ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 88 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 1741 - 1760 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1741 | ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยนเรศวร พ.ศ. …. | อว. | 02/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยนเรศวร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยนเรศวร
พ.ศ. ๒๕๓๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
โดยเปลี่ยนสถานะของมหาวิทยาลัยนเรศวรที่เป็นส่วนราชการ
เป็นมหาวิทยาลัยที่มีฐานะเป็นหน่วยงานในกำกับของรัฐ
(สถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐ) ที่ไม่เป็นส่วนราชการ เพื่อปรับปรุงการศึกษาระดับอุดมศึกษาให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม
และเป็นไปตามแนวทางการปฏิรูปมหาวิทยาลัยให้เป็นมหาวิทยาลัย ๔.๐ และนโยบายของรัฐบาล
ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า
(๑) การกำหนดให้อธิการบดีเลือกผู้ดำรงตำแหน่งรองอธิการบดีเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัย
อาจไม่สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๔๖ (๒) วาระการดำรงตำแหน่งของนายกสภามหาวิทยาลัย
กรรมการสภามหาวิทยาลัย ผู้ทรงคุณวุฒิ
และกรรมการสภามหาวิทยาลัยประเภทตัวแทนผู้บริหารและคณาจารย์ที่กำหนดไว้คราวละสองปีอาจไม่เหมาะสม
จึงสมควรกำหนดให้นายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการสภามหาวิทยาลัยดังกล่าวมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสามปีหรือสี่ปีเช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐอื่น
ๆ และ (๓) มีการกำหนดให้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นหลายคณะโดยไม่มีการกำหนดหน้าที่และอำนาจไว้อย่างชัดเจน
ซึ่งไม่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒ จึงไม่ควรบัญญัติมาตราเฉพาะกำหนดให้มีคณะกรรมการดังกล่าว
และให้รับความเห็นเพิ่มเติมบางประการของสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน
ก.พ.ร. ไปประกอบการพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น กรณีเงินรายได้ของมหาวิทยาลัยนเรศวรที่ไม่ต้องนำส่งคืนคลังเป็นรายได้แผ่นดิน
เห็นควรที่จะกำหนดให้มีการวางหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการเกี่ยวกับการเบิกเงิน
การรับเงินและการเก็บรักษาเงินรายได้ที่ชัดเจนด้วยความระมัดระวังและรอบคอบอย่างต่อเนื่อง
มีการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม มีความโปร่งใส และตรวจสอบได้
และกรณีค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนสถานภาพของข้าราชการและลูกจ้างประจำเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย
หรือลูกจ้างของมหาวิทยาลัยในระยะแรกของการเปลี่ยนผ่าน
ควรกำหนดบทเฉพาะกาลให้ชัดเจนเกี่ยวกับเงื่อนเวลาและภาระของงบประมาณที่เกิดขึ้นให้ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของมหาวิทยาลัยเป็นลำดับแรก
รวมทั้งเห็นควรมุ่งเน้นการจัดการศึกษาในสาขาที่สถาบันมีศักยภาพและเป็นจุดเด่นหรือมีความเชี่ยวชาญ
และควรให้ความสำคัญกับกระบวนการการคัดเลือกผู้บริหารและองค์ประกอบของสภามหาวิทยาลัยและคณะกรรมการต่าง
ๆ ให้มีความโปร่งใส เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1742 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงสถานที่ก่อสร้างรายการที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 รายการก่อสร้างอาคารเภสัชกรรม ทันตกรรม อำนวยการ เป็นอาคาร คสล. 3 ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ 2,250 ตารางเมตร (โครงสร้างต้านแผ่นดินไหว) โรงพยาบาลลำพูน ตำบลต้นธง อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน 1 หลัง | สธ. | 02/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติเปลี่ยนแปลงสถานที่ก่อสร้างรายการที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ จากการก่อสร้างอาคารเภสัชกรรม ทันตกรรม อำนวยการ
เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก (คสล.) ๓ ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ ๒,๒๕๐ ตารางเมตร
(โครงสร้างต้านแผ่นดินไหว) โรงพยาบาลลำพูน ตำบลต้นธง อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน
(รพ.ลำพูน ต.ต้นธง) ๑ หลัง เป็นการก่อสร้างอาคารเภสัชกรรม ทันตกรรม อำนวยการ
เป็นอาคาร คสล. ๓ ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ ๒,๒๕๐ ตารางเมตร
(โครงสร้างต้านแผ่นดินไหว) โรงพยาบาลลำพูน ตำบลเวียงยอง อำเภอเมืองลำพูน
จังหวัดลำพูน (รพ.ลำพูน ต.เวียงยอง) ๑ หลัง ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามแผนงานก่อสร้างอาคารเภสัชกรรม
ทันตกรรม อำนวยการ เป็นอาคาร คสล. ๓ ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ ๒,๒๕๐ ตารางเมตร (โครงสร้างต้านแผ่นดินไหว) โรงพยาบาลลำพูน
ตำบลเวียงยอง อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน ๑ หลัง
โดยให้ความสำคัญกับขั้นตอนและกระบวนการคัดเลือกผู้รับจ้างตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่สามารถเข้าถึงบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิได้อย่างสะดวก
