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้จัดสรรเงินรายได้โดยไม่ต้องนำส่งคลัง จำนวน ๒๐
ล้านบาทต่อปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๒๕ เป็นต้นไป เนื่องจากเป็นนโยบายพิเศษเร่งด่วนเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานเกี่ยวกับการป้องกันปราบปรามการบุกรุกทำลายป่าไม้แก่กรมป่าไม้
และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ (เรื่อง
การป้องกันแก้ไขการบุกรุกทำลายป่าไม้ของชาติ) และเห็นชอบให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๔ เมษายน ๒๕๒๕ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖
โดยไม่ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายค้างจ่ายที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔
จนถึงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ รวมถึงค่าใช้จ่ายค้างจ้าย จำนวน ๑๗.๙๔๒ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการประเมินความจำเป็นในการดำเนินโครงการพัฒนาไม้ผลและไม้ยืนต้น
และโครงการศูนย์เฉพาะกิจป้องกันปราบปรามการบุกรุกทำลายป่า ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1710 | แนวทางการแก้ไขปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลนในธุรกิจขนส่งสินค้าทางทะเลของการท่าเรือแห่งประเทศไทย | คค. | 30/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบแนวทางการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ในธุรกิจขนส่งสินค้าทางทะเลของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ตามการพิจารณาของคณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๔ โดยให้ท่าเรือกรุงเทพปรับลดค่าภาระตู้สินค้าเปล่าขาเข้าผ่านท่าเรือกรุงเทพในอัตรา
๑,๐๐๐ บาทต่อทีอียู เป็นเวลา ๓ เดือน ตั้งแต่เดือนมกราคม-มีนาคม ๒๕๖๔
รวมค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเป็นเงินประมาณ ๕.๒๘๐ ล้านบาท และให้ท่าเรือแหลมฉบังชดเชยค่ายกขนตู้สินค้าให้แก่เอกชนผู้ประกอบการนำเข้าที่ท่าเรือแหลมฉบัง
โดยจ่ายส่วนลดคืนในอัตรา ๑,๐๐๐ บาทต่อทีอียู เป็นระยะเวลา ๓ เดือน ตั้งแต่เดือนมกราคม-มีนาคม
๒๕๖๔ รวมค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเป็นจำนวนเงินประมาณ ๓๘๔ ล้านบาท ซึ่งค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการตามแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น ๓๘๙.๒๘๐ ล้านบาท โดยค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ให้ถือเป็นต้นทุนของการท่าเรือแห่งประเทศไทย และหักออกจากเงินที่ต้องส่งคืนให้กระทรวงการคลังรายปี
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้กระทรวงคมนาคม (การท่าเรือแห่งประเทศไทย)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และให้กระทรวงคมนาคม
(การท่าเรือแห่งประเทศไทย) ประเมินความคุ้มค่าในการดำเนินการตามแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
และประโยชน์ที่ผู้ประกอบการส่งออกรายย่อยจะได้รับตามวัตถุประสงค์ รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรนำมาตรการลดค่าภาระตามที่เสนอไปใช้ในช่วงระยะเวลาถัดไป
โดยติดตามประเมินผลว่าภายหลังจากที่ได้ดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวแล้วสามารถเพิ่มจำนวนตู้คอนเทนเนอร์เปล่าเข้าสู่ประเทศไทยได้มากน้อยเพียงใด
และพิจารณาปรับปรุงมาตรการให้สอดคล้องตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย
เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการพิจารณาปรับปรุงแนวทางการดำเนินการในระยะต่อ ๆ ไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม
(การท่าเรือแห่งประเทศไทย) หารือร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อให้ได้ข้อยุติเกี่ยวกับแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ในการดำเนินการตามแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณาตามความครอบคลุมของทุกแหล่งเงินที่จะนำมาใช้
และความคุ้มค่าในการดำเนินการอย่างรอบคอบ
