ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 84 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 1661 - 1680 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1661 | ร่างพระราชบัญญัติการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อปฏิบัติตามการภาษีอากรระหว่างประเทศ พ.ศ. .... และการเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลงพหุภาคีระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเงินแบบอัตโนมัติ | กค. | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบผู้ลงนามในร่างความตกลงพหุภาคีเป็นการลงนามระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเงินแบบอัตโนมัติ (Multilateral Competent
Authority Agreement on Automatic Exchange
of Financial Account Information : MCAA CRS)
ซึ่งกระทรวงการคลังจะเป็นผู้ประสานงานกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา
(Organisation for Economic Cooperation and Development : OECD) เพื่อให้ความตกลงนี้มีผลผูกพันต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. เห็นชอบการเข้าเป็นภาคีความตกลงพหุภาคีระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเงินแบบอัตโนมัติ (Multilateral Competent Authority Agreement on
Automatic Exchange of Financial Account Information : MCAA CRS) แบบส่งและรับข้อมูลแบบต่างตอบแทนกับประเทศคู่สัญญา
(Reciprocal) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. เห็นชอบร่างความตกลงพหุภาคีระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเงินแบบอัตโนมัติ (Multilateral Competent
Authority Agreement on Automatic Exchange of Financial Account Information : MCAA CRS) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๔.
เห็นชอบให้กระทรวงการคลังมีหนังสือถึงองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา
(Organisation for
Economic Cooperation and Development : OECD)
เพื่อแจ้งความจำนงในการลงนามเข้าเป็นภาคีความตกลงดังกล่าว ๕. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในฐานะเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจตามความตกลงพหุภาคี ว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือด้านการบริหารภาษี (Multilateral Convention on Mutual Administrative
Assistance in Tax Matters MAC) ลงนามในความตกลง MCAA CRS และเมื่อลงนามแล้ว
ให้ส่งความตกลงดังกล่าวให้คณกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
แล้วเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ก่อนแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันเมื่อร่างพระราชบัญญัติการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อปฏิบัติตามการภาษีอากรระหว่างประเทศ พ.ศ. ....
มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างความตกลงฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย
ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๖. อนุมัติหลักร่างพระราชบัญญัติการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อปฏิบัติตามการภาษีอากรระหว่างประเทศ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดบทบัญญัติเพื่อให้ประเทศไทยสามารถดำเนินการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างประเทศตามความตกลง
หรืออนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน และการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากร
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานศาลยุติธรรม
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย
ที่เห็นว่าควรเพิ่มเงื่อนไขให้สามารถตรากฎหมายลำดับรองเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์หรือมาตรการในการเปิดเผยข้อมูลที่ได้รับตามร่างพระราชบัญญัตินี้และข้อมูลที่ได้รับจากเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของคู่สัญญา
การกำหนดเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจและบุคคลที่จะต้องมีหน้าที่ตามร่างพระราชบัญญัตินี้ยังไม่มีความชัดเจน
กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจมีรอบระยะเวลาบัญชีอื่นในลักษณะทำนองเดียวกันกับกรณีตามมาตรา
๑๐ (๒) และควรกำหนดเงื่อนไขว่าการแลกเปลี่ยนข้อมูลจะต้องไม่ขัดต่อกฎหมายไทยในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป เมื่อรัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบความตกลงฯ
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอแล้ว ๗. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๘.
ให้กระทรวงการคลังแจ้งองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Cooperation and
Development : OECD) เมื่อร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว
เพื่อความตกลงฯ มีผลผูกพันต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1662 | มาตรการในการแก้ไขกรณีงบประมาณรายจ่ายลงทุน มีจำนวนน้อยกว่าวงเงินส่วนที่ขาดดุลของงบประมาณประจำปี | นร.07 | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบมาตรการในการแก้ไขกรณีงบประมาณรายจ่ายลงทุน
มีจำนวนน้อยกว่าวงเงินส่วนที่ขาดดุลของงบประมาณประจำปี ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
และที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติมว่า
ในการดำเนินมาตรการในการแก้ไขกรณีงบประมาณรายจ่ายลงทุน
มีจำนวนน้อยกว่าวงเงินส่วนที่ขาดดุลของงบประมาณประจำปีตามนัยมาตรา ๒๐ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ ในครั้งนี้เห็นควรเพิ่มมาตรการในการแก้ไขกรณีดังกล่าวอีกมาตรการหนึ่ง
โดยใช้เงินกู้ภายใต้ร่างพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดระลอกใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 พ.ศ. .... ทั้งนี้
ให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่เห็นว่าให้กระทรวงเจ้าสังกัดกำกับดูแลและเร่งรัดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในแผนการจัดทำโครงการร่วมลงทุน
พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๗๐ และแผนการลงทุนภายใต้กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทยด้วย
และในระยะต่อไปเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ภาครัฐควรพิจารณารักษาระดับรายจ่ายลงทุนมิให้น้อยกว่าวงเงินขาดดุลงบประมาณตามที่กฎหมายกำหนด
เนื่องจากการลงทุนภาครัฐเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว
เพื่อยกระดับเศรษฐกิจไทยให้มีศักยภาพสูงขึ้นได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1663 | การจัดทำประมวลจริยธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐให้ใช้บังคับครอบคลุมถึงคณะกรรมการ | นร.10 | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบการจัดทำประมวลจริยธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐให้ใช้บังคับครอบคลุมถึงคณะกรรมการ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ดังนี้ ๑.๑ เมื่อคณะกรรมการมาตรฐานทางจริยธรรม
(ก.ม.จ.) ซึ่งมีอำนาจตามมาตรา ๑๓ (๖) แห่งพระราชบัญญัติมาตรฐานทางจริยธรรม พ.ศ.
๒๕๖๒ ได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้นำประมวลจริยธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐประเภทต่าง
ๆ มาใช้บังคับโดยกำหนดให้ครอบคลุมถึงคณะกรรมการ
ซึ่งใช้อำนาจหรือได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจทางปกครองของรัฐในการดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดตามกฎหมาย
ในหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งขึ้นในส่วนราชการ
รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานของรัฐรูปแบบใหม่ด้วย ก.ม.จ.
สามารถดำเนินการตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติมาตรฐานทางจริยธรรมฯ
และแจ้งให้องค์กรที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขประมวลจริยธรรมของตนต่อไป ๑.๒
คณะรัฐมนตรีอาจรับทราบการดำเนินการของ ก.ม.จ. ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอได้ ๑.๓ ในการแก้ไขประมวลจริยธรรมขององค์กรต่าง
ๆ เพื่อให้เป็นไปตามผลการพิจารณาของ ก.ม.จ. นั้น ควรพิจารณาว่า
คณะกรรมการใดเป็นคณะกรรมการ “ในหน่วยงานของรัฐ” ควรยึดโยงกับมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง หลักการจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐ เพื่อความชัดเจน
เมื่อเพิ่มการกำหนดความหมายของเจ้าหน้าที่ของรัฐให้ครอบคลุมถึงผู้ปฏิบัติงานในลักษณะของคณะกรรมการแล้ว
ต้องมีการพิจารณากำหนดมาตรการที่เหมาะสม เพื่อกำกับดูแลหรือกำหนดสภาพบังคับ (Sanction) ให้ผู้ปฏิบัติงานในลักษณะดังกล่าวปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมไปพร้อมกันด้วย ๒. ให้คณะกรรมการมาตรฐานทางจริยธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน
และข้อสังเกตของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ
และสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดองไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1664 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 16/2564 | นร.11 | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๖/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๔
เกี่ยวกับผลการดำเนินโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและภาคเอกชน
ของกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๔ และอนุมัติให้กรมการจัดหางาน
กระทรวงแรงงาน ปรับปรุงรายละเอียดโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและเอกชน
โดยปรับลดจำนวนกลุ่มเป้าหมายของโครงการฯ จาก ๒๖๐,๐๐๐ คน เป็น ๕๐,๐๐๐ คน หรือลดลงประมาณ ๒๑๐,๐๐๐ คน และปรับลดกรอบวงเงินของโครงการฯ จากเดิม ๑๙,๔๖๒.๐๐๑๗
ล้านบาท เป็น ๓,๒๐๙.๗๙๘๙ ล้านบาท หรือลดลงประมาณ ๑๖,๒๕๒.๒๐๒๘ ล้านบาท ทั้งนี้ เห็นควรให้กระทรวงแรงงานกำกับการดำเนินโครงการฯ
ให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้และเร่งแก้ไขข้อมูลโครงการ ในระบบ eMENSCR
โดยเร็ว ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ และให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่าย
การให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์
และการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ กฎหมาย
ข้อบังคับ และระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1665 | การดำเนินการเกี่ยวกับการจัดตั้งสถาบันการดับเพลิงและบรรเทาสาธารณภัย | มท. | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบผลการศึกษาแนวทางการจัดตั้งสถาบันการดับเพลิงและบรรเทาสาธารณภัย
โดยผลการศึกษาพบว่า ไทยควรจัดตั้งสถาบันฯ ในลักษณะการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐ
(กำกับดูแล) และภาคเอกชน (ลงทุนจัดตั้งสถาบันฯ) โดยให้นำมาตรฐานความปลอดภัย National
Fire Protection Association (NFPA) มาปรับใช้
(เป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับและนำมาใช้ในกระบวนการก่อสร้างและบริหารจัดการอาคารให้มีความปลอดภัย)
ดังนั้น จึงเห็นควรทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๔๗ (เรื่อง
การขออนุมัติโครงการพัฒนาระบบบริหารและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของกรุงเทพมหานคร)
เพื่อให้สอดคล้องกับผลการศึกษาดังกล่าว โดยเปลี่ยนแปลงทางการจัดตั้งสำนักงานฯ จาก
ให้ดำเนินการโดยใช้งบประมาณของส่วนราชการ เป็น
ให้ดำเนินการด้วยการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
โดยให้เอกชนลงทุนในการจัดตั้งสถาบันฯ และดำเนินการจัดการเรียนการสอนการฝึกอบรมภายในระยะเวลาที่ได้รับสิทธิดำเนินการ
และให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)
ให้การสนับสนุนการดำเนินการและกำกับมาตรฐานการฝึกอบรม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. อนุมัติในหลักการให้มีการจัดตั้งสถาบันการดับเพลิงและบรรเทาสาธารณภัย
และให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)
รับไปพิจารณารายละเอียดในประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกับกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน
รวมทั้งการดำเนินการตามกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น
พระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. ๒๕๖๒
พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นต้น ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทย
(กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม
กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน เช่น
ควรพิจารณาเหตุผลความจำเป็น เร่งด่วน และความซ้ำซ้อนของภารกิจกับหน่วยงานอื่น
ควรคำนึงถึงหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินโครงการร่วมทุนที่กำหนดตามนัยมาตรา ๗
และมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. ๒๕๖๒ และควรนำผลการศึกษาไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประกอบการเสนอขอร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1666 | ร่างพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดระลอกใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. .... | กค. | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ดังนี้ ๑.อนุมัติหลักการร่างพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดระลอกใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. .... ภายใต้กรอบวงเงิน
ไม่เกิน ๗๐๐,๐๐๐
ล้านบาท ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหา
ช่วยเหลือ เยียวยา หรือชดเชยให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการ และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจาการระบาดระลอกใหม่ของ
COVID-๑๙ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ สำหรับค่าใช้จ่ายชำระดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน การออกและการจัดการตราสารหนี้ภายใต้พระราชกำหนด
ที่อาจจะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
ให้กระทรวงการคลังโดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
จัดทำรายละเอียดวงเงินเท่าที่จำเป็นและเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ ตามขั้นตอนต่อไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒ เห็นชอบให้นำระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการประเมินผลการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๔ มาใช้ในการติดตาม ประเมินผล และรายงานผลการใช้จ่ายเงินกู้ภายใต้ร่างพระราชกำหนดนี้โดยอนุโลม
ทั้งนี้ ตามนัยมาตรา ๕๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ๓.ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรให้ร่วมกับสำนักงบประมาณในการบริหารการใช้จ่ายงบประมาณและการจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ อย่างใกล้ชิด เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้ตามร่างพระราชกำหนดฯ
เป็นไปตามความจำเป็น พร้อมทั้งให้กระทรวงการคลังปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ
ที่เห็นควรกำหนดให้รายจ่ายลงทุนภายใต้พระราชกำหนดฯ เป็นส่วนหนึ่งในมาตรการแก้ไขปัญหากรณีงบประมาณของรายจ่ายลงทุน
มีจำนวนน้อยกว่าวงเงินส่วนที่ขาดดุลของงบประมาณประจำปีด้วย
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๕. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1667 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบ้านพรุ ตำบลควนลัง อำเภอหาดใหญ่ ตำบลทุ่งลาน และตำบลคลองหลา อำเภอคลองหอยโข่ง จังหวัดสงขลา พ.ศ. .... | คค. | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
ในท้องที่ตำบลบ้านพรุ ตำบลควนลัง อำเภอหาดใหญ่
ตำบลทุ่งลาน และตำบลคลองหลา อำเภอคลองหอยโข่ง จังหวัดสงขลา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๒๕ ทางสายถนนวงแหวนรอบเมืองหาดใหญ่
ตอนถนนวงแหวนรอบเมืองหาดใหญ่ ด้านตะวันออก
ตอนบ้านพรุ-ทางเข้าสนามบินหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า ก่อนการก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินทุกเส้นทางควรให้ความสำคัญและตระหนักถึงแนวทางในการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดจากการก่อสร้างทางหลวงกีดขวางการไหลของน้ำตามธรรมชาติ
เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาการระบายน้ำไม่ทันและอาจก่อให้เกิดน้ำท่วมหรือเกิดอุทกภัยต่อไปในอนาคต
และให้กรมทางหลวงพิจารณาดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาโครงข่ายทางเลี่ยงเมืองหาดใหญ่ด้านตะวันตกเป็นช่วง
ๆ ตามความจำเป็นและเหมาะสม รวมทั้งความพร้อมของเงินงบประมาณ
และกำชับให้กรมทางหลวงและหน่วยงานภายใต้สังกัดที่เกี่ยวข้องให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เรื่อง แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการตราร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
เพื่อก่อสร้างหรือขยายถนน อย่างเคร่งครัดต่อไป ทั้งนี้
หากการดำเนินงานไม่แล้วเสร็จ
และมิได้มีการเสนอให้มีการตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นใหม่ภายในกำหนดเวลา
กระทรวงคมนาคมควรตระหนักและให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติตามกฎหมายในการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาในครั้งต่อไปด้วย
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1668 | ผลการประชุมผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี - เจ้าพระยา - แม่โขง ครั้งที่ 9 | กต. | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบผลการประชุมผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong
Economic Cooperation Strategy : ACMECS) ครั้งที่ ๙ เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ มีสาระสำคัญประกอบด้วย (๑) การรับรองปฏิญญาพนมเปญของการประชุมผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี--เจ้าพระยา-แม่โขง ครั้งที่ ๙ ซึ่งมีการเพิ่มเติมประเด็น
เช่น ข้อเสนอของประเทศไทยในการผลักดันหลักการใหม่เรื่อง
“อนุภูมิภาคที่มีความปลอดภัยและเชื่อถือได้” รับทราบข้อเสนอของญี่ปุ่นในการจัดการประชุม
ACMECS สมัยพิเศษ
ที่กรุงโตเกียว ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง (ประมาณเดือนกันยายน-พฤศจิกายน) ปี ๒๕๖๔ (๒)
ที่ประชุมได้หารือในประเด็นต่าง ๆ เช่น ยินดีต่อพัฒนาการอย่างต่อเนื่องของ ACMECS สนับสนุนการจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนา ACMECS
ย้ำความสำคัญของการยกระดับความร่วมมือของประเทศสมาชิก ACMECS
(๓) ถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรี โดยย้ำความสำคัญของการร่วมกันขับเคลื่อนความร่วมมือ ACMECS อย่างรอบคอบ มุ่งพัฒนาศักยภาพให้ ACMECS
มีความเข็มแข็งจากภายใน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงบประมาณ
ที่เห็นว่าประเทศสมาชิก ACMECS
ต้องเร่งขับเคลื่อนการพัฒนาความเชื่อมโยงในทุกมิติให้เป็นไปตามแผนแม่บท ACMECS ระยะ ๕ ปี (ค.ศ. ๒๐๑๙-๒๐๒๓) และยกระดับความร่วมมือระหว่างหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาของ
ACMECS กับองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ โดยมุ่งเน้นการสนับสนุนการฟื้นฟูเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงหลังการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙
ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันและเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
กรณีค่าใช้จ่ายจากการดำเนินการตามผลการประชุมผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง ครั้งที่ ๙ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณที่ได้รับจัดสรรไว้แล้ว
สำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป
เห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีเท่าที่จำเป็นตามความเหมาะสมต่อไป และการดำเนินการตามแผนแม่บท
ACMECS
ระยะ ๕ ปี (ค.ศ. ๒๐๑๙-๒๐๒๓) ให้คำนึงถึงความจำเป็นและภารกิจของหน่วยงาน
ตลอดจนปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องครบถ้วนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1669 | การสืบสานพระราชปณิธานสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และอนุรักษ์ผ้าไทยให้คงอยู่คู่แผ่นดิน และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้และสวมใส่ผ้าไทย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2563 | มท. | 11/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการสืบสานพระราชปณิธานสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และอนุรักษ์ผ้าไทยให้คงอยู่คู่แผ่นดิน
และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้และสวมใส่ผ้าไทย
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้
ดังนี้ ๑.
ผลการดำเนินงานตามมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้และสวมใส่ผ้าไทย เช่น
การส่งเสริมและสนับสนุนการสวมใส่ผ้าไทยและผ้าพื้นเมือง
การสร้างการรับรู้มาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้และสวมใส่ผ้าไทย
การจัดทำแผนงาน/โครงการรณรงค์การใช้และสวมใส่ผ้าไทยและผ้าพื้นเมือง
และการสร้างความร่วมมือกับภาคเครือข่ายในการรณรงค์ระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน
เป็นต้น ๒. ปัญหา อุปสรรค
แนวทางการแก้ไขและข้อเสนอแนะ เช่น ต้นทุนการผลิตสูง เนื่องจากต้องซื้อวัตถุดิบจากนอกพื้นที่
และไม่ได้สั่งซื้อวัตถุดิบอื่น ๆ เช่น ด้าย เข็ม จากโรงงานโดยตรง
รวมถึงกลุ่มทอผ้าขาดทักษะ
เทคนิคการทอไม่มีผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบลวดลายที่เป็นอัตลักษณ์
และการให้เฉดสีที่ตรงกลุ่มลูกค้า ตลอดจนผู้ทอผ้าส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ซึ่งแนวทางแก้ไข
เช่น ส่งเสริมการผลิตวัตถุดิบการผลิตในพื้นที่เพื่อลดต้นทุน
ส่งเสริมการเรียนรู้ด้านการออกแบบ ทักษะการตัดเย็บ และความรู้ในด้านต่าง ๆ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1670 | ขอขยายเวลาในการยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2563 | ทส. | 11/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบการดำเนินการและผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน
๒๕๖๓ และเห็นชอบขยายเวลาในการยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้
โดยให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ ยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้
ภายใน ๑๒๐ วัน นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ขยายเวลาในการยื่นคำขออนุญาตฯ
ซึ่งผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓
มีส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐได้มายื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้
จำนวน ๕๘,๙๒๓ แห่ง มีจำนวนคำขออนุญาตฯ ที่ยื่นเกินจากบัญชีที่สำรวจไว้เดิมตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓ จำนวน ๓๘,๑๑๐ แห่ง
เนื่องจากการตรวจสอบพบว่ามีการตกสำรวจและมีจำนวนคำขอที่ยังไม่ได้ยื่นตามบัญชีที่สำรวจไว้เดิม
จำนวน ๑,๐๙๕ แห่ง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้ เมื่อครบกำหนดระยะเวลา
๑๒๐ วัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ขยายเวลาในการยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ในครั้งนี้แล้ว
ห้ามมิให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐใดเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ก่อนได้รับอนุญาตอีกอย่างเด็ดขาด
และหากปรากฏว่ายังมีส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐใดฝ่าฝืน
ให้พิจารณาดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานศาลปกครอง เช่น
ควรกำหนดหลักเกณฑ์การเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ให้สอดคล้องกับหลักการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
หากส่วนราชการยื่นคำขออนุญาตฯ ไม่ทันภายในกำหนดระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีให้ขยายในคราวนี้อีก
ให้ดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบอย่างเคร่งครัดต่อไป เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1671 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 15/2564 | นร.11 | 11/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติและรับทราบตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๕/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๔ ซึ่งได้พิจารณาอนุมัติให้นำวงเงินกู้เพื่อการตามมาตรา
๕ (๓) มาใช้เพื่อการตามมาตรา ๕ (๒) เพิ่มเติม (ครั้งที่ ๓) จำนวน ๘๕,๐๐๐ ล้านบาท
เพื่อรองรับการให้ความช่วยเหลือ เยียวยา
ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
ในระลอกเดือนเมษายน ๒๕๖๔ อนุมัติโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ
บริหารจัดการน้ำและเพิ่มพื้นที่ชลประทาน ของกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โครงการพัฒนาการตลาดสินค้ากลุ่มผู้ทำการผลิตที่บ้านหลังการแพร่ระบาดของโควิค-๑๙
ของมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ
และโครงการขององค์กรภาคประชาชนภายใต้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
จำนวน ๒ โครงการ อนุมัติการปรับปรุงรายละเอียดโครงการเราชนะ โครงการ ม๓๓ เรารักกัน
โครงการทัวร์เที่ยวไทย โครงการเราเที่ยวด้วยกัน
โครงการยกระดับเศรษฐกิจในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคภาคตะวันตกด้วย BCG โมเดล
และโครงการศูนย์นวัตกรรมการผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์เพื่ออุตสาหกรรมอาหาร
อนุมัติการยกเลิกการดำเนินโครงการย่อยของจังหวัดศรีสะเกษ
และเห็นชอบการปรับกลไกและกระบวนการในการขับเคลื่อนภายใต้การพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
รวมทั้งรับทราบการปรับลดกรอบวงเงินของโครงการกำลังใจ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบแผนงานและโครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุข
รวมถึงการให้ความช่วยเหลือ เยียวยา
และชดเชยให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรดติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ เร่งจัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ เพื่อให้สามารถรองรับการบริหารสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ระลอกในเดือนเมษายน ๒๕๖๔ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการคลังจัดลำดับความสำคัญก่อนเสนอคณะกรรมการฯ
พิจารณากลั่นกรองก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
รับทราบการปรับกลไกและกระบวนการในการขับเคลื่อนภายใต้โครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากให้สอดคล้องกับคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่
๙๙/๒๕๖๔
และการปรับคู่มือการเสนอโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
ภายใต้กลุ่มแผนงาน/โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชนบนพื้นฐานของโอกาสและศักยภาพของท้องถิ่น
: ระดับพื้นที่ และมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามแนวทางที่กำหนดไว้ในคู่มือดังกล่าว
(ฉบับปรับปรุง) รวมถึงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องของทางราชการอย่างเคร่งครัด ๓.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1672 | การเร่งรัดการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19) | นร. | 11/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๓
กำหนดให้การบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เป็นวาระแห่งชาติ
เพื่อให้การบริหารจัดการในเรื่องดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
ไปแล้ว นั้น
เพื่อให้การดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวเกิดผลเป็นรูปธรรมและสอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
ในปัจจุบัน
คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักเร่งบูรณาการการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน
กระทรวงศึกษาธิการ กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานด้านความมั่นคง เพื่อให้การจัดหา
การกระจาย และการฉีดวัคซีน เป็นไปอย่างรวดเร็ว เหมาะสม ทั่วถึง
ตามลำดับความจำเป็นเร่งด่วน โดยให้ร่วมกันรณรงค์สร้างการรับรู้
ความเข้าใจที่ถูกต้อง
และความเชื่อมั่นแก่ประชาชนให้เข้ารับการฉีดวัคซีนให้มากที่สุด
เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิต รวมทั้งให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศ
ซึ่งจะช่วยให้สามารถแก้ไขปัญหาและยุติการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙
ได้โดยเร็วอันจะเป็นผลให้สามารถดำเนินการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้เข้าสู่ภาวะปกติได้ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1673 | ผลการสำรวจการมีส่วนร่วมของประชาชนตามแผนปฏิรูปประเทศ พ.ศ. 2564 | ดศ. | 11/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบสรุปผลการสำรวจการมีส่วนร่วมของประชาชนตามแผนปฏิรูปประเทศ
พ.ศ. ๒๕๖๔ ซึ่งสำนักงานสถิติแห่งชาติได้สอบถามประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ ๑๘
ปีขึ้นไปทั่วประเทศ จำนวน ๖,๙๗๐ คน ระหว่างวันที่ ๖ มกราคม-๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ โดยผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับแหล่งข้อมูลที่รับข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานภาครัฐ
ประชาชนส่วนใหญ่รับรู้ข่าวสารจากโทรทัศน์ (ร้อยละ ๘๙.๘) การไปใช้สิทธิเลือกตั้ง
ประชาชนส่วนใหญ่มีส่วนร่วมในการใช้สิทธิเลือกตั้งทุกครั้ง (ร้อยละ ๖๖.๗) การมีส่วนร่วมทางการเมือง
ประชาชนส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือกับทางราชการในการพัฒนาประเทศ เช่น เสียภาษี
ปฏิบัติตามกฎหมาย และเป็นพลเมืองที่ดี (ร้อยละ ๘๒.๒) ความเชื่อมั่นต่อระบบธรรมาภิบาล
มีคะแนนเฉลี่ย ๓.๒๐ คะแนน (คะแนนเต็ม ๕ คะแนน)
โดยประชาชนส่วนใหญ่มีความเชื่อมั่นอยู่ในระดับกลาง ๆ/ไม่แน่ใจ (ร้อยละ ๔๔.๗) การมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น
ประชาชนส่วนใหญ่มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ ๓๙.๓)
และการมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ ประชาชนส่วนใหญ่มีความพึงพอใจอยู่ในระดับปานกลาง
(ร้อยละ ๕๑.๔) และมีข้อเสนอแนะ เช่น รับฟังความคิดเห็นของประชาชนทุกระดับมากขึ้น
และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการทำงานของภาครัฐ เป็นต้น ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ๒.
ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของสำนักงานสถิติแห่งชาติ
เช่น ควรประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารผ่านช่องทางที่สะดวก รวดเร็ว และเข้าถึงได้ง่าย
ควรให้ข้อมูล/ข้อเท็จจริงต่อประชาชนเกี่ยวกับการดำเนินงาน
ควรส่งเสริมและสร้างความเข้าใจในทุกระดับ และควรมีการลงพื้นที่เพื่อสอบถามความต้องการ
ความคิดเห็น และรับฟังปัญหาของประชาชน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓.
ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐดำเนินการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ผลการดำเนินงานในเรื่องต่าง
ๆ ของหน่วยงานตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๓ (เรื่อง
การประชาสัมพันธ์เผยแพร่ผลงานของหน่วยงานและของรัฐบาล)
อย่างต่อเนื่องและจริงจังเพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลข่าวสารในเรื่องสำคัญต่าง
ๆ ที่อยู่ในความสนใจหรือมีผลกระทบต่อสาธารณชนอย่างถูกต้อง รวดเร็ว และทั่วถึง
รวมทั้งเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาการรับรู้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องและเกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากการเผยแพร่ข่าวหรือข้อมูลปลอม
(Fake New) ด้วย โดยในการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารในเรื่องสำคัญ
ๆ ข้างต้น
ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐประสานส่งข้อมูลดังกล่าวในรูปแบบที่เป็นประเด็นข่าวที่ถูกต้อง
กระชับ ชัดเจน และเข้าใจง่าย
ไปยังสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเพื่อเผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ “ไทยคู่ฟ้า” อีกช่องทางหนึ่งด้วย
ทั้งนี้
ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐกำหนดหน่วยงานหรือผู้รับผิดชอบเพื่อทำหน้าที่ติดตาม
ตรวจสอบ และประเมินผลการเผยแพร่ข้อมูลเรื่องต่าง ๆ ในความรับผิดชอบใน Social
Media ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ในกรณีที่พบว่า เรื่องใดมีข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ไม่เป็นจริง
หรือไม่เป็นปัจจุบัน ก็ให้เร่งรัดชี้แจง ทำความเข้าใจ
และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องในทุกช่องทางการสื่อสารที่สามารถดำเนินการได้โดยเร็วที่สุด ๔. ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐจัดทำสรุปผลการดำเนินงานตามข้อ
๓ เสนอไปยังนายกรัฐมนตรีทุก ๓ เดือน
๕. ให้กระทรวงศึกษาธิการ
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแนวทางของประเทศฟินแลนด์
(Finland Model) ในการสร้างห้องเรียนให้พลเมืองทุกกลุ่มอาชีพและทุกวัยได้เข้ามาเรียนรู้
เสริมทักษะ และเกิดภูมิคุ้มกันให้รู้เท่าทันสื่อในโลกดิจิทัลและข่าวปลอม ไปศึกษาในรายละเอียดและประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนในความรับผิดชอบให้เหมาะสมต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1674 | รายงานเสนอต่อคณะรัฐมนตรีกรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 กรณีการบริหารจัดการโครงการอาหารกลางวันเด็ก | สผผ. | 11/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบรายงานเสนอต่อคณะรัฐมนตรีกรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด
๕ หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐
กรณีการบริหารจัดการโครงการอาหารกลางวันเด็ก ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นว่า
การบริหารจัดการโครงการอาหารกลางวันยังไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณประเภทเงินอุดหนุนสำหรับสนับสนุนโครงการอาหารกลางวันให้แก่สถานศึกษาหลายแห่งล่าช้า
การขาดนักโภชนาการชุมชนครบทุกท้องถิ่น ค่าเฉลี่ยอาหารกลางวันในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาลดลงต่ำกว่า
๒๐ บาท การนำวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์มาใช้บังคับกรณีการใช้จ่ายเงินอุดหนุนอาหารกลางวันเด็กที่เกินกว่า
๕๐๐,๐๐๐ บาท ทำให้ค่าอาหารกลางวันเฉลี่ยต่อรายเพิ่มสูงขึ้นจากการบวกกำไรเพิ่มของผู้ประมูล
รวมทั้งหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับเงินอุดหนุนโครงการอาหารกลางวันกรณีเงินเหลือจ่ายที่กระทรวงการคลังและสถานศึกษาหลายแห่งถือปฏิบัติไม่สอดคล้องกับขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข
รับข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน
รวมทั้งความเห็นและข้อเสนอแนะของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การขอรับการจัดสรรงบประมาณค่าอาหารกลางวันเด็กจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบางแห่งล่าช้าเนื่องจากมีรายละเอียดขั้นตอนค่อนข้างมาก
โดยหากรัฐบาลสามารถจัดหาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือนักโภชนาการหรือผู้มีความรู้ความสามารถในการจัดการด้านโภชนาการสำหรับเด็กให้เข้ามาดำเนินการช่วยเหลือโรงเรียนขนาดเล็กและขนาดกลาง
จะเป็นผลดีแก่ทั้งโรงเรียนและนักเรียน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ (เรื่อง ขอปรับค่าอาหารกลางวันของนักเรียน)
ให้สอดคล้องกับข้อเสนอแนะข้างต้นด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1675 | การเลื่อนเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเอเชียนอินดอร์และมาเชี่ยลอาร์ทเกมส์ ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021) | กก. | 11/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๗ มีนาคม ๒๕๖๓ เรื่อง การเสนอตัวเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชียนอินดอร์และมาเชี่ยลอาร์ทเกมส์
ครั้งที่ ๖ ค.ศ. ๒๐๒๑ จากเดิม เห็นชอบในหลักการให้ประเทศไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ ในปี
พ.ศ. ๒๕๖๔ (ค.ศ. ๒๐๒๑) เป็น ปี พ.ศ. ๒๕๖๕ (ค.ศ. ๒๐๒๒) ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น (๑) ให้ความสำคัญในการติดตามและประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (COVID-19) อย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมความพร้อมให้การจัดการแข่งขันฯ
เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและปลอดภัยภายใต้มาตรการป้องกันของกระทรวงสาธารณสุข (๒)
ให้จัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โดยคำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้น
ประโยชน์ที่จะได้รับ ความครอบคลุมของทุกแหล่งเงิน
ความสอดคล้องและทันต่อสถานการณ์ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องในทุกมิติ และ (๓) ควรพิจารณาทบทวนการจัดทำแผนการดำเนินงานใหม่และงบประมาณให้ชัดเจน
รวมทั้งการเตรียมความพร้อมการพัฒนานวัตกรรมหรือวิธีการบริหารจัดการที่ดีภายใต้วิถีปกติใหม่
(New Normal) เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.