รวดเร็ว และได้มาตรฐาน ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้ความสำคัญในการควบคุม
กำกับ ดูแล และดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
๒. ในการริเริ่มแผนงาน/โครงการต่าง ๆ
ในระยะต่อไป
ให้กระทรวงสาธารณสุขตรวจสอบความเหมาะสมและความพร้อมของพื้นที่ดำเนินโครงการ
ตลอดจนความสอดคล้องกับแผนแม่บทหรือแผนพัฒนาพื้นที่ของโรงพยาบาลแต่ละแห่งอย่างละเอียดรอบคอบ
เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ถูกต้อง
และสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาพื้นที่การให้บริการของโรงพยาบาลแต่ละแห่งในภาพรวมตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง
การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1743 | การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ 15 การประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา+3 ครั้งที่ 6 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ผ่านระบบการประชุมทางไกล | นร. | 02/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้สำนักนายกรัฐมนตรี
(กรมประชาสัมพันธ์) จัดการประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ ๑๕
การประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา+๓ ครั้งที่ ๖
และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ ผ่านระบบการประชุมทางไกล ในวันที่ ๑๐
และ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๔ โดยมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นประธานการประชุมในระดับรัฐมนตรี และเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน
(Joint
Media Statement) มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในระดับรัฐมนตรีอาเซียนเกี่ยวกับการรับมือสถานการณ์โควิด-๑๙
ของอาเซียน การส่งเสริมการเข้าถึงสื่อดิจิทัล การพัฒนาทักษะดิจิทัล
การสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับประชาคมอาเซียน และรับทราบผลการดำเนินงานของคณะทำงานต่าง
ๆ และความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจา โดยอนุมัติให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ในฐานะรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียนของไทยหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ
ในที่ประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ ๑๕ ผ่านระบบการประชุมทางไกล ในวันที่
๑๒ มีนาคม ๒๕๖๔ ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์) เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์) ดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้สำนักนายกรัฐมนตรี
(กรมประชาสัมพันธ์) ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1744 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2563 (ครั้งที่ 152) | พน. | 02/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ (ครั้งที่ ๑๕๒)
เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ จำนวน ๒ เรื่อง ได้แก่
แนวทางการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (โครงการโซลาร์ภาคประชาชน
ระยะที่ ๑) และแนวทางการกำหนดมาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าสำหรับประชาชน
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
และข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น (๑)
การใช้ที่ราชพัสดุเพื่อจัดหาประโยชน์ ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
และหลักเกณฑ์เกี่ยวกับที่ราชพัสดุที่มีอยู่ในปัจจุบัน (๒)
ควรให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการใช้งานและดูแลรักษาระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์
และ (๓)
ควรกำหนดแหล่งเงินสนับสนุนหรือชดเชยการดำเนินมาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าสำหรับประชาชนให้ชัดเจน
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงพลังงาน
คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดรายละเอียดคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมโครงการโซลาร์ภาคประชาชน
ระยะที่ ๑ ในแต่ละกลุ่มเป้าหมาย การคัดเลือก ขั้นตอนดำเนินการ
และกรอบระยะเวลาดำเนินงานให้ชัดเจน โดยคำนึงถึงกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน และเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการฯ
ให้ประชาชนทราบอย่างถูกต้องและทั่วถึง
เพื่อส่งเสริมให้การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคาเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
รวมทั้งให้ติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการฯ อย่างเป็นระบบ
โดยให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นในการดำเนินโครงการฯ
เพื่อนำข้อมูลมาพิจารณาประกอบการดำเนินโครงการฯ ในระยะต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1745 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สำหรับโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับบริการประชากรในประเทศไทย เพิ่มเติม จำนวน 35 ล้านโดส | สธ. | 02/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบรายละเอียดโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (COVID-19)