เพื่อไม่ให้เป็นภาระต่องบประมาณหรือภาระทางการคลังในอนาคต ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1711 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 1/2564 เรื่อง โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (งานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน) | สกพอ. | 30/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
เรื่อง โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (งานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน)
ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยที่ประชุมฯ มีมติอนุมัติให้ขยายกรอบวงเงินสำหรับงานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและค่าสำรวจอสังหาริมทรัพย์ในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน
จากเดิม ๓,๕๗๐.๒๙ ล้านบาท (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๑)
เป็นจำนวนไม่เกิน ๕,๗๔๐.๔๔ ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น ๒,๑๗๐.๑๕ ล้านบาท
เพื่อให้เป็นไปตามความเห็นของคณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นและจำนวนเงินทดแทนค่าอสังหาริมทรัพย์
และเพื่อให้ครอบคลุมค่างานจัดกรรมสิทธิ์ฯ สำหรับช่วงดอนเมือง-พญาไท
ซึ่งไม่ได้รวมอยู่ในกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีเคยอนุมัติไว้ข้างต้น โดยที่ประชุมฯ อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทยขอรับจัดสรรงบประมาณส่วนที่เพิ่มขึ้น
๒,๑๗๐.๑๕ ล้านบาท แบ่งเป็น งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๖๐๗,๕๖ ล้านบาท
และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ จำนวน ๑,๕๖๒.๕๙ ล้านบาท
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ ๒.
เห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง
ขออนุมัติโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม ๓ สนามบิน และการกำหนด
“พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก” เพิ่มเติม) โดยให้การรถไฟแห่งประเทศไทยขยายกรอบวงเงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและค่าสำรวจอสังหาริมทรัพย์ของโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน
จากเดิม ๓,๕๗๐.๒๙ ล้านบาท เป็นจำนวนไม่เกิน ๕,๗๔๐.๔๔ ล้านบาท ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ
ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก การรถไฟแห่งประเทศไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า ในส่วนของงบประมาณที่จะเพิ่มขึ้น ซึ่งการรถไฟแห่งประเทศไทยมีแผนจะใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น นั้น ขอให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
ในฐานะหน่วยงานเจ้าภาพแผนงานบูรณาการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกตรวจสอบผลการใช้จ่ายงบประมาณ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ของหน่วยรับงบประมาณในแผนงานบูรณาการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกที่สามารถชะลอได้โดยไม่เกิดความเสียหาย
หรือคาดว่าไม่สามารถก่อหนี้ได้ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
และรายการที่ดำเนินการแล้วมีงบประมาณเหลือจ่ายจากการดำเนินการ
เพื่อโอนงบประมาณรายจ่ายบูรณาการนำมาเป็นค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินสำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินเป็นลำดับแรก
สำหรับในส่วนที่เหลือขอให้การรถไฟแห่งประเทศไทยจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อขอจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและการรถไฟแห่งประเทศไทยรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น
ควรเร่งพิจารณาตรวจสอบรายละเอียดการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและสำรวจอสังหาริมทรัพย์ของโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน
(งานจัดกรรมสิทธิ์) ที่อยู่ภายใต้โครงการแอร์พอร์ต เรล ลิงก์
ส่วนต่อขยายช่วงพญาไท-ดอนเมือง และโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดง
ช่วงบางซื่อ-พญาไท-มักกะสัน-หัวหมาก ให้ชัดเจน
ซึ่งจะช่วยให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และควรให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดง
ส่วนต่อขยายที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้วโดยเร็ว
เพื่อให้วงเงินลงทุนโครงการอยู่ภายใต้กรอบที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ ซี่งจะช่วยให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างคุ้มค่า
รวมทั้งช่วยเพิ่มทางเลือกในการเดินทางของประชาชนจากพื้นที่บริเวณรอบนอกกรุงเทพมหานครเข้าสู่บริเวณกรุงเทพมหานครชั้นในมีความสะดวกยิ่งขึ้น
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1712 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 10/2564 | นร.11 | 30/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๖๔
เมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๖๔ ซึ่งได้พิจารณาอนุมัติโครงการค่าบริการสาธารณสุขภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
และโครงการค่าตอบแทน เยียวยา ชดเชยและเสี่ยงภัย
สำหรับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน
และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ในชุมชน และมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการฯ
ดำเนินการ
พร้อมทั้งอนุมัติให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพปรับปรุงรายละเอียดโครงการค่าตอบแทน
เยียวยา ชดเชยและเสี่ยงภัย สำหรับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน
ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ในชุมชน (ระยะที่ ๒)
และกรมการพัฒนาชุมชน ปรับปรุงรายละเอียดโครงการโอทอปไทย สู้ภัยโควิด-๑๙
อนุมัติให้จังหวัดอุดรธานียุติการดำเนินโครงการอบรมนวดไทยเพื่อสุขภาพ ๑๕๐ ชั่วโมง
เพื่อฟื้นฟูภายหลังการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เห็นชอบคู่มือการเสนอโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากภายใต้กลุ่มแผนงาน/โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชนบนพื้นฐานของโอกาสและศักยภาพของท้องถิ่น
: ระดับพื้นที่
รวมทั้งรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต
กรณีศึกษาการใช้จ่ายงบประมาณตามพระราชกำหนดการเงิน
เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
หน่วยงานเจ้าของโครงการควรเตรียมความพร้อมให้ทันต่อสถานการณ์ และปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระยะเวลาดำเนินการ
และความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในทุกมิติ ซึ่งจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์
อัตราค่าใช้จ่าย และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด
ตลอดจนเร่งรัดการใช้จ่ายให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่าย
ตลอดจนให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์ เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตกรณีศึกษาการใช้จ่ายงบประมาณตามพระราชกำหนดการเงิน
เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ และคู่มือการเสนอโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
ภายใต้กลุ่มแผนงาน/โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชนบนพื้นฐานของโอกาสและศักยภาพของท้องถิ่น
: ระดับพื้นที่
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามแนวทางที่กำหนดไว้ในคู่มือดังกล่าว
รวมถึงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องของทางราชการอย่างเคร่งครัด ๓.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1713 | การให้สิทธิขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขกับบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิเด็กและบุคคลที่เรียนอยู่ในสถานศึกษา ครั้งที่ 2 | สธ. | 30/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบในหลักการการให้สิทธิขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขกับบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิเด็กและบุคคลที่เรียนอยู่ในสถานศึกษา
ครั้งที่ ๒ ที่กระทรวงมหาดไทยได้ตรวจสอบความซ้ำซ้อนและกำหนดเลขประจำตัว ๑๓
หลักเรียบร้อยแล้ว และกระทรวงสาธารณสุขได้ตรวจสอบคัดกรองข้อมูล จำนวน ๕,๒๐๓ คน
ซึ่งครอบคลุมบริการด้านสาธารณสุข ได้แก่ การสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค
การรักษาพยาบาล และการฟื้นฟูสมรรถภาพ นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งประชาสัมพันธ์
สร้างการรับรู้แก่ผู้ให้บริการและผู้ได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขให้ถูกต้องและทั่วถึงต่อไป
ทั้งนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และข้อสังเกตของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เช่น
อัตรางบประมาณเหมาจ่ายรายหัว จำนวน ๒,๔๕๓.๙๕ บาท/คน ที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอมาในครั้งนี้
ยังไม่สอดคล้องกับอัตรางบประมาณเหมาจ่ายรายหัวตามสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปี
๒๕๖๔ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๐ เมษายน ๒๕๕๘ [เรื่อง การให้สิทธิ (คืนสิทธิ) ขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขกับบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ
เพิ่มเติม
และการจัดการสถานะและสิทธิในการบริการสาธารณสุขของบุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติทั้งระบบ] และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๒ กันยายน ๒๕๖๓ [เรื่อง การให้สิทธิ (คืนสิทธิ)
ขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขกับบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิเด็กและบุคคลที่เรียนอยู่ในสถานศึกษา]
ในการตรวจสอบข้อมูลเพื่อยืนยันความถูกต้องและรับรองการขึ้นทะเบียนของกลุ่มเด็กและบุคคลที่เรียนอยู่ในสถานศึกษา
รวมถึงบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิกลุ่มอื่น ๆ
ที่ยังไม่ได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขให้แล้วเสร็จโดยเร็ว |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1714 | การเลือกรับทรัพย์สินหรือสิ่งติดตั้งที่ผู้รับสัมปทานจะส่งมอบให้รัฐบาลไทยเมื่อสิ้นอายุสัมปทาน | พน. | 30/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานชี้แจงเพิ่มเติมว่า
เรื่องที่กระทรวงพลังงานเสนอในครั้งนี้ถือเป็นแนวทางปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง
วัสดุ อุปกรณ์ และสิ่งอำนวยความสะดวกในการสำรวจ ผลิต เก็บรักษา
หรือขนส่งปิโตรเลียมเมื่อสิ้นสุดสัมปทานปิโตรเลียมในอนาคตด้วย
โดยผู้รับสัมปทานได้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง ครบถ้วน
และไม่มีข้อโต้แย้งที่อาจนำไปสู่การฟ้องร้องในอนาคตได้อีก
และรับทราบตามที่อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติชี้แจงว่า กระทรวงพลังงาน
(กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ) ได้พิจารณากลั่นกรองการเลือกรับรายการทรัพย์สินหรือสิ่งติดตั้งของสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่
๑/๒๕๒๖/๒๓ แปลงสำรวจบนบกหมายเลข NC
ที่ผู้รับสัมปทานต้องส่งมอบให้แก่รัฐบาลไทยเมื่อสัมปทานสิ้นอายุตามข้อกำหนดในสัญญาสัมปทานและกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วยแล้ว
ทั้งนี้ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติได้มีหนังสือแจ้งผู้รับสัมปทานเพื่อประสานงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ตั้งแต่เดือนเมษายน
๒๕๖๒
โดยเรื่องดังกล่าวยังมีประเด็นเกี่ยวกับการตรวจสอบเอกสารกรรมสิทธิ์ที่ดินและการขอถือครองกรรมสิทธิ์ตามมาตรา
๖๕ แห่งพระราชบัญญัติการปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ ด้วย ดังนั้น
การดำเนินการของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติดังกล่าว จึงเป็นไปตามข้อ ๒๒
ของกฎกระทรวงกำหนดแผนงาน ประมาณการค่าใช้จ่าย
และหลักประกันในการรื้อถอนสิ่งติดตั้งที่ใช้ในกิจการปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๕๙
ที่กำหนดให้แจ้งผู้รับสัมปทานทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสองปีก่อนเริ่มกิจกรรมการรื้อถอน
หรือก่อนสิ้นสุดระยะเวลาผลิตปิโตรเลียม หรือระยะเวลาผลิตปิโตรเลียมที่ได้รับการต่อ
แล้วแต่กรณีใดเกิดขึ้นก่อน ว่ามีสิ่งติดตั้งใดที่รัฐจะรับมอบ
และให้ผู้รับสัมปทานส่งมอบสิ่งติดตั้งดังกล่าวให้แก่รัฐ
โดยไม่คิดมูลค่าภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ได้ทำข้อตกลงระหว่างหน่วยงานของรัฐผู้รับมอบกับผู้รับสัมปทาน
แล้ว ๒.
รับทราบรายงานผลการทบทวนกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับสัมปทานก๊าซธรรมชาติ
และเห็นชอบรายการทรัพย์สินหรือสิ่งติดตั้งของสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ ๑/๒๕๒๖/๒๓
แปลงสำรวจบนบกหมายเลข NC
ที่ผู้รับสัมปทานต้องส่งมอบให้แก่รัฐบาลไทยเมื่อสัมปทานสิ้นอายุ
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะเป็นคู่สัญญาสัมปทานปิโตรเลียมเป็นผู้ให้ความเห็นชอบรายการทรัพย์สินหรือสิ่งติดตั้งแทนคณะรัฐมนตรีของสัมปทานปิโตรเลียมที่จะสิ้นสุดในอนาคตได้ตามที่สมควร
และให้สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายการทรัพย์สินหรือสิ่งติดตั้งแทนคณะรัฐมนตรีสำหรับการดำเนินการตามสัมปทานปิโตรเลียมนี้
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้กระทรวงพลังงาน (กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ)
ดำเนินการตามกฎกระทรวงกำหนดแผนงาน ประมาณการค่าใช้จ่าย
และหลักประกันในการรื้อถอนสิ่งติดตั้งที่ใช้ในกิจการปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๕๙ และข้อตกลงการส่งมอบสิ่งติดตั้งของสัมปทานปิโตรเลียม
เลขที่ ๑/๒๕๒๖/๒๓ แปลงสำรวจบนบกหมายเลข NC อย่างเคร่งครัด
รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น ควรเร่งทบทวนกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวกับสัมปทานก๊าซธรรมชาติให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการด้านสัมปทานก๊าซธรรมชาติที่มีความชัดเจน โปร่งใส
และเป็นธรรม ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๓
และเร่งหารือกับผู้รับสัมปทานรายเดิมในการรื้อถอนทรัพย์สินหรือสิ่งติดตั้งที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในสัญญา
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงพลังงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1715 | ขออนุมัติเพิ่มระยะเวลาและวงเงินก่อหนี้ผูกพันค่าเช่าที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย | วธ. | 30/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรมเพิ่มวงเงินค่าเช่าที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย
(รฟท.) รายการค่าเช่าทรัพย์สิน จากเดิมวงเงิน ๓๒,๖๔๓,๑๐๐ บาท เป็นภายในกรอบวงเงิน
๑๙๕,๓๘๘,๒๖๔ บาท และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จาก ปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๓-พ.ศ. ๒๕๖๕ เป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-พ.ศ. ๒๕๗๗ ได้ สำหรับค่าใช้จ่ายในการเช่าที่ดินในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ และปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรมใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ และปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ที่ได้รับจัดสรรไว้แล้ว
ส่วนภาระงบประมาณในปีต่อไปเห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นที่ต้องใช้จ่ายในแต่ละปีให้ครบถ้วนตามวงเงินในสัญญาเช่าที่ดินต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงวัฒนธรรม และ รฟท.
ร่วมกันพิจารณาปรับปรุงอัตราค่าเช่าที่ดินให้เป็นไปตามแนวทางการดำเนินการกรณีหน่วยงานของรัฐผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้จัดให้ส่วนราชการเช่าใช้ประโยชน์ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง การกำหนดแนวทาง/มาตรการป้องกันหรือแก้ไขปัญหากรณีที่หน่วยงานของรัฐผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้ปรับอัตราค่าเช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่หน่วยงานราชการอื่นได้เช่าใช้ประโยชน์
โดยปรับอัตราค่าเช่าเพิ่มสูงมากขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น) ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๒.
ให้กระทรวงวัฒนธรรม และ รฟท.
รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งดำเนินการให้ได้ข้อยุติเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์พื้นที่ที่อยู่ติดกับพื้นที่เช่าตามสัญญาเช่าที่ดิน
รฟท. เพื่อจะได้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1716 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ (1. นายประเสริฐ ตปนียางกูร) | กค. | 30/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ จำนวน ๕ คน
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓๐ มีนาคม ๒๕๖๔) เป็นต้นไป
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑. นายประเสริฐ ตปนียางกูร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากสภาวิศวกร ๒. พลอากาศตรี หม่อมหลวงประกิตติ เกษมสันต์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากสภาสถาปนิก ๓. นายเทพ วงษ์วานิช กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ๔. นายพีระ เพชรพาณิชย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ๕ นายวิเชียร พงศธร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม ทั้งนี้ ในครั้งต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงการคลังดำเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างเคร่งครัดตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ (เรื่อง การดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๔ (เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการตามกฎหมาย/กรรมการและผู้บริหารขององค์การมหาชน)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1717 | สรุปผลการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 1/2564 | นร.10 | 30/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๖๔ ซึ่งนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
และได้มีประเด็นข้อสั่งการสำคัญที่นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้คณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่ารับไปดำเนินการ
ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ ดังนี้ ๑.
ให้ทุกส่วนราชการพิจารณาข้อเสนอแนวทางการขับเคลื่อน กระตุ้น และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
รวมถึงการใช้ชีวิตวิถีใหม่ของประชาชน
ภายใต้บริบทการบริหารจัดการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) ที่มีแนวโน้มดีขึ้น โดยมีจำนวนผู้ติดเชื้อภายในประเทศลดลง
และเริ่มมีการฉีดวัคซีนให้ประชาชนแล้ว ทั้งนี้
ให้ทุกส่วนราชการพิจารณาปรับเปลี่ยนรูปแบบการปฏิบัติงาน
และการให้บริการประชาชนให้สอดคล้องกับชีวิตวิถีใหม่ด้วย ๒.
ให้ทุกส่วนราชการจัดทำวิดีทัศน์นำเสนอผลงานของหน่วยงานที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล
เพื่อการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อประชาชนเกี่ยวกับผลงานและอำนาจหน้าที่ของหน่วยงาน
ทั้งนี้ วิดีทัศน์ควรมีรูปแบบการนำเสนอที่น่าสนใจ
ทันยุคสมัยและให้มีการเผยแพร่อย่างต่อเนื่อง ๓.
ให้ทุกส่วนราชการนำระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการปฏิบัติงาน
การอำนวยความสะดวกในการให้บริการประชาชน โดยอาจพิจารณาสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนที่มีความรู้
ความชำนาญ และประสบการณ์ในด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ๔.
ให้ทุกส่วนราชการเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องราวร้องทุกข์ของประชาชนตามที่ได้รับการประสานจากศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีด้วยความรวดเร็ว ๕. ให้ทุกส่วนราชการพิจารณาจัดส่งข้อมูลให้กับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีตามที่ได้รับการร้องขอ
ทั้งนี้ ขอให้ดำเนินการตามแนวทางที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๐ โดยเคร่งครัด ๖.
ให้ทุกส่วนราชการให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมจิตอาสา
โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมจิตอาสาในพื้นที่ชุมชนต่าง ๆ
ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน ๗.
ให้ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ อาทิ
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เตรียมแนวทางในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นองค์รวมภายใต้สถานการณ์ต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้น อาทิ ภัยแล้ง ปัญหาน้ำทะเลหนุน ๘.
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ
กระทรวงการคลัง และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ร่วมกันพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตร รวมถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าทางการเกษตร
อาทิ (๑) การสร้างห้องเย็นเพื่อให้สามารถจัดเก็บสินค้าทางเกษตรได้นานขึ้น (๒)
การควบคุมความสมดุลระหว่างความสามารถในการเพาะปลูกพืชผล สินค้าทางการเกษตร
และความต้องการผลผลิตทางการเกษตร (๓)
การนำเทคโนโลยีทางการเกษตรมาใช้ในการควบคุมปริมาณการใช้น้ำสำหรับการเพาะปลูกพืชพันธุ์แต่ละชนิดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำลง และ (๔) การสนับสนุนความรู้
สร้างความเข้าใจให้กับประชาชน
เพื่อการใช้ประโยชน์พื้นที่ได้อย่างเหมาะสมตามแนวทางของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ๙.
ให้กระทรวงมหาดไทยสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจใหม่แบบองค์รวม
หรือ Bioeconomy, Circular Economy and Green Economy (BCG) ซึ่งเกี่ยวข้องกับหน่วยงานต่าง ๆ ในเชิงพื้นที่
เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตินำนโยบายดังกล่าวไปพิจารณาประกอบการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฉบับที่ ๑๓ ต่อไปด้วย ๑๐. ให้สำนักงาน ก.พ.
จัดทำข้อเสนอรูปแบบการจ้างงานที่หลากหลาย
รวมถึงแนวทางการจ่ายค่าตอบแทนและการจัดสวัสดิการที่เหมาะสม เพื่อดึงดูด
จูงใจ และรักษาไว้ซึ่งกำลังคนที่มีความรู้ความสามารถให้อยู่ในระบบราชการ ๑๑. ให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินการสรรหา
สอบคัดเลือก
และบรรจุแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการหรือปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐเพื่อทดแทนอัตราว่างจากการเกษียณอายุและอัตราตั้งใหม่ที่ได้รับการจัดสรรไว้แล้วแต่ยังไม่ได้มีการบรรจุแต่งตั้งให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
ทั้งนี้
เพื่อเพิ่มโอกาสในการมีงานทำของประชาชนและบรรเทาผลกระทบของการว่างงานจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๖๔
๑๒.
ให้ทุกส่วนราชการกวดขันและเข้มงวดในการปฏิบัติงานของข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐของหน่วยงานทุกระดับให้เป็นไปด้วยความซื่อสัตย์
สุจริต โปร่งใส ตรวจสอบได้ เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล
เพื่อลดโอกาสในการทุจริตประพฤติมิชอบ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1718 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเพื่อยกเลิกการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (จำนวน 2 ราย) | นร.04 | 23/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๖ มีนาคม ๒๕๖๔ (เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติดังกล่าว
และไม่มีการแต่งตั้งข้าราชการการเมืองรายนายอมร มีมะโน และนายภูวิช ปัญญาสิทธิ์
ยกเว้นรายนายสมชาย สาโรวาท ให้ดำเนินการแต่งตั้งต่อไปได้
ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1719 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระยะที่ 6 | กห. | 23/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ งบกลาง
รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา
และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ วงเงิน
๖๙๙,๓๐๖,๖๐๐ บาท ให้สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) ระยะที่ ๖ (ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๓
ถึงวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔)
สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการพื้นที่กักกันโรคแห่งรัฐ (State
Quarantine) ในส่วนของสถานที่เอกชนต่อไป ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
และให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้ความสำคัญในการควบคุม
กำกับ ดูแล
และดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงกลาโหมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1720 | บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเศรษฐกิจและการค้า และกลไกสนับสนุนอื่น ๆ เพื่ออำนวยความร่วมมือหลังจากเสร็จสิ้นการทบทวนนโยบายการค้าระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการค้าระหว่างประเทศแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ | พณ. | 23/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเศรษฐกิจและการค้า
และกลไกสนับสนุนอื่น ๆ เพื่ออำนวยความร่วมมือหลังจากเสร็จสิ้นการทบทวนนโยบายการค้าระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการค้าระหว่างประเทศแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ
(ร่าง MoU) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่าง
MoU ดังกล่าว โดยร่าง MoU มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริม
อำนวยความสะดวก และพัฒนาความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน และเศรษฐกิจระหว่างไทยและสหราชอาณาจักร
และจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเศรษฐกิจและการค้า (Joint Economic and Trade
Committee : JETCO) ในระดับรัฐมนตรี (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทยและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการค้าระหว่างประเทศของสหราชอาณาจักรหรือผู้แทนเป็นประธานร่วม)
เพื่อทำหน้าที่ส่งเสริมและขยายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างกัน (ร่าง MoU
จะมีการลงนามร่วมกันในวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๖๔) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่ขอให้พิจารณาปรับแก้ถ้อยคำของร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย |