ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 90 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 1781 - 1800 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1781 | การปรับปรุงหลักเกณฑ์การจ่ายโบนัสพนักงานและลูกจ้างของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเชื่อมโยงกับผลการดำเนินงานตามระบบประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ | กค. | 26/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ดังนี้ ๑.๑ ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙
มิถุนายน ๒๕๑๙ เรื่อง เงินบำเหน็จ (โบนัส)
ประจำปีของพนักงานและลูกจ้างสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ๑.๒
เห็นชอบการปรับปรุงหลักเกณฑ์การจ่ายโบนัสพนักงานและลูกจ้างประจำของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
เชื่อมโยงกับผลการดำเนินงานตามระบบประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ
โดยปรับให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จากเดิมที่เป็นรัฐวิสาหกิจในกลุ่มที่ ๕
ประเภทจ่ายโบนัสพนักงานคงที่ เป็นรัฐวิสาหกิจในกลุ่มที่ ๒
รัฐวิสาหกิจประเภทที่จัดสรรโบนัสให้พนักงานได้เมื่อมีกำไรเพื่อการจัดสรรโบนัส
เนื่องจากมีกำไรจากการดำเนินงานตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖
ที่เห็นชอบการปรับปรุงระบบแรงจูงใจในส่วนค่าตอบแทนที่เป็นตัวเงินของรัฐวิสาหกิจ
ทั้งนี้
ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่ผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ
๒๕๖๔ เป็นต้นไป
๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ. เช่น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งพิจารณาแนวทางการปรับปรุงหลักเกณฑ์การจ่ายโบนัสพนักงานของรัฐวิสาหกิจที่ยังคงใช้หลักเกณฑ์จ่ายโบนัสพนักงานคงที่ให้เชื่อมโยงกับผลการดำเนินงานตามระบบประเมินผลการดำเนินงานที่รัฐวิสาหกิจ
ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ
ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖) ต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1782 | รายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2564 เพื่อเร่งรัดการสรรหาและบรรจุบุคคล เข้ารับราชการ | นร.10 | 26/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๒ มกราคม ๒๕๖๔ เพื่อเร่งรัดการสรรหาและบรรจุบุคคลเข้ารับราชการ ตามที่สำนักงาน
ก.พ. เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑. การเร่งรัดการดำเนินการสอบเพื่อบรรจุบุคคลเข้ารับราชการ ได้แก่ (๑)
แนวทางการเพิ่มโอกาสและช่องทางการสมัครสอบเพื่อวัดความรู้ความสามารถทั่วไป (ภาค
ก.) ประจำปี ๒๕๖๔ (๒) แนวทางการเรียกบรรจุบุคคลเข้ารับราชการจากบัญชีผู้สอบแข่งขันได้
(๓) การสนับสนุนการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการโดยวิธีอื่น
นอกเหนือจากวิธีการสอบแข่งขัน และ (๔) การสำรวจสถานะอัตราว่างของทุกส่วนราชการ ๒.
แนวทางเพิ่มโอกาสการจ้างงานผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) ของส่วนราชการ
ได้แก่ (๑) การจ้างพนักงานราชการตามกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการ รอบที่ ๕
(ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๗) และ (๒)
แนวทางเพิ่มโอกาสการจ้างงานผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) ด้วยระบบพนักงานราชการ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1783 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ 2/2563 | นร.52 | 26/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้
(กพต.) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เฉพาะในส่วนของเรื่อง (๑)
โครงการนำเรือประมงออกนอกระบบเพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นกรณีเร่งด่วน
และการจัดทำปะการังเทียมพื้นที่ชายฝั่งทะเลจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ (๒)
แผนปฏิบัติการช่วยเหลือและพัฒนาแรงงานไทยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้กลุ่มที่เดินทางกลับจากต่างประเทศภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19)
๒.
ให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้นำเรื่องที่ขอถอนคืนทั้ง ๔ เรื่อง
ได้แก่ (๑) รายงานความคืบหน้าการดำเนินการปรับผังเมืองเพื่อรองรับเมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต
อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา (๒) รายงานความคืบหน้าการดำเนินการจัดสรรโควตาพลังงานไฟฟ้า
๑,๗๐๐ เมกะวัตต์
เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการดำเนินการพัฒนาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม
๒๕๖๒ (๓) รายงานความคืบหน้าการดำเนินการพิจารณามาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจเมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต
อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ตามแผนการลงทุนของภาคเอกชน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๑ มกราคม ๒๕๖๓ และ (๔) แผนพัฒนาระบบสาธารณสุข ๔ อำเภอชายแดนของจังหวัดสงขลาและงานสาธารณสุขต่อเนื่องในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
รองรับการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจเมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคตอำเภอจะนะ
จังหวัดสงขลา (พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๗) ไปหารือในรายละเอียดร่วมกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ให้ละเอียดรอบคอบอีกครั้งหนึ่ง ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1784 | มาตรการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในปี 2564 | กค. | 26/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบมาตรการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จะจัดเก็บตามกฎหมายว่าด้วยภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
ในอัตราร้อยละ ๙๐ ของจำนวนภาษีที่คำนวณได้ สำหรับการจัดเก็บภาษีของปีภาษี พ.ศ.
๒๕๖๔ และมาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย
เพื่อสนับสนุนและบรรเทาภาระให้แก่ประชาชนที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยใหม่สร้างเสร็จพร้อมขายเป็นของตนเองในระดับราคาที่ไม่สูงมากและเหมาะสมกับศักยภาพของประชาชนแต่ละกลุ่ม
รวมถึงช่วยรักษาระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเชื่อมโยงกับการจ้างงาน
และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับภาคอสังหาริมทรัพย์ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒.
เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาลดภาษีสำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบางประเภท (ฉบับที่
..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ลดจำนวนภาษีในอัตราร้อยละเก้าสิบ
ของจำนวนภาษีที่คำนวณได้ ตามมาตรา ๔๒ หรือมาตรา ๙๕ แล้วแต่กรณี
สำหรับการจัดเก็บภาษีของปีภาษี พ.ศ. ๒๕๖๔ สำหรับที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประโยชน์ในการประกอบเกษตรกรรม
ใช้เป็นที่อยู่อาศัย ใช้ประโยชน์อื่น และทิ้งไว้ว่างเปล่าหรือไม่ได้ทำประโยชน์ตามควรแก่สภาพ
โดยให้บังคับใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓.
เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน
กรณีอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นที่ดินพร้อมอาคาร ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
และเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด
กรณีห้องชุด ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์
จากเดิมร้อยละ ๒ เหลือร้อยละ ๐.๐๑ และลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์
จากเดิมร้อยละ ๑ เหลือร้อยละ ๐.๐๑ เฉพาะการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ดังนี้ (๑)
ที่ดินพร้อมอาคารประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด บ้านแถว หรืออาคารพาณิชย์
จากผู้จัดสรรที่ดินตามกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดิน หรือ (๒)
ห้องชุดจากผู้ประกอบการที่จดทะเบียนอาคารชุด ในราคาไม่เกิน ๓ ล้านบาทต่อหน่วย
โดยการจดทะเบียนการโอนและการจำนองอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยต้องดำเนินการในคราวเดียวกัน
โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาถึงวันที่ ๓๑
ธันวาคม ๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๔.
ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น)
และกระทรวงการคลังเร่งรัดดำเนินการสำรวจผลการจัดเก็บภาษี ณ สิ้นปี พ.ศ. ๒๕๖๓
ในส่วนของภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างว่ามีการสูญเสียรายได้เป็นจำนวนเท่าใด
และความเป็นไปได้ในการเพิ่มรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)
ด้วยการนำเงินภาษีที่รัฐบาลจัดเก็บและแบ่งให้
เพื่อประกอบการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
๕.
ให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีแนวทางในการบริหารจัดการเพื่อรองรับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) ที่ส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของ
อปท. และก่อให้เกิดภาระในการจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยรายได้ให้แก่ อปท.
โดยอาจพิจารณาใช้การกำหนดอัตราการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้มีความแตกต่างกันตามประเภทการใช้ประโยชน์
ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบต่อการสูญเสียรายได้ของ อปท.
และลดภาระทางงบประมาณได้อีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ มาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย
ควรพิจารณาให้ครอบคลุมกลุ่มถึงประชาชนและธุรกิจที่ประกอบการในรูปแบบบุคคลธรรมดาด้วย
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1785 | ขออนุมัติงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 | สปสช. | 26/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
อนุมัติงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
ประกอบด้วย งบประมาณสำหรับกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ วงเงิน ๑๙๘,๘๙๑,๗๘๙,๔๐๐
บาท และงบประมาณบริหารงานของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) วงเงิน
๒,๒๐๓,๑๐๘,๖๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
มอบหมายให้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติดำเนินการและบริหารจัดการกองทุนฯ และควบคุมดูแล
สปสช. ให้บริหารกองทุนฯ ให้เป็นไปตามการมอบหมายดังกล่าว ตามที่ สปสช. เสนอ ๓.
ให้ สปสช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นเพิ่มเติมบางประการของกระทรวงสาธารณสุข
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
และมติคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข ในคราวประชุมครั้งที่
๑๐/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๓
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งให้ สปสช. ดำเนินการเพิ่มเติม
ดังนี้ ๓.๑
เร่งศึกษาต้นทุนบริการที่แท้จริงของหน่วยบริการต่าง ๆ อาทิ ศูนย์บริการสาธารณสุข โรงพยาบาลสังกัดมหาวิทยาลัย
คลินิกและโรงพยาบาลเอกชน รวมถึงต้นทุนบริการของการรักษาพยาบาลต่าง ๆ เพื่อให้การประมาณการค่าใช้จ่ายในการจัดทำงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติสอดคล้องกับข้อเท็จจริงมากยิ่งขึ้น ๓.๒ ในขั้นตอนการจัดทำคำของบประมาณในปีงบประมาณต่อ
ๆ ไป
ให้หารือร่วมกับสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาความจำเป็นและความเหมาะสมของรายการคำของบประมาณ
และปรับปรุงให้ถูกต้องก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔.
มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับ สปสช. สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
กระทรวงมหาดไทย (องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ ๔.๑ บูรณาการแนวทางการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค
รวมถึงการฟื้นฟูสมรรถภาพที่เหมาะสมสำหรับดำเนินการในหน่วยบริการปฐมภูมิและเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิ
โดยให้จัดทำกลไกการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานดังกล่าวที่สามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม
โดยกำหนดตัวชี้วัดแต่ละรายการให้มีความชัดเจน ไม่ซ้ำซ้อน
และกำหนดให้ความสามารถในการลดภาระงบประมาณด้านการรักษาพยาบาลเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดการดำเนินงานด้วย ๔.๒ สำรวจ ศึกษา
และวิเคราะห์ขีดความสามารถของระบบสุขภาพปฐมภูมิ ทั้งในด้านบุคลากร
อุปกรณ์และเครื่องมือที่จำเป็น และงบประมาณ เพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาและยกระดับระบบสุขภาพปฐมภูมิให้สามารถรองรับความต้องการและขอบเขตในการให้บริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขที่จำเป็นต่อสุขภาพและการดำรงชีวิตของคนไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๔.๓
ประเมินความพร้อมของระบบสาธารณสุขในทุกกระบวนการตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยคำนึงถึงมิติทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน
บริบทการถ่ายโอนภารกิจสาธารณสุขไปให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
รูปแบบกลไกการบริหารจัดการที่เหมาะสม มีความยั่งยืน และมีประสิทธิภาพและปัจจัยแวดล้อมต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดเป้าหมายและแผนการพัฒนาและยกระดับระบบสาธารณสุขที่สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์
รวมถึงสถานการณ์ฉุกเฉินอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโรคระบาด โรคร้ายแรง
และโรคติดต่อที่อุบัติใหม่อย่างเป็นระบบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1786 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลสถาน และตำบลเวียง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย พ.ศ. .... | คค. | 26/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
ในท้องที่ตำบลสถาน และตำบลเวียง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลสถาน และตำบลเวียง
อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๔๒๓
สายเสี่ยงเมืองเชียงของ
เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรที่หนาแน่นและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องบนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข
๑๐๒๐ และ ๑๒๙๐ และเพื่อให้ผู้ใช้ทางในการคมนาคมขนส่ง การค้า
และการท่องเที่ยวมีความสะดวกและปลอดภัย รวมทั้งเป็นการขยายพื้นที่ทางเศรษฐกิจ
ตลอดจนเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๓
ที่กำหนดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติกรณีการตราร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนเพื่อก่อสร้างถนนหรือขยายถนน
โดยต้องพิจารณาความสอดคล้องกับหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนและต้องมีผลเป็นการกีดขวางการไหลของน้ำตามธรรมชาติเพียงเท่าที่จำเป็น
รวมทั้งต้องสร้างระบบการระบายน้ำที่เพียงพอต่อการขยายตัวของชุมชนหรือเมืองในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องอีก
๑๐-๑๕ ปี ข้างหน้าไปพร้อมกันด้วย เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาถนนกีดขวางทางน้ำและทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วม
อันส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว
และเห็นควรให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาจัดลำดับความสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งในพื้นที่ดังกล่าวตามความจำเป็นและความเหมาะสม
นอกจากนี้
เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมกำชับให้กรมทางหลวงและหน่วยงานภายใต้สังกัดที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เรื่อง
แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการตราร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนเพื่อก่อสร้างหรือขยายถนนอย่างเคร่งครัด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1787 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... และร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ยกเลิกประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน พ.ศ. 2558 รวม 2 ฉบับ | ทส. | 19/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่
ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่
และในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน
เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ท้องที่ในตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่
ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่
และในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน
เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม
และกำหนดมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในท้องที่ดังกล่าว
เพื่อคุ้มครองระบบนิเวศของต้นยางนาและต้นขี้เหล็กที่เป็นเอกลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ในท้องที่ดังกล่าว
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับประเด็นข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เกี่ยวกับการกำหนดให้มีคณะกรรมการกำกับดูแลและติดตามผลการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของจังหวัดเชียงใหม่
และของจังหวัดลำพูน โดยมีหน้าที่กำกับ ดูแล ติดตาม
ตรวจสอบการบังคับใช้มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
และให้ความเห็นชอบกับการนำแผนงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องไปปฏิบัติ
ไม่ใช่การกำหนดมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมหรือกำหนดหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบตามมาตรา
๔๔ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕
และไม่สอดคล้องกับมาตรา ๗๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๕
แห่งพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒
รวมทั้งมีความซ้ำซ้อนกับภารกิจของสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดให้มีคณะกรรมการดังกล่าวให้เกิดความซ้ำซ้อนอีก
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง
ยกเลิกประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง
ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง
กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย
อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี
จังหวัดเชียงใหม่ และในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน พ.ศ. ๒๕๕๘
มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง
ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมฯ พ.ศ. ๒๕๕๘
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงคมนาคมที่เห็นว่า
การกำหนดเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม
ควรพิจารณาไม่ให้ส่งผลกระทบต่อแผนการบริหารจัดการน้ำตามแผนยุทธศาสตร์กรมชลประทาน
๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑-พ.ศ. ๒๕๘๐) ตลอดจนโครงการพื้นที่ชลประทานและระบบชลประทานที่อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และการดำเนินงานตามร่างกฎกระทรวงฯ จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี
และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล
และเกิดผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ต่อภาครัฐและประชาชนเป็นสำคัญ นอกจากนี้
ในกรณีที่มีการดำเนินการกิจกรรมใด ๆ
เกี่ยวกับการบำรุงหรือดูแลรักษาต้นยางนาและต้นขี้เหล็ก หรือกิจกรรมอื่น ๆ
บนทางหลวงหมายเลข ๑๐๖ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานกับหน่วยงานของกรมทางหลวงในพื้นที่เพื่อทราบด้วย
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1788 | กรอบวงเงินงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ระบบการจัดสรรและบริหารงบประมาณแบบบูรณาการที่มุ่งผลสัมฤทธิ์ | อว. | 19/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ จำนวน ๒๔,๔๐๐ ล้านบาท
และระบบการจัดสรรและบริหารงบประมาณแบบบูรณาการที่มุ่งผลสัมฤทธิ์
รวมทั้งยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๓ เรื่อง
แนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
ตามที่สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติเสนอ และให้สภานโยบายการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติเสนอสำนักงบประมาณพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๒.