สำหรับบริการประชากรในประเทศไทย เพิ่มเติม จำนวน ๓๕ ล้านโดส
กรอบวงเงินจำนวน ๖,๓๘๗,๒๘๕,๙๐๐ บาท
และอนุมัติรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ งบกลาง
รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา
และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ กรอบวงเงิน
๖,๓๘๗,๒๘๕,๙๐๐ บาท สำหรับโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
สำหรับบริการประชากรในประเทศไทย เพิ่มเติม จำนวน ๓๕ ล้านโดส
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งดำเนินการตามแผนกลยุทธ์การบริหารจัดการการให้วัคซีนโควิด
19 ในประเทศไทย รวมทั้งกำกับติดตามการดำเนินการที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปอย่างโปร่งใส
และตรวจสอบได้ เพื่อให้คนไทยทุกคนได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึงมีประสิทธิภาพสูงสุด ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1746 | การขอต่อระยะเวลาผลิตปิโตรเลียมของบริษัท เอ็กซอนโมบิล เอ็กซ์โพลเรชั่น แอนด์ โพรดักชั่น โคราช อิงค์ ผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 2/2522/17 แปลงสำรวจบนบกหมายเลข E5 (นอกพื้นที่โคราช) | พน. | 02/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติให้บริษัท เอ็กซอนโมบิล
เอ็กซ์โพลเรชั่น แอนด์ โพรดักชั่น โคราช อิงค์
ต่อระยะเวลาผลิตปิโตรเลียมสำหรับสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ ๒/๒๕๒๒/๑๗
แปลงสำรวจบนบกหมายเลข E5
(นอกพื้นที่โคราช) ออกไปอีก ๑๐ ปี นับตั้งแต่วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๔
ถึงวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๗๔ โดยอาศัยความตามมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ.
๒๕๑๔ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
๒. ให้กระทรวงพลังงานตรวจสอบรายละเอียดของสัญญาสัมปทานปิโตรเลียมเพิ่มเติม
(ฉบับที่ ๗) ของสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ ๒/๒๕๒๒/๑๗ อย่างรอบคอบ
และกำกับดูแลผู้รับสัมปทานให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ข้อกำหนด ข้อผูกพัน และเงื่อนไขต่าง ๆ ตามสัญญา อย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นว่า
การดำเนินการโครงการใด ๆ ในพื้นที่ป่าไม้ จะต้องดำเนินการตามกฎ ระเบียบ กฎหมาย
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ก่อนดำเนินการตามวัตถุประสงค์ที่ขออนุญาต
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1747 | ขออนุมัติจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรที่ดินแปลงอพยพในโครงการเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ | กษ. | 02/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติให้มีการจ่ายเงินชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรที่ดินแปลงอพยพให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ที่ผ่านการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรับรองรายชื่อจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงการจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรที่ดินแปลงอพยพในโครงการเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์แล้ว
จำนวน ๑๑๘ ราย เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น ๓๔.๓๔ ล้านบาท (รายละ ๑๗๐,๐๐๐-๗๗๐,๐๐๐ บาท
หรือเฉลี่ยรายละ ๒๙๑,๐๑๓.๑๐ บาท) รวมทั้งอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและกำกับดูแลการจ่ายเงิน
โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรีเป็นประธานกรรมการ
โดยให้มีอำนาจหน้าที่พิจารณาและควบคุมการโอนจ่ายเงินชดเชยพิเศษฯ
ให้ถูกต้องครบถ้วนตรงตามบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชยพิเศษฯ
ที่ผ่านการรับรองของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ สำหรับการจ่ายเงินเห็นสมควรให้จ่ายโดยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร
(จ่ายตรง) ตามบัญชีรายชื่อบุคคลผู้มีสิทธิหรือทายาทของบุคคลดังกล่าว
โดยถือความเห็นของคณะกรรมการตรวจสอบและกำกับดูแลการจ่ายเงินเป็นหลักฐานการจ่ายเงิน
และให้ระบุในหลักฐานการรับเงินด้วยว่า “ข้าพเจ้ายินยอมรับเงินชดเชยพิเศษฯ
ในครั้งนี้ และจะไม่เรียกร้องหรือขอรับความช่วยเหลือใด ๆ
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์จากทางราชการอีก” ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น หากกรมชลประทานมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการจ่ายเงินชดเชยพิเศษฯ
เห็นสมควรให้ใช้จ่ายจากการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ หรือโอนเงินจัดสรร
หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรรตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
แล้วแต่กรณี โดยการจ่ายเงินจะต้องเป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส ไม่ซ้ำซ้อน
โดยสอดคล้องกับข้อเท็จจริงและประโยชน์ที่ภาครัฐและประชาชนจะได้รับอย่างรอบคอบ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรมที่เห็นควรให้ความสำคัญในการควบคุม
กำกับ ดูแล และดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด และควรเร่งรัดกระบวนการพิจารณาจ่ายค่าชดเชยให้ราษฎรให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