ในการดำเนินงานในระยะต่อไป ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาดำเนินการเพิ่มเติมด้วย
ดังนี้ ๒.๑
หารือร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อวางแผนการดำเนินงานและกำหนดมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (COVID-19) อย่างรอบคอบ สอดคล้อง
เหมาะสมกับสถานการณ์ และเป็นไปตามมาตรฐานสากล
โดยคำนึงถึงผลกระทบและความปลอดภัยด้านสุขอนามัยของนักกีฬาและผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นสำคัญ
ทั้งนี้
ควรศึกษาแนวทางการเตรียมการจัดการแข่งขันกีฬาภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (COVID-19) จากกรณีการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน
(โตเกียว ๒๐๒๐) ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย ๒.๒
จัดทำแผนบริหารความต่อเนื่องของการเป็นเจ้าภาพ เพื่อให้การเตรียมการแข่งขันกีฬาเอเชียนอินดอร์และมาเชี่ยลเกมส์เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสามารถรักษามาตรฐานของปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญต่อการจัดการแข่งขัน
เช่น สนามสำหรับฝึกซ้อมและแข่งขัน โรมแรมที่พัก ระบบเทคโนโลยี การคมนาคมขนส่ง
บริการด้านการท่องเที่ยว บริการทางการแพทย์ และการรักษาความปลอดภัย เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1676 | การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านมาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา และการวัดและประเมินผลการศึกษา ที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ | ศธ. | 05/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบกรณี
นายวณิชย์ อ่วมศรี พ้นจากตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ด้านมาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา และการวัดและประเมินผลการศึกษาในคณะกรรมการสภาการศึกษา
เนื่องจากขอลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๓ ๒. เห็นชอบแต่งตั้ง
นางปัทมา วีระวานิช เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ด้านมาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา
และการวัดและประเมินผลการศึกษาในคณะกรรมการสภาการศึกษา แทนผู้ที่ลาออก ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมติ (๕ พฤษภาคม ๒๕๖๔) เป็นต้นไป และให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทน
อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งตนแทน ทั้งนี้ ในครั้งต่อ ๆ ไปให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสภาการศึกษาให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างเคร่งครัดด้วย
ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ (เรื่อง
การดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ
ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1677 | ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. .... | กค. | 05/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยเพิ่มข้อความนัยข้อ ๒๗ วรรคหก แห่งระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็น “การประชุมของคณะกรรมการตามวรรคหนึ่ง
อาจประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ ทั้งนี้
ให้เป็นไปตามแนวทางที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด” ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
โดยให้แก้ไขชื่อและร่างข้อ ๑ โดยระบุเป็น (ฉบับที่ ..)
แก้ไขเพิ่มเติมคำปรารภของร่างระเบียบกระทรวงการคลัง จากเดิมที่กำหนดไว้ว่า
“โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุง...” แก้ไขเป็น “โดยที่สมควรแก้ไขเพิ่มเติม....”
และแก้ไขบทอาศัยอำนาจในการออกระเบียบกระทรวงการคลังให้เป็นไปตามมาตรา ๖๘ มาตรา ๗๘
มาตรา ๙๒ และมาตรา ๑๐๕ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1678 | มาตรการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนและผู้ประกอบการธุรกิจจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในระลอกเดือนเมษายน 2564 | นร.11 | 05/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
รับทราบตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอขอแก้ไขข้อความในหนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๑๐๖/๒๗๑๓ ลงวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๔ หน้า ๘ ข้อ ๒.๒) จาก
ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน ๒๕๖๔ และสามารถนำ e-Voucher ไปใช้จ่ายในเดือนสิงหาคมถึงธันวาคม ๒๕๖๔ ทั้งนี้
คาดว่าจะมีประชาชนเข้าร่วมโครงการฯ ประมาณ ๓๑ ล้านคน” เป็น
“...ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงธันวาคม ๒๕๖๔ ทั้งนี้ คาดว่าจะมีประชาชนเข้าร่วมโครงการฯ
ประมาณ ๔ ล้านคน” ๒.
รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๒.๑
รับทราบการดำเนินมาตรการบรรเทาผลกระทบการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
ที่ดำเนินการอยู่
โดยเห็นควรมอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาดำเนินการเลื่อนกรอบระยะเวลาการดำเนินโครงการเราเที่ยวด้วยกัน
ระยะที่ ๓ และโครงการทัวร์เที่ยวไทย
ออกไปจนกว่าสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ในระลอกเดือนเมษายน
๒๕๖๔ จะคลี่คลายลงตามขั้นตอนของระเบียบและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.๒
เห็นชอบในหลักการของข้อเสนอมาตรการบรรเทาผลกระทบของประชาชนและผู้ประกอบการธุรกิจจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ในระลอกเดือนเมษายน ๒๕๖๔ และเห็นควรมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบเร่งดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.๓ เห็นควรให้การไฟฟ้านครหลวง
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปานครหลวง และการประปาส่วนภูมิภาค
ดำเนินการตามมาตรการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน
(ไฟฟ้าและน้ำประปา)
โดยขอรับสนับสนุนแหล่งเงินเพื่อดำเนินตามมาตรการดังกล่าวภายใต้กรอบวงเงินรวมไม่เกิน
๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามขั้นตอนของพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ต่อไป ๓.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1679 | ผลการประชุมหารือแนวทางความร่วมมือการจัดหาวัคซีนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน | นร.11 | 05/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบผลการประชุมหารือแนวทางความร่วมมือการจัดหาวัคซีนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน
เมื่อวันพุธที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๖๔ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และมีผู้เข้าร่วมการประชุม
ประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล และนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์)
ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งเห็นชอบตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี
และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุม โดยที่ประชุมเห็นชอบแนวทางความร่วมมือการจัดหาวัคซีนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน
๔ ด้าน ประกอบด้วย (๑) ด้านการกระจายและฉีดวัคซีน
โดยใช้กลไกการทำงานของภาคเอกชนในการจัดสถานที่ฉีดวัคซีนและกระจายวัคซีนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
และสำหรับพื้นที่ต่างจังหวัดจะดำเนินการผ่านกลไกคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน
(กรอ.) จังหวัดและกลุ่มจังหวัด พร้อมร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงมหาดไทยสำหรับการจัดเตรียมสถานที่และกระจายวัคซีน
รวมถึงอุปกรณ์และบุคลากรที่จะเข้ามาช่วยปฏิบัติงานในจุดต่าง ๆ (๒) ด้านการสร้างความเชื่อมั่นและประชาสัมพันธ์
โดยภาคเอกชนจะมีส่วนช่วยในการประชาสัมพันธ์เรื่องการจัดหาและบริหารวัคซีน
และสร้างความรับรู้แก่ประชาชนเรื่องการฉีดวัคซีนเพื่อให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น (๓)
ด้านการสนับสนุนระบบอำนวยความสะดวกระบบงานต่าง ๆ
โดยแอปพลิเคชันลงทะเบียนการฉีดวัคซีน “หมอพร้อม”
ภาคเอกชนจะมีส่วนในการสนับสนุนระบบเพิ่มเติมระหว่างการลงทะเบียนและการฉีดวัคซีน
และ (๔) ด้านการจัดหาวัดซีนเพิ่มเติม ให้กระทรวงสาธารณสุข
โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
และองค์การเภสัชกรรมพิจารณาแนวทางการผ่อนคลายกระบวนการพิจารณาอนุญาตให้ใช้วัคซีนสำหรับกลุ่มเป้าหมาย
ที่อยู่ระหว่างประเมินข้อมูลประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนเป็นกรณีฉุกเฉิน (Emergency Use Authority : EVA) เพื่อให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1680 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง ค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระยะการระบาดระลอกเมษายน 2564 | สธ. | 05/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑
รับทราบโครงการเตรียมความพร้อมรับมือและแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่ :
กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระยะการระบาดระลอกเมษายน ๒๕๖๔ ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดการติดเชื้อใหม่ให้ไม่เกินศักยภาพที่ระบบสาธารณสุขรองรับได้
(Low Level transmission) และเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชากรในประเทศไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ
๗๐ ของประชากรทั้งหมด โดยเฉพาะกลุ่มประชากรผู้สูงอายุ ผู้มีโรคร่วม
และกลุ่มเปราะบาง/ด้อยโอกาส ระยะเวลาดำเนินการเดือนเมษายน ๒๕๖๔ ถึงเดือนกันยายน
๒๕๖๔ งบดำเนินงานทั้งสิ้น ๑๒,๕๗๖,๖๒๙,๓๒๒ บาท ๑.๒ อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ งบกลาง ค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา
และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
ระยะการระบาดระลอกเมษายน ๒๕๖๔ จำนวนเงินทั้งสิ้น ๑๒,๕๗๖,๖๒๙,๓๒๒ บาท ๒.
ให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑
บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชนเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (COVID-19) ให้อยู่ในวงจำกัดโดยเร็วที่สุด
และเพิ่มประสิทธิภาพในการคัดกรองระดับ/แยกประเภทผู้ป่วย
รวมทั้งการนำผู้ป่วยเข้าสู่ระบบการรักษาพยาบาลให้ทั่วถึงและรวดเร็วยิ่งขึ้น ๒.๒ ประเมินสถานการณ์ ตรวจสอบ และแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในขั้นตอนต่าง
ๆ เช่น การเฝ้าระวังโรค การเข้าตรวจโรค และการรักษาพยาบาล เป็นต้น
รวมทั้งให้จัดเตรียมแผนรองรับความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
เพื่อให้การบริหารจัดการวิกฤติในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
(COVID-19) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน ๒.๓ เร่งรัดการดำเนินการกระจายวัคซีนไปยังกลุ่มเป้าหมายอย่างเป็นระบบ
รวดเร็ว ทั่วถึง และเป็นธรรม รวมทั้งให้สร้างความเข้าใจแก่ประชาชนให้มีความพร้อมในการเข้ารับการฉีดวัคซีนและการป้องกันโรคในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (COVID-19) ที่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้
ให้เผยแพร่ข้อมูลผลการดำเนินงานดังกล่าวสู่สาธารณชนเพื่อให้เกิดความโปร่งใสด้วย
๓.
ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|