ให้สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงบประมาณ และข้อเสนอแนะของสำนักงาน ก.พ.ร. เช่น
ควรมุ่งให้ความสำคัญกับการจัดสรรทุนวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการจัดการและแก้ไขปัญหาวิกฤตในอนาคตของประเทศ
ควรกำหนดมาตรการในการสร้างแรงจูงใจหรือสร้างความร่วมมือจากภาคเอกชนและกลุ่มวิสาหกิจเพื่อสังคมที่เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น
และควรมีการบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านการวิจัยที่มีคุณภาพและปริมาณเพียงพอสำหรับรองรับในการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมที่มีคุณภาพสูงในอนาคต
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1789 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ 2/2564 | นร.11 | 19/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๔
ซึ่งได้พิจารณาอนุมัติให้นำวงเงินกู้เพื่อการตามมาตรา ๕ (๓) มาใช้เพื่อการตามมาตรา
๕ (๒) เพิ่มเติม จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อรองรับการให้ความช่วยเหลือ เยียวยา
ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙ ระลอกใหม่ในประเทศ
อนุมัติโครงการเราชนะ ของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง
และมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการ ดำเนินการ
รวมทั้งอนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ ๑ และโครงการคนละครึ่ง
ระยะที่ ๒ ของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง และโครงการ ๑ ตำบล ๑
กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และอนุมัติให้มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ยกเลิกการดำเนินโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และส่งเสริมการขายในรูปแบบตลาดออนไลน์ของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปปลา
บ้านท่าดินแดง จังหวัดนครสวรรค์
ตลอดจนรับทราบผลการพิจารณาข้อเสนอโครงการขององค์กรภาคประชาชนผ่านหน่วยงานของรัฐเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
การพิจารณากลุ่มเป้าหมายของโครงการ ควรพิจารณาให้ความช่วยเหลือกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ระลอกใหม่
และกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ก่อนเป็นลำดับแรก รวมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์ สร้างความรับรู้ ความเข้าใจให้ถูกต้องครบถ้วน
ถึงสิทธิและข้อจำกัดของการเข้าร่วมโครงการ ที่กลุ่มเป้าหมายจะได้รับในครั้งนี้
ตลอดจนให้ความสำคัญกับศักยภาพและความสามารถของหน่วยงานเจ้าของโครงการ
โดยจัดให้มีระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
๒.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1790 | การขอความเห็นชอบต่อรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการอาเซียน ว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก (ASEAN Commission on the Promotion and Protection of the Rights of Women and Children : ACWC) ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิสตรี | พม. | 19/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑
เห็นชอบในการเสนอชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกลำดับแรก (นางสาวรัชดา ไชยคุปต์)
เป็นผู้ได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก
(ASEAN Commission on the Promotion and Protection of the Rights of
Women and Children : ACWC) ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านสตรี
โดยมีวาระการดำรงตำแหน่ง ๓ ปี (นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ–๖
ตุลาคม ๒๕๖๖) โดยหากผู้ได้รับคัดเลือก (นางสาวรัชดา ไชยคุปต์) ถูกเพิกถอนรายชื่อ
หรือ สละสิทธิ หรือมีเหตุอื่นที่ทำให้ไม่สามารถดำรงตำแหน่งผู้แทนไทยใน ACWC
หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณาเรียกผู้ได้รับการคัดเลือกในลำดับถัดไปเพื่อดำรงตำแหน่งผู้แทนไทยใน
ACWC โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก
และหลังจากนั้นให้รายงานผลเพื่อคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๑.๒
อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ในฐานะรัฐมนตรีที่รับผิดชอบด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาของไทย มีหนังสือแจ้งรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้แทนไทยใน
ACWC ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิสตรี
ไปยังสำนักเลขาธิการอาเซียน
ภายหลังจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ๒.
ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำรงตำแหน่งผู้แทนไทยใน ACWC เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายของสำนักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว
ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป
เห็นควรให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ในครั้งต่อ ๆ ไป
ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เร่งรัดการดำเนินการเสนอเรื่องการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้แทนไทยใน
ACWC ให้สอดคล้องกับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งในแต่ละวาระ