ทั้งกลุ่มราษฎรที่อยู่ระหว่างการรอพิจารณาตรวจสอบสิทธิจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ
และกลุ่มราษฎรที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ยังไม่พิจารณาสิทธิ
รวมทั้งควรติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผลโครงการชลประทานที่ได้ดำเนินการแล้วแต่ยังจ่ายค่าชดเชยให้แก่ราษฎรไม่แล้วเสร็จ
ว่ามีปัญหาอุปสรรคและแนวทางแก้ไขอย่างไร นอกจากนี้
โครงการพัฒนาแหล่งน้ำที่จะดำเนินการต่อไป หน่วยงานควรกำหนดนโยบาย หลักเกณฑ์
และแนวทางการดำเนินงานของกระบวนการจัดหาที่ดินให้ชัดเจนและครอบคลุม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
๓.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ (เรื่อง
ขออนุมัติงบประมาณจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรที่ดินแปลงอพยพโครงการเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์)
ที่กำหนดให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดกระบวนการพิจารณาการจ่ายค่าชดเชยสำหรับราษฎรส่วนที่เหลือจากที่เสนอในครั้งนี้ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
รวมทั้งให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีที่มีผู้ร้องเรียนว่าการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องหลายฝ่ายมีการทุจริตและมีการเลือกปฏิบัติจนเป็นเหตุให้ราษฎรไม่ได้รับเงินค่าชดเชยที่ดินหรือรับเงินค่าชดเชยพิเศษไม่ตรงกับความเป็นจริง
แล้วให้รายงานผลการตรวจสอบต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วน |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1748 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีกรณีการเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และการเสนอขอแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฝรั่งเศส ณ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (นายสเตฟาน รูโซ) | กต. | 02/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะค คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑. ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๐ เรื่อง การเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์และแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เฉพาะในส่วนเขตกงสุล โดยปรับเปลี่ยนเขตกงสุลของสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฝรั่งเศส
ณ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จากเดิมที่มีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เป็น มีเขตกงสุลครอบคลุม ๓ จังหวัด ได้แก่ ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และเพชรบุรี ๒. แต่งตั้งนายสเตฟาน
รูโซ (Mr. Stephane Rousseau) ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฝรั่งเศส ณ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สืบแทน
นางอาน-มารี ตูดิก (Mrs. Anne-Marie) ซึ่งเกษียณอายุเมื่อวันที่
๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1749 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีกรณีการเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฝรั่งเศส ณ จังหวัดขอนแก่น และเสนอขอแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฝรั่งเศส ณ จังหวัดขอนแก่น (นายมาร์ก นูว์โซม) | กต. | 02/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรั คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑. ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เรื่อง สาธารณรัฐฝรั่งเศสขอเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฝรั่งเศส ณ จังหวัดขอนแก่น
เฉพาะในส่วนเขตกงสุล โดยปรับเปลี่ยนเขตกงสุลจากเดิมที่มีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดขอนแก่น
เป็น มีเขตกงสุลครอบคลุม ๒๐ จังหวัด ได้แก่ ขอนแก่น อำนาจเจริญ บึงกาฬ
บุรีรัมย์ ชัยภูมิ กาฬสินธุ์ เลย มหาสารคาม มุกดาหาร นครพนม นครราชสีมา
หนองบัวลำภู หนองคาย ร้อยเอ็ด สกลนคร ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี อุดรธานี
ยโสธร และแต่งตั้งนายมาร์ก นูว์โซม (Mr. Marc Nussaume) ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฝรั่งเศส ณ จังหวัดขอนแก่น
สืบแทน นายฌ็อง-มีแชล, อีฟว์, ดีดีเย
แปรัว (Mr. Jean-Michel, Yves, Didier Perroy)
ซึ่งเกษียณอายุเมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปพิจารณากำหนดกรอบ/หลักเกณฑ์ในภาพรวมเกี่ยวกับการขอเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์
การกำหนดเขตกงสุล และการแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์ของรัฐบาลต่างประเทศประจำประเทศไทยให้ชัดเจน
เหมาะสม สอดคล้องกับบริบทของสภาพเศรษฐกิจ สังคม รวมทั้งการดำเนินงานด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยในปัจจุบัน
เพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1750 | ร่างกฎ ก.พ.อ. การได้รับเงินประจำตำแหน่งผู้บริหารและข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาของสถาบันวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. .... | อว. | 23/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎ ก.พ.อ.