เพื่อให้ผู้ดำรงตำแหน่งสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างต่อเนื่องและเป็นไปตามข้อกำหนดของคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและเด็กด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1791 | การจัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างอาเซียนกับสหภาพยุโรปเพื่อแก้ไขความตกลงให้การสนับสนุนทางการเงิน สำหรับโครงการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและการจัดการพื้นที่คุ้มครองในอาเซียน | ทส. | 19/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑
เห็นชอบร่างหนังสือตอบรับของฝ่ายอาเซียนเพื่อแก้ไขความตกลงให้การสนับสนุนทางการเงินระหว่างอาเซียนกับสหภาพยุโรป
สำหรับโครงการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและการจัดการพื้นที่คุ้มครองในอาเซียน [Biodiversity
Conservation and Management of Protected Areas in ASEAN : (BCAMP)] เนื่องจากเอกอัครราชทูตสหภาพยุโรป ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์
เสนอให้จัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนเพื่อแก้ไขความตกลงดังกล่าวให้มีการขยายระยะเวลาการบริหารโครงการในภาพรวม
จากเดิม ๙๐ เดือน เป็น ๑๐๒ เดือน (ขยายเพิ่มอีก ๑๒ เดือน)
เพื่อให้สามารถดำเนินกิจกรรมที่ล่าช้าจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
ได้ ๑.๒
อนุมัติให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือตอบรับของฝ่ายอาเซียนฯ
และให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งความเห็นชอบของประเทศไทยต่อสำนักเลขาธิการอาเซียนต่อไป
(กระทรวงการต่างประเทศจะแจ้งต่อสำนักเลขาธิการอาเซียนผ่านคณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน
ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ภายในวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๖๔) ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือตอบรับของฝ่ายอาเซียนฯ
ในส่วนของที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1792 | การบริจาคเงินสมทบกองทุนเสริมสร้างสันติภาพ (Peacebuilding Fund) ของสหประชาชาติ | กต. | 19/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการการบริจาคเงินสมทบกองทุนเสริมสร้างสันติภาพ
(Peacebuilding Fund : PBF) ประจำปี
๒๕๖๕ เพื่อสนับสนุนบทบาทการเป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการเสริมสร้างสันติภาพ (Peacebuilding
Commission : PBC) ของสหประชาชาติ
และการเสริมสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนของประเทศไทย
สำหรับค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ
หรือประมาณ ๓,๐๓๗,๐๐๐ บาท (อัตราแลกเปลี่ยน ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ๓๐.๓๗ บาท)
เห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1793 | ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 17 | กต. | 19/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างปฏิญญาอังการา
ร่างแผนงานกรอบความร่วมมือเอเชีย ค.ศ. ๒๐๒๑-๒๐๓๐ และร่างหลักการจัดตั้งสำนักเลขาธิการถาวรของกรอบความร่วมมือเอเชีย
รวม ๓ ฉบับ ซึ่งเป็นร่างเอกสารผลลัพธ์ที่จะมีการรับรองโดยไม่มีการลงนาม
ในการประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ ๑๗ ที่จะจัดขึ้นในวันที่
๒๑ มกราคม ๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมทางไกล และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
หรือผู้ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองร่างเอกสารดังกล่าว
โดยสาระสำคัญของร่างปฏิญญาฯ
เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ของรัฐมนตรีประเทศสมาชิกและกล่าวถึงสถานะของกรอบความร่วมมือเอเชียในภาพรวม
ส่วนร่างแผนงานฯ
เป็นเอกสารที่กำหนดเป้าหมายในการขับเคลื่อนความร่วมมือของกรอบความร่วมมือร่วมกันของประเทศสมาชิกในอนาคต
และร่างหลักการฯ เป็นเอกสารกำหนดโครงสร้างและแนวทางการบริหารงานของสำนักเลขาธิการกรอบความร่วมมือเอเชีย
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารดังกล่าว
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานตามร่างเอกสารดังกล่าว
เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
โอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๒ หรือจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1794 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายใต้โครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับประชาชนไทยโดยการจองล่วงหน้า (AstraZeneca) เพิ่มเติม | สธ. | 19/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑
เห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ที่ขอปรับกรอบงบประมาณโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (COVID-19) สำหรับประชาชนไทย โดยการจองล่วงหน้า (AstraZeneca)
จากวงเงิน ๖,๐๔๙.๗๒ ล้านบาท เป็นวงเงิน ๖,๒๑๖.๒๕ ล้านบาท
โดยเพิ่มงบประมาณในส่วนการจัดหาวัคซีนโดยการจองล่วงหน้าผ่านความร่วมมือแบบทวิภาคีกับบริษัท
AstraZeneca จาก ๒,๓๗๙.๔๓๐,๖๐๐ บาท เป็น ๒,๕๔๕.๙๖๐,๖๐๐ บาท
เพื่อให้มีงบประมาณเพียงพอสำหรับค่าภาษีมูลค่าเพิ่มในการดำเนินงานดังกล่าว ๑.๒ อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา
และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อจ่ายเป็นค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม วงเงิน ๑๖๖,๕๓๐,๐๐๐ บาท
ภายใต้โครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับประชาชนไทย
โดยการจองล่วงหน้า (AstraZeneca) ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1795 | การกำหนดสินค้าควบคุมเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 | พณ. | 19/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบการกำหนดสินค้าควบคุมปี
๒๕๖๔ จำนวน ๔ รายการ ได้แก่ (๑) หน้ากากอนามัย (๒) ใยสังเคราะห์ Polypropylene
(Spunbond) เพื่อใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัย
(๓) ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบเพื่อสุขอนามัยสำหรับมือ และ (๔)
เศษกระดาษ และกระดาษที่นำกลับมาใช้ได้อีก ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการติดตามสถานการณ์การผลิตและความต้องการใช้ภายในประเทศอย่างใกล้ชิด
และการกระจายสินค้าดังกล่าวอย่างทั่วถึงแก่ประชาชน นอกจากนี้
ควรเร่งรัดประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจให้ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายสินค้าปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง
รวมทั้งกำกับดูแลและบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวอย่างจริงจัง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1796 | ขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีที่ห้ามใช้ประโยชน์ป่าชายเลน | ปช. | 19/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงาน
ป.ป.ช. ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๐
วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๔ วันที ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ และวันที่ ๑๗ ตุลาคม๒๕๔๓
เกี่ยวกับการห้ามมิให้อนุญาตการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลนในทุกกรณี
เพื่อก่อสร้างอาคารสำนักงาน ป.ป.ช. ภาค ๙ และสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดสงขลา
พร้อมอาคารที่พักและสิ่งปลูกสร้างประกอบ ตามที่สำนักงาน ป.ป.ช. เสนอ
เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ป.ป.ช. ดำเนินการให้ถูกต้อง
เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นควรพิจารณารายละเอียดโครงการ
กิจการ หรือการดำเนินการว่าเข้าข่ายต้องจัดทำรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
รวมทั้งดำเนินการตามระเบียบและขั้นตอนของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พร้อมทั้งจัดสรรงบประมาณให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปลูกป่าทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อม
ไปดำเนินการให้ครบถ้วนด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1797 | โครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy Loan) ภายใต้มาตรการพิเศษเพื่อขับเคลื่อน SMEs สู่ยุค 4.0 (มาตรการด้านการเงิน) | อก. | 19/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗
มกราคม ๒๕๖๓
ที่มีมติเห็นชอบกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของโครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน (Local
Economy Loan) โดยเห็นชอบกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่ [โดยยกเลิกข้อกำหนดให้เป็นผู้ประกอบการ
SMEs ที่ไม่เคยได้รับการอนุมัติและใช้วงเงินสินเชื่อโครงการที่มติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมดำเนินการ
(๑) โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Policy Loan) (๒)
โครงการสินเชื่อ SMEs Transformation Loan และเป็นผู้ประกอบการ
SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อรวมทุกสถาบันการเงินต่อราย
(ไม่รวมกิจการในกลุ่ม) สินเชื่อไม่เกิน ๕๐ ล้านบาท ณ วันที่ยื่นคำขอกู้ ทั้งนี้
รายละเอียดและเงื่อนไขอื่น ๆ ของโครงการคงเดิม] ๑.๒ เห็นชอบการขยายระยะเวลาโครงการโดยให้มีผลการรับคำขอกู้ตั้งแต่วันที่
๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ และสิ้นสุดวันรับคำขอกู้ภายในวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๔
หรือจนกว่าจะหมดวงเงินสินเชื่อรวมของโครงการ แล้วแต่ละระยะเวลาใดจะถึงก่อน ๒.
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง และข้อเสนอแนะของธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น (๑) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมควรพิจารณาศักยภาพในการดำเนินธุรกิจและความสามารถในการชำระหนี้ในอนาคตของลูกหนี้
โดยจำนวนเงินให้สินเชื่อควรเหมาะสมกับขนาดและความจำเป็นของธุรกิจ
เพื่อไม่ให้กระทบความสามารถในการชำระหนี้ รวมถึงให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือ SMEs
ขนาดเล็ก เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการ และ (๒) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมควรควบคุมและติดตามให้ลูกหนี้ปฏิบัติตามเงื่อนไขสินเชื่อที่ได้รับอนุมัติ
รวมทั้งการใช้วงเงินให้ตรงตามวัตถุประสงค์อย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงแรงงานที่ขอให้กระทรวงการคลังพิจารณาหลักเกณฑ์เพิ่มเติมสำหรับการอนุมัติเพื่อการเข้าถึงแหล่งทุนให้ง่ายขึ้น
โดยเฉพาะการยกเว้นคุณสมบัติและเงื่อนไขที่ใช้ประกอบการยื่นกู้ เช่น
การยกเว้นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) การติดเครดิตบูโร