การได้รับเงินประจำตำแหน่งผู้บริหารและข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาของสถาบันวิทยาลัยชุมชน
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขสำหรับการได้รับเงินประจำตำแหน่งสำหรับข้าราชการพลเรือน
ผู้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารซึ่งไม่เป็นข้าราชการ
และผู้ดำรงตำแหน่งประเภทผู้บริหารในสถาบันวิทยาลัยชุมชน
เพื่อให้การรับเงินประจำตำแหน่งและการเบิกจ่ายเงินประจำตำแหน่งของบุคลากรในสถาบันวิทยาลัยชุมชนมีความชัดเจนและสอดคล้องกับข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาและข้าราชการพลเรือนสามัญ
ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณที่เห็นว่า (๑)
การพิจารณาแต่งตั้งรองผู้อำนวยการวิทยาลัย สำหรับวิทยาลัยที่ยังแต่งตั้งไม่ครบเต็มจำนวนอัตราสูงสุดที่กำหนดให้มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งจากเงินงบประมาณแผ่นดิน
(ไม่เกิน ๓ ตำแหน่ง) ก.พ.อ. ควรคำนึงถึงปริมาณภาระงานที่แตกต่างกันและความคุ้มค่าของงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรภาครัฐในภาพรวมด้วย
และ (๒) ภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการตามข้อเสนอดังกล่าว
เห็นควรให้สถาบันวิทยาลัยชุมชนใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
ซึ่งได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับไว้แล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป
ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องครบถ้วน และให้ดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1751 | หลักการของร่างกฎหมายว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกัน และร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม พ.ศ. .... | พม. | 23/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบหลักการของร่างกฎหมายว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกัน
ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีกฎหมายกลางในระดับพระราชบัญญัติขึ้นเพื่อกำกับการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกันในประเทศไทย
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
โดยให้เพิ่มรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นผู้รักษาการตามร่างกฎหมายนี้
และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม
พ.ศ. .... ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดกลไกในการส่งเสริมและสนับสนุนศักยภาพ
และสร้างความเข้มแข็งขององค์กรภาคประชาสังคม ซึ่งมีหลักการเช่นเดียวกับหลักการของร่างกฎหมายว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกัน
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
ซึ่งจะเป็นกฎหมายกลางเพื่อกำกับการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกันในประเทศไทย
รวมทั้งความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น
ความจำเป็นในการกำหนดให้มีคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม
การจัดตั้งสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคมอาจซ้ำซ้อนกับหน่วยงานอื่น
และเป็นการสร้างภาระงบประมาณภาครัฐในระยะยาว
ควรพิจารณาปรับบทบาทภารกิจหน่วยงานที่มีอยู่แล้วแทนการจัดตั้งสำนักงานขึ้นใหม่
และการจัดตั้งสำนักงานดังกล่าวยังต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย เป็นต้น
ไปประกอบการยกร่างกฎหมายว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกัน
ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
๒.
มอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และกระทรวงมหาดไทยร่วมกันเป็นหน่วยงานเจ้าของเรื่องในการนำหลักการของร่างกฎหมายดังกล่าวไปดำเนินการรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากร่างกฎหมาย
ตามมาตรา ๗๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒ และให้ส่งผลการดำเนินการดังกล่าวให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการยกร่างกฎหมายดังกล่าวต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1752 | ร่างความตกลงระหว่างสำนักงานกลางแห่งชาติตำรวจสากลประเทศไทย (ตำรวจสากลกรุงเทพ) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ว่าด้วยการเข้าถึงระบบข้อมูลข่าวสารขององค์การตำรวจสากลโดยตรง | ยธ. | 23/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างสำนักงานกลางแห่งชาติตำรวจสากลประเทศไทย
(ตำรวจสากลกรุงเทพ) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ
ว่าด้วยการเข้าถึงระบบข้อมูลข่าวสารขององค์การตำรวจสากลโดยตรง และให้อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นผู้ลงนามในความตกลงฯ
โดยร่างความตกลงฯ
มีสาระสำคัญเป็นการอนุญาตและกำหนดเงื่อนไขการอนุญาตให้กรมสอบสวนคดีพิเศษเข้าถึงระบบข้อมูลข่าวสารขององค์การตำรวจสากล
จำนวน ๙ ฐานข้อมูลได้โดยตรง เช่น เอกสารการเดินทางที่ถูกขโมยหรือสูญหาย
เอกสารราชการที่ถูกขโมยภาพการแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเด็กระหว่างประเทศ เป็นต้น เพื่อความมุ่งประสงค์ในภารกิจงานตำรวจและการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติเป็นการเฉพาะ
รวมทั้งกำหนดหน้าที่ที่ทั้งสองฝ่ายต้องปฏิบัติเกี่ยวกับการเข้าถึงข้อมูลดังกล่าว ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒. ให้กระทรวงยุติธรรม
(กรมสอบสวนคดีพิเศษ) รับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมที่เห็นควรคำนึงถึงการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์เพื่อสร้างความมั่นใจและเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยของระบบฐานข้อมูล
ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1753 | การขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร | นร.08 | 23/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร
ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๔ จนถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๔ ๒.
เห็นชอบและรับทราบร่างประกาศ รวม ๓ ฉบับ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบร่างประกาศ เรื่อง
การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร (คราวที่
๑๐) และร่างประกาศ เรื่อง การให้ประกาศที่คณะรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินยังคงมีผลใช้บังคับ ๒.๒ รับทราบร่างประกาศ
เรื่อง การให้ข้อกำหนด ประกาศ และคำสั่งที่นายกรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินยังคงมีผลใช้บังคับ
๓. ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1754 | รายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2563 เรื่อง กลไกเฝ้าระวังการใช้จ่ายงบประมาณตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 | ปปท. | 23/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๓ เรื่อง
กลไกเฝ้าระวังการใช้จ่ายงบประมาณตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓
โดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.)
ได้จัดตั้ง “ศูนย์ไทยเฝ้าระวัง” ในสำนักงาน ป.ป.ท.
เพื่อปฏิบัติการเฝ้าระวังการใช้จ่ายงบประมาณตามพระราชกำหนดฯ และเป็นศูนย์กลางประสานการดำเนินงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โดยได้ดำเนินการตามกลไกในการเฝ้าระวังตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน
๒๕๖๓ เช่น (๑) จัดทำเว็บไซต์ “ไทยเฝ้าระวัง” เพื่อเผยแพร่ข้อมูลการดำเนินงานให้ประชาชนและภาคส่วนต่าง
ๆ เพื่อร่วมเฝ้าระวังการทุจริต
และเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นข้อมูลในการดำเนินงาน รับเรื่องร้องเรียน
และแจ้งเบาะแสการทุจริตในโครงการ และ (๒)
วิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงการทุจริตที่อาจเกิดขึ้นในโครงการ จัดทำมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริตในโครงการ
และเผยแพร่ประเด็นความเสี่ยงการทุจริตในแต่ละโครงการ เป็นต้น ตามที่สำนักงาน ป.ป.ท.
เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1755 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศการค้าและการพัฒนาแห่งแคนาดา | ศธ. | 23/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศ
การค้าและการพัฒนาแห่งแคนาดาว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษา (Memorandum of Understanding between the Ministry of
Education of the Kingdom of Thailand and the Department of Foreign Affairs,
Trade and Development of Canada Concerning Cooperation in Education) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการศึกษาธิการเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความร่วมมือด้านการจัดหาครูชาวแคนาดาเข้ามาสอนในสถานศึกษาไทย
และเพื่อสนับสนุนวัตถุประสงค์ของโครงการครูชาวต่างประเทศ ได้แก่ (๑)
เพื่อปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอนโดยรวมในสาขาวิชาภาษาต่างประเทศและอาชีวศึกษา
และ (๒) เพื่อพัฒนาความรู้ ทักษะ และสมรรถนะของนักเรียนในสาขาวิชาภาษาต่างประเทศและอาชีวศึกษา
โดยมีรูปแบบความร่วมมือที่หลากหลาย อาทิ การประชาสัมพันธ์โครงการฯ
การช่วยเหลือด้านการรับรองเอกสารการศึกษา และการเข้าร่วมในกระบวนการคัดเลือก
ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่กับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย ๒.
ให้กระทรวงศึกษาธิการได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1756 | ขอถอนร่างพระราชบัญญัติเขตเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. .... | อก. | 23/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติให้กระทรวงอุตสาหกรรมถอนร่างพระราชบัญญัติเขตเศรษฐกิจพิเศษ
พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอได้ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า
ยังไม่มีความจำเป็นในการตราพระราชบัญญัติเขตเศรษฐกิจพิเศษ
โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสมควรดำเนินการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษตามแนวทางของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ และเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๖๓ ไปพลางก่อน เมื่อดำเนินการไประยะหนึ่งจนทราบถึงเป้าหมาย
ทิศทาง ตลอดจนปัญหาและอุปสรรคในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ชัดเจนแล้ว
และกรณียังมีความจำเป็นต้องมีหรือแก้ไขปรับปรุงกฎหมายใด
จึงค่อยพิจารณาจัดให้มีหรือแก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1757 | ขอความเห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น ด้านแผนงานนโยบายและเทคโนโลยีการจราจร | คค. | 15/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างกระทรวงคมนาคมและกระทรวงที่ดิน
โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น (Ministry of
Land, Infrastructure, Transport and Tourism : MLIT) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยสำหรับการลงนามร่างบันทึกความร่วมมือฯ โดยร่างบันทึกความร่วมมือฯ
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดกรอบความร่วมมือด้านการจราจรเพื่อการพัฒนาขีดความสามารถด้านการวางแผนงานนโยบายและเทคโนโลยีการจราจรในราชอาณาจักรไทย
โดยการแลกเปลี่ยนนโยบาย เทคโนโลยี ข้อมูล ประสบการณ์ และแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศระหว่างกัน
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒.
ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมประสานและบูรณาการรวมกับหน่วยงานรัฐ
เช่น กระทรวงการคลัง (สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) กรุงเทพมหานคร
กรมโยธาธิการและผังเมือง เป็นต้น ในการถ่ายทอดองค์ความรู้และบูรณาการร่วมกันอย่างเป็นระบบเพื่อให้ความร่วมมือดังกล่าวเกิดประโยชน์ต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางของประเทศไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1758 | ข้อความสาร (message) สำหรับการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 5 ผ่านระบบออนไลน์ | ทส. | 15/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างเอกสาร
Looking ahead to the resumed UN Environment Assembly in 2022-Message
from online UNEA 5, Nairobi 22-23 February 2021 ที่จะมีการรับรองในระหว่างการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ
สมัยที่ ๕ ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ ผ่านระบบออนไลน์ และอนุมัติให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทย
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้การรับรองร่างเอกสารดังกล่าว
โดยร่างเอกสารดังกล่าวมีสาระสำคัญเป็นการแสดงการยอมรับถึงความเร่งด่วนที่จะปกป้องโลกในช่วงวิกฤต
และความกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับผลกระทบที่ร้ายแรงจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 หรือโรคโควิด 19 ภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มลพิษ ของเสีย
และสารเคมี
รวมทั้งการเน้นย้ำในการดำเนินงานตามความร่วมมือพหุภาคีด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ
และเรียกร้องให้มีการดำเนินการร่วมกันโดยยึดหลักทางวิทยาศาสตร์ เป็นต้น ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1759 | เอกสารถ้อยแถลงเพื่อการดำเนินงาน (Statement of Undertaking : SoU) ของกลุ่มดำเนินงานด้านกรดไนตริกเพื่อสภาพภูมิอากาศ (Nitric Acid Climate Action Group : NACAG) | ทส. | 15/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบเอกสารถ้อยแถลงเพื่อการดำเนินงาน (Statement of Undertaking : SoU)
ของกลุ่มดำเนินงานด้านกรดไนตริกเพื่อสภาพภูมิอากาศ (Nitric Acid Climate
Action Group : NACAG) รวมทั้งเห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้แทนประเทศไทยลงนามในเอกสารถ้อยแถลงฯ