การขาดหลักฐานทางบัญชีหรือการเงินย้อนหลัง
และการจดทะเบียนธุรกิจกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
เพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มผู้ประกอบการ
บุคคลธรรมดาที่เป็นแรงงานนอกระบบจำนวนมากเข้าถึงมาตรการช่วยเหลือ
ซึ่งจะทำให้ลูกจ้างที่ทำงานในกลุ่มนี้ได้รับโอกาสการจ้างงานต่อ นอกจากนี้
สถานประกอบการ SMEs บางแห่งมีปัญหาเงินทุนหมุนเวียน
ส่งผลให้เกิดการค้างชำระและเป็นหนี้สะสม
จึงเห็นควรให้มีมาตรการรวมหนี้เพื่อลดภาระดอกเบี้ย ซึ่งจะช่วยให้สถานประกอบการได้รับประโยชน์จากมาตรการได้อย่างสูงสุด
อีกทั้งสามารถดำรงสถานะและรักษาระดับการจ้างงานได้มากกว่า ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1798 | ขออนุมัติการตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 สำหรับรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป “โครงการจัดหาอากาศยาน (ทดแทน) เพื่อใช้ในภารกิจการปฏิบัติการฝนหลวง” | กษ. | 19/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำรายการที่มีวงเงินตั้งแต่
๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป รายการเครื่องบินขนาดกลาง จำนวน ๒ ลำ วงเงินทั้งสิ้น
๑,๒๕๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อเสนอเป็นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
จำนวน ๒๕๐,๔๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๖-พ.ศ. ๒๕๖๗ จำนวน ๑,๐๐๑,๖๐๐,๐๐๐ บาท ตามนัยมาตรา ๒๖ ของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมทั้งยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๓
ทั้งนี้
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดทำแผนการดำเนินการและยืนยันความพร้อมของรายการดังกล่าว
โดยมีรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะ ประมาณการราคา ผลการสอบราคา
ความพร้อมในการดำเนินงานให้ครบถ้วน โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัด
การพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ
ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินงาน
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
รวมทั้งพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการให้เหมาะสมกับความจำเป็นเร่งด่วน
และคำนึงถึงภาระผูกพันงบประมาณในแต่ละปีงบประมาณให้เป็นไปตามสัดส่วนของรายจ่ายลงทุนที่กำหนด
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
ซึ่งสำนักงบประมาณจะพิจารณาความเหมาะสมและจำเป็นตามวงเงินงบประมาณประจำปีต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1799 | ร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมศุลกากร พ.ศ. .... | กค. | 19/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมศุลกากร
พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกกฎสำนักนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ ๖๙ (พ.ศ. ๒๕๒๑) ฉบับที่ ๗๗
(พ.ศ. ๒๕๓๓) และฉบับที่ ๘๕ (พ.ศ. ๒๕๓๙)
ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบข้าราชการฝ่ายพลเรือน พุทธศักราช ๒๔๗๘
เพื่อให้สอดคล้องกับระบบจำแนกตำแหน่งใหม่ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๕๑ รวมทั้งปรับปรุงลักษณะรูปแบบเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมศุลกากร
เพื่อให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงาน
ตลอดจนเพื่อให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1800 | ร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. .... | กค. | 19/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ
พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ปรับปรุงแก้ไขแล้ว
ซึ่งได้ปรับปรุงจากร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. .... ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ
ให้เป็นไปตามมติที่ประชุมร่วมที่มีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธาน
โดยได้เพิ่มบทเฉพาะกาลไว้ในร่างมาตรา ๑๖๖ วรรคท้าย
เพื่อเร่งรัดให้คณะกรรมการข้าราชการตำรวจกำหนดการประเมินความพึงพอใจในการบริการประชาชนให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
และตัดร่างมาตรา ๑๕๒ วรรคสอง ออก ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๖๓ แล้ว
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้เสนอรัฐสภาเป็นเรื่องด่วนต่อไป
โดยให้แจ้งประธานรัฐสภาทราบด้วยว่าร่างพระราชบัญญัตินี้เป็นร่างพระราชบัญญัติที่จะตราขึ้นเพื่อดำเนินการตามหมวด
๑๖ การปฏิรูปประเทศ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
และให้แจ้งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรทราบด้วย ทั้งนี้
ให้ส่งความเห็นและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเกี่ยวกับการกำหนดให้นำเงินกองทุนเพื่อการสืบสวน
สอบสวนการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญาไปใช้จ่ายได้เฉพาะในส่วนที่มีงบประมาณไม่เพียงพอหรือไม่อาจใช้จากเงินงบประมาณได้
การกำหนดให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้พิจารณาอนุมัติการนำเงินค่าปรับส่งเข้ากองทุน
และการจัดทำบัญชีและรายงานการเงินประจำปีของกองทุน ไปยังคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อประสานการพิจารณาในชั้นคณะกรรมาธิการของรัฐสภาต่อไป
|