โดยมอบหมายกรมโรงงานอุตสาหกรรม
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนการดำเนินงานภายใต้กลุ่ม
NACAG ของประเทศไทยให้สอดคล้องกับเอกสารถ้อยแถลงฯ
และมอบหมายกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำผลการลดก๊าซไนตรัสออกไซด์จากสถานประกอบการที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่ม
NACAG ไปใช้เพื่อบรรลุตามเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด
(Nationally Determined Contribution : NDC) ของประเทศไทย และไม่นำไปใช้ในแนวทางความร่วมมือที่อ้างถึงในวรรค ๒
หรือกลไกที่อ้างถึงในวรรค ๔ ของข้อ ๖ ของความตกลงปารีส โดยเอกสารถ้อยแถลงฯ
เป็นการยืนยันว่าประเทศไทยตกลงที่จะดำเนินการภายใต้พันธกรณีหลังปี พ.ศ. ๒๕๖๖
และระบุว่าผลการลดก๊าซไนตรัสออกไซด์ในประเทศไทยที่ดำเนินการภายใต้สถานประกอบการที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่ม
NACAG ต้องไม่ถูกนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการชดเชยคาร์บอนระหว่างประเทศหรือการซื้อขายคาร์บอนระหว่างประเทศในรูปแบบอื่น
แต่สามารถใช้สำหรับการชดเชยคาร์บอนภายในประเทศหรือการซื้อขายคาร์บอนภายในประเทศได้
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารถ้อยแถลงฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ เห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับการจัดสรร
หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ หรือโอนเงินจัดสรร
หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ หรือใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณแล้วแต่กรณี
ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเท่าที่จำเป็น
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม
(กรมโรงงานอุตสาหกรรม)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการในการดำเนินการเพื่อจูงใจหรือบังคับผู้ประกอบการผลิตกรดไนตริกให้ติดตั้งเทคโนโลยีลดการปล่อยก๊าซไนตรัสออกไซด์จากกระบวนการผลิต
รวมถึงจัดให้มีการติดตามและรายงานการปล่อยก๊าซไนตรัสออกไซด์จากสถานประกอบการผลิตกรดไนตริก
และกำกับดูแลการดำเนินการให้เป็นไปตามเอกสารถ้อยแถลงฯ ด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1760 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ 6/2564 | นร.11 | 15/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔
ซึ่งได้พิจารณาอนุมัติให้นำกรอบวงเงินกู้เพื่อการตามมาตรา ๕ (๓)
มาใช้เพื่อการตามมาตรา ๕ (๒) (ครั้งที่ ๒) จำนวน ๓๕,๐๐๐ ล้านบาท อนุมัติโครงการ ม
๓๓ เรารักกัน ของกระทรวงแรงงาน และอนุมัติให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
กระทรวงการคลังปรับปรุงรายละเอียดโครงการเราชนะ
ตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ทั้งนี้
ในส่วนของการนำกรอบวงเงินกู้เพื่อการตามมาตรา ๕ (๓)
แห่งพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ มาใช้เพื่อการตามมาตรา ๕ (๒) นั้น
คณะรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นกรณีจำเป็นอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากวงเงินกู้เพื่อการตามมาตรา
๕ (๒) คงเหลือ ๖,๒๔๖.๗๘๘๕ ล้านบาท ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับดำเนินโครงการ ม ๓๓
เรารักกัน ของสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน
คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้นำวงเงินกู้เพื่อการตามมาตรา ๕ (๓) มาใช้เพื่อการตามมาตรา ๕
(๒) เพิ่มเติมเป็นจำนวน ๓๕,๐๐๐ ล้านบาทได้ โดยเมื่อรวมวงเงินกู้ทั้งหมดยังไม่เกินหนึ่งล้านล้านบาท
ตามที่กฎหมายกำหนด ๒.
ให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายที่จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์
อัตราค่าใช้จ่ายมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด
โดยไม่มีความซ้ำซ้อนของกลุ่มเป้าหมาย
หรือสิทธิที่พึงได้รับจากภาครัฐไปแล้วผ่านกลไกการตรวจสอบจากเลขบัตรประจำตัวประชาชน
๑๓ หลัก อย่างเคร่งครัด และพิจารณาให้ความช่วยเหลือกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ระลอกใหม่ เป็นสำคัญ รวมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์ สร้างความรับรู้ ความเข้าใจ
ให้ถูกต้องครบถ้วน ถึงสิทธิและข้อจำกัดของการเข้าร่วมโครงการที่กลุ่มเป้าหมายจะได้รับในครั้งนี้
และให